โรงแรมหรูที่ตั้งอยู่ย่านหลักสี่เป็นสถานที่ที่รถสปอร์ตแล่นปราดไปจอด หัวใจของคนขับรถกำลังเต้นแรง เมื่อคิดว่ากำลังจะได้เจอเธอ
“ผมมาพบคุณชีวาพรครับ เธอเป็นพนักงานที่นี่” ตีขลุมขอพบเธอเอาดื้อๆ โดยไม่คิดจะถามก่อนว่าเธอทำงานที่นี่หรือเปล่า และคำตอบที่ได้รับนั้นมันทำให้หน้าของเขาแดงก่ำ เขารู้สึกได้ว่าเลือดในกายกำลังสูบฉีดแรง “กวางกลับไปตั้งแต่บ่ายสามโมงค่ะ มันเป็นเวลาเลิกงานของเธอ เพราะเธอต้องไปรับลูกที่สถานรับเลี้ยงเด็ก” “ไม่ทราบว่าสถานรับเลี้ยงเด็กอยู่ที่ไหนครับ ผม...เอ่อ เป็นญาติของเธอ มีธุระคุยกับเธอครับ” ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นสามีและพ่อของเด็ก เพราะกลัวคำถามที่อาจย้อนกลับมาว่าทำไมตนถึงไม่รู้เรื่องของลูกเมีย ซึ่งข้ออ้างนี้มันก็ผ่านฉลุย “ดิฉันรู้แต่ว่าสถานรับเลี้ยงเด็กอยู่ใกล้กับที่พักของเธอ” “กวางพักอยู่ที่คอนโดใช่ไหมครับ” ธีทัตบอกชื่อคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ตรงปากซอยบ้านเดิมของชีวาพรได้อย่างแม่นยำ พนักงานโรงแรมจึงไม่เอะใจสงสัยในตัวเขา เมื่อเธอตอบว่าใช่ เขาจึงรีบผละออกมาโดยไม่ยอมเสียเวลาอีกธีทัตจอดรถไว้บริเวณในซอย ก่อนจะเดินเข้าไปในคอนโดมิเนียม เขาทำตัวกลมกลืนกับผู้พักอาศัย แม้รูปลักษณณ์ของเขาโดดเด่นกว่าใคร แต่เมื่อเขาทำตัวปกติ จึงไม่มีใครสนใจเขาอีก
ชายหนุ่มหย่อนกายนั่งลงบนโซฟาภายในล็อบบี้ ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงสี่สิบนาที เขารีบบึ่งรถจากโรงแรมเพื่อมาถึงที่คอนโดมิเนียมก่อนชีวาพร หวังว่าเธอคงยังไม่กลับมา เพราะอย่างน้อยเธอต้องใช้เวลาแวะไปรับลูกก่อน ธีทัตนั่งรอนานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็น มีคนเข้าออกประปราย ชายหนุ่มรอด้วยความอดทน สายตายังจดจ่ออยู่ที่ประตูรั้วด้านหน้า หากเมื่อเวลาผ่านไปถึงสี่โมงสี่สิบนาที ภาพของคนที่เปิดประตูกระจกด้านหลังของล็อบบี้ก็ปรากฎขึ้นทางหางตา ธีทัตหันไปมองอย่างไม่คิดอะไร หากภาพที่เห็นนั้นทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น ชีวาพรกำลังเดินเข้ามา เธอมีเป้อุ้มเด็กคล้องตัวอยู่ด้วย เด็กตัวป้อมหน้ากลมและเรือนผมดกดำที่เขาเห็นผ่านกล้องวงจรปิดอยู่ในเป้ใบนั้น...สองมือของเธอประคองเด็กตัวกลมอย่างทะนุถนอม เลือดในกายเย็นเฉียบ หลายความรู้สึกกำลังตีกัน ธีทัตดีใจที่ได้เจอเธอ แต่เด็กตัวป้อมคนนั้นทำให้เนื้อกายของเขาเหมือนถูกแช่แข็ง ลิฟต์กำลังเคลื่อนลงมารับหลังจากชีวาพรกดเรียก เธอยืนอยู่หน้าประตูลิฟต์ รอบตัวไม่มีใคร ธีทัตตัดสินใจในวินาทีนั้น...เมื่อประตูลิฟต์เปิดกว้าง เขาจึงเดินดุ่มๆ ตามเธอเข้าไปในลิฟต์โดยสารนั้นด้วยชีวาพรเห็นเขาแล้ว เธอถอยกรูดไปยืนชิดผนังลิฟต์ เขากำลังมองเธอ สายตาคมกวาดมองเธอและน้องพร้อมไปพร้อมกัน
“กวาง...” “คะ...คุณธีร์” “ชั้นยี่สิบสองใช่ไหม” ชีวาพรกดลิฟต์ชั้นยี่สิบสองไปเรียบร้อยแล้ว เธอกดมันก่อนที่จะเห็นธีทัตตามเข้ามา เธอกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี ไม่รู้ว่าการเจอเขาที่นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า ความเงียบกำลังปกคลุมรอบตัว มันเงียบเสียจนชีวาพรรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ หากเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา มันจึงเรียกความสนใจของเขาได้ น้องพร้อมทำเสียงจุ๊บจิ๊บ เด็กน้อยกำลังปั้นปากเล่น เธอรู้ว่าลูกกำลังหิวนม ภาวนาให้ลิฟต์ขึ้นไปถึงชั้นที่ต้องการโดยไว โดยไม่ทันได้สังเกตว่าคนที่อยู่ในลิฟต์กับเธอไม่ได้กดชั้นที่เขาจะไปเลย ติ๊ง... ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อลิตฟ์เคลื่อนไปถึงชั้นยี่สิบสอง ชีวาพรรีบก้าวออกไป ขาของเธอกำลังแข็ง มันเดินติดขัดพิกล เหมือนก้าวผิดจังหวะไปเสียหมด ในจังหวะหนึ่งเธอถึงกับสะดุดขาตัวเอง น้องพร้อมผวากอดเธอไว้แน่น จนเธอต้องโอบกอดลูกเอาไว้ไม่ให้ตกใจ “ระวังหน่อย” เสียงของธีทัตดังอยู่ใกล้หู เขาจับแขนของเธอไว้ ส่วนมืออีกข้างโอบรอบตัวของน้องพร้อมโดยซ้อนทับมือของเธอ ชีวาพรพยายามเบี่ยงตัวหลบ แต่เธอทำได้ไม่ดีเลย เพราะเธอแทบไม่มีแรงขยับตัว สุดท้ายชีวาพรจึงตัดสินใจยืนนิ่งๆ เพื่อเรียกสติตัวเองให้คืนกลับมา ธีทัตถอยห่างจากหญิงสาว ในทีแรกเขาจดจ่อแค่เธอ แต่เมื่อได้พบกันจริงๆ กลับมีอีกคนที่ดึงความสนใจของเขาไปหาจนถอนกลับมาไม่ได้...เด็กคนนี้ทำไมน่ารักจัง ยิ่งดูยิ่งรู้สึกชวนมองจนไม่อยากละสายตา “คุณมาที่นี่ทำไมคะ” “พี่อยากเจอกวาง...กับลูก” “กวางไม่มีอะไรติดค้างคุณธีร์ กวางเคลียร์ทุกอย่างให้คุณธีร์ตั้งแต่วันนั้นแล้ว” วันนั้นก็คือวันที่เขาเรียกเธอเข้าไปในห้องทำงานของบ้านราชเวคิน ภายในห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำจนเธอรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ เขาบอกให้เธอเซ็นเอกสารการหย่า พร้อมด้วยกระดาษเอกสารอีกปึกหนึ่ง ซึ่งจนถึงตอนนี้เธอไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร เพราะเวลานั้นเธอไม่เหลือสติแม้จะอ่านมัน...คิดเพียงว่าชีวิตสูญสิ้นแล้ว ไม่ว่าธีทัตต้องการอะไร เธอก็จะให้เขาไปทั้งหมด “เราเข้าไปคุยในห้องดีกว่านะ กวางพักห้องไหน” “ไม่ค่ะ กวางไม่มีอะไรจะคุยกับคุณและกวางไม่ให้คุณเข้าไปในห้องของกวาง” “ทำไม? หรือว่าในห้องมีคนอื่น กวางมีคนอื่นหรือ” น้ำเสียงของธีทัตสั่นพร่า จนชีวาพรต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเขา เธอไม่อยากเชื่อหูเลยว่าจะได้ยินเสียงเช่นนี้จากคนอย่างเขา แลคล้ายเขากำลังกลัว...ซึ่งนั่นทำให้เธอเกิดความกล้าขึ้นมา “ใช่ค่ะ กวางมีคนอื่น เขาดูแลกวางกับลูกดี เขาเป็นคนสำคัญของเรา ถ้าไม่มีเขา เราคงไม่รอดมาได้จนถึงวันนี้” คนร่างสูงใหญ่ถึงกับเซถอยหลัง เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดตรงๆ เช่นนี้ ชีวาพรฉวยโอกาสเร่งฝีเท้าตรงไปยังห้องพัก หวังจะพาตัวเองไปให้พ้นจากเขา วินาทีนั้นเองที่ทารกน้อยเอนกายจากเป้อุ้มเด็กมามองคนข้างหลัง ดวงตาสองคู่สบกัน ดวงตากลมใสมองคนตัวโตแน่นิ่ง...จนเขารู้สึกตัว‘พี่ธีร์ไม่เคยรักกวางเลยหรือคะ แล้วพี่ธีร์แต่งงานกับกวางทำไม’‘กวางถามทำไม ทั้งที่รู้แก่ใจดีทุกอย่างอยู่แล้ว...หรือกวางอยากให้พี่รู้สึกผิด’‘แต่พี่เลือกแต่งงานกับกวาง ทั้งที่พี่ชอบ...’เธอพูดไม่ทันจบประโยค เขาก็พูดสวนขึ้นมา น้ำเสียงและสีหน้าบ่งบอกว่าเขาเริ่มหงุดหงิดแล้ว‘กวางต้องยอมรับก่อนว่าตอนนั้นกวางเต็มใจแต่งงานกับพี่ พี่ถามความสมัครใจของกวางแล้ว พี่บอกเงื่อนไขการแต่งงานของเราทุกอย่าง กวางยืนยันว่าเข้าใจและรับได้ ดังนั้นการแต่งงานของเราจึงเกิดขึ้น...ส่วนเรื่องที่ทำไมพี่เสนอเงื่อนไขแต่งงานให้กับกวางแทนที่จะเป็นพี่สาวของกวาง เพราะพี่เห็นว่ากวางเป็นคนมีเหตุมีผล กวางดูเป็นผู้ใหญ่ พี่เลยเลือกกวาง เมื่อเรามาจับมือกัน พ่อของกวางก็ขายหุ้นของธุรกิจครอบครัวให้กับราชเวคิน กรุ๊ปได้โดยไม่ขัดกับพินัยกรรมที่บอกให้ขายและถ่ายโอนหุ้นให้คนในครอบครัวเท่านั้น ครอบครัวของกวางได้เงินไปใช้หนี้ พ่อของกวางได้เกษียณงานและได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสบายๆ ส่วนพี่สาวและพี่ชายของกวางก็ได้เงินไปตั้งตัว มันวินวินกันทุกฝ่าย’ ‘พี่ธีร์พูดถึงแต่เรื่องเงินและผลประโยชน์’‘แล้วจะให้พี่พูดถึงเรื่องอะไร? ที่ผ่านมาพี่ไม่เคยห
เข้าหน้าหนาวแล้ว อากาศเริ่มหนาวเย็น หากปีนี้กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศว่าอุณหภูมิอบอุ่นกว่าปีก่อน กระนั้นมันยังเย็นสบายกว่าอากาศในกรุงเทพฯ ชีวาพรมาอยู่ที่นี่ได้ปีกว่าแล้ว แม้เป็นเวลาไม่นาน แต่เธอกลับชอบและคิดว่าเธออยู่ที่นี่ได้ตลอดไปมันไม่ใช่แค่ความต้องการของเธอ หากมาจากคนตัวกลมที่กำลังนอนแกว่งขาอยู่บนรถเข็นเด็กเป็นหลัก อากาศเย็นสบายเช่นนี้ถูกใจลูกชายวัยสิบเดือนของเธอนักเชียวชีวาพรยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้เพิ่งเจ็ดนาฬิกาเศษ ถึงยังไม่ถึงเวลาเปิดร้านร้านกาแฟและเบเกอรี่ที่อยู่ตรงหัวมุมถนน เธอยังมีเวลาพาลูกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ...เช้าๆ อย่างนี้จะมีคนเข้ามาวิ่งออกกำลังกาย ลูกชายของเธอก็มักผงกศีรษะขึ้นมาดูคนที่วิ่งผ่านเจ้าตัวเป็นพักๆน้องพร้อมอยู่ในวัยเริ่มสังเกตและอยากรู้จักผู้คน นอกจากจะเป็นเด็กอารมณ์ดี เจ้าตัวยังมีมนุษย์สัมพันธ์ดีอีกด้วย...ขอให้จำได้เถอะว่าใครเป็นใคร รายไหนก็รายนั้นจะต้องได้รับรอยยิ้มทักทายจากน้องพร้อมมาแต่ไกลเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ลุงหมอที่เพิ่งใช้เข็มฉีดยาจิ้มท่อนขาอวบๆ ของเจ้าตัวไปเมื่อต้นเดือน “สวัสดีครับน้องพร้อม ไปทำงานกับแม่ตั้งแต่เช้าเลยนะเรา”นายแพทย์หน
สถานะแม่ม่ายลูกติดไม่อาจลดทอนความภูมิใจของเธอลงได้ เพราะมันหมายถึงเธอมีแก้วตาดวงใจเข้ามาให้รักหนึ่งคนชีวาพรช้อนร่างป้อมของลูกชายขึ้นมาจากรถเข็น หลังจากพาเจ้าตัวกลมกลับมาถึงบ้านเช่าที่อยู่ห่างจากร้านกาแฟประมาณสี่ร้อยเมตร เมื่อเดือนกันยายนปีก่อน เธอนั่งเครื่องบินมาลงที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยไม่รู้จุดหมายปลายทางที่จะไปต่อ เมื่อคิดว่านอกจากบ้านที่กรุงเทพฯ แล้ว เธอนึกถึงที่ไหนอีก...ก็คงเป็นที่แห่งนี้ เพราะเธอเคยมาเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ถึงสี่ปี ความเคยชินพาเธอกลับมา เมื่อนั่งอยู่ในสนามบินได้สักพัก เธอจึงโทร.ไปหานิสา เพื่อนร่วมคณะที่ยังปักหลักอยู่ที่เชียงราย ทั้งที่เจ้าตัวไม่ใช่คนในพื้นที่นี้เลยเมื่อนิสามาถึง ชีวาพรยังจำสีหน้าตกใจของเพื่อนได้...เรียวปากสวยแย้มเป็นเชิงหยัน เธอกำลังหยันตัวเองเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น ‘กวาง! เธอท้องใช่ไหม? ไหนเมื่อ 2-3 เดือนก่อนเธอบอกว่าหย่ากับคุณธีร์แล้วไง’‘อืม...’นั่นคือคำตอบของเธอ แม้เธอพยายามทำหน้าตาให้สดชื่น แต่สภาพของคนที่นอนไม่หลับมานานนับเดือน มันคงไม่ดีไปกว่าซอมบี้สักเท่าไร‘ไปที่ร้านของฉันก่อน’‘ร้านอะไร? เธอเปิดร้านขายของเหรอ’
ลิ้นชักตู้เก็บเอกสารในห้องทำงานถูกเปิด ข้างในนั้นมีซองสีน้ำตาลถูกเก็บไว้อย่างดี มือหนาดึงเอกสารสัญญาออกมาดู แค่เห็นตัวหนังสือบนหัวกระดาษ หัวใจของเขาก็กระตุก เพราะใบหน้าของเธอคนนั้นลอยเด่นเข้ามาในมโนสำนึกชีวาพร...ลูกสาวคนเล็กของคุณนพ นักธุรกิจใหญ่ที่รู้จักกันดีตั้งแต่สมัยพ่อของเขา หากเมื่อถึงจุดหนึ่งที่กิจการของคุณนพซบเซาจนไปต่อไม่ได้ นอกจากมันจะไม่ถูกแก้ไขแล้ว แต่คุณนพกลับไม่บอกความจริงกับลูกสาวคนโตและลูกชายคนรองที่อยู่ต่างประเทศให้รับรู้ ทั้งสองคนจึงใช้ชีวิตเยี่ยงลูกเศรษฐี ธีทัตรู้เห็นทุกอย่าง แต่เขาถือว่ามันเป็นเรื่องของครอบครัวคนอื่น ตนไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามกระทั่งวันหนึ่งคุณนพมาปรึกษาพ่อของเขาเรื่องต้องการขายหุ้นบริษัท พ่อสนใจ เพราะธุรกิจนั้นสามารถรวบเข้ากับธุรกิจในเครือของราชเวคินได้ มันจะกลายเป็นกิจการที่เอื้อประโยชน์กัน แต่ติดตรงที่ผู้ก่อตั้งบริษัทซึ่งก็คือพ่อของคุณนพได้ตั้งเงื่อนไขไว้ว่าห้ามขายหุ้นให้กับคนนอก เพราะต้องการให้บริษัทเป็นที่ทำมาหากินของลูกหลานในตระกูลเท่านั้น‘ธุรกิจน่าสนใจ แต่ถ้าเราไปซื้อมา มันก็ขัดเจตนาของผู้ก่อตั้งบริษัท ถึงแม้เขาไม่อยู่แล้ว แต่ผมก็จะไม่ยุ่ง...
อากาศในตอนกลางคืนเย็นลงกว่าตอนกลางวัน อุณหภูมิลดต่ำลงถึงสิบห้าองศาเซลเซียส ชีวาพรพอคุ้นเคยกับมัน เพราะเธอเคยสัมผัสหน้าหนาวของจังหวัดเชียงรายมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ในตอนนั้นเธอกับนิสานอนกอดกันกลมอยู่ในหอพักตามประสานักศึกษาต่างถิ่นที่ไม่คุ้นกับอากาศหนาว แต่ตอนนี้มีคนตัวกลมหนึ่งคนที่สัมผัสหน้าหนาวเป็นครั้งแรก แต่เจ้าตัวกลับกระดี๊กระด๊าชอบใจเสียเหลือเกิน จนเวลาสามทุ่มแล้วก็ยังไม่ยอมเข้านอน“น้องพร้อมมาให้แม่กอดหน่อยค่ะ แม่หนาวมาก แม่อยากกอดหนู”น้องพร้อมฟังรู้ความแล้ว รู้ว่าแม่เรียกให้ไปหาเจ้าตัวน้อยจึงผละจากโต๊ะตัวเตี้ยที่ยืนเกาะเล่นอยู่ตั้งนาน แล้วคลานตุ้บตั้บไปหาแม่ชีวาพรรั้งร่างเล็กกลมเข้าสู่อ้อมกอด ลูกน้อยเงยหน้าขึ้นไปมองแม่ แววตาของลูกเปี่ยมด้วยความรักและไว้วางใจ มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์เหลือเกิน ชีวาพรไม่เคยรู้จักความรักแบบนี้ เพราะไม่เคยมีใครมองเธอด้วยสายตาเหมือนที่ลูกกำลังมอง...“อุ่นจังเลย แม่กอดหนูแน่นๆ เลยนะคะ”เมื่อแม่แกล้งกอดแน่นมากขึ้น แทนที่น้องพร้อมจะดิ้นหนี แต่เจ้าตัวกลมกลับหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างชอบใจ ยกลำแขนเล็กอวบขึ้นไปกอดคอแม่ จนแม่ต้องหอมแก้มกลมๆ อย่างเต็มรัก“ช
“ตูม! ปลาติดเบ็ด”คนที่นั่งซดเบียร์ตรงเก้าอี้ริมสระพูดขึ้นมาพร้อมกับเสียงน้ำแตกกระจายเมื่อใครสักคนพุ่งตัวลงไปในสระว่ายน้ำ คนที่นอนอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ จึงต้องลดหนังสือลงมามอง แล้วถามอย่างงุนงง “มีอะไร? ปลาที่ไหนติดเบ็ด?”แถวนี้มีแต่พี่ชายของตนทั้งสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนอีกคนนั้นกำลังจ้วงแขนว่ายน้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย“ปลาฉลามในสระ”“ปลาไหลไฟฟ้าต่างหาก” ถามเองแย้งเอง...อันที่จริงภพธรไม่มั่นใจหรอกว่าคนในสระว่ายน้ำเป็นปลาไหลไฟฟ้าได้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ...พี่ชายใหญ่ไม่เหมาะกับปลาฉลามนักล่าอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่ได้ออกล่าเหยื่อ แต่เขาอาศัยชั้นเชิงที่เหนือกว่าวางกับดักแล้วรอให้เหยื่อหลงมาติดกับเอง“อ้าว! มึงด่าเฮียธีร์ว่ากะล่อนตอแหลแหรอ”ชนกันต์ทำเสียงโวยวาย ฟังก็รู้ว่าตั้งใจจะให้คนในสระได้ยิน ซึ่งภพธรได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา รู้ว่าตนถูกใช้เป็นเครื่องมือให้พี่ชายคนที่สามหลอกด่าพี่ชายใหญ่เสียแล้ว เขาคิดจะจบเรื่อง...แต่ต่อมอยากรู้รั้งไว้เสียก่อน“ช่วงนี้เฮียธีร์เครียดเรื่องอะไร”“เรื่องเมียไง”“เมียเก่า?”“ก็นั่นแหละ...คนนั้นคนเดียว”“บ้าหรือเปล่า เรื่องผ่านมาสองปีแล้ว ป่านนี้น้องกวา
ชีวาพรทำข้าวกล่องสามสิบกล่องเสร็จในเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา วันนี้มีเมนูหมูทอดกระเทียมพริกไทยกับหมูผัดพริกหยวก โดยเธอต้องออกไปใช้ห้องครัวที่ต่อเติมขึ้นมาใหม่ เพื่อป้องกันกลิ่นอาหารเข้ามารบกวนภายในพื้นที่ของร้านกาแฟ ระหว่างนั้นเธอจึงต้องวิ่งรอกดูแลลูกค้าที่มาซื้อกาแฟพร้อมกับดูแลลูกชายไปในตัว นิสาหายไปเกือบครึ่งวัน เธอนึกสงสัยว่าเพื่อนหายไปทำอะไรตั้งนาน ตั้งใจว่าเมื่อทำงานเสร็จแล้วจะโทร.ไปถามสักหน่อย ทว่าเพียงครู่เดียว นิสาก็กลับมาพร้อมกับอารมณ์เคร่งเครียด “ฉันทำข้าวกล่องเสร็จพอดี เธอให้รถมอเตอร์ไซค์เอาไปส่งลูกค้าได้เลยนะ” “ได้สิ ขอโทษด้วยนะที่หายไปนาน เลยไม่ได้ช่วยเธอทำงาน พอดีเจ้าของที่เช่าร้านโทร.มาคุยเรื่องต่อสัญญา ฉันเลยขี่รถไปหาเขาที่บ้านเสียเลย เห็นหน้าเห็นตากันจะได้คุยกันง่ายขึ้น” “เรื่องที่เขาจะเอาร้านคืนใช่ไหม” “ใช่ ฉันขอยืดเวลาหนึ่งปี เขาไม่ตกลง แต่ยอมเซ็นสัญญาเช่าให้ฉันอยู่ต่ออีกหกเดือน พอครบหกเดือนแล้วค่อยว่ากันใหม่ เฮ้อ! พอไม่ใช่ที่ของเรา มันก็ยุ่งยากอย่างนี้แหละ” “เขาจะเอาร้านคืน หรือเขาแค่อยากขึ้นค่าเช่าเพราะเห็นว่ายอดขายของร้านเราดีขึ้น” ชีวาพรอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าอาจมั
ประตูห้องทำงานที่อยู่บนชั้นบนสุดของสำนักงานราชเวคิน กรุ๊ปถูกเปิดออก หลังจากเจ้าของห้องอนุญาตให้คนที่มาพบเขาเข้ามาในห้องได้ธีทัตปรายตามองชายร่างสูงวัยไล่เลี่ยกับเขาที่เดินเข้ามา ซึ่งฝ่ายนั้นก็มองเขาอย่างประเมินเช่นกัน “เชิญนั่งครับคุณเด่นภูมิ เมื่อวานคุณมาพบผมด้วยใช่ไหม”ธีทัตพูดเข้าเรื่อง เพราะเขาไม่อยากเสวนากับ ‘พี่ชายของอดีตเมีย’ ให้ยืดเยื้อนัก แม้การพบกันครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง แต่เขาเชื่อว่าตนดูคนไม่พลาด...ธีทัตไม่ได้แปลกใจที่รู้ว่าเด่นภูมิปล่อยให้พ่อที่สุขภาพไม่ดีกับน้องสาวที่ด้อยประสบการณ์ในธุรกิจต้องแบกรับภาระกันเพียงสองคน แถมตัวเองยังเรียกร้องเงินจากพ่ออยู่เรื่อยๆ แม้ภายหลังจะรู้กิจการของครอบครัวย่ำแย่แล้วก็ตาม“ใช่ แต่ผมไม่ได้เจอคุณ เลขาฯ ของคุณบอกว่าถ้าผมจะคุยกับคุณ ผมจะต้องนัดเวลาล่วงหน้า” น้ำเสียงของเด่นภูมิเจือความหงุดหงิดอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก หากคนที่นั่งหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ยังคงใจเย็น บอกด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย“เมื่อวานผมติดประชุมทั้งวัน ปกติผมไม่ค่อยอยู่ที่ห้องทำงาน ไม่ทราบว่าคุณเด่นภูมิอยากคุยกับผมเรื่องอะไร”“ผมอยากรู้เรื่องบ้าน ทนายความบอกว่าบ้านของครอบครัวผมถูก
โรงแรมหรูที่ตั้งอยู่ย่านหลักสี่เป็นสถานที่ที่รถสปอร์ตแล่นปราดไปจอด หัวใจของคนขับรถกำลังเต้นแรง เมื่อคิดว่ากำลังจะได้เจอเธอ“ผมมาพบคุณชีวาพรครับ เธอเป็นพนักงานที่นี่”ตีขลุมขอพบเธอเอาดื้อๆ โดยไม่คิดจะถามก่อนว่าเธอทำงานที่นี่หรือเปล่า และคำตอบที่ได้รับนั้นมันทำให้หน้าของเขาแดงก่ำ เขารู้สึกได้ว่าเลือดในกายกำลังสูบฉีดแรง“กวางกลับไปตั้งแต่บ่ายสามโมงค่ะ มันเป็นเวลาเลิกงานของเธอ เพราะเธอต้องไปรับลูกที่สถานรับเลี้ยงเด็ก”“ไม่ทราบว่าสถานรับเลี้ยงเด็กอยู่ที่ไหนครับ ผม...เอ่อ เป็นญาติของเธอ มีธุระคุยกับเธอครับ”ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นสามีและพ่อของเด็ก เพราะกลัวคำถามที่อาจย้อนกลับมาว่าทำไมตนถึงไม่รู้เรื่องของลูกเมีย ซึ่งข้ออ้างนี้มันก็ผ่านฉลุย“ดิฉันรู้แต่ว่าสถานรับเลี้ยงเด็กอยู่ใกล้กับที่พักของเธอ”“กวางพักอยู่ที่คอนโดใช่ไหมครับ”ธีทัตบอกชื่อคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ตรงปากซอยบ้านเดิมของชีวาพรได้อย่างแม่นยำ พนักงานโรงแรมจึงไม่เอะใจสงสัยในตัวเขา เมื่อเธอตอบว่าใช่ เขาจึงรีบผละออกมาโดยไม่ยอมเสี
การเคลื่อนไหวของคนที่ตามหาชีวาพรอยู่ในสายตาของรปภ.ประจำคอนโดมิเนียม เมื่อหญิงสาวต้องออกไปทำงานทุกวัน รปภ.จึงเปิดประตูด้านหลังให้เธอเดินออกไปเพื่อหลบสายตาของคนพวกนั้น โดยชีวาพรได้บอกความจริงว่าตนเพิ่งบุกรุกเข้าไปในบ้านท้ายซอย พร้อมกับบอกเหตุผลให้รู้ว่าตนเข้าไปทำไม เธอหวังจะให้รปภ.เข้าใจและช่วยปกป้องอันตรายให้เธอกับลูกในอีกสองวันข้างหน้านิสาต้องกลับไปที่เชียงราย จากกำหนดเดิมที่จะอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ เนื่องจากพ่อค้าที่เคยมีร้านขายของติดกันโทร.มาบอกว่าได้ทำเลเปิดร้านใหม่ ซึ่งมีพื้นที่ว่างพอสำหรับเธอ นิสาจึงอยากไปดูด้วยตัวเอง“พรุ่งนี้พาบูบุ๊ยไปฝากเลี้ยงก็แล้วกันนะ ฉันจะเฝ้าอยู่ที่นั่นทั้งวัน จะได้เห็นว่าเขาเลี้ยงหลานยังไง”“เขาจะยอมให้เราเฝ้าเหรอ”“ไม่ยอมก็ต้องยอม หรือเธอกล้าพาลูกไปฝากไว้โดยที่ไม่รู้ว่าลูกกินนอนยังไง”การมีนิสาอยู่ข้างๆ มันดีอย่างนี้เอง ชีวาพรรู้สึกว่าตนยังไม่เด็ดขาดพอ บ่อยครั้งที่เธอคิดอะไรไม่รอบคอบ ซึ่งเพื่อนคนนี้จะช่วยเธอคิดและตัดสินใจได้ดังนั้นในวันต่อมา น้องพร้อมจึงถูกนำไปฝากเลี้ยงที่สถานรับ
“คราวหน้าฉันจะระวังตัว ไม่เผลอเดินเข้าไปแล้ว”“ไม่ใช่ระวังตัวธรรมดา แต่เธอต้องระวังตัวให้มากๆ ต่อไปเธอต้องอยู่กับบูบุ๊ยกันแค่สองคน ถ้าเกิดอะไรขึ้น มันจะไม่มีใครช่วยเธอได้ เธอยังต้องอยู่ดูแลลูก เธอต้องใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทสักก้าวเดียว อีกอย่าง...ฉันว่าเธองดพาบูบุ๊ยไปเดินเล่นในพื้นที่ว่างใกล้บ้านเดิมเถอะ เพราะมันไม่ปลอดภัยแล้ว ฉันกลัวเจ้าของบ้านคนใหม่จะหาเรื่องใส่ความเธอ อย่างเช่นบอกว่าของในบ้านหาย โบ้ยว่าเธอเป็นคนเอาไป มันจะซวยเอานะ”คล้ายพูดเป็นตุเป็นตะ แต่คนที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระและดูแลตัวเองมานานอย่างนิสาย่อมเคยพบเห็นเรื่องทำนองนี้ คนเดี๋ยวนี้ไว้ใจได้ยาก ในแต่ละวันจึงต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของใคร...เมื่อหันไปมองเพื่อนและหลานรัก นิสาจึงอดที่จะหนักใจไม่ได้เฮ้อ! ฉันวางใจยายกวางให้อยู่กับบูบุ๊ยที่กรุงเทพฯ ได้ไหมเนี่ย“เธอมันคุณหนูใสซื่อ ไม่ทันเหลี่ยมคน” นิสาพูดขึ้นมาตามใจคิด“แต่คนที่ซื้อบ้านของพ่อได้ก็ต้องมีเงินมากพอ เขาจะต้องการอะไรจากฉันอีก ฉันไม่มีอะไรให้เขาสักหน่อย”นิสาส่งค้อน เ
“อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่นะเฮีย อยากกลับไปเป็นผัวเมียกับกวางเหมือนเดิมใช่ไหม” ชนกันต์กระเซ้าถาม“เปล่า”“อ้าว!”น้องชายทั้งคู่อุทานพร้อมกัน...เป็นใครจะไม่ร้องอ้าว! ในเมื่อธีทัตทำท่าเหมือนขาดชีวาพรไม่ได้ เขาไม่ยอมหย่า แถมยังตามหาเธอจนวุ่นไปหมด แต่พอถามว่าต้องการอะไร อยากกลับไปคืนดีกันไหม เจ้าตัวกลับปฏิเสธ...จะมีใครทำตัวเข้าใจยากเหมือนพี่ชายเขาอีกไหม“กวางไม่ได้กลับมาคนเดียว”รู้ว่าน้องชายกำลังงงตน ธีทัตจึงให้เหตุผล สีหน้าของเขาหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด“เมียของเฮียมีผัวใหม่มาด้วยเหรอ”ชนกันต์ถามเสียงซื่อ เมื่ออยากจะเข้าใจพี่ชายให้กระจ่าง เขาจึงถามตรงๆ หากคำถามของเขากลับเสียดแทงหัวใจคนฟัง“เดี๋ยวกูถีบตกเก้าอี้”“ผมแค่ถาม มันใช่หรือไม่ใช่ เฮียก็ตอบมาสิ”“กูยังไม่รู้”“เฮียบอกว่ากวางไม่ได้กลับมาคนเดียว มันหมายความว่ายังไง กวางกลับมากับใคร”“เด็ก...” เสียงของธีทัตแหบพร่า ทั้งที่พยายามจะปรับ
ตั้งแต่กลางซอยไปจนถึงปากซอยมีคอนโดมิเนียมขึ้นอยู่หลายตึก ธีทัตเดินตามหาชีวาพรด้วยวิธีเดิม นั่นคือนำรูปของเธอกับเด็กชายตัวกลมที่ได้จากกล้องวงจรปิดมาถามกับคนแถวนั้น ซึ่งผลที่ได้ก็ไม่ต่างกับคราวถามจากพ่อค้าโรตีสายไหม“รูปไม่ชัด ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นเมียของคุณจริงๆ คุณน่าจะมีรูปถ่ายของเธอที่ชัดกว่ารูปจากกล้องวงจรปิด”ยามรักษาความปลอดภัยประจำคอนโดมิเนียมตรงปากซอยบอกถึงสาเหตุที่ไม่อาจให้คำตอบกับเขา แถมเขายังได้รับสายตาไม่ไว้ใจกลับมา มันทำให้ธีทัตฉุกคิดขึ้นมาได้ เขาจึงรีบเปิดรูปเก่าของชีวาพรที่ยังเก็บไว้ในโทรศัพท์ออกมาโชว์ รูปถ่ายรูปนี้ชัดเจน เธอยิ้มสดใสให้เขา แววตาของเธออ่อนหวานขณะมองกล้องที่เขาเป็นคนถ่ายเธอเอง “เธอเป็นเมียของผม ทีนี้บอกได้หรือยังว่าพี่เห็นเธอหรือเปล่า”“แล้วเด็กคนนี้ล่ะ”“ลูกของผม”ธีทัตบอกพลางหรี่ตามองรปภ. ท่าทางคนคนนี้มองยากกว่าพ่อค้าโรตีสายไหม จนเขาต้องพูดหยั่งเชิงไปก่อน“ผมกำลังตามหาลูกเมียของผม เธองอนผม เราทะเลาะกันนิดหน่อย...พี่เห็นเธอใช่ไหม พี่รู้ด้วยใช่ไหมว่าเธอพักอยู่แถวไหน”“ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ที่นี่มีแต่ลูกบ้านที่อยู่มานาน ไม่มีลูกเมียของคุณหรอก”คำตอบนั้นทำให้
โชคดีที่การสัญจรบนถนนกำลังคล่องตัว หากรถทุกคันยังแล่นไปช้าๆ คนในรถสปอร์ตคันสีดำรู้สึกมือไม้สั่น เขาจึงพารถคันงามเบี่ยงเข้าข้างทางได้อย่างทันท่วงที ตุ๊กตาหมีหน้ากลม...ธีทัตเพ่งมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ สายตาของเขาคงพร่าเลือนกระมังถึงได้เห็นว่าตุ๊กตาหมีที่อยู่ในอ้อมแขนของชีวาพรนั้นเคลื่อนไหวได้เหมือนสิ่งมีชีวิต เจ้าตัวกลมแหงนหน้ามองตามที่ชีวาพรชี้บอก แถมยังยกมือป้อมๆ ขึ้นมาประกบไหว้...เขามองเจ้าหนูนั่นอย่างพิจารณา แล้วจึงเห็นว่าเจ้าตัวมีหน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูเกินกว่าจะเป็นตุ๊กตาหมีเด็กที่ไหน... คำถามอื้ออึงอยู่ในอก ธีทัตยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าแรงๆ เมื่อคำพูดของก่อฤกษ์วนเข้ามาในหัวอีกหน หากคราวนี้เขาสลัดมันออกไปอย่างเร็ว เด็กคนนั้นเป็นใคร เขาไม่สนใจ ชีวาพรมีสามีใหม่หรือเปล่า เขาไม่อยากคิด... รู้แต่ว่าเวลานี้เขาต้องพบตัวเธอให้ได้ก่อน“เฮียธีร์ต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน อยู่ๆ ก็ตะโกนเรียกเมียเก่ากลางห้องประชุม แล้วผลุนผลันออกไป ทั้งที่ผู้บริหารยังนั่งอยู่ครบองค์ประชุม”ชนกันต์ที่อยู่ในเหตุการณ์ชวนงงเดินเข้ามาในห้องทำงานของภพธรแล้วบอกเสียงเหนื่อยหน่ายใจ เขารู้สึกว่างานนี้พี่ชายใหญ่ทำเรื่องเพี้
มือเรียวบางลูบศีรษะเล็กทุยที่มีเรือนผมสีดำปกคลุม น้องพร้อมเป็นเด็กทารกที่มีผมดกดำและนุ่มมือ อีกทั้งแววตาที่เหมือนรู้ความเกินกว่าเด็กวัยสิบเดือน ยังไม่นับรวมถึงการเจริญเติบโตด้านร่างกายที่ได้ไต่ไปอยู่ตรงขอบบนของเกณฑ์เด็กวัยเดียวกันแล้ว...ทั้งหมดนี้ทำให้น้องพร้อมกลายเป็นเด็กน้อยที่น่ารักและน่ามองสำหรับผู้คนที่ได้พบเห็น บ่อยครั้งที่ใครต่อใครมักเข้ามาทักทายและหยอกเย้าลูกของเธอ ชีวาพรนำลูกใส่ในเป้อุ้มเด็กแล้วเดินเลียบถนนในซอยเข้าไปด้านใน ทารกน้อยตื่นตาตื่นใจ ดวงตากลมกวาดมองไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเธอก็พูดคุยกับลูกไปด้วย “เมื่อก่อนคุณตา คุณลุง คุณป้า และแม่เคยอยู่ที่นี่ บ้านเดิมของเราอยู่ในซอยนี้ แม่จะพาน้องพร้อมไปดูบ้านของครอบครัวเรานะคะ”ทารกวัยสิบเดือนอาจไม่เข้าใจว่าแม่กำลังพูดเรื่องอะไร แต่เจ้าตัวคงจับสัญญาณความรู้สึกของแม่ได้ ดวงหน้าเล็กกลมจึงเงยขึ้นไปมองแม่ จนแม่ต้องก้มลงไปหอมแก้มกลมๆ...ซึ่งเพียงเท่านั้นคนเป็นแม่ก็ได้รับรอยยิ้มอย่างเด็กอารมณ์ดีจากลูกคืนมาแล้ว“ตอนแม่เป็นเด็ก หลังกลับจากโรงเรียน แม่จะชวนพี่เลี้ยงออกมาเดินเล่นในซอยนี้ โน่นไง น้องพร้อมเห็นไหม รถเข็นขายขนมยังอยู
เช้าวันต่อมา รถรับจ้างขนของจากเชียงรายแล่นมาถึงคอนโดมิเนียมที่อยู่ย่านรามอินทราในเวลาสาย หลังจากข้าวของถูกขนย้ายเข้าไปในห้องพักของผู้อาศัยที่ย้ายมาอยู่ใหม่เรียบร้อยแล้ว พวกเธอก็ใช้เวลาจัดห้องเกือบทั้งวัน ซึ่งกว่าจะเสร็จลงได้ก็แทบหมดแรงหากมีคนคนหนึ่งที่ยังสดชื่น เจ้าตัวคลานออกมาจากห้องนอนแล้วนั่งมองแม่กับคุณน้า ก่อนจะยิ้มเผล่หน้าเป็น“หนูตื่นแล้วหรือคะ”ชีวาพรปราดไปอุ้มลูกชายตัวกลมไว้ในอ้อมแขน ในระหว่างที่จัดห้องอยู่ด้านนอก เธอพาลูกเข้าไปนอนกลางวันอยู่ในห้องนอนขนาดเล็กที่กั้นไว้อย่างเป็นสัดส่วนแม้เป็นสถานที่แปลกใหม่ แต่น้องพร้อมไม่ได้ร้องไห้งอแงเมื่อตื่นนอนแล้วไม่เห็นแม่ แต่เจ้าตัวกลมกลับคลานออกมาหาแม่ตามเสียงพูดคุยที่ได้ยินด้วยตัวเอง“เด็กอะไรรู้ความขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพอพาไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก บูบุ๊ยจะร้องไห้หรือเปล่า”นิสาพูดไปตามความรู้สึก หากชีวาพรหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด เธอพยายามเข้มแข็ง หากหัวอกของแม่ย่อมไม่อยากห่างจากลูก เธอมีความเป็นห่วงลูกอยู่เต็มหัวใจ จนถึงวันนี้เธอยังกลัวไปสารพัด...กลัวว่าใครจะทำให้ลูกของเธอเจ็บ เมื่อลูกกลัวและร้องไห้ แล้วจะมีใครอุ้มและปลอบโยนลูกของเธอไ
ห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน ขนาดห้องแค่พออยู่ นิสามองไปรอบๆ ห้อง แล้วขมวดคิ้วมุ่นมันอุดอู้เกินไป สงสารเจ้าก้อนน้อยจัง...หากเธอไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะรู้ว่าชีวาพรเลือกที่พักที่ดีที่สุดเท่าที่กำลังเอื้อมถึงแล้ว ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสถานการณ์การเงินของเพื่อนคงไม่ดีนัก“ฉันยังค้างเงินเธออีกหนึ่งแสนกว่าบาท ฉันจะขอคืนสี่หมื่นก่อน พอสิ้นเดือน ฉันจะได้เงินค่ารื้อถอนร้าน ฉันค่อยปิดหนี้ทั้งหมดให้เธอ”“ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอมีเงินเท่านี้ใช่ไหม เก็บไว้กินใช้เถอะ ฉันยังมีเงินสำรองใช้ทั้งปีและฉันกำลังจะมีงานที่โรงแรมทำ ส่วนเธอยังไม่มีอะไรแน่นอน ค่อยคืนฉันตอนที่เธอได้เงินมาแล้ว”มันเป็นจริงอย่างที่ชีวาพรพูด เงินสี่หมื่นที่นอนอยู่ในบัญชีเป็นเงินก้อนสุดท้ายของเธอ เธอควรเก็บไว้กินข้าวและจ่ายค่าเช่าห้องระหว่างหาช่องทางทำมาหากินต่อไป แต่พอหันไปมองหลานรักที่กำลังเกาะโซฟาเดิน เธอก็รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย...เฮ้อ! ทำไงดีล่ะ อยากให้บูบุ๊ยมีที่อยู่ที่ดีกว่านี้ “มันไม่ได้แย่ แค่ห้องเล็กลง ตึกนี้มีคนอยู่เป็นครอบครัวตั้งหลายห้อง ห้องแค่นี้แต่เขาอยู่กันหลายคนได้ ส่วนฉันอยู่กับน้องพร้อมแค่สองคน เรามีพื้นที่ใช้สอยมากก