ชายคนนั้นชื่อว่าธนา อายุราวยี่สิบสี่ปีเหมือนเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ คนในหน่วยงานแนะนำให้เขาคอยดูแลเคสของนลินเพราะนิสัยเป็นมิตร สุภาพและสามารถรับมือกับสถานการณ์กดดันได้ดีในระดับหนึ่ง คงจะเป็นประโยชน์แก่นลินบ้าง
แรกเริ่มธนาค่อย ๆ ให้ความช่วยเหลือตามระเบียบแบบแผนไปทีละอย่าง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็ได้ผลดีเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความร่วมมือทำให้พวกนักเลงไม่กล้าคิดทำอะไรบุ่มบ่าม
จนเวลาผ่านไปเกือบสามเดือน นลินรู้สึกว่าสนิทสนมกับเขาและเจ้าหน้าที่ในหน่วยมากขึ้น พลันเกิดความไว้ใจคนอื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ธนาชวนเธอไปเลือกซื้อของมาทำกับข้าวให้จารวีเพราะเห็นว่าช่วงนี้แม่ของเด็กสาวกินอะไรไม่ค่อยได้
“คุณไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะคะ แค่นี้หนูก็เกรงใจจะแย่แล้ว” นลินเอ่ยปากบอกคนตรงหน้า “ใส่ผักอันนี้ด้วยใช่ไหมคะ เดี๋ยวหนูช่วยล้าง”
“อืม เด็ดใบที่อยู่ข้างนอกออกก่อนนะ มันขมเกินไป แม่เธอน่าจะไม่ชอบเท่าไหร่” ธนาพยักหน้าแล้วทำให้นลินดูเป็นตัวอย่างก่อนจะหันมาคนน้ำซุปในหม้อต้มต่อ
เรื่องราวในวันนี้คงจะเป็นไปได้ด้วยดีแท้ ๆ หากธนายังคงระงับความต้องการของตัวเองไว้ได้ แต่มือของเขากลับจับผมของนลินแล้วบอกว่า “เดี๋ยวมัดผมให้ จะได้ไม่เกะกะ”
ต้นคอเรียวขาวทำให้เขากลืนน้ำลาย ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้กลิ่นแชมพูอ่อน ๆ โชยมา ชายคนนี้จึงกระซิบเบา ๆ “นลิน”
อีกฝ่ายสะดุ้งโหยงไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาใกล้ขนาดนี้จึงรีบขยับให้ห่าง “ผักล้างเสร็จแล้วค่ะ” เด็กสาวพยายามเปลี่ยนเรื่องแล้วเดินหนีไปอีกทางแต่เขากลับตามคว้าข้อมือเอาไว้
“ฉันรู้ว่าเธอมีใจให้ฉัน” คำพูดของชายหนุ่มทำให้เธอขนลุกกราว “ในเมื่อใจเราตรงกัน วันนี้เรามาสนุกกันหน่อยดีไหม”
“...” นลินพยายามตั้งสติเอาไว้แล้วบอกเขาว่า “ใจตรงกันยังไงนะคะ คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”
“อืม” รอยยิ้มแสยะมองคนตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง “ชีวิตเธอโชกโชนขนาดนี้ อย่าบอกนะว่ายังไม่เคย”
“หนูเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้โรงพยาบาลให้เข้าเยี่ยมแค่สองชั่วโมง ต้องรีบไปแล้วค่ะ”
“ยังทำกับข้าวไม่เสร็จเลยจะรีบทำไมล่ะ” เขาคะยั้นคะยอเข้ามาขวางทางเอาไว้ “แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นไรหรอกน่า”
พลันมือข้างหนึ่งโอบเอวนลินเอาไว้ “ฉันช่วยเธอมาตั้งเท่าไหร่ แค่นี้ตอบแทนให้ไม่ได้เหรอ”
เด็กสาวยิ้มมุมปากเข้าใจแล้วความความรู้สึกตงิดใจตลอดช่วงเวลาที่ได้รู้จักเขามันเป็นเพราะอะไร “ถ้าคุณอยากได้อะไรตอบแทนแบบนี้ หนูคงให้ไม่ได้หรอก”
“ฉันถูกใจเธอมากนะ เราจะลองคบกันดูก็ได้เพราะถ้าเป็นแฟนกันแล้วต่อให้ทำเรื่องแบบนี้ก็ไม่แปลกอะไรนี่” สีหน้าของเขาดูสบาย ๆ แต่แฝงด้วยเล่ห์ “คิดดูสิว่าถ้าไม่มีฉันสักคน เธอจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง”
“...”
“เพราะฉะนั้น อย่าดื้อนักเลย นลิน”
สายตาของเขาจ้องมองร่างกายของนลินราวกับหิวกระหาย แต่พอเห็นอีกฝ่ายพยายามดิ้นรนไม่ทำตามก็เกิดอาการตัดพ้อขึ้นมา
“ทำไมดื้อด้านแบบนี้ คนอื่นไม่เห็นจะบอกยากตรงไหนเลย” เขาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งพลางเลิกคิ้ว “ในเมื่อขอดี ๆ แล้วไม่ยอมหรือว่าเธอเป็นพวกมาโซคิสม์ ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็ไม่มีปัญหานะ”
เธอส่ายหน้าแล้วรีบวิ่งไปคว้ากระเป๋าของตัวเอง ผิดหวังกับคนตรงหน้าจนพูดอะไรไม่ออก “อย่ามายุ่งกับหนูอีก ไม่งั้นหนูจะแจ้งหน่วยงาน”
“นลิน เธอก็ยังเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตสักที ฟ้องคนที่นั่นแล้วคิดว่าพวกเขาจะเชื่อใคร แล้วอีกอย่างเด็กพวกนั้นก็ยอมฉันเอง ไม่ได้ถูกบังคับสักหน่อย”
“...”
“ไม่เชื่อก็ลองไปฟ้องดูสิ” สีหน้าเจ้าตัวท้าทายเหมือนรู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร “แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ ถ้าเธอทำแบบนั้น เรื่องที่สัญญาว่าจะกันพวกนักเลงออกไปถือว่าเป็นโมฆะ”
“สารเลว” นลินสบถไม่ไว้หน้าอีกต่อไป แล้วเดินจากมาโดยไม่หันกลับไปมองคนข้างหลังที่ทำหน้าเสียดาย
เด็กสาวคิดว่าช่วงนี้จะมีโอกาสได้เริ่มต้นชีวิตดี ๆ สักครั้งแล้วแท้ ๆ แต่กลับเจออะไรที่วนลูปกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้งเพราะพบเจอแต่ผู้คนที่ไม่เลวร้ายไปเลยก็เป็นพวกทำดีแอบแฝงอยากได้สิ่งตอบแทน
ชีวิตที่อยู่ยากแล้วก็ยิ่งยากขึ้นไปใหญ่เพราะบางครั้งนลินไม่อาจรู้ได้เลยว่าใต้หน้ากากที่คนอื่นใส่อยู่มีอะไรซ่อนไว้จึงคิดว่าต่อจากนี้ไปจะไม่ไว้ใจใครหน้าไหนอีกแล้ว
เธอทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้จริง ๆ ทุกวันตั้งใจทำงาน ระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอและหวังว่าจะไม่เป็นอะไรไปก่อนแม่ที่ป่วยระยะสุดท้าย
“แม่ กินโจ๊กหน่อยไหมคะ วันนี้ยังไม่ได้ทานอะไรเลย” นลินเอ่ยปากถามเป็นห่วงคนตรงหน้าที่อาการทรุดลงทุกวัน “หรือว่าแม่อยากได้อะไรหรือเปล่า หนูจะไปหามาให้นะ”
“นลิน มาให้แม่กอดที” เธออ้าแขนกว้างรอลูกสาวขยับเข้าไปหาแล้วกอดแน่นด้วยความรัก “แม่รักลูกมากนะ”
“...” เธอพูดไม่ออก รู้ความหมายที่คนตรงหน้าพูดเป็นอย่างดีเพราะคำว่ารักที่พร่ำบอกทุกวันก็คือคำลาที่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน นลินจึงได้แต่พูดว่า “หนูก็รักแม่เหมือนกัน”
สุดท้ายแล้วช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับแม่ก็มีเพียงแค่นั้น นลินร้องไห้คร่ำครวญอยู่นานสองนานในวันที่จารวีหมดลมหายใจ ความรู้สึกโดดเดี่ยวเข้ามาแทนที่เพราะเวลานี้ไม่มีใครเลยสักคนจะเป็นที่พึ่งพิงให้เธอได้พักใจ
แม้แต่งานศพยังทำได้แค่สวดเพียงวันเดียวแล้วก็เผา ไม่มีญาติคนไหนมาร่วมงาน เธอมองควันสีดำพวยพุ่งจากปล่องเมรุเอ่ยพึมพำ “อยู่บนฟ้าแล้ว ขอให้แม่มีความสุขนะคะ” พลางปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม “ไม่ต้องห่วงหนูนะ หนูจะดูแลตัวเองแล้วก็มีความสุขเหมือนกัน”
ครั้นจัดการธุระของแม่เรียบร้อยแล้ว นลินจึงเก็บของสำคัญที่มีอยู่น้อยนิดในบ้านออกมาเตรียมจะย้ายไปอยู่ที่แห่งใหม่ไม่ให้พ่อและเจ้าหนี้ตามตัวเจอ
ทว่า เพียงแค่ก้าวขาออกจากวัด เจ้าหนี้รายหนึ่งก็โผล่หน้ามาทันทีพร้อมพ่อตัวเอง คำพูดแรกไม่ใช่การปลอบประโลมคนที่เพิ่งสูญเสียแม่ไป
“ได้เงินในซองมาเท่าไหร่” ธาวันถามลูกสาวสีหน้าไม่แยแส สายตามองคนตรงหน้า “ฉันถามว่าได้ซองมาเท่าไหร่”
“ไม่มี” นลินตอบห้วน ๆ ไม่เหลือความรู้สึกอื่นใดให้คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่ออีกแล้ว
“ผ่านไปกี่ปีแกก็เลิกนิสัยขี้โกหกไม่ได้เลยใช่ไหม” ธาวันส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “เหมือนแม่แกไม่มีผิด”
“เฮอะ แกมีสิทธิ์อะไรมาพูดแบบนี้” เธอแสยะยิ้มเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง
“แกลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันเป็นพ่อแก ท่าทางสามหาวนี่มันน่าตีสักทีสองทีจะได้หลาบจำ” เขาไม่พูดเพียงเท่านั้นแต่ง้างมือเตรียมจะตบหน้านลินอย่างที่พูดจนถูกลูกน้องของเจ้าหนี้คนหนึ่งห้ามเอาไว้
“เฮ้อ เป็นพ่อลูกกันก็คุยดี ๆ สิ” เขาเอ่ยปาก แต่แววตาไม่ได้นึกห่วงใยอะไร “เดี๋ยวสินค้าเสียหายเสี่ยนิธิศจะไม่พอใจน่ะสิ”
“เออใช่” เขายิ้มกว้างเมื่อได้ยินดังนั้น แล้วหันมาหาลูกสาว “แกยังไม่มีงานทำใช่ไหม ไปทำงานกับพวกพี่เขาที่ร้านเหล้าสิ”
“...” นลินมองหน้าคนกลุ่มนั้นสลับกับหน้าพ่อตัวเอง ดวงตาสีเขียวอมเทาเหลือบมองหาทางหนีเพราะรู้สึกได้ว่าชีวิตของตัวเองกำลังไม่ปลอดภัย ทำทีเป็นรับฟังสิ่งที่ธาวันพูด แล้วถามว่า “ทำงานอะไร แล้วทำไมฉันต้องทำ”
“เป็นหนี้ก็ต้องใช้สิ” เขาพูดอย่างไม่มียางอาย “งานเสิร์ฟร้านเหล้า แกทำได้อยู่แล้วนี่ ได้เงินเยอะด้วยนะ”
“ใครสร้างหนี้ก็ไปทำงานใช้หนี้เองสิ” เธอตวาดกลับไม่สบอารมณ์ นับถอยหลังในใจแล้วพุ่งตัววิ่งหนีโดยไม่หันกลับมามอง
“โอ้ย คิดว่าฉันจะตามหาแกไม่เจอหรือไง” ธาวันตะโกนไล่หลัง ก่อนที่พวกลูกน้องของนิธิศจะวิ่งตามนลินไปจนสุดทาง
สามชั่วโมงผ่านไปนลินจนตรอกอยู่ทางตัน ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะปีนกำแพงสูงหนีเพราะเศร้ากับเรื่องของแม่จนกินข้าวไม่ลงมาหลายวัน เธอถอยหลังติดกำแพง ด้านหน้าเป็นพวกชายร่างใหญ่ที่กรูกันเข้ามาหา“แก มานี่มา” เขากวักมือเรียกนลินให้ไปหา “ฉันเหนื่อยแล้วนะ รีบมาหาฉันดี ๆ เร็วเข้า”หากแต่นลินไม่ขยับเก็บแรงเอาไว้อย่างน้อยถ้าไม่กระโดดข้ามกำแพงก็หาทางวิ่งทะลุวงล้อมของคนพวกนั้นไป ที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรมที่ทำมา“หูหนวกหรือไง ฉันบอกให้รีบมา” เขาตะโกนลั่น ทำท่าทางข่มขู่ทันใดนั้น ธาวันก็มายืนอยู่ตรงนั้นด้วย สีหน้าเยาะเย้ยที่เห็นว่านลินไม่อาจหนีไปไหนได้ โพล่งออกมาว่า “ไปทำงานที่ร้านเหล้าเถอะน่า ไม่มีวิธีไหนใช้หนี้หมดเร็วได้เท่านี้อีกแล้ว แถมแกยังจะมีเงินเหลือไว้เรียนต่อด้วยนี่&rdq
ครั้นสั่งลูกน้องตัวเองเรียบร้อยแล้วเขาหันหน้ามาหานลินมองด้วยสายตาหื่นกระหายแล้วเชยคางคนตรงหน้า“ทีนี้ก็ทำอย่างที่บอกฉันสักทีสิ” เสี่ยภพแสยะยิ้มพลางเลียริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะจับมือของนลินมาวางไว้เหนือเข็มขัด “เริ่มจากถอดตรงนี้ออกแล้วค่อย ๆ ลูบให้ฉันชื่นใจสักหน่อย”นลินหน้าชาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจสักนิด ลึก ๆ ในใจโกรธแค้นที่พ่อซึ่งไม่เคยทำหน้าที่คิดจะขายลูกสาว“เสี่ยขา ดื่มเหล้าก่อนดีไหมคะ” เธอลุกขึ้นยืนจะเดินไปเตรียมเครื่องดื่มมาให้แต่ถูกคว้ามือเอาไว้ก่อน จึงโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายยอมตกลง “ผู้จัดการร้านบอกว่าเหล้าตัวนี้ดีกรีแรง กินแล้วกระชุ่มกระชวย เสี่ยไม่อยากลองดูเหรอคะ เวลาทำเรื่องอย่างนั้นอาจจะสนุกขึ้นก็ได้”
เขาไม่เคยคิดเลยว่าการอยากทำความรู้จักใครสักคนจะทำให้ตัวเองกลายเป็นแบบนี้ อยู่ดี ๆ ก็ไม่กล้าขึ้นมาทั้งที่เคยมั่นใจมาตลอดว่าแค่เอ่ยปากนิดเดียว ไม่ว่าสาวที่ไหนก็ต้องยินดีตอบตกลงไปแล้วครั้นตัดสินใจว่าจะลองทำอย่างนั้นจึงเดินดุ่มเข้าไปหาด้วยสีหน้าสบาย ๆ ตอนที่นลินออกมาพักข้างนอกร้าน“เอ่อ... คือ...” สีหน้าเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกเวลาที่ดวงตาสีเขียวอมเทาจ้องมา “คือว่า...”“...” นลินมองคนแปลกหน้า ไม่ใส่ใจมากนักเพราะไม่อยากตกหลุมพรางของใครอีกแล้ว“คือว่า...” หนุ่มหล่อที่มักถูกลงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเป็นคาสโนว่ายังคงอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก“มาสมัครงานเหรอ” นลินเป็นฝ่ายถามเพราะเห็นว่าคนตร
วันหนึ่งในฤดูหนาวนราวิชญ์อายุเพียงแปดขวบตอนที่ได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ทุกครั้งมักจะเห็นแม่ร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ อยากเข้าไปปลอบใจเธอแต่ไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรในตอนนั้นไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่สองคนมีเรื่องอะไรนักหนาถึงขนาดต้องทะเลาะกันแทบบ้านแตกครั้นจะแอบฟังต้นตอสาเหตุปัญหาครั้งใด เขาและน้องสาวที่อายุห่างกันสี่ปีก็มักจะถูกแม่บ้านพาออกไปเล่นข้างนอกเสมอ รู้ตัวดีว่าความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ไม่ลงรอยกันมาตั้งนานแล้ว แต่ถึงอย่างไร เขายังคงหวังอยากให้คนเป็นพ่อช่วยทะนุถนอมหัวใจของแม่ตัวเองบ้างเขาเพิ่งจะมารู้ตอนที่โตแล้วนี่เองว่าพ่อมักจะอ้างเรื่องงานไม่กลับบ้านบ่อยครั้งเพราะหลีกเลี่ยงการทะเลาะกับแม่ แต่แม้จะทำแบบนั้นแล้วสถานการณ์กลับไม่ดีขึ้นเลยเพราะวันหนึ่งเขาเห็นแม่เริ่มทำร้ายตัวเองด้วยการกรีดข้อมือและบท
“เฮ้ย ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัวก็ถอยไป”หนึ่งในกลุ่มตะโกนบอกนราวิชญ์แต่เจ้าตัวไม่ยอมถอยตามคำสั่ง แขนข้างหนึ่งยังคงโอบกอดนลินเอาไว้เพราะกลัวเธอจะร่วงลงไปในแม่น้ำข้างล่าง“ใครจะอยากเจ็บตัว พวกแกอยากได้เงินเหรอ ฉันมีเงินเยอะนะ” เขาตะโกนตอบมั่นใจว่าถ้าคนเหล่านี้เป็นเจ้าหนี้ของนลินคงจะยอมจบลงที่การเจรจาอย่างง่ายดายแต่กระนั้น พวกเขาไม่ใช่ลูกน้องเจ้าหนี้ธรรมดาแต่เป็นลูกน้องของคนที่โดนนลินเฉือนส่วนสำคัญของผู้ชายไปต่างหาก เรื่องราวจึงไม่อาจจบลงที่จ่ายเงินแล้วแยกย้าย“ฉันให้เวลาแกสามวิ ถ้าไม่ขยับอย่าหาว่าไม่เตือน” สีหน้าของนักเลงไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย “สาม สอง หนึ่ง”นราวิชญ์ไม่ขยับเตรียมพร้อมเผชิญหน้าทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง ก่อนจะหันมาหานลิน &ldq
นับตั้งแต่วันที่นราวิชญ์ได้พูดคุยกับภิญโญ ท่าทีของเขาที่มีต่อนลินจึงเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกตเพราะคิดว่าคนเป็นพี่คงกำลังยุ่งกับงานที่บริษัทปัญหาภายในยังคงยืดเยื้อเพราะกรรมการบริหารแบ่งออกเป็นสองฝ่าย หญิงสาวจึงไม่ได้เห็นหน้านราวิชญ์อยู่พักใหญ่แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงหวังว่าเขาจะตอบข้อความที่เธอส่งไปหาบ้างอย่างน้อยวันละครั้งก็ยังดีหากไม่ว่างจริง ๆหลายวันผ่านไปข้อความยังคงไม่ขึ้นแสดงว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วราวกับว่าเขาไม่ได้แตะต้องโทรศัพท์เลยสักนิด นลินจึงได้แต่จ้องมองหน้าจอรออยู่อย่างนั้นเพราะความคิดถึงทันใดนั้น เสียงรถยนต์วิ่งเข้ามาบ้านเล็กในรอบหนึ่งอาทิตย์ นลินใจเต้นตึกตักหันไปมองตามเสียงครั้นได้เห็นหน้าของเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปกอด พลางถามไถ่ด้วยความห่วงใยเหมือนอย่างเคย “งานยุ่งมากเลยเหรอคะ”“อืม” เจ้าตัวพยักหน้า สีหน้าเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด เขาออดอ้อนหญิงสาวด้วยการหอมแก้มแล้วจูบอย่างดูดดื่มโดยไม่สนสายตาใคร กระซิบแผ่วเบา “คิดถึง”แม้ว่าจะเหนื่อยจากการโหมงานมานานแต่พอเห็นสีหน้าสดใสของนลินแล้วกลับรู้สึกในใจว่า มีความสุขมากเลยสินะครั้นนึกถึงภาพสุดท้ายที่ได้เห็นแม่ก
ใครจะรู้ว่าเหตุการณ์ชุลมุนในวันนั้นจะทำให้ชีวิตของนลินพลิกผันราวพลิกฝ่ามือ ทั้ง ๆ ที่เธอยอมแพ้ต่อโชคชะตาอาภัพของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ปล่อยมือทิ้งตัวลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่างเท่านั้นหากแต่คนบางคนกลับฟูมฟายไม่ยอมปล่อยเธอให้ห่างกาย แม้กระทั่งตอนนี้ เธอได้พบหน้ากับรองประธานที่เป็นคนสั่งให้ตามหาตัวเธอ“พ่อคิดจะทำอะไรนลิน” นราวิชญ์ถามด้วยเสียงเกรี้ยวกราด มือข้างซ้ายจับมือหญิงสาวเอาไว้ ทำให้คนเป็นพ่อตามเรื่องราวไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ภิญโญเดินเข้ามาใกล้นลินเป็นครั้งแรก สบตากับเจ้าของดวงตาสีเขียวอมเทาพลันนึกถึงคนรักเก่าที่เลิกรากันไปเมื่อหลายปีก่อน พลางเอ่ยปากกับคนตรงหน้าโดยไม่สนใจเจ้าลูกชายตัวแสบ “เสียใจด้วยนะที่แม่ของเธอต้องจากไปแบบนั้น ฉันควรจะตามหาพวกเธอให้เจอเร็วกว่านี้แท้ ๆ” 
ไม่กี่วันต่อมากมลา ผู้เป็นป้าของนราวิชญ์ทราบข่าวว่าภิญโญรับเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยงที่บ้านหลังเล็กจึงรีบบึ่งมาดูหน้าตาของลูกสาวคนที่ทำร้ายหัวใจของน้องสาวตัวเอง“คุณป้า” นราวิชญ์เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพราะคนตรงหน้าคอยเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็กจนตัวเขาเองนับถือเหมือนเป็นแม่คนที่สอง“พ่อหลานคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้” เธอฉุนเฉียวไม่อยากพูดเรื่องที่ทำให้โมโหในเวลานี้ แล้วมองหน้าหลานชาย “วิชญ์รู้ไม่ใช่เหรอว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของใคร แต่ทำไมยังนิ่งอยู่ได้”“คุณป้ารู้ไหมครับว่าพ่อยกหุ้นสองเปอร์เซ็นต์ให้นลิน” เขาเอ่ยถามเรื่องสำคัญที่เพิ่งรู้ไม่นานมานี้หุ้นสองเปอร์เซ็นต์ของภิญโญคือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่สามารถพลิกหน้ากลุ่มกรรมการบริหารของบริ
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสรรพนามที่นลินใช้เรียกนราวิชญ์ก็เปลี่ยนไป ทำให้คนได้ยินรู้สึกเป็นปลื้มที่เธอว่าง่ายมากขนาดนี้ พลางคิดว่าอีกไม่นานนลินจะต้องเปิดใจยอมรับตัวเองอย่างแน่นอนวันนี้จึงลองถามสิ่งที่ยังค้างคาใจแม้จะรู้คำตอบนั้นอยู่แล้วก็ตามและถ้าหากว่าคำตอบที่ได้รับไม่ตรงใจขึ้นมาล่ะก็ เขาจะเป็นคนเปลี่ยนมันเองกับมือ“นลินบอกว่ามีแฟนไม่ใช่เหรอ พามาแนะนำหน่อยสิ” เขาเอ่ยปากถามคนตรงหน้าที่กำลังนั่งทำการบ้านเงียบ ๆ“พี่วิชญ์อยากรู้จักเหรอ” สีหน้าของเธอยังคงเรียบเฉยไม่แสดงอาการพิรุธอะไร“อืม ถ้านลินจะคบกับใครพี่ต้องช่วยดูไง เผื่อว่าเป็นคนไม่ดีขึ้นมาจะได้รีบตีตัวออกหากไปให้ไกล ๆ”เด็กสาวขมวดคิ้วไม่เข้า
ไม่นานนักนราวิชญ์ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังโรงเรียนด้วยสีหน้าโกรธจัด สายตามองหานลินในกลุ่มคนพวกนั้นแล้วรีบเข้าไปกระชากตัวคนที่กำลังทึ้งผมของนลินเหวี่ยงไปอีกทางโดยไม่ออมมือ“โอ๊ย” เธอคนนั้นร้องเสียงดังแล้วหันมามองว่าใครเข้ามายุ่งเขาไม่แยแสรีบเข้าไปคว้าตัวนลินออกมาจากกลุ่มคนพวกนั้น เมื่อพวกรุ่นพี่เห็นว่ามีคนแปลกหน้ามาวุ่นวายจึงเกิดการปะทะกันแบบหมาหมู่ขึ้นมาทันใดทว่า นราวิชญ์ที่พอจะมีทักษะการป้องกันตัวอยู่บ้างจึงมีแต้มเป็นต่อ ตอนที่ตะลุมบอนกันเขาสาวหมัดใส่ฝ่ายตรงข้ามรัว ๆ ไม่ยั้งมือราวกับอีกฝ่ายเป็นเพียงกระสอบทรายจนร่วงลงพื้นไปหลายคนสายตาไม่สบอารมณ์ปราดมองคู่อริตรงหน้า “ถ้ามายุ่งกับนลินอีก ฉันไม่ปล่อยพวกแกไว้แน่ ๆ”
ไม่กี่วันต่อมากมลา ผู้เป็นป้าของนราวิชญ์ทราบข่าวว่าภิญโญรับเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยงที่บ้านหลังเล็กจึงรีบบึ่งมาดูหน้าตาของลูกสาวคนที่ทำร้ายหัวใจของน้องสาวตัวเอง“คุณป้า” นราวิชญ์เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพราะคนตรงหน้าคอยเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็กจนตัวเขาเองนับถือเหมือนเป็นแม่คนที่สอง“พ่อหลานคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้” เธอฉุนเฉียวไม่อยากพูดเรื่องที่ทำให้โมโหในเวลานี้ แล้วมองหน้าหลานชาย “วิชญ์รู้ไม่ใช่เหรอว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของใคร แต่ทำไมยังนิ่งอยู่ได้”“คุณป้ารู้ไหมครับว่าพ่อยกหุ้นสองเปอร์เซ็นต์ให้นลิน” เขาเอ่ยถามเรื่องสำคัญที่เพิ่งรู้ไม่นานมานี้หุ้นสองเปอร์เซ็นต์ของภิญโญคือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่สามารถพลิกหน้ากลุ่มกรรมการบริหารของบริ
ใครจะรู้ว่าเหตุการณ์ชุลมุนในวันนั้นจะทำให้ชีวิตของนลินพลิกผันราวพลิกฝ่ามือ ทั้ง ๆ ที่เธอยอมแพ้ต่อโชคชะตาอาภัพของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ปล่อยมือทิ้งตัวลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่างเท่านั้นหากแต่คนบางคนกลับฟูมฟายไม่ยอมปล่อยเธอให้ห่างกาย แม้กระทั่งตอนนี้ เธอได้พบหน้ากับรองประธานที่เป็นคนสั่งให้ตามหาตัวเธอ“พ่อคิดจะทำอะไรนลิน” นราวิชญ์ถามด้วยเสียงเกรี้ยวกราด มือข้างซ้ายจับมือหญิงสาวเอาไว้ ทำให้คนเป็นพ่อตามเรื่องราวไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ภิญโญเดินเข้ามาใกล้นลินเป็นครั้งแรก สบตากับเจ้าของดวงตาสีเขียวอมเทาพลันนึกถึงคนรักเก่าที่เลิกรากันไปเมื่อหลายปีก่อน พลางเอ่ยปากกับคนตรงหน้าโดยไม่สนใจเจ้าลูกชายตัวแสบ “เสียใจด้วยนะที่แม่ของเธอต้องจากไปแบบนั้น ฉันควรจะตามหาพวกเธอให้เจอเร็วกว่านี้แท้ ๆ” 
นับตั้งแต่วันที่นราวิชญ์ได้พูดคุยกับภิญโญ ท่าทีของเขาที่มีต่อนลินจึงเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกตเพราะคิดว่าคนเป็นพี่คงกำลังยุ่งกับงานที่บริษัทปัญหาภายในยังคงยืดเยื้อเพราะกรรมการบริหารแบ่งออกเป็นสองฝ่าย หญิงสาวจึงไม่ได้เห็นหน้านราวิชญ์อยู่พักใหญ่แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงหวังว่าเขาจะตอบข้อความที่เธอส่งไปหาบ้างอย่างน้อยวันละครั้งก็ยังดีหากไม่ว่างจริง ๆหลายวันผ่านไปข้อความยังคงไม่ขึ้นแสดงว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วราวกับว่าเขาไม่ได้แตะต้องโทรศัพท์เลยสักนิด นลินจึงได้แต่จ้องมองหน้าจอรออยู่อย่างนั้นเพราะความคิดถึงทันใดนั้น เสียงรถยนต์วิ่งเข้ามาบ้านเล็กในรอบหนึ่งอาทิตย์ นลินใจเต้นตึกตักหันไปมองตามเสียงครั้นได้เห็นหน้าของเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปกอด พลางถามไถ่ด้วยความห่วงใยเหมือนอย่างเคย “งานยุ่งมากเลยเหรอคะ”“อืม” เจ้าตัวพยักหน้า สีหน้าเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด เขาออดอ้อนหญิงสาวด้วยการหอมแก้มแล้วจูบอย่างดูดดื่มโดยไม่สนสายตาใคร กระซิบแผ่วเบา “คิดถึง”แม้ว่าจะเหนื่อยจากการโหมงานมานานแต่พอเห็นสีหน้าสดใสของนลินแล้วกลับรู้สึกในใจว่า มีความสุขมากเลยสินะครั้นนึกถึงภาพสุดท้ายที่ได้เห็นแม่ก
“เฮ้ย ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัวก็ถอยไป”หนึ่งในกลุ่มตะโกนบอกนราวิชญ์แต่เจ้าตัวไม่ยอมถอยตามคำสั่ง แขนข้างหนึ่งยังคงโอบกอดนลินเอาไว้เพราะกลัวเธอจะร่วงลงไปในแม่น้ำข้างล่าง“ใครจะอยากเจ็บตัว พวกแกอยากได้เงินเหรอ ฉันมีเงินเยอะนะ” เขาตะโกนตอบมั่นใจว่าถ้าคนเหล่านี้เป็นเจ้าหนี้ของนลินคงจะยอมจบลงที่การเจรจาอย่างง่ายดายแต่กระนั้น พวกเขาไม่ใช่ลูกน้องเจ้าหนี้ธรรมดาแต่เป็นลูกน้องของคนที่โดนนลินเฉือนส่วนสำคัญของผู้ชายไปต่างหาก เรื่องราวจึงไม่อาจจบลงที่จ่ายเงินแล้วแยกย้าย“ฉันให้เวลาแกสามวิ ถ้าไม่ขยับอย่าหาว่าไม่เตือน” สีหน้าของนักเลงไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย “สาม สอง หนึ่ง”นราวิชญ์ไม่ขยับเตรียมพร้อมเผชิญหน้าทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง ก่อนจะหันมาหานลิน &ldq
วันหนึ่งในฤดูหนาวนราวิชญ์อายุเพียงแปดขวบตอนที่ได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ทุกครั้งมักจะเห็นแม่ร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ อยากเข้าไปปลอบใจเธอแต่ไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรในตอนนั้นไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่สองคนมีเรื่องอะไรนักหนาถึงขนาดต้องทะเลาะกันแทบบ้านแตกครั้นจะแอบฟังต้นตอสาเหตุปัญหาครั้งใด เขาและน้องสาวที่อายุห่างกันสี่ปีก็มักจะถูกแม่บ้านพาออกไปเล่นข้างนอกเสมอ รู้ตัวดีว่าความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ไม่ลงรอยกันมาตั้งนานแล้ว แต่ถึงอย่างไร เขายังคงหวังอยากให้คนเป็นพ่อช่วยทะนุถนอมหัวใจของแม่ตัวเองบ้างเขาเพิ่งจะมารู้ตอนที่โตแล้วนี่เองว่าพ่อมักจะอ้างเรื่องงานไม่กลับบ้านบ่อยครั้งเพราะหลีกเลี่ยงการทะเลาะกับแม่ แต่แม้จะทำแบบนั้นแล้วสถานการณ์กลับไม่ดีขึ้นเลยเพราะวันหนึ่งเขาเห็นแม่เริ่มทำร้ายตัวเองด้วยการกรีดข้อมือและบท
เขาไม่เคยคิดเลยว่าการอยากทำความรู้จักใครสักคนจะทำให้ตัวเองกลายเป็นแบบนี้ อยู่ดี ๆ ก็ไม่กล้าขึ้นมาทั้งที่เคยมั่นใจมาตลอดว่าแค่เอ่ยปากนิดเดียว ไม่ว่าสาวที่ไหนก็ต้องยินดีตอบตกลงไปแล้วครั้นตัดสินใจว่าจะลองทำอย่างนั้นจึงเดินดุ่มเข้าไปหาด้วยสีหน้าสบาย ๆ ตอนที่นลินออกมาพักข้างนอกร้าน“เอ่อ... คือ...” สีหน้าเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกเวลาที่ดวงตาสีเขียวอมเทาจ้องมา “คือว่า...”“...” นลินมองคนแปลกหน้า ไม่ใส่ใจมากนักเพราะไม่อยากตกหลุมพรางของใครอีกแล้ว“คือว่า...” หนุ่มหล่อที่มักถูกลงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเป็นคาสโนว่ายังคงอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก“มาสมัครงานเหรอ” นลินเป็นฝ่ายถามเพราะเห็นว่าคนตร
ครั้นสั่งลูกน้องตัวเองเรียบร้อยแล้วเขาหันหน้ามาหานลินมองด้วยสายตาหื่นกระหายแล้วเชยคางคนตรงหน้า“ทีนี้ก็ทำอย่างที่บอกฉันสักทีสิ” เสี่ยภพแสยะยิ้มพลางเลียริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะจับมือของนลินมาวางไว้เหนือเข็มขัด “เริ่มจากถอดตรงนี้ออกแล้วค่อย ๆ ลูบให้ฉันชื่นใจสักหน่อย”นลินหน้าชาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจสักนิด ลึก ๆ ในใจโกรธแค้นที่พ่อซึ่งไม่เคยทำหน้าที่คิดจะขายลูกสาว“เสี่ยขา ดื่มเหล้าก่อนดีไหมคะ” เธอลุกขึ้นยืนจะเดินไปเตรียมเครื่องดื่มมาให้แต่ถูกคว้ามือเอาไว้ก่อน จึงโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายยอมตกลง “ผู้จัดการร้านบอกว่าเหล้าตัวนี้ดีกรีแรง กินแล้วกระชุ่มกระชวย เสี่ยไม่อยากลองดูเหรอคะ เวลาทำเรื่องอย่างนั้นอาจจะสนุกขึ้นก็ได้”