สามชั่วโมงผ่านไป
นลินจนตรอกอยู่ทางตัน ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะปีนกำแพงสูงหนีเพราะเศร้ากับเรื่องของแม่จนกินข้าวไม่ลงมาหลายวัน เธอถอยหลังติดกำแพง ด้านหน้าเป็นพวกชายร่างใหญ่ที่กรูกันเข้ามาหา
“แก มานี่มา” เขากวักมือเรียกนลินให้ไปหา “ฉันเหนื่อยแล้วนะ รีบมาหาฉันดี ๆ เร็วเข้า”
หากแต่นลินไม่ขยับเก็บแรงเอาไว้อย่างน้อยถ้าไม่กระโดดข้ามกำแพงก็หาทางวิ่งทะลุวงล้อมของคนพวกนั้นไป ที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรมที่ทำมา
“หูหนวกหรือไง ฉันบอกให้รีบมา” เขาตะโกนลั่น ทำท่าทางข่มขู่
ทันใดนั้น ธาวันก็มายืนอยู่ตรงนั้นด้วย สีหน้าเยาะเย้ยที่เห็นว่านลินไม่อาจหนีไปไหนได้ โพล่งออกมาว่า “ไปทำงานที่ร้านเหล้าเถอะน่า ไม่มีวิธีไหนใช้หนี้หมดเร็วได้เท่านี้อีกแล้ว แถมแกยังจะมีเงินเหลือไว้เรียนต่อด้วยนี่&rdq
ครั้นสั่งลูกน้องตัวเองเรียบร้อยแล้วเขาหันหน้ามาหานลินมองด้วยสายตาหื่นกระหายแล้วเชยคางคนตรงหน้า“ทีนี้ก็ทำอย่างที่บอกฉันสักทีสิ” เสี่ยภพแสยะยิ้มพลางเลียริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะจับมือของนลินมาวางไว้เหนือเข็มขัด “เริ่มจากถอดตรงนี้ออกแล้วค่อย ๆ ลูบให้ฉันชื่นใจสักหน่อย”นลินหน้าชาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจสักนิด ลึก ๆ ในใจโกรธแค้นที่พ่อซึ่งไม่เคยทำหน้าที่คิดจะขายลูกสาว“เสี่ยขา ดื่มเหล้าก่อนดีไหมคะ” เธอลุกขึ้นยืนจะเดินไปเตรียมเครื่องดื่มมาให้แต่ถูกคว้ามือเอาไว้ก่อน จึงโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายยอมตกลง “ผู้จัดการร้านบอกว่าเหล้าตัวนี้ดีกรีแรง กินแล้วกระชุ่มกระชวย เสี่ยไม่อยากลองดูเหรอคะ เวลาทำเรื่องอย่างนั้นอาจจะสนุกขึ้นก็ได้”
เขาไม่เคยคิดเลยว่าการอยากทำความรู้จักใครสักคนจะทำให้ตัวเองกลายเป็นแบบนี้ อยู่ดี ๆ ก็ไม่กล้าขึ้นมาทั้งที่เคยมั่นใจมาตลอดว่าแค่เอ่ยปากนิดเดียว ไม่ว่าสาวที่ไหนก็ต้องยินดีตอบตกลงไปแล้วครั้นตัดสินใจว่าจะลองทำอย่างนั้นจึงเดินดุ่มเข้าไปหาด้วยสีหน้าสบาย ๆ ตอนที่นลินออกมาพักข้างนอกร้าน“เอ่อ... คือ...” สีหน้าเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกเวลาที่ดวงตาสีเขียวอมเทาจ้องมา “คือว่า...”“...” นลินมองคนแปลกหน้า ไม่ใส่ใจมากนักเพราะไม่อยากตกหลุมพรางของใครอีกแล้ว“คือว่า...” หนุ่มหล่อที่มักถูกลงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเป็นคาสโนว่ายังคงอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก“มาสมัครงานเหรอ” นลินเป็นฝ่ายถามเพราะเห็นว่าคนตร
วันหนึ่งในฤดูหนาวนราวิชญ์อายุเพียงแปดขวบตอนที่ได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ทุกครั้งมักจะเห็นแม่ร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ อยากเข้าไปปลอบใจเธอแต่ไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรในตอนนั้นไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่สองคนมีเรื่องอะไรนักหนาถึงขนาดต้องทะเลาะกันแทบบ้านแตกครั้นจะแอบฟังต้นตอสาเหตุปัญหาครั้งใด เขาและน้องสาวที่อายุห่างกันสี่ปีก็มักจะถูกแม่บ้านพาออกไปเล่นข้างนอกเสมอ รู้ตัวดีว่าความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ไม่ลงรอยกันมาตั้งนานแล้ว แต่ถึงอย่างไร เขายังคงหวังอยากให้คนเป็นพ่อช่วยทะนุถนอมหัวใจของแม่ตัวเองบ้างเขาเพิ่งจะมารู้ตอนที่โตแล้วนี่เองว่าพ่อมักจะอ้างเรื่องงานไม่กลับบ้านบ่อยครั้งเพราะหลีกเลี่ยงการทะเลาะกับแม่ แต่แม้จะทำแบบนั้นแล้วสถานการณ์กลับไม่ดีขึ้นเลยเพราะวันหนึ่งเขาเห็นแม่เริ่มทำร้ายตัวเองด้วยการกรีดข้อมือและบท
“เฮ้ย ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัวก็ถอยไป”หนึ่งในกลุ่มตะโกนบอกนราวิชญ์แต่เจ้าตัวไม่ยอมถอยตามคำสั่ง แขนข้างหนึ่งยังคงโอบกอดนลินเอาไว้เพราะกลัวเธอจะร่วงลงไปในแม่น้ำข้างล่าง“ใครจะอยากเจ็บตัว พวกแกอยากได้เงินเหรอ ฉันมีเงินเยอะนะ” เขาตะโกนตอบมั่นใจว่าถ้าคนเหล่านี้เป็นเจ้าหนี้ของนลินคงจะยอมจบลงที่การเจรจาอย่างง่ายดายแต่กระนั้น พวกเขาไม่ใช่ลูกน้องเจ้าหนี้ธรรมดาแต่เป็นลูกน้องของคนที่โดนนลินเฉือนส่วนสำคัญของผู้ชายไปต่างหาก เรื่องราวจึงไม่อาจจบลงที่จ่ายเงินแล้วแยกย้าย“ฉันให้เวลาแกสามวิ ถ้าไม่ขยับอย่าหาว่าไม่เตือน” สีหน้าของนักเลงไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย “สาม สอง หนึ่ง”นราวิชญ์ไม่ขยับเตรียมพร้อมเผชิญหน้าทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง ก่อนจะหันมาหานลิน &ldq
นับตั้งแต่วันที่นราวิชญ์ได้พูดคุยกับภิญโญ ท่าทีของเขาที่มีต่อนลินจึงเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกตเพราะคิดว่าคนเป็นพี่คงกำลังยุ่งกับงานที่บริษัทปัญหาภายในยังคงยืดเยื้อเพราะกรรมการบริหารแบ่งออกเป็นสองฝ่าย หญิงสาวจึงไม่ได้เห็นหน้านราวิชญ์อยู่พักใหญ่แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงหวังว่าเขาจะตอบข้อความที่เธอส่งไปหาบ้างอย่างน้อยวันละครั้งก็ยังดีหากไม่ว่างจริง ๆหลายวันผ่านไปข้อความยังคงไม่ขึ้นแสดงว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วราวกับว่าเขาไม่ได้แตะต้องโทรศัพท์เลยสักนิด นลินจึงได้แต่จ้องมองหน้าจอรออยู่อย่างนั้นเพราะความคิดถึงทันใดนั้น เสียงรถยนต์วิ่งเข้ามาบ้านเล็กในรอบหนึ่งอาทิตย์ นลินใจเต้นตึกตักหันไปมองตามเสียงครั้นได้เห็นหน้าของเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปกอด พลางถามไถ่ด้วยความห่วงใยเหมือนอย่างเคย “งานยุ่งมากเลยเหรอคะ”“อืม” เจ้าตัวพยักหน้า สีหน้าเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด เขาออดอ้อนหญิงสาวด้วยการหอมแก้มแล้วจูบอย่างดูดดื่มโดยไม่สนสายตาใคร กระซิบแผ่วเบา “คิดถึง”แม้ว่าจะเหนื่อยจากการโหมงานมานานแต่พอเห็นสีหน้าสดใสของนลินแล้วกลับรู้สึกในใจว่า มีความสุขมากเลยสินะครั้นนึกถึงภาพสุดท้ายที่ได้เห็นแม่ก
ใครจะรู้ว่าเหตุการณ์ชุลมุนในวันนั้นจะทำให้ชีวิตของนลินพลิกผันราวพลิกฝ่ามือ ทั้ง ๆ ที่เธอยอมแพ้ต่อโชคชะตาอาภัพของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ปล่อยมือทิ้งตัวลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่างเท่านั้นหากแต่คนบางคนกลับฟูมฟายไม่ยอมปล่อยเธอให้ห่างกาย แม้กระทั่งตอนนี้ เธอได้พบหน้ากับรองประธานที่เป็นคนสั่งให้ตามหาตัวเธอ“พ่อคิดจะทำอะไรนลิน” นราวิชญ์ถามด้วยเสียงเกรี้ยวกราด มือข้างซ้ายจับมือหญิงสาวเอาไว้ ทำให้คนเป็นพ่อตามเรื่องราวไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ภิญโญเดินเข้ามาใกล้นลินเป็นครั้งแรก สบตากับเจ้าของดวงตาสีเขียวอมเทาพลันนึกถึงคนรักเก่าที่เลิกรากันไปเมื่อหลายปีก่อน พลางเอ่ยปากกับคนตรงหน้าโดยไม่สนใจเจ้าลูกชายตัวแสบ “เสียใจด้วยนะที่แม่ของเธอต้องจากไปแบบนั้น ฉันควรจะตามหาพวกเธอให้เจอเร็วกว่านี้แท้ ๆ” 
ไม่กี่วันต่อมากมลา ผู้เป็นป้าของนราวิชญ์ทราบข่าวว่าภิญโญรับเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยงที่บ้านหลังเล็กจึงรีบบึ่งมาดูหน้าตาของลูกสาวคนที่ทำร้ายหัวใจของน้องสาวตัวเอง“คุณป้า” นราวิชญ์เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพราะคนตรงหน้าคอยเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็กจนตัวเขาเองนับถือเหมือนเป็นแม่คนที่สอง“พ่อหลานคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้” เธอฉุนเฉียวไม่อยากพูดเรื่องที่ทำให้โมโหในเวลานี้ แล้วมองหน้าหลานชาย “วิชญ์รู้ไม่ใช่เหรอว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของใคร แต่ทำไมยังนิ่งอยู่ได้”“คุณป้ารู้ไหมครับว่าพ่อยกหุ้นสองเปอร์เซ็นต์ให้นลิน” เขาเอ่ยถามเรื่องสำคัญที่เพิ่งรู้ไม่นานมานี้หุ้นสองเปอร์เซ็นต์ของภิญโญคือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่สามารถพลิกหน้ากลุ่มกรรมการบริหารของบริ
ท่ามกลางความเงียบสงบยามค่ำคืน เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งไล่เด็กสาวไปตามซอกซอยต่าง ๆ ที่เปลี่ยวคนอย่างไม่ลดละ หมายจับตัวเธอตามคำสั่งของผู้เป็นหัวหน้าหลังจากตามหาตัวเธออยู่นานกว่าเกือบหกเดือน ในที่สุดจึงได้พบเบาะแสคนที่กล้าทำร้ายร่างกายหัวหน้าอย่างเจ็บแสบในคืนนั้นได้ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เธอหลุดมือไปได้แน่นอนนลิน เด็กสาวอายุเพียงสิบหกปี วิ่งหนีคนพวกนั้นสุดกำลังเท่าที่จะทำได้ หากแต่ว่าร่างกายของเธอและจิตใจนั้นเหนื่อยล้าจนแทบอยากทิ้งตัวล้มกับพื้น ทั้งยังไม่มีทางรู้ได้เลยว่าชีวิตอันเส็งเคร็งแบบนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใดแม่ผู้เป็นที่รักจากไปด้วยโรคร้าย ส่วนพ่อที่ไม่เคยสนใจใยดี บางครั้งโผล่หน้ามา บางครั้งหนีหายไปเป็นเดือน หลายปี ยังเอาแต่สร้างเรื่องและทิ้งหนี้สินเอาไว้ให้เธอรับผิดชอบมากมาย แม้จะพยายามทำงานแลกเงินมาได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอเพราะหนี้สินที่พ่อก่อนั้นเพิ่มพูนอย่างไม่มีขีดจำกัด ชีวิตประสบแต่ปัญหาจนเธอต้องหนีครั้งแล้วครั้งเล่าใบหน้าของนลินยามนี้ไม่เหลือร่องรอยของความสุขแม้เพียงสักนิด เธอคิดแต่ว่าครั้งนี้จะต้องหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทางข้างหน้าบางทีอาจจะยังมีความหวัง
ไม่กี่วันต่อมากมลา ผู้เป็นป้าของนราวิชญ์ทราบข่าวว่าภิญโญรับเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยงที่บ้านหลังเล็กจึงรีบบึ่งมาดูหน้าตาของลูกสาวคนที่ทำร้ายหัวใจของน้องสาวตัวเอง“คุณป้า” นราวิชญ์เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพราะคนตรงหน้าคอยเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็กจนตัวเขาเองนับถือเหมือนเป็นแม่คนที่สอง“พ่อหลานคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้” เธอฉุนเฉียวไม่อยากพูดเรื่องที่ทำให้โมโหในเวลานี้ แล้วมองหน้าหลานชาย “วิชญ์รู้ไม่ใช่เหรอว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของใคร แต่ทำไมยังนิ่งอยู่ได้”“คุณป้ารู้ไหมครับว่าพ่อยกหุ้นสองเปอร์เซ็นต์ให้นลิน” เขาเอ่ยถามเรื่องสำคัญที่เพิ่งรู้ไม่นานมานี้หุ้นสองเปอร์เซ็นต์ของภิญโญคือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่สามารถพลิกหน้ากลุ่มกรรมการบริหารของบริ
ใครจะรู้ว่าเหตุการณ์ชุลมุนในวันนั้นจะทำให้ชีวิตของนลินพลิกผันราวพลิกฝ่ามือ ทั้ง ๆ ที่เธอยอมแพ้ต่อโชคชะตาอาภัพของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ปล่อยมือทิ้งตัวลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่างเท่านั้นหากแต่คนบางคนกลับฟูมฟายไม่ยอมปล่อยเธอให้ห่างกาย แม้กระทั่งตอนนี้ เธอได้พบหน้ากับรองประธานที่เป็นคนสั่งให้ตามหาตัวเธอ“พ่อคิดจะทำอะไรนลิน” นราวิชญ์ถามด้วยเสียงเกรี้ยวกราด มือข้างซ้ายจับมือหญิงสาวเอาไว้ ทำให้คนเป็นพ่อตามเรื่องราวไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ภิญโญเดินเข้ามาใกล้นลินเป็นครั้งแรก สบตากับเจ้าของดวงตาสีเขียวอมเทาพลันนึกถึงคนรักเก่าที่เลิกรากันไปเมื่อหลายปีก่อน พลางเอ่ยปากกับคนตรงหน้าโดยไม่สนใจเจ้าลูกชายตัวแสบ “เสียใจด้วยนะที่แม่ของเธอต้องจากไปแบบนั้น ฉันควรจะตามหาพวกเธอให้เจอเร็วกว่านี้แท้ ๆ” 
นับตั้งแต่วันที่นราวิชญ์ได้พูดคุยกับภิญโญ ท่าทีของเขาที่มีต่อนลินจึงเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกตเพราะคิดว่าคนเป็นพี่คงกำลังยุ่งกับงานที่บริษัทปัญหาภายในยังคงยืดเยื้อเพราะกรรมการบริหารแบ่งออกเป็นสองฝ่าย หญิงสาวจึงไม่ได้เห็นหน้านราวิชญ์อยู่พักใหญ่แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงหวังว่าเขาจะตอบข้อความที่เธอส่งไปหาบ้างอย่างน้อยวันละครั้งก็ยังดีหากไม่ว่างจริง ๆหลายวันผ่านไปข้อความยังคงไม่ขึ้นแสดงว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วราวกับว่าเขาไม่ได้แตะต้องโทรศัพท์เลยสักนิด นลินจึงได้แต่จ้องมองหน้าจอรออยู่อย่างนั้นเพราะความคิดถึงทันใดนั้น เสียงรถยนต์วิ่งเข้ามาบ้านเล็กในรอบหนึ่งอาทิตย์ นลินใจเต้นตึกตักหันไปมองตามเสียงครั้นได้เห็นหน้าของเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปกอด พลางถามไถ่ด้วยความห่วงใยเหมือนอย่างเคย “งานยุ่งมากเลยเหรอคะ”“อืม” เจ้าตัวพยักหน้า สีหน้าเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด เขาออดอ้อนหญิงสาวด้วยการหอมแก้มแล้วจูบอย่างดูดดื่มโดยไม่สนสายตาใคร กระซิบแผ่วเบา “คิดถึง”แม้ว่าจะเหนื่อยจากการโหมงานมานานแต่พอเห็นสีหน้าสดใสของนลินแล้วกลับรู้สึกในใจว่า มีความสุขมากเลยสินะครั้นนึกถึงภาพสุดท้ายที่ได้เห็นแม่ก
“เฮ้ย ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัวก็ถอยไป”หนึ่งในกลุ่มตะโกนบอกนราวิชญ์แต่เจ้าตัวไม่ยอมถอยตามคำสั่ง แขนข้างหนึ่งยังคงโอบกอดนลินเอาไว้เพราะกลัวเธอจะร่วงลงไปในแม่น้ำข้างล่าง“ใครจะอยากเจ็บตัว พวกแกอยากได้เงินเหรอ ฉันมีเงินเยอะนะ” เขาตะโกนตอบมั่นใจว่าถ้าคนเหล่านี้เป็นเจ้าหนี้ของนลินคงจะยอมจบลงที่การเจรจาอย่างง่ายดายแต่กระนั้น พวกเขาไม่ใช่ลูกน้องเจ้าหนี้ธรรมดาแต่เป็นลูกน้องของคนที่โดนนลินเฉือนส่วนสำคัญของผู้ชายไปต่างหาก เรื่องราวจึงไม่อาจจบลงที่จ่ายเงินแล้วแยกย้าย“ฉันให้เวลาแกสามวิ ถ้าไม่ขยับอย่าหาว่าไม่เตือน” สีหน้าของนักเลงไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย “สาม สอง หนึ่ง”นราวิชญ์ไม่ขยับเตรียมพร้อมเผชิญหน้าทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง ก่อนจะหันมาหานลิน &ldq
วันหนึ่งในฤดูหนาวนราวิชญ์อายุเพียงแปดขวบตอนที่ได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ทุกครั้งมักจะเห็นแม่ร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ อยากเข้าไปปลอบใจเธอแต่ไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรในตอนนั้นไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่สองคนมีเรื่องอะไรนักหนาถึงขนาดต้องทะเลาะกันแทบบ้านแตกครั้นจะแอบฟังต้นตอสาเหตุปัญหาครั้งใด เขาและน้องสาวที่อายุห่างกันสี่ปีก็มักจะถูกแม่บ้านพาออกไปเล่นข้างนอกเสมอ รู้ตัวดีว่าความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ไม่ลงรอยกันมาตั้งนานแล้ว แต่ถึงอย่างไร เขายังคงหวังอยากให้คนเป็นพ่อช่วยทะนุถนอมหัวใจของแม่ตัวเองบ้างเขาเพิ่งจะมารู้ตอนที่โตแล้วนี่เองว่าพ่อมักจะอ้างเรื่องงานไม่กลับบ้านบ่อยครั้งเพราะหลีกเลี่ยงการทะเลาะกับแม่ แต่แม้จะทำแบบนั้นแล้วสถานการณ์กลับไม่ดีขึ้นเลยเพราะวันหนึ่งเขาเห็นแม่เริ่มทำร้ายตัวเองด้วยการกรีดข้อมือและบท
เขาไม่เคยคิดเลยว่าการอยากทำความรู้จักใครสักคนจะทำให้ตัวเองกลายเป็นแบบนี้ อยู่ดี ๆ ก็ไม่กล้าขึ้นมาทั้งที่เคยมั่นใจมาตลอดว่าแค่เอ่ยปากนิดเดียว ไม่ว่าสาวที่ไหนก็ต้องยินดีตอบตกลงไปแล้วครั้นตัดสินใจว่าจะลองทำอย่างนั้นจึงเดินดุ่มเข้าไปหาด้วยสีหน้าสบาย ๆ ตอนที่นลินออกมาพักข้างนอกร้าน“เอ่อ... คือ...” สีหน้าเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกเวลาที่ดวงตาสีเขียวอมเทาจ้องมา “คือว่า...”“...” นลินมองคนแปลกหน้า ไม่ใส่ใจมากนักเพราะไม่อยากตกหลุมพรางของใครอีกแล้ว“คือว่า...” หนุ่มหล่อที่มักถูกลงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเป็นคาสโนว่ายังคงอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก“มาสมัครงานเหรอ” นลินเป็นฝ่ายถามเพราะเห็นว่าคนตร
ครั้นสั่งลูกน้องตัวเองเรียบร้อยแล้วเขาหันหน้ามาหานลินมองด้วยสายตาหื่นกระหายแล้วเชยคางคนตรงหน้า“ทีนี้ก็ทำอย่างที่บอกฉันสักทีสิ” เสี่ยภพแสยะยิ้มพลางเลียริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะจับมือของนลินมาวางไว้เหนือเข็มขัด “เริ่มจากถอดตรงนี้ออกแล้วค่อย ๆ ลูบให้ฉันชื่นใจสักหน่อย”นลินหน้าชาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจสักนิด ลึก ๆ ในใจโกรธแค้นที่พ่อซึ่งไม่เคยทำหน้าที่คิดจะขายลูกสาว“เสี่ยขา ดื่มเหล้าก่อนดีไหมคะ” เธอลุกขึ้นยืนจะเดินไปเตรียมเครื่องดื่มมาให้แต่ถูกคว้ามือเอาไว้ก่อน จึงโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายยอมตกลง “ผู้จัดการร้านบอกว่าเหล้าตัวนี้ดีกรีแรง กินแล้วกระชุ่มกระชวย เสี่ยไม่อยากลองดูเหรอคะ เวลาทำเรื่องอย่างนั้นอาจจะสนุกขึ้นก็ได้”
สามชั่วโมงผ่านไปนลินจนตรอกอยู่ทางตัน ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะปีนกำแพงสูงหนีเพราะเศร้ากับเรื่องของแม่จนกินข้าวไม่ลงมาหลายวัน เธอถอยหลังติดกำแพง ด้านหน้าเป็นพวกชายร่างใหญ่ที่กรูกันเข้ามาหา“แก มานี่มา” เขากวักมือเรียกนลินให้ไปหา “ฉันเหนื่อยแล้วนะ รีบมาหาฉันดี ๆ เร็วเข้า”หากแต่นลินไม่ขยับเก็บแรงเอาไว้อย่างน้อยถ้าไม่กระโดดข้ามกำแพงก็หาทางวิ่งทะลุวงล้อมของคนพวกนั้นไป ที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรมที่ทำมา“หูหนวกหรือไง ฉันบอกให้รีบมา” เขาตะโกนลั่น ทำท่าทางข่มขู่ทันใดนั้น ธาวันก็มายืนอยู่ตรงนั้นด้วย สีหน้าเยาะเย้ยที่เห็นว่านลินไม่อาจหนีไปไหนได้ โพล่งออกมาว่า “ไปทำงานที่ร้านเหล้าเถอะน่า ไม่มีวิธีไหนใช้หนี้หมดเร็วได้เท่านี้อีกแล้ว แถมแกยังจะมีเงินเหลือไว้เรียนต่อด้วยนี่&rdq
ชายคนนั้นชื่อว่าธนาอายุราวยี่สิบสี่ปีเหมือนเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ คนในหน่วยงานแนะนำให้เขาคอยดูแลเคสของนลินเพราะนิสัยเป็นมิตร สุภาพและสามารถรับมือกับสถานการณ์กดดันได้ดีในระดับหนึ่ง คงจะเป็นประโยชน์แก่นลินบ้างแรกเริ่มธนาค่อย ๆ ให้ความช่วยเหลือตามระเบียบแบบแผนไปทีละอย่าง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็ได้ผลดีเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความร่วมมือทำให้พวกนักเลงไม่กล้าคิดทำอะไรบุ่มบ่ามจนเวลาผ่านไปเกือบสามเดือน นลินรู้สึกว่าสนิทสนมกับเขาและเจ้าหน้าที่ในหน่วยมากขึ้น พลันเกิดความไว้ใจคนอื่นขึ้นมาอีกครั้งธนาชวนเธอไปเลือกซื้อของมาทำกับข้าวให้จารวีเพราะเห็นว่าช่วงนี้แม่ของเด็กสาวกินอะไรไม่ค่อยได้“คุณไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะคะ แค่นี้หนูก็เกรงใจจะแย่แล้ว” นลินเอ่ยปากบอกคนตรงหน้า “ใส่ผักอันนี้ด้