ท่ามกลางความเงียบสงบยามค่ำคืน เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งไล่เด็กสาวไปตามซอกซอยต่าง ๆ ที่เปลี่ยวคนอย่างไม่ลดละ หมายจับตัวเธอตามคำสั่งของผู้เป็นหัวหน้า
หลังจากตามหาตัวเธออยู่นานกว่าเกือบหกเดือน ในที่สุดจึงได้พบเบาะแสคนที่กล้าทำร้ายร่างกายหัวหน้าอย่างเจ็บแสบในคืนนั้นได้ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เธอหลุดมือไปได้แน่นอน
นลิน เด็กสาวอายุเพียงสิบหกปี วิ่งหนีคนพวกนั้นสุดกำลังเท่าที่จะทำได้ หากแต่ว่าร่างกายของเธอและจิตใจนั้นเหนื่อยล้าจนแทบอยากทิ้งตัวล้มกับพื้น ทั้งยังไม่มีทางรู้ได้เลยว่าชีวิตอันเส็งเคร็งแบบนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด
แม่ผู้เป็นที่รักจากไปด้วยโรคร้าย ส่วนพ่อที่ไม่เคยสนใจใยดี บางครั้งโผล่หน้ามา บางครั้งหนีหายไปเป็นเดือน หลายปี ยังเอาแต่สร้างเรื่องและทิ้งหนี้สินเอาไว้ให้เธอรับผิดชอบมากมาย
แม้จะพยายามทำงานแลกเงินมาได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอเพราะหนี้สินที่พ่อก่อนั้นเพิ่มพูนอย่างไม่มีขีดจำกัด ชีวิตประสบแต่ปัญหาจนเธอต้องหนีครั้งแล้วครั้งเล่า
ใบหน้าของนลินยามนี้ไม่เหลือร่องรอยของความสุขแม้เพียงสักนิด เธอคิดแต่ว่าครั้งนี้จะต้องหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทางข้างหน้าบางทีอาจจะยังมีความหวังน้อยนิดให้เธอได้เริ่มต้นชีวิตใหม่
แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว เธอตระหนักได้ว่าสิ่งที่รออยู่ปลายทางมีแต่ความผิดหวังเท่านั้น
เหนื่อยเหลือเกิน
เมื่อไหร่จะจบเสียที
พลันความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในใจ นลินไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย
เหนื่อยขนาดนี้แล้วจะทนอยู่ทำไมนะ
เมื่อนั้นเองรอยยิ้มมุมปากจึงปรากฏขึ้นประดับใบหน้าเศร้าสร้อยราวกับหาหนทางสุดท้ายได้แล้ว เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีเพียงเมฆหนาปกคลุมไร้แสงจันทร์คิดถึงแม่ที่จากไป
"แม่คะ คิดถึงแม่เหลือเกิน อยู่ข้างบนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง แม่จะว่าอะไรไหม ถ้าตอนนี้หนูอยากไปหาแม่"
น้ำตาที่เคยอดกลั้นต่อความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาตลอดหนึ่งปีรินไหล นับตั้งแต่ที่แม่ของเธอจากไป นลินไม่มีแม้แต่เวลาที่จะนั่งรำพึงรำพันคิดถึงแม่เลย วันทุกวันหากไม่ทำงานก็คือหนีจากพวกเจ้าหนี้ของพ่อและอยู่ด้วยความหวาดระแวง
"หยุดอยู่ตรงนั้นนะ" เสียงตะโกนจากหนึ่งในกลุ่มคนที่ไล่ล่าตามหลังนลินทำให้เธอรีบสลัดความคิดเหล่านั้นออกไปก่อน
เวลานี้สิ่งเดียวที่ทำได้คือต้องหนีเพราะไม่อย่างนั้นแล้วแม้แต่ความตายอย่างสงบ เธอคงไม่สามารถเลือกเองได้
ในขณะที่อีกฟากหนึ่ง
ชายหนุ่มนักศึกษาอายุยี่สิบปีอย่างนราวิชญ์กำลังสังสรรค์อยู่ที่งานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนร่วมรุ่นอย่างสนุกสนานในคลับวีวีไอพีซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมชั้นดีของทายาทเศรษฐีไม่เอาอ่าว
ใคร ๆ ต่างรู้กันไปทั่วว่าที่แห่งนี้อุดมไปด้วยเหล้า ยา ผู้หญิง เรียกได้ว่าครบจบตามตำราชีวิตเสเพล ดังนั้นแล้วบริเวณภายนอกคลับจึงมักจะมีสายตาของนักข่าวผู้จรดปลายปากกาตีแผ่เรื่องราวอื้อฉาวของลูกหลานคนดังอยู่เป็นว่าเล่น
นราวิชญ์ผู้เป็นทายาทบริษัทก่อสร้าง โนวา คอนสตรัคชั่น นับว่ามีชีวิตที่สมบูรณ์แบบเพียบพร้อม แต่บ่อยครั้งมักจะเห็นเขาโผล่หน้ามางานเลี้ยงจำพวกนี้อยู่บ่อย ๆ ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียวคือแสร้งทำตัวเหลวแหลกนอกคอกเพื่อต่อต้านพ่อของตัวเอง
เรื่องใดที่พ่อห้าม เขาจะเลือกทำตรงข้าม สิ่งใดที่ดีอยู่แล้ว เขาจะทำให้มันพังทลายลง ผู้เป็นพ่อจึงต้องคอยเก็บกวาดจัดการเรื่องราวอื้อฉาวไม่ให้เข้าหูนักข่าวอยู่ร่ำไป
ทว่า การที่เขาเอาตัวเองมาพัวพันกับคนเหล่านี้ก็เพียงเพื่อยั่วโมโหพ่อก็เท่านั้น ไม่ได้คิดจะยุ่งกับสิ่งมอมเมาตรง ๆ เสียเมื่อไหร่ ทั้งยังมองอีกว่าพวกคนในงานก็เป็นแค่ขยะที่ย่อยสลายไม่ได้แล้ว
นราวิชญ์ปรากฏตัวขึ้นสร้างความวุ่นวายเล็กน้อยพอเป็นพิธีให้นักข่าวที่จับตามองเขาอยู่ได้มีเรื่องไปเรียกเอาค่าปิดปากกับพ่อของเขาแล้วฉวยโอกาสช่วงชุลมุนหลบคนของพ่อออกมาข้างนอก เดินเตร็ดเตร่เพียงลำพังไปตามถนนแคบ ๆ ไร้ผู้คน
"ค่อยเงียบหูหน่อย" เขาพึมพำคนเดียว สายตามองไปรอบตัว ก่อนจะได้เห็นว่าข้างหน้านั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังวิ่งมาทางเขา
แสงไฟสลัวจากหลอดเก่า ๆ พอจะทำให้เขามองเห็นใบหน้าของเธออย่างเลือนราง แต่กระนั้นหัวใจกลับจำได้ชัดเจนว่าคนตรงหน้าคือใคร พลันรายละเอียดอื่น ๆ ปรากฏในห้วงความทรงจำ
ดวงตาสีเขียวอมเทาอันแสนหม่นหมอง เรือนผมยาวสีน้ำตาลอ่อนมัดหางม้าพริ้วไสว คนที่เขาเคยพบเจอเมื่อหกเดือนก่อนหน้านั้น
ผู้หญิงราวกับรักแรกที่ติดอยู่ในใจเรื่อยมา เวลานี้ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขาอีกครั้ง
“เฮ้ย!!!” ชายฉกรรจ์ตะโกนไล่หลังเธอด้วยน้ำเสียงเหี้ยมโหดจนเขาเองรู้สึกถึงอันตรายด้วยเช่นกัน
นลินมองซ้ายขวาแล้วรีบหักมุมเลี้ยวไปในตรอกแห่งหนึ่งก่อนจะถึงจุดที่นราวิชญ์ยืนอยู่ สีหน้าหวาดกลัวเพราะคนเหล่านั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
พวกนั้นแยกย้ายกันเป็นสองฝ่าย กลุ่มหนึ่งตาม ส่วนอีกกลุ่มล่วงหน้าไปดักอีกทาง
นราวิชญ์ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เพราะไม่อยากคลาดจากเธอคนนั้นอีกครั้งจึงเร่งฝีเท้าตามโดยไม่รีรอ
“หายไปไหนแล้ว” เขากระหืดหอบไม่เห็นแม้แต่วี่แววของใครสักคน หนทางรอบตัวเงียบงันจนได้ยินแต่เพียงเสียงลมหายใจของตัวเอง
ในใจคิดว่าพลาดอีกแล้ว ครั้งนี้ปล่อยให้เธอหลุดมือไปอีกแล้วอยู่ซ้ำ ๆ อารมณ์พลันเศร้าหมองลงในทันใดจึงเดินคอตกไปตามทาง เอ้อระเหยอยู่พักหนึ่งเผื่อจะมีโอกาสอีกสักครั้ง
จู่ ๆ หูสองข้างได้ยินเสียงกุกกักจากทางด้านหลังจึงรีบหันขวับไปมอง พลันได้เห็นว่ามีเงาร่างบางจากที่ไกล ๆ กำลังวิ่งโซซัดโซเซมุ่งไปข้างหน้า
เขาไม่รู้หรอกว่าใช่เธอคนที่เขาตามหาอยู่หรือเปล่า แต่เพราะใจสั่งให้วิ่งจึงทำตามโดยไม่รอช้า พลันได้เห็นว่าเธอหยุดยืนตรงรั้วขอบสะพาน ทำท่าราวกับจะปีนขึ้นไป
ไม่นะ คงไม่ใช่หรอกมั้ง นราวิชญ์คิดในใจ
ภาพเช่นนี้ย้ำเตือนให้เขานึกถึงเรื่องราวในอดีตอันแสนเจ็บปวดของตัวเองจึงตะโกนห้ามคนตรงหน้าไม่รู้ตัว
“อย่านะ!!!” เสียงของเขาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา นลินไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว เธอเหนื่อยกับชีวิตที่ผ่านมามากเกินกว่าจะทนรับอะไรได้อีก การวิ่งหนีกลุ่มคนเมื่อครู่ก็เหมือนกัน คิดแต่เพียงว่าอย่างน้อยขอเลือกวิธีตายให้ตัวเองเสียหน่อยก็ยังดี
“อย่าทำแบบนั้นเลยนะ” เขายังคงตะโกนไม่หยุดระหว่างที่วิ่งเข้ามาหาเธอ
ขาข้างซ้ายของนลินก้าวข้ามรั้วขั้นบนสุดของสะพาน ไม่ทันได้คิดเลยว่าจะมีมือของใครบางคนโอบรั้งตัวเธอเอาไว้
“ปล่อย!!!” นลินตกใจร้องลั่นคิดว่าคนพวกนั้นตามเธอได้ทัน “ปล่อยนะ” พลางดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นแต่ไม่อาจสู้แรงของเขาได้
“อย่าฆ่าตัวตายนะ” เขาโพล่งออกมา “อย่าทำแบบนี้เลย”
“...” นลินไม่รู้ว่าทำไมคนตรงหน้าพูดอะไรแบบนั้น
“ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร มาคุยกันก่อนนะ” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนถึงขนาดนั้นแต่นลินไม่อาจไว้ใจได้เลยว่าอีกฝ่ายทำไปเพราะอะไร
เธอรู้แต่เพียงว่าไม่มีใครหวังดีกับเธอจริง ๆ และทุกคนเสแสร้งแกล้งสงสาร แสดงท่าทีห่วงใยนั่นเพราะต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน
รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นมา ถามคนแปลกหน้าที่รั้งไม่ยอมปล่อย “นายต้องการอะไรจากฉันล่ะ ฉันไม่มีเงินหรอกนะ ส่วนร่างกายนี้ อย่าหวังว่าจะได้แตะต้อง” น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวราวกับตัดสินใจได้แล้วพูดขึ้นพลางถอนหายใจครั้งสุดท้าย
--------
นิยายสั้นแนวโรแมนติกดราม่า ลงทุกสองวันจนจบนะคะ
สิบปีก่อนภาพของครอบครัวอันแสนอบอุ่นไม่เคยมีอยู่ในความทรงจำของนลินเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้เธอจะได้ยินจารวี ผู้เป็นแม่พร่ำบอกว่าเธอเกิดมาจากความรักของพวกเขาแต่นลินมักจะสงสัยอยู่เสมอ คนที่เรียกว่าพ่อนั่นน่ะเคยสนใจใยดีครอบครัวของตัวเองบ้างหรือไม่ตั้งแต่จำความได้ นลินอาศัยอยู่กับแม่เพียงแค่สองคนในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดสด ทุก ๆ เช้าแม่จะออกไปทำงานในร้านดอกไม้ ส่วนตอนเย็นมักจะไสรถเข็นไปตั้งร้านขายน้ำเต้าหู้ ทำงานทุกอย่างไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยเพราะต้องการเลี้ยงดูลูกสาวเพียงคนเดียวให้กินอิ่ม นอนหลับและเก็บเงินไว้เป็นค่าเทอมเพื่อที่นลินจะได้มีโอกาสเรียนเหมือนอย่างลูกคนอื่น ๆชีวิตแม่ลูกควรจะไปได้ดีแท้ ๆ แต่วันดีคืนดีพ่อที่หายไปหลายเดือนก็หวนกลับมาเกาะอาศัยผู้หญิงตัวเล็กกินไปวัน ๆทว่า ความเลวร้ายไม่ได้มีแค่เท่านั้น ช่วงกลางดึกของทุกคืน เธอมักจะได้ย
จารวีและนลินอยู่อย่างไร้ญาติขาดมิตรเพราะโดนตัดขาดจากพฤติกรรมของธาวันที่ไปกู้หนี้ยืมสินหลอกพวกเขาหลายสิ่งหลายอย่างด้วยภาพลักษณ์น่าเชื่อถือจนไม่มีใครอยากยื่นมือมาช่วยสองแม่ลูกที่ไม่ได้รู้เรื่องนั้นด้วยเลยแม้แต่น้อยเมื่อร่างกายเจ็บป่วยมากขึ้น จารวีจึงไม่อาจทำงานหามรุ่งหามค่ำได้อีกต่อไป แค่ประคองสติตัวเองให้คงอยู่ได้ก็นับว่าเก่งมากแล้วคนเป็นแม่ล้มป่วยขนาดนี้ นลินจึงลาออกจากโรงเรียน ทำงานรับจ้างจิปาถะเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวและใช้เวลาที่ว่างดูแลแม่เพียงคนเดียวของเธอแต่เพราะคนเป็นพ่อที่หายหัวไปหลายเดือนสร้างหนี้ไม่รู้จักหยุด ทำให้เงินเหล่านั้นถูกเจ้าหนี้ริบไปจนเกือบหมดเหลือเพียงเศษเงินที่ไม่อาจทำอะไรได้มากแม้จะได้รักษาตัวในโรงพยาบาลรัฐแต่ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นก็มีไม่น้อย นลินจึงแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากญาติ ๆ หวังว่าอย่างน้อยจะมีเงินที่สามารถซื้อของกินที่แม่ชอบมาให้ทานได้บ้าง แต่ไม่มีใครเลยสักคนหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้
ชายคนนั้นชื่อว่าธนาอายุราวยี่สิบสี่ปีเหมือนเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ คนในหน่วยงานแนะนำให้เขาคอยดูแลเคสของนลินเพราะนิสัยเป็นมิตร สุภาพและสามารถรับมือกับสถานการณ์กดดันได้ดีในระดับหนึ่ง คงจะเป็นประโยชน์แก่นลินบ้างแรกเริ่มธนาค่อย ๆ ให้ความช่วยเหลือตามระเบียบแบบแผนไปทีละอย่าง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็ได้ผลดีเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความร่วมมือทำให้พวกนักเลงไม่กล้าคิดทำอะไรบุ่มบ่ามจนเวลาผ่านไปเกือบสามเดือน นลินรู้สึกว่าสนิทสนมกับเขาและเจ้าหน้าที่ในหน่วยมากขึ้น พลันเกิดความไว้ใจคนอื่นขึ้นมาอีกครั้งธนาชวนเธอไปเลือกซื้อของมาทำกับข้าวให้จารวีเพราะเห็นว่าช่วงนี้แม่ของเด็กสาวกินอะไรไม่ค่อยได้“คุณไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะคะ แค่นี้หนูก็เกรงใจจะแย่แล้ว” นลินเอ่ยปากบอกคนตรงหน้า “ใส่ผักอันนี้ด้
สามชั่วโมงผ่านไปนลินจนตรอกอยู่ทางตัน ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะปีนกำแพงสูงหนีเพราะเศร้ากับเรื่องของแม่จนกินข้าวไม่ลงมาหลายวัน เธอถอยหลังติดกำแพง ด้านหน้าเป็นพวกชายร่างใหญ่ที่กรูกันเข้ามาหา“แก มานี่มา” เขากวักมือเรียกนลินให้ไปหา “ฉันเหนื่อยแล้วนะ รีบมาหาฉันดี ๆ เร็วเข้า”หากแต่นลินไม่ขยับเก็บแรงเอาไว้อย่างน้อยถ้าไม่กระโดดข้ามกำแพงก็หาทางวิ่งทะลุวงล้อมของคนพวกนั้นไป ที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรมที่ทำมา“หูหนวกหรือไง ฉันบอกให้รีบมา” เขาตะโกนลั่น ทำท่าทางข่มขู่ทันใดนั้น ธาวันก็มายืนอยู่ตรงนั้นด้วย สีหน้าเยาะเย้ยที่เห็นว่านลินไม่อาจหนีไปไหนได้ โพล่งออกมาว่า “ไปทำงานที่ร้านเหล้าเถอะน่า ไม่มีวิธีไหนใช้หนี้หมดเร็วได้เท่านี้อีกแล้ว แถมแกยังจะมีเงินเหลือไว้เรียนต่อด้วยนี่&rdq
ครั้นสั่งลูกน้องตัวเองเรียบร้อยแล้วเขาหันหน้ามาหานลินมองด้วยสายตาหื่นกระหายแล้วเชยคางคนตรงหน้า“ทีนี้ก็ทำอย่างที่บอกฉันสักทีสิ” เสี่ยภพแสยะยิ้มพลางเลียริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะจับมือของนลินมาวางไว้เหนือเข็มขัด “เริ่มจากถอดตรงนี้ออกแล้วค่อย ๆ ลูบให้ฉันชื่นใจสักหน่อย”นลินหน้าชาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจสักนิด ลึก ๆ ในใจโกรธแค้นที่พ่อซึ่งไม่เคยทำหน้าที่คิดจะขายลูกสาว“เสี่ยขา ดื่มเหล้าก่อนดีไหมคะ” เธอลุกขึ้นยืนจะเดินไปเตรียมเครื่องดื่มมาให้แต่ถูกคว้ามือเอาไว้ก่อน จึงโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายยอมตกลง “ผู้จัดการร้านบอกว่าเหล้าตัวนี้ดีกรีแรง กินแล้วกระชุ่มกระชวย เสี่ยไม่อยากลองดูเหรอคะ เวลาทำเรื่องอย่างนั้นอาจจะสนุกขึ้นก็ได้”
เขาไม่เคยคิดเลยว่าการอยากทำความรู้จักใครสักคนจะทำให้ตัวเองกลายเป็นแบบนี้ อยู่ดี ๆ ก็ไม่กล้าขึ้นมาทั้งที่เคยมั่นใจมาตลอดว่าแค่เอ่ยปากนิดเดียว ไม่ว่าสาวที่ไหนก็ต้องยินดีตอบตกลงไปแล้วครั้นตัดสินใจว่าจะลองทำอย่างนั้นจึงเดินดุ่มเข้าไปหาด้วยสีหน้าสบาย ๆ ตอนที่นลินออกมาพักข้างนอกร้าน“เอ่อ... คือ...” สีหน้าเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกเวลาที่ดวงตาสีเขียวอมเทาจ้องมา “คือว่า...”“...” นลินมองคนแปลกหน้า ไม่ใส่ใจมากนักเพราะไม่อยากตกหลุมพรางของใครอีกแล้ว“คือว่า...” หนุ่มหล่อที่มักถูกลงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเป็นคาสโนว่ายังคงอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก“มาสมัครงานเหรอ” นลินเป็นฝ่ายถามเพราะเห็นว่าคนตร
วันหนึ่งในฤดูหนาวนราวิชญ์อายุเพียงแปดขวบตอนที่ได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ทุกครั้งมักจะเห็นแม่ร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ อยากเข้าไปปลอบใจเธอแต่ไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรในตอนนั้นไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่สองคนมีเรื่องอะไรนักหนาถึงขนาดต้องทะเลาะกันแทบบ้านแตกครั้นจะแอบฟังต้นตอสาเหตุปัญหาครั้งใด เขาและน้องสาวที่อายุห่างกันสี่ปีก็มักจะถูกแม่บ้านพาออกไปเล่นข้างนอกเสมอ รู้ตัวดีว่าความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ไม่ลงรอยกันมาตั้งนานแล้ว แต่ถึงอย่างไร เขายังคงหวังอยากให้คนเป็นพ่อช่วยทะนุถนอมหัวใจของแม่ตัวเองบ้างเขาเพิ่งจะมารู้ตอนที่โตแล้วนี่เองว่าพ่อมักจะอ้างเรื่องงานไม่กลับบ้านบ่อยครั้งเพราะหลีกเลี่ยงการทะเลาะกับแม่ แต่แม้จะทำแบบนั้นแล้วสถานการณ์กลับไม่ดีขึ้นเลยเพราะวันหนึ่งเขาเห็นแม่เริ่มทำร้ายตัวเองด้วยการกรีดข้อมือและบท
“เฮ้ย ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัวก็ถอยไป”หนึ่งในกลุ่มตะโกนบอกนราวิชญ์แต่เจ้าตัวไม่ยอมถอยตามคำสั่ง แขนข้างหนึ่งยังคงโอบกอดนลินเอาไว้เพราะกลัวเธอจะร่วงลงไปในแม่น้ำข้างล่าง“ใครจะอยากเจ็บตัว พวกแกอยากได้เงินเหรอ ฉันมีเงินเยอะนะ” เขาตะโกนตอบมั่นใจว่าถ้าคนเหล่านี้เป็นเจ้าหนี้ของนลินคงจะยอมจบลงที่การเจรจาอย่างง่ายดายแต่กระนั้น พวกเขาไม่ใช่ลูกน้องเจ้าหนี้ธรรมดาแต่เป็นลูกน้องของคนที่โดนนลินเฉือนส่วนสำคัญของผู้ชายไปต่างหาก เรื่องราวจึงไม่อาจจบลงที่จ่ายเงินแล้วแยกย้าย“ฉันให้เวลาแกสามวิ ถ้าไม่ขยับอย่าหาว่าไม่เตือน” สีหน้าของนักเลงไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย “สาม สอง หนึ่ง”นราวิชญ์ไม่ขยับเตรียมพร้อมเผชิญหน้าทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง ก่อนจะหันมาหานลิน &ldq
ไม่กี่วันต่อมากมลา ผู้เป็นป้าของนราวิชญ์ทราบข่าวว่าภิญโญรับเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยงที่บ้านหลังเล็กจึงรีบบึ่งมาดูหน้าตาของลูกสาวคนที่ทำร้ายหัวใจของน้องสาวตัวเอง“คุณป้า” นราวิชญ์เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพราะคนตรงหน้าคอยเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็กจนตัวเขาเองนับถือเหมือนเป็นแม่คนที่สอง“พ่อหลานคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้” เธอฉุนเฉียวไม่อยากพูดเรื่องที่ทำให้โมโหในเวลานี้ แล้วมองหน้าหลานชาย “วิชญ์รู้ไม่ใช่เหรอว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของใคร แต่ทำไมยังนิ่งอยู่ได้”“คุณป้ารู้ไหมครับว่าพ่อยกหุ้นสองเปอร์เซ็นต์ให้นลิน” เขาเอ่ยถามเรื่องสำคัญที่เพิ่งรู้ไม่นานมานี้หุ้นสองเปอร์เซ็นต์ของภิญโญคือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่สามารถพลิกหน้ากลุ่มกรรมการบริหารของบริ
ใครจะรู้ว่าเหตุการณ์ชุลมุนในวันนั้นจะทำให้ชีวิตของนลินพลิกผันราวพลิกฝ่ามือ ทั้ง ๆ ที่เธอยอมแพ้ต่อโชคชะตาอาภัพของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ปล่อยมือทิ้งตัวลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่างเท่านั้นหากแต่คนบางคนกลับฟูมฟายไม่ยอมปล่อยเธอให้ห่างกาย แม้กระทั่งตอนนี้ เธอได้พบหน้ากับรองประธานที่เป็นคนสั่งให้ตามหาตัวเธอ“พ่อคิดจะทำอะไรนลิน” นราวิชญ์ถามด้วยเสียงเกรี้ยวกราด มือข้างซ้ายจับมือหญิงสาวเอาไว้ ทำให้คนเป็นพ่อตามเรื่องราวไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ภิญโญเดินเข้ามาใกล้นลินเป็นครั้งแรก สบตากับเจ้าของดวงตาสีเขียวอมเทาพลันนึกถึงคนรักเก่าที่เลิกรากันไปเมื่อหลายปีก่อน พลางเอ่ยปากกับคนตรงหน้าโดยไม่สนใจเจ้าลูกชายตัวแสบ “เสียใจด้วยนะที่แม่ของเธอต้องจากไปแบบนั้น ฉันควรจะตามหาพวกเธอให้เจอเร็วกว่านี้แท้ ๆ” 
นับตั้งแต่วันที่นราวิชญ์ได้พูดคุยกับภิญโญ ท่าทีของเขาที่มีต่อนลินจึงเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกตเพราะคิดว่าคนเป็นพี่คงกำลังยุ่งกับงานที่บริษัทปัญหาภายในยังคงยืดเยื้อเพราะกรรมการบริหารแบ่งออกเป็นสองฝ่าย หญิงสาวจึงไม่ได้เห็นหน้านราวิชญ์อยู่พักใหญ่แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงหวังว่าเขาจะตอบข้อความที่เธอส่งไปหาบ้างอย่างน้อยวันละครั้งก็ยังดีหากไม่ว่างจริง ๆหลายวันผ่านไปข้อความยังคงไม่ขึ้นแสดงว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วราวกับว่าเขาไม่ได้แตะต้องโทรศัพท์เลยสักนิด นลินจึงได้แต่จ้องมองหน้าจอรออยู่อย่างนั้นเพราะความคิดถึงทันใดนั้น เสียงรถยนต์วิ่งเข้ามาบ้านเล็กในรอบหนึ่งอาทิตย์ นลินใจเต้นตึกตักหันไปมองตามเสียงครั้นได้เห็นหน้าของเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปกอด พลางถามไถ่ด้วยความห่วงใยเหมือนอย่างเคย “งานยุ่งมากเลยเหรอคะ”“อืม” เจ้าตัวพยักหน้า สีหน้าเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด เขาออดอ้อนหญิงสาวด้วยการหอมแก้มแล้วจูบอย่างดูดดื่มโดยไม่สนสายตาใคร กระซิบแผ่วเบา “คิดถึง”แม้ว่าจะเหนื่อยจากการโหมงานมานานแต่พอเห็นสีหน้าสดใสของนลินแล้วกลับรู้สึกในใจว่า มีความสุขมากเลยสินะครั้นนึกถึงภาพสุดท้ายที่ได้เห็นแม่ก
“เฮ้ย ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัวก็ถอยไป”หนึ่งในกลุ่มตะโกนบอกนราวิชญ์แต่เจ้าตัวไม่ยอมถอยตามคำสั่ง แขนข้างหนึ่งยังคงโอบกอดนลินเอาไว้เพราะกลัวเธอจะร่วงลงไปในแม่น้ำข้างล่าง“ใครจะอยากเจ็บตัว พวกแกอยากได้เงินเหรอ ฉันมีเงินเยอะนะ” เขาตะโกนตอบมั่นใจว่าถ้าคนเหล่านี้เป็นเจ้าหนี้ของนลินคงจะยอมจบลงที่การเจรจาอย่างง่ายดายแต่กระนั้น พวกเขาไม่ใช่ลูกน้องเจ้าหนี้ธรรมดาแต่เป็นลูกน้องของคนที่โดนนลินเฉือนส่วนสำคัญของผู้ชายไปต่างหาก เรื่องราวจึงไม่อาจจบลงที่จ่ายเงินแล้วแยกย้าย“ฉันให้เวลาแกสามวิ ถ้าไม่ขยับอย่าหาว่าไม่เตือน” สีหน้าของนักเลงไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย “สาม สอง หนึ่ง”นราวิชญ์ไม่ขยับเตรียมพร้อมเผชิญหน้าทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง ก่อนจะหันมาหานลิน &ldq
วันหนึ่งในฤดูหนาวนราวิชญ์อายุเพียงแปดขวบตอนที่ได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ทุกครั้งมักจะเห็นแม่ร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ อยากเข้าไปปลอบใจเธอแต่ไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรในตอนนั้นไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่สองคนมีเรื่องอะไรนักหนาถึงขนาดต้องทะเลาะกันแทบบ้านแตกครั้นจะแอบฟังต้นตอสาเหตุปัญหาครั้งใด เขาและน้องสาวที่อายุห่างกันสี่ปีก็มักจะถูกแม่บ้านพาออกไปเล่นข้างนอกเสมอ รู้ตัวดีว่าความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ไม่ลงรอยกันมาตั้งนานแล้ว แต่ถึงอย่างไร เขายังคงหวังอยากให้คนเป็นพ่อช่วยทะนุถนอมหัวใจของแม่ตัวเองบ้างเขาเพิ่งจะมารู้ตอนที่โตแล้วนี่เองว่าพ่อมักจะอ้างเรื่องงานไม่กลับบ้านบ่อยครั้งเพราะหลีกเลี่ยงการทะเลาะกับแม่ แต่แม้จะทำแบบนั้นแล้วสถานการณ์กลับไม่ดีขึ้นเลยเพราะวันหนึ่งเขาเห็นแม่เริ่มทำร้ายตัวเองด้วยการกรีดข้อมือและบท
เขาไม่เคยคิดเลยว่าการอยากทำความรู้จักใครสักคนจะทำให้ตัวเองกลายเป็นแบบนี้ อยู่ดี ๆ ก็ไม่กล้าขึ้นมาทั้งที่เคยมั่นใจมาตลอดว่าแค่เอ่ยปากนิดเดียว ไม่ว่าสาวที่ไหนก็ต้องยินดีตอบตกลงไปแล้วครั้นตัดสินใจว่าจะลองทำอย่างนั้นจึงเดินดุ่มเข้าไปหาด้วยสีหน้าสบาย ๆ ตอนที่นลินออกมาพักข้างนอกร้าน“เอ่อ... คือ...” สีหน้าเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกเวลาที่ดวงตาสีเขียวอมเทาจ้องมา “คือว่า...”“...” นลินมองคนแปลกหน้า ไม่ใส่ใจมากนักเพราะไม่อยากตกหลุมพรางของใครอีกแล้ว“คือว่า...” หนุ่มหล่อที่มักถูกลงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเป็นคาสโนว่ายังคงอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก“มาสมัครงานเหรอ” นลินเป็นฝ่ายถามเพราะเห็นว่าคนตร
ครั้นสั่งลูกน้องตัวเองเรียบร้อยแล้วเขาหันหน้ามาหานลินมองด้วยสายตาหื่นกระหายแล้วเชยคางคนตรงหน้า“ทีนี้ก็ทำอย่างที่บอกฉันสักทีสิ” เสี่ยภพแสยะยิ้มพลางเลียริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะจับมือของนลินมาวางไว้เหนือเข็มขัด “เริ่มจากถอดตรงนี้ออกแล้วค่อย ๆ ลูบให้ฉันชื่นใจสักหน่อย”นลินหน้าชาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจสักนิด ลึก ๆ ในใจโกรธแค้นที่พ่อซึ่งไม่เคยทำหน้าที่คิดจะขายลูกสาว“เสี่ยขา ดื่มเหล้าก่อนดีไหมคะ” เธอลุกขึ้นยืนจะเดินไปเตรียมเครื่องดื่มมาให้แต่ถูกคว้ามือเอาไว้ก่อน จึงโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายยอมตกลง “ผู้จัดการร้านบอกว่าเหล้าตัวนี้ดีกรีแรง กินแล้วกระชุ่มกระชวย เสี่ยไม่อยากลองดูเหรอคะ เวลาทำเรื่องอย่างนั้นอาจจะสนุกขึ้นก็ได้”
สามชั่วโมงผ่านไปนลินจนตรอกอยู่ทางตัน ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะปีนกำแพงสูงหนีเพราะเศร้ากับเรื่องของแม่จนกินข้าวไม่ลงมาหลายวัน เธอถอยหลังติดกำแพง ด้านหน้าเป็นพวกชายร่างใหญ่ที่กรูกันเข้ามาหา“แก มานี่มา” เขากวักมือเรียกนลินให้ไปหา “ฉันเหนื่อยแล้วนะ รีบมาหาฉันดี ๆ เร็วเข้า”หากแต่นลินไม่ขยับเก็บแรงเอาไว้อย่างน้อยถ้าไม่กระโดดข้ามกำแพงก็หาทางวิ่งทะลุวงล้อมของคนพวกนั้นไป ที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรมที่ทำมา“หูหนวกหรือไง ฉันบอกให้รีบมา” เขาตะโกนลั่น ทำท่าทางข่มขู่ทันใดนั้น ธาวันก็มายืนอยู่ตรงนั้นด้วย สีหน้าเยาะเย้ยที่เห็นว่านลินไม่อาจหนีไปไหนได้ โพล่งออกมาว่า “ไปทำงานที่ร้านเหล้าเถอะน่า ไม่มีวิธีไหนใช้หนี้หมดเร็วได้เท่านี้อีกแล้ว แถมแกยังจะมีเงินเหลือไว้เรียนต่อด้วยนี่&rdq
ชายคนนั้นชื่อว่าธนาอายุราวยี่สิบสี่ปีเหมือนเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ คนในหน่วยงานแนะนำให้เขาคอยดูแลเคสของนลินเพราะนิสัยเป็นมิตร สุภาพและสามารถรับมือกับสถานการณ์กดดันได้ดีในระดับหนึ่ง คงจะเป็นประโยชน์แก่นลินบ้างแรกเริ่มธนาค่อย ๆ ให้ความช่วยเหลือตามระเบียบแบบแผนไปทีละอย่าง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็ได้ผลดีเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความร่วมมือทำให้พวกนักเลงไม่กล้าคิดทำอะไรบุ่มบ่ามจนเวลาผ่านไปเกือบสามเดือน นลินรู้สึกว่าสนิทสนมกับเขาและเจ้าหน้าที่ในหน่วยมากขึ้น พลันเกิดความไว้ใจคนอื่นขึ้นมาอีกครั้งธนาชวนเธอไปเลือกซื้อของมาทำกับข้าวให้จารวีเพราะเห็นว่าช่วงนี้แม่ของเด็กสาวกินอะไรไม่ค่อยได้“คุณไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะคะ แค่นี้หนูก็เกรงใจจะแย่แล้ว” นลินเอ่ยปากบอกคนตรงหน้า “ใส่ผักอันนี้ด้