จารวีและนลินอยู่อย่างไร้ญาติขาดมิตรเพราะโดนตัดขาดจากพฤติกรรมของธาวันที่ไปกู้หนี้ยืมสินหลอกพวกเขาหลายสิ่งหลายอย่างด้วยภาพลักษณ์น่าเชื่อถือจนไม่มีใครอยากยื่นมือมาช่วยสองแม่ลูกที่ไม่ได้รู้เรื่องนั้นด้วยเลยแม้แต่น้อย
เมื่อร่างกายเจ็บป่วยมากขึ้น จารวีจึงไม่อาจทำงานหามรุ่งหามค่ำได้อีกต่อไป แค่ประคองสติตัวเองให้คงอยู่ได้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว
คนเป็นแม่ล้มป่วยขนาดนี้ นลินจึงลาออกจากโรงเรียน ทำงานรับจ้างจิปาถะเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวและใช้เวลาที่ว่างดูแลแม่เพียงคนเดียวของเธอ
แต่เพราะคนเป็นพ่อที่หายหัวไปหลายเดือนสร้างหนี้ไม่รู้จักหยุด ทำให้เงินเหล่านั้นถูกเจ้าหนี้ริบไปจนเกือบหมดเหลือเพียงเศษเงินที่ไม่อาจทำอะไรได้มาก
แม้จะได้รักษาตัวในโรงพยาบาลรัฐแต่ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นก็มีไม่น้อย นลินจึงแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากญาติ ๆ หวังว่าอย่างน้อยจะมีเงินที่สามารถซื้อของกินที่แม่ชอบมาให้ทานได้บ้าง แต่ไม่มีใครเลยสักคนหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้
ดังนั้นแล้ว นลินจึงหางานทำเพิ่มอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยช่วงไหนที่พอมีเวลาให้พักผ่อนบ้างก็จะมาเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล
บางงานไม่อาจทำได้นานเพราะเจ้าหนี้ของพ่อรู้ตัวจึงทำให้นลินต้องเปลี่ยนงานอยู่บ่อย ๆ ปล่อยบ้านทิ้งร้างแล้วอาศัยนอนที่ทำงานแทนเพื่อหลบพวกเจ้าหนี้ที่ตามติดเป็นปลิง
วันดีคืนดี เด็กสาวกำลังถูพื้นทำความสะอาดร้านปิ้งย่าง แต่เมื่อเห็นกลุ่มคนหน้าตาไม่น่าไว้ใจเข้ามาใกล้ เธอจึงเก็บตัวอยู่แต่หลังร้านไม่ยอมออกมาราวกับมีลางสังหรณ์
จู่ ๆ คนเหล่านั้นก็บุกเข้ามาในห้องครัวแล้วข่มขู่รีดเอาเงินดอกที่คนเป็นพ่อต้องจ่ายกับนลินด้วยเสียงดังลั่นไปจนถึงนอกร้าน ทำให้ลูกค้าที่มาทานอาหารกับครอบครัวพากันรีบคิดเงินหนีออกไปเพราะกลัวจะเกิดเรื่อง
“ดอกวันละสามพัน ขาดอีกห้าร้อย” คนตัวใหญ่จ้องถมึงทึงไม่วาง “ฉันบอกไม่ใช่เหรอว่าแกต้องจ่ายเท่าไหร่” พลางคิดจะค้นตัวนลิน
“ก็บอกแล้วไงว่ามีแค่นี้” เด็กสาวโพล่งออกมา กลั้นน้ำตาเอาไว้แล้วมองรอบตัว “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะหามาจ่ายเพิ่ม”
“พรุ่งนี้เหรอ ฉันรู้นะว่าแกคิดจะหนี” เขาไม่อยากผลัดวันอีกต่อไป “เสี่ยบอกว่ายังไงวันนี้ก็ต้องจ่าย ถ้าไม่จ่ายด้วยเงินแกก็ต้องจ่ายด้วยอย่างอื่น”
“...” ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันดังลั่นอยู่หลังร้านจนเจ้าของเดินมาเพื่อห้ามปราม
“เฮ้อ ติดอยู่เท่าไหร่” เขาเอ่ยปากถามพวกนักเลงแล้วหยิบเงินในลิ้นชักออกมาส่งให้ คนพวกนั้นจึงยอมจากไปแต่โดยดี
หลังจากเหตุการณ์สงบลงแล้ว เจ้าของร้านจึงเรียกนลินไปพบด้วยสีหน้าเคร่งเครียดคิดว่าจะทำอย่างไรให้นลินเห็นใจ “ตั้งแต่พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ”
“แต่ว่า... สิ้นเดือนนี้หนูต้องจ่ายค่ายาบางตัวของแม่” เด็กสาวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้คิดว่าไม่ยุติธรรมเลยที่เธอต้องมารับหนี้ทั้งหมดของพ่อ
“ฉันจะจ่ายเงินก้อนให้ เอาไว้ใช้ช่วงหางานใหม่ ขืนปล่อยให้เธอทำงานต่อไปแล้วพวกเจ้าหนี้มาทวงเรื่อย ๆ ร้านฉันจะไม่เจ๊งไปก่อนเหรอ ฉันยังมีลูกน้องที่ต้องรับผิดชอบอีกหลายคนนะ” เขาอธิบายเหตุผลที่ไม่อาจรับนลินไว้ทำงานได้อีกต่อไป
“...” เธอพูดไม่ออก เวลานี้จึงได้แต่นิ่งเงียบคิดหาหนทางใหม่ ถึงอย่างไรก็เปลี่ยนงานบ่อย ๆ อยู่แล้ว ทางที่ทำได้เวลานี้คือรับเงินค่าจ้างแล้วหางานใหม่ก็คงไม่ยากเกินไป
แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว ทุกอย่างไม่ง่ายเลย อุตส่าห์ได้งานใหม่มาเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังให้ค่าจ้างเยอะเพราะความสามารถของเธอแต่ก็ยังไม่วายเจอเจ้าหนี้เจ้าเก่าตามตัวได้อยู่ดี
นลินทิ้งช่อดอกไม้ที่กำลังจัดอยู่อย่างสวยงามวิ่งออกทางหน้าต่างไม่คิดชีวิต หลบหนีไปตามซอกซอยที่เคยวิ่งผ่านมาหลายครั้งราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
“โอ๊ะ” ชายวัยฉกรรจ์โผล่หน้ามาพอดีเมื่อเห็นลูกหนี้ตัวน้อยกำลังวิ่งเหนื่อยหอบ “วันนี้ไม่ต้องตามหาให้เหนื่อยเลยนะเนี่ย” เขาพูดสบายอารมณ์แล้วจับแขนนลินเอาไว้
เจ้าตัวถอนหายใจ ทั้ง ๆ ที่หนีจากอีกเจ้าหนึ่งได้แต่มาเจออีกเจ้าหนึ่งก็เล่นทำเอาหมดแรงแต่เพราะไม่ได้เห็นหน้าแม่มาหลายวันแล้วเพราะมัวแต่หนี นลินจึงตั้งใจว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องไปหาแม่ให้ได้จึงหยิบมีดพับเล่มเล็กที่พกติดตัวเอาไว้ตวัดเข้าท่อนแขนของคนที่จับตัวเธอ
ชายร่างใหญ่ไม่คิดว่านลินจะกล้าทำร้ายเขารีบปล่อยมือออกทันที ช่วงจังหวะนั้น เด็กสาวจึงถือโอกาสใส่เกียร์เผ่นไปยังที่ชุมชน ทำตัวกลมกลืนไปกับคนที่นั่นแล้วหลบออกมาอีกครั้ง
ครั้นคิดว่าวันนี้รอดแล้วจึงทรุดตัวลงกับพื้น นั่งสูดหายใจให้เต็มปอด ท่าทางอิดโรยที่แสดงออกมาทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินผ่านมาเข้าไปช่วยเหลือ
“เธอเป็นอะไรมากหรือเปล่า” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน พยายามจะช่วยพยุงตัวแต่พอเห็นว่านลินสะบัดตัวหนีจึงไม่แตะต้องมากไปกว่านั้น
“ไม่เป็นไรหรอก” เด็กสาวส่ายหน้าลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังให้เขาทันที แต่ชายคนนั้นกลับเดินตามมาแล้วยื่นนามบัตรให้
“ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็บอกมานะ” ท่าทางของเขาดูเป็นมิตรแต่นลินไม่ไว้ใจใครมากนักจึงไม่สนใจแล้วเก็บนามบัตรเข้ากระเป๋าเสื้อก่อนจะวิ่งหนีหายไปจากตรงนั้น
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์กลับมีเหตุให้เจอเขาอีกครั้งตอนที่วิ่งหนีเจ้าหนี้รายใหญ่ แขนข้างซ้ายถูกใครบางคนดึงเข้าไปหลบข้างในตึก
“ปล่อยนะ” เธอตะโกนแต่โดนเอามือปิดปากไว้
เสียงทุ้มกระซิบ “อย่าเสียงดัง เดี๋ยวคนพวกนั้นจับได้”
ฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาใกล้ทำให้นลินเออออตามน้ำไปก่อน คล้อยหลังชายคนนั้นจึงปล่อยตัวเธอให้เป็นอิสระ
“เจอกันอีกแล้วนะ” เขาถอยหลังหนึ่งก้าวให้เด็กสาวไม่รู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม “ถึงจะไม่นึกว่าต้องมาเจอกันแบบนี้ก็เถอะ”
“ขอบคุณ” เธอกล่าวพลางจะหนีหายไปอีกครั้ง
“ใจคอเธอจะหนีแบบนี้ตลอดเลยเหรอ” เขาพูดนำขึ้นมา “ฉันทำงานอยู่หน่วยที่ให้ความช่วยเหลือเด็กและผู้หญิง ถ้าเธอต้องการให้ช่วยก็ติดต่อเข้ามาได้นะ”
“...”
“อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องเอาแต่วิ่งหนีคนพวกนั้นไง” เขาโน้มน้าวใจคนตรงหน้า “เอาล่ะ หวังว่าครั้งหน้าจะได้เห็นเธอในสภาพที่ดีกว่านี้นะ”
ท่าทางของเขาเหมือนคนที่แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่กลับทิ้งความรู้สึกบางอย่างดึงดูดให้เด็กสาวไม่มีที่พึ่งฉุกคิด “แล้วพวกคุณจัดการเรื่องนักเลงพวกนั้นได้เหรอ”
“ได้สิ” เขาตอบอย่างมั่นใจ “ถ้าเธอไม่ไว้ใจฉัน อย่างน้อยลองติดต่อไปที่เบอร์ส่วนกลางก่อนก็ได้”
“ค่ะ” เธอมองหน้าเขาครู่หนึ่ง คิดอะไรในหัวมากมายเพราะท่าทางภายนอกของเขาดูไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่คิด “เอาไว้ถ้าสงสัยจะติดต่อไปนะคะ”
จากนั้นไม่นาน นลินก็ติดต่อไปที่หน่วยงานนี้จริง ๆ เพราะพวกเจ้าหนี้ตามตัวเธอให้วุ่นจนไม่เป็นอันทำงาน ทั้งยังทำให้เธอถูกไล่ออกบ่อยครั้งเพราะเจ้าของร้านไม่อยากมีปัญหา เด็กสาวคิดว่าถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปอาจจะมีปัญหาอื่น ๆ ตามมา
ท่ามกลางความเงียบสงบยามค่ำคืน เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งไล่เด็กสาวไปตามซอกซอยต่าง ๆ ที่เปลี่ยวคนอย่างไม่ลดละ หมายจับตัวเธอตามคำสั่งของผู้เป็นหัวหน้าหลังจากตามหาตัวเธออยู่นานกว่าเกือบหกเดือน ในที่สุดจึงได้พบเบาะแสคนที่กล้าทำร้ายร่างกายหัวหน้าอย่างเจ็บแสบในคืนนั้นได้ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เธอหลุดมือไปได้แน่นอนนลิน เด็กสาวอายุเพียงสิบหกปี วิ่งหนีคนพวกนั้นสุดกำลังเท่าที่จะทำได้ หากแต่ว่าร่างกายของเธอและจิตใจนั้นเหนื่อยล้าจนแทบอยากทิ้งตัวล้มกับพื้น ทั้งยังไม่มีทางรู้ได้เลยว่าชีวิตอันเส็งเคร็งแบบนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใดแม่ผู้เป็นที่รักจากไปด้วยโรคร้าย ส่วนพ่อที่ไม่เคยสนใจใยดี บางครั้งโผล่หน้ามา บางครั้งหนีหายไปเป็นเดือน หลายปี ยังเอาแต่สร้างเรื่องและทิ้งหนี้สินเอาไว้ให้เธอรับผิดชอบมากมาย แม้จะพยายามทำงานแลกเงินมาได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอเพราะหนี้สินที่พ่อก่อนั้นเพิ่มพูนอย่างไม่มีขีดจำกัด ชีวิตประสบแต่ปัญหาจนเธอต้องหนีครั้งแล้วครั้งเล่าใบหน้าของนลินยามนี้ไม่เหลือร่องรอยของความสุขแม้เพียงสักนิด เธอคิดแต่ว่าครั้งนี้จะต้องหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทางข้างหน้าบางทีอาจจะยังมีความหวัง
สิบปีก่อนภาพของครอบครัวอันแสนอบอุ่นไม่เคยมีอยู่ในความทรงจำของนลินเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้เธอจะได้ยินจารวี ผู้เป็นแม่พร่ำบอกว่าเธอเกิดมาจากความรักของพวกเขาแต่นลินมักจะสงสัยอยู่เสมอ คนที่เรียกว่าพ่อนั่นน่ะเคยสนใจใยดีครอบครัวของตัวเองบ้างหรือไม่ตั้งแต่จำความได้ นลินอาศัยอยู่กับแม่เพียงแค่สองคนในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดสด ทุก ๆ เช้าแม่จะออกไปทำงานในร้านดอกไม้ ส่วนตอนเย็นมักจะไสรถเข็นไปตั้งร้านขายน้ำเต้าหู้ ทำงานทุกอย่างไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยเพราะต้องการเลี้ยงดูลูกสาวเพียงคนเดียวให้กินอิ่ม นอนหลับและเก็บเงินไว้เป็นค่าเทอมเพื่อที่นลินจะได้มีโอกาสเรียนเหมือนอย่างลูกคนอื่น ๆชีวิตแม่ลูกควรจะไปได้ดีแท้ ๆ แต่วันดีคืนดีพ่อที่หายไปหลายเดือนก็หวนกลับมาเกาะอาศัยผู้หญิงตัวเล็กกินไปวัน ๆทว่า ความเลวร้ายไม่ได้มีแค่เท่านั้น ช่วงกลางดึกของทุกคืน เธอมักจะได้ย
จารวีและนลินอยู่อย่างไร้ญาติขาดมิตรเพราะโดนตัดขาดจากพฤติกรรมของธาวันที่ไปกู้หนี้ยืมสินหลอกพวกเขาหลายสิ่งหลายอย่างด้วยภาพลักษณ์น่าเชื่อถือจนไม่มีใครอยากยื่นมือมาช่วยสองแม่ลูกที่ไม่ได้รู้เรื่องนั้นด้วยเลยแม้แต่น้อยเมื่อร่างกายเจ็บป่วยมากขึ้น จารวีจึงไม่อาจทำงานหามรุ่งหามค่ำได้อีกต่อไป แค่ประคองสติตัวเองให้คงอยู่ได้ก็นับว่าเก่งมากแล้วคนเป็นแม่ล้มป่วยขนาดนี้ นลินจึงลาออกจากโรงเรียน ทำงานรับจ้างจิปาถะเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวและใช้เวลาที่ว่างดูแลแม่เพียงคนเดียวของเธอแต่เพราะคนเป็นพ่อที่หายหัวไปหลายเดือนสร้างหนี้ไม่รู้จักหยุด ทำให้เงินเหล่านั้นถูกเจ้าหนี้ริบไปจนเกือบหมดเหลือเพียงเศษเงินที่ไม่อาจทำอะไรได้มากแม้จะได้รักษาตัวในโรงพยาบาลรัฐแต่ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นก็มีไม่น้อย นลินจึงแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากญาติ ๆ หวังว่าอย่างน้อยจะมีเงินที่สามารถซื้อของกินที่แม่ชอบมาให้ทานได้บ้าง แต่ไม่มีใครเลยสักคนหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้
สิบปีก่อนภาพของครอบครัวอันแสนอบอุ่นไม่เคยมีอยู่ในความทรงจำของนลินเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้เธอจะได้ยินจารวี ผู้เป็นแม่พร่ำบอกว่าเธอเกิดมาจากความรักของพวกเขาแต่นลินมักจะสงสัยอยู่เสมอ คนที่เรียกว่าพ่อนั่นน่ะเคยสนใจใยดีครอบครัวของตัวเองบ้างหรือไม่ตั้งแต่จำความได้ นลินอาศัยอยู่กับแม่เพียงแค่สองคนในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดสด ทุก ๆ เช้าแม่จะออกไปทำงานในร้านดอกไม้ ส่วนตอนเย็นมักจะไสรถเข็นไปตั้งร้านขายน้ำเต้าหู้ ทำงานทุกอย่างไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยเพราะต้องการเลี้ยงดูลูกสาวเพียงคนเดียวให้กินอิ่ม นอนหลับและเก็บเงินไว้เป็นค่าเทอมเพื่อที่นลินจะได้มีโอกาสเรียนเหมือนอย่างลูกคนอื่น ๆชีวิตแม่ลูกควรจะไปได้ดีแท้ ๆ แต่วันดีคืนดีพ่อที่หายไปหลายเดือนก็หวนกลับมาเกาะอาศัยผู้หญิงตัวเล็กกินไปวัน ๆทว่า ความเลวร้ายไม่ได้มีแค่เท่านั้น ช่วงกลางดึกของทุกคืน เธอมักจะได้ย
ท่ามกลางความเงียบสงบยามค่ำคืน เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งไล่เด็กสาวไปตามซอกซอยต่าง ๆ ที่เปลี่ยวคนอย่างไม่ลดละ หมายจับตัวเธอตามคำสั่งของผู้เป็นหัวหน้าหลังจากตามหาตัวเธออยู่นานกว่าเกือบหกเดือน ในที่สุดจึงได้พบเบาะแสคนที่กล้าทำร้ายร่างกายหัวหน้าอย่างเจ็บแสบในคืนนั้นได้ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เธอหลุดมือไปได้แน่นอนนลิน เด็กสาวอายุเพียงสิบหกปี วิ่งหนีคนพวกนั้นสุดกำลังเท่าที่จะทำได้ หากแต่ว่าร่างกายของเธอและจิตใจนั้นเหนื่อยล้าจนแทบอยากทิ้งตัวล้มกับพื้น ทั้งยังไม่มีทางรู้ได้เลยว่าชีวิตอันเส็งเคร็งแบบนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใดแม่ผู้เป็นที่รักจากไปด้วยโรคร้าย ส่วนพ่อที่ไม่เคยสนใจใยดี บางครั้งโผล่หน้ามา บางครั้งหนีหายไปเป็นเดือน หลายปี ยังเอาแต่สร้างเรื่องและทิ้งหนี้สินเอาไว้ให้เธอรับผิดชอบมากมาย แม้จะพยายามทำงานแลกเงินมาได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอเพราะหนี้สินที่พ่อก่อนั้นเพิ่มพูนอย่างไม่มีขีดจำกัด ชีวิตประสบแต่ปัญหาจนเธอต้องหนีครั้งแล้วครั้งเล่าใบหน้าของนลินยามนี้ไม่เหลือร่องรอยของความสุขแม้เพียงสักนิด เธอคิดแต่ว่าครั้งนี้จะต้องหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทางข้างหน้าบางทีอาจจะยังมีความหวัง