“มีผู้บุกรุก”
“เร็วเข้าทุกคน ช่วยกันจับผู้บุกรุกมาให้ได้”
มีเสียงโวยวายจากหอตำรา เทียนเหวินเพิ่งกลับมาจากน้ำตกใกล้ฟ้าสว่างรีบก้าวเข้าไปถามศิษย์ผู้น้องกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปด้านหน้าสำนัก
“รู้ได้อย่างไร ว่ามีผู้บุกรุก”
“ศิษย์ที่เฝ้าหอตำราถูกอาคมเวทดำ ไม่ได้สติอยู่ตรงบันไดทางขึ้นห้องเก็บคัมภีร์ขอรับ ศิษย์พี่ใหญ่ให้พวกข้าไปดูที่ทางเข้าสำนักและปิดทางขึ้นเขาก่อนที่ผู้บุกรุกจะลงเขาไปเสียก่อนขอรับ”
บอกแล้วเหล่าศิษย์น้องก็แยกไป
“เทียนเหวิน เจ้ามาจากที่ใด”
หลี่ไห่ฉินศิษย์พี่ใหญ่ เดินนำศิษย์อาวุโสคนอื่นมาทางด้านนี้พอดีถามขึ้น
“ข้าได้ยินเสียงตะโกนดังไปทั่วจึงออกมาจากหอนอน และจะไปดูทางโน้น”
ชายหนุ่มชี้ไปทางน้ำตกที่ตนเพิ่งจากมา เวลานี้เทียนเหวินนับเป็นศิษย์พี่ของศิษย์รุ่นหลัง แต่ยังมีหลี่ไห่ฉินกับศิษย์ที่อาวุโสกว่า หากเขาก็ให้ความเคารพตามความเหมาะสม
“ไม่ใช่ว่าเจ้าเพิ่งเดินมาจากทางนั้นหรือ”
ศิษย์พี่ใหญ่หลี่ไห่ฉินถามอีกครั้ง เขาเป็นท่านชายจากเผ่าจิ้งจอก ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำบรรดาศิษย์ในสำนักซ่างเซียนเหนือที่ทุกคนเคารพยำเกรง
“ข้ากำลังจะไป”
เทียนเหวินย้ำพร้อมใบหน้านิ่งสนิท อีกฝ่ายพยักหน้ารับเหมือนไม่ติดใจใดๆ เขาจึงก้าวเท้าเร็วๆ จากมา
ด้วยใจประหวัดคิดไปถึงผู้ที่ตนเพิ่งพบเห็นในคืนนี้ทำให้ชายหนุ่มนึกสงสัยขึ้นมา แม้แปลกใจว่าไยต้องไปดูด้วยตนเอง
เกรงผู้บุกรุกจะไปทางนั้น หรือเกรงว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นผู้บุกรุกเสียเองกันแน่
ร่างสูงใหญ่ข้ามสะพานเหนือธารน้ำที่มาจากน้ำตกแล้วมุ่งเข้าไปยังต้นน้ำ มาถึงบริเวณแอ่งน้ำใกล้กับที่ตนนั่งฝึกวิชาในตอนแรกสายตาคู่คมเข้มก็กวาดมองไปทั่วบริเวณ แล้วก็เห็นร่างหนึ่งนอนฟุบอยู่ใกล้ลำธารฝั่งตรงข้าม แม้ยังมีไอน้ำจับกลุ่มเป็นก้อนหมอกหากก็เบาบางลงด้วยความสว่างค่อยเริ่มคืบคลานแทนที่ความมืด
เทียนเหวินกระโดดลอยสูงแล้วเหาะข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามใกล้ผู้ที่นอนใบหน้าแนบพื้น ใบหน้าเรียวขาวเนียนละเอียด ปากอิ่มสีอ่อนกับจมูกเล็กโด่ง หน้าผากมน คิ้วเรียวดังคันศร มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นสตรี
และหญิงสาวผู้นี้คือคนที่เขาเห็นก่อนหน้านี้
แม้ไม่ทันได้เห็นหน้าชัดเจน ทว่ากลิ่นดอกบัวที่ลอยอบอวลรายล้อมทำให้เทียนเหวินมั่นใจ
ที่น่ากังวลคืออีกฝ่ายมีแผลถูกทำร้ายด้านหลังสูงเกือบถึงช่วงบ่าบอบบาง มองไม่ออกว่าเกิดจากพลังใด ทว่าบริเวณนี้ไร้ร่องรอยการต่อสู่ ไร้ร่องรอยพลังหลงเหลืออยู่ เหมือนเจ้าตัวพยายามหนีมายังจุดนี้แล้วล้มลงหมดสติริมน้ำตก
“แม่นาง”
เอ่ยเรียกแล้วอีกฝ่ายยังนิ่ง เทียนเหวินคิดหนัก หากนางคือผู้บุกรุกเล่า แต่หากลอบเข้ามาจริง นางคงไม่มาเล่นน้ำตกอย่างสบายใจเป็นแน่ อีกอย่างศิษย์น้องบอกว่าผู้บุกรุกไปยังหอตำรา แม้มีความเป็นไปได้แต่นางควรรีบหนีไป ไม่ใช่มาที่นี่
ทบทวนอย่างดีแล้วชายหนุ่มจึงเลือกที่จะช่วยอีกฝ่าย มือหนาร่ายเวทเยียวยาส่งพลังไปยังแผลของคนที่นอนอยู่บนพื้น สีหน้าเจ้าตัวเริ่มซีด คิ้วเรียวงามขมวด ก่อนจะเปล่งเสียงร้องออกมา
“โอ๊ย”
ไอสีดำลอยขึ้นจากบาดแผลบ่งบอกว่าเกิดขึ้นจากเวทสายดำ นางอาจถูกผู้ที่บุกเข้ามาทำร้าย
ขณะกำลังพยายามใช้เวทของตนรักษาให้หญิงสาวอยู่นั้นก็มีเสียงคนกำลังมาทางนี้ แม้คิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าใช่ผู้บุกรุกแต่ด้วยสถานการณ์ที่ตนพบเห็นเจ้าตัวในน้ำตกคงไม่อาจพูดออกไปได้ มีเวลาคิดเพียงไม่กี่อึดใจเทียนเหวินจึงต้องช้อนอุ้มร่างบอบบางขึ้น
ร่างสูงใหญ่พาคนในอ้อมแขนลอยขึ้นไปเหนือแอ่งน้ำก่อนจะมุ่งหน้าฝ่าม่านน้ำตกเข้าไป ด้านในมีอุโมงค์เล็กที่เขาค้นพบนับแต่เริ่มมาฝึกวิชาในช่วงแรก เพราะพลังของเขาแหวกแยกน้ำตกออกจากกันจึงเห็นเข้าโดยบังเอิญ
ชายหนุ่มค่อยๆ วางคนตัวเล็กลงแผ่วเบา ในใจอยากเห็นรอยบาดแผลให้แน่ชัดเพื่อจะได้รู้ว่าเกิดจากพลังอะไร และรักษาได้อย่างเหมาะสม
“ขออภัยแม่นาง ข้าจำต้องล่วงเกินแล้ว”
เขาจับอีกฝ่ายให้นั่งหันหลังให้ตนเอง แล้วผ่อนลมหายใจออกมายาว มือหนาที่จับไหล่บางอย่างเบามือเคลื่อนไปด้านหน้าแบบสั่นๆ แม้จะพยายามสะกดใจตนให้นิ่งเข้าไว้
การใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวสตรี สำหรับเทียนเหวินแล้วนับเป็นครั้งแรก หากไม่นับท่านยายกับมารดาที่มักแสดงความรักต่อตนมากเกินควรจนท่านตาต้องปรามบ่อยครั้ง
มือหนากลั้นใจจับสาบเสื้อหญิงสาวคลายออกเปิดไหล่ข้างที่เจ็บดึงลงกระทั่งมองเห็นแผลเหวอะหวะด้วยรอยไหม้กับแรงกระแทกที่ค่อนข้างลึก เหมือนแผ่นหลังของนางค่อยๆ กลายเป็นสีดำและกำลังจะถูกกลืนกินทั่วทั้งร่าง ผู้ลงมือตั้งใจทำลายให้ถึงชีวิต
เป็นพลังที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นเวทสายดำอย่างแน่นอน
เขาพยายามส่งพลังรักษาไปสู่บาดแผลนั้น ดูดดึงไอชั่วร้ายสีดำลอยขึ้นจากร่างบอบบาง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ไยท่านยังตามมาที่นี่ ในเมื่อเทียนเหวินบอกว่าเขาจะมาดูเอง”
เสียงถามดังแว่วมา หมายความว่าผู้ที่มาคือหลี่ไห่ฉินกับศิษย์คนอื่น
“เพราะท่าทางของเขาราวกำลังปกปิดบางอย่าง”
ด้านนอกน้ำตกร่างสูงเพรียวกำยำของคนสามคนเลือนราง เทียนเหวินพยายามไม่ใส่ใจ ไม่เช่นนั้นสมาธิของตนอาจหลุด ไอพิษร้ายอาจเข้าแทรกได้ กระทั่งมาถึงช่วงสุดท้ายก่อนเวทดำจะหลุดจากร่างหญิงสาวราวเจ้าตัวกำลังต่อสู้กับความทรมานอย่างเต็มขั้น
“อ๊ะ...”
เสียงแผ่วหลุดจากปากอิ่ม ใบหน้าเรียวแหงนเงยกำลังจะกรีดร้องออกมา
=====
ยังไม่ทันรู้จัก ก็ไปถอดเสื้อสาวเจ้าซะแล้วเทียนเหวิน ^^"
“อ๊ะ...”เสียงแผ่วหลุดจากปากอิ่ม ใบหน้าเรียวแหงนเงยกำลังจะกรีดร้องออกมาเทียนเหวินที่เพิ่งกำจัดพลังเวทดำหมดสิ้นต้องรีบตัวคว้าร่างเล็กเข้ามาในอ้อมอกตน มือหนาปิดปากอีกฝ่ายโดยไม่ทันคิดสิ่งใด ทำเอาตนเองก็ยังชะงักไปเช่นกัน เพราะร่างนุ่มนิ่มกึ่งเปลือยแนบแผงอกแกร่ง“พวกท่านได้ยินเสียงใดหรือไม่”ทั้งสามคนที่อยู่ริมลำธารหันมองไปมาหาบางอย่าง“หรือข้าจะหูแว่วไปเอง”คนที่ได้ยินเสียงแปลกๆ พึมพำพลางเกาศีรษะตน“น่าแปลก เทียนเหวินอยู่ที่ใด”เป็นหลี่ไห่ฉินที่สงสัยผู้ถูกเอ่ยถึงได้ยินคำพูดของคนด้านนอกแม้จะค่อนข้างเบา มองดวงหน้าซีดเผือดของสตรีที่ตนกำลังโอบกายไว้ ทั้งยังปิดปากเจ้าตัวเพราะเกรงจะส่งเสียงร้อง ไม่ได้กังวลว่าจะถูกพบเจอ ทว่าร่างกายที่ชิดใกล้กับกลิ่นกายหอมระรวยทำลายสมาธิตนจนอกแกร่งร้อนวูบวาบต่างหากที่ทำให้เขาหวั่นเกรง“หรือเขาอาจไปที่อื่นแล้ว”หนึ่งในนั้นออกความเห็นหลี่ไห่ฉินยังมองไปโดยรอบ ทำให้ศิษย์น้องทั้งสองคนเองก็จำต้องเดินสำรวจรอบๆขณะนั้นเองดวงตาคู่กลมโตที่ปิดอยู่ก็เปิดขึ้น ทำเอาเทียนเหวินใจหายวาบ แม้ตนหวังดีช่วยอีกฝ่ายทว่าใบหน้าทั้งสองอยู่ในระยะประชิดเกินไป“อื้อ”มือหนากดปากอิ่มพลางแขน
“นางไปแล้วอย่างนั้นหรือ”เทียนเหวินกลับมายังอุโมงค์หลังน้ำตกอีกครั้งในยามบ่ายแก่หลังจากเหล่าศิษย์ในสำนักต่างก็ออกตามหาผู้บุกรุกไปทุกที่ แม้กระทั่งลงเขาก็ไม่พบร่องรอย ทั้งยังไปจนถึงทางขึ้นสำนักฝั่งใต้ หากก็ไม่อาจเข้าไปได้เพราะไม่ได้รับอนุญาต และได้รับการยืนยันจากผู้เฝ้าประตูว่าไม่มีผู้ใดผ่านเส้นทางนั้นอาจารย์ใหญ่จี๋เฟิ่งเจ้าสำนักและอาจารย์ในสำนักเรียกศิษย์ทั้งหมดรวมตัว หลังศิษย์พี่อาวุโสตรวจตราหอตำราและได้รู้ว่าคัมภีร์จันทราหายไป‘เราทุกคนต่างรู้ดีว่าคัมภีร์จันทราสำคัญเพียงใด ผู้ที่เข้ามาขโมยคัมภีร์นี้ไม่ประสงค์ดีต่อหกพิภพเป็นแน่ อาจารย์จำต้องทูลต่อองค์จักรพรรดิสวรรค์ ระหว่างนี้อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ทุกคนสอดส่องภายในสำนักทุกที่ หากไม่มีผู้ใดลงเขาจริง หมายความว่าคนผู้นั้นยังหลบซ่อนอยู่ในสำนัก’อาจารย์ใหญ่สั่งก่อนออกเดินทางไปยังสวรรค์ชั้นฟ้านั่นทำให้เทียนเหวินนึกถึงสตรีที่ตนช่วยไว้ขึ้นมา ความเป็นไปได้ว่านางคือผู้บุกรุกนั้นน้อยนิด แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย จะว่าไปแล้วการที่ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักฝั่งเหนือ ทั้งยังเข้ามาที่นี่โดยพลการ ก็เท่ากับนางคือผู้บุกรุกแล้วจะอย่างไรเขาก็ต้องตรวจสอบ
“และคนผู้นั้นก็คือ เทียนเหวิน เจ้านั่นเอง”ปลายนิ้วชี้ของศิษย์พี่ใหญ่ชี้มายังผู้ที่ยืนเบื้องหลังอาจารย์ฝูหมิง ทุกสายตามองตามทันทีเทียนเหวินยืนนิ่ง มีเพียงสีหน้าประหลาดใจที่อยู่ๆ หลี่ไห่ฉินก็โยนหินมาที่ตัวเอง พร้อมสบตากับห้าวอี้ที่มองมายังตนด้วยสายตามีคำถาม“อะไรทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น”เป็นอาจารย์ฝูหมิงถามน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้ายังนิ่งเฉย ไม่ได้นึกสงสัยลูกศิษย์ของตน แม้หลายเสียงจะเริ่มซุบซิบอื้ออึง“อาจารย์อาอาจเชื่อมั่นในศิษย์ของท่าน เราทุกคนรู้ว่าเขาเป็นใคร และนั่นอาจทำให้เขาต้องการมีพลังยิ่งใหญ่โดยเร็ว”คิ้วเข้มของเทียนเหวินกระตุก ไม่ใช่เพราะหลี่ไห่ฉิน แต่เพราะเซียนน้อยดอกบัวจ้องมายังเขาเช่นกัน ชายหนุ่มกำลังคิดว่านางจะเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาหรือไม่“ก็จริงนะ”“อาจเป็นไปได้”หลายเสียงของศิษย์ในสำนักเริ่มเห็นด้วย จนอาจารย์ต้องยกมือขึ้นห้ามเสียงจึงเงียบลง“ไห่ฉิน จะเอ่ยสิ่งใดควรมีหลักฐาน เจ้าเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักซ่างเซียนเหนือ ไม่ควรปรักปรำผู้อื่นลอยๆ”“อาจารย์ปู่ เพราะศิษย์เห็นกับตา ว่าระหว่างที่ทุกคนกำลังตามหาผู้บุกรุก เทียนเหวินไปยังน้ำตกด้วยท่าทีรีบร้อน และศิษย์ตามไปถึงที่นั่นกลับไม
และในเวลาเดียวกันผู้ทำหน้าที่เฝ้าหน้าประตูสองคนก็ลอยลงมาขวางด้านหน้าบันไดทางขึ้นเช่นกัน“ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว ไม่ทราบว่าอาจารย์ปู่มาสำนักฝั่งใต้ด้วยเรื่องอันใด”หนึ่งในนั้นเอ่ยสีหน้าจริงจัง“มีผู้บุกรุกสำนักฝั่งเหนือ และขโมยของสำคัญไป ทางเราจับคนน่าสงสัยมาได้และนางใส่ชุดศิษย์สำนักฝั่งใต้ ข้าจึงนำตัวมาให้ศิษย์น้องสามสอบสวน”อาจารย์ใหญ่จี๋เฟิ่งตอบทันใดสายตาของผู้เฝ้าเวรยามสองคนเหลือบมองไปยังร่างที่ถูกควบคุมตัวเอาไว้ อีกฝ่ายยิ่งก้มหน้างุดดูมีพิรุธ“เช่นนั้น ขอเชิญอาจารย์ปู่ที่ลานฝึกกระบี่ก่อน ข้าน้อยจะไปเรียนให้ท่านเจ้าสำนักทราบ”จากนั้นคนหนึ่งก็เร่งรีบขึ้นบันได อีกคนนำทางไปอีกด้าน ซึ่งไม่นานก็ถึงลานกว้างมีป่าไผ่สูงรายล้อมเทียนเหวินมีเฉิงเคอกับศิษย์อาวุโสอีกคนตามประกบไม่ห่าง ทว่าชายหนุ่มไม่ได้กังวลสิ่งใด สายตาคู่คมกริบเพียงคอยจับตาดูเจ้าของร่างเล็กที่ท่าทางดูลุกลี้ลุกลน ทั้งสีหน้าก็กระวนวายอย่างเห็นได้ชัดมากกว่า“ห่วงคนของเจ้าสินะ”หลี่ไห่ฉินหันมากระซิบน้ำเสียงหยัน ทว่าเทียนเหวินกลับไม่โต้ตอบเพียงไม่นานอาจารย์เจียงซินเจ้าสำนักฝั่งใต้ก็มาพร้อมศิษย์ทั้งสำนักเลยทีเดียว“ขออภัยศิษย์พี่ที่ต
“กรี๊ดดด”เทียนเหวินไม่อาจยืนนิ่งได้อีกแล้ว แม้รู้แก่ใจว่าหลี่ไห่ฉินกำลังจ้องจับผิดตนอยู่ ทว่าเขาเคยช่วยนางมาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้จะให้มองเฉยย่อมทำไม่ได้ ทว่าเพียงขยับเท้ากลับต้องชะงัก เมื่อมีร่างของใครคนหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากบรรดาศิษย์ของสำนักฝั่งใต้“อาจารย์ใหญ่”ทว่าหญิงสาวที่เพิ่งก้าวออกมาเอ่ยได้เพียงคำเดียว พลังเทพเซียนรุนแรงก็แผ่ออกจากร่างของเสี่ยวเหลียนราวต่อต้าน โดยที่ไม่มีผู้ใดคาดถึง และกระแทกเข้าใส่เจ้าสำนักเจียงซินที่ลงมือจนได้รับบาดเจ็บ ทั้งเจียอิน หลี่ไห่ฉิน และผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามาต่างผงะไถลถอยหลังไปหลายก้าวด้วยแรงปะทะ“พลังนั่น”อาจารย์ใหญ่จี๋เฟิ่งกับอาจารย์ฝูหมิงต่างก็หันไปทางเทียนเหวิน ทั้งสองรู้ในทันใดว่าเป็นปราณเทพเซียนมังกร เพราะทั้งสองต่างก็เป็นเทพมังกรเช่นลูกศิษย์หนุ่มผู้เป็นทายาทสวรรค์ร่างบอบบางของเสี่ยวเหลียนทรุดลงแล้วถึงกับกระอักเลือดออกมา ด้วยไม่อาจสะกดปราณที่มากเกินตัวของตนเอาไว้ สีหน้าเจ้าตัวเต็มไปด้วยความทรมาน“เสี่ยวเหลียน”ศิษย์สำนักฝั่งใต้รีบขยับเข้ามาก่อนผู้อื่น หากก็ไม่สามารถเข้าใกล้อีกฝ่ายได้“หลินเฟย เจ้ารู้จักนางหรือ”เจิยอินที่ช่วยประคองเจ้าสำนั
“หากเป็นเช่นนั้น ข้ากับศิษย์อาวุโสของสำนักเรา จะเข้าไปค้นด้วยตนเอง ได้หรือไม่ อาจารย์ปู่ อาจารย์อา”หลี่ไห่ฉินเสนอตัวอย่างหน้าตาเฉย“อย่างไรเราก็เป็นศิษย์สำนักซ่างเซียนไม่ต่างกัน”“เจ้าจะดูถูกสำนักฝั่งใต้มากเกินไปแล้ว”เจียอินก้าวมาเผชิญหน้ากับหลี่ไห่ฉินอย่างไม่พอใจ ศิษย์ทั้งสองต่างส่งสายตาฟาดฟันอย่างไม่มีใครยอมใคร“เช่นนั้นสำนักฝั่งใต้จะแสดงความบริสุทธิ์ใจอย่างไร ในเมื่อนาง...”หลี่ไห่ฉินชี้ไปยังเสี่ยวเหลียนอย่างจงใจกล่าวหา“ลักลอบเข้าไปในสำนักฝั่งเหนือจริง หากท่านเจ้าสำนักไม่มีสิ่งใดปิดบังซ่อนเร้น ย่อมสามารถให้พวกเราเข้าไปค้นหาคัมภีร์ภายในได้ ไม่เช่นนั้น ท่านขุนพลห้าวอี้คงไม่อาจทูลองค์จักรพรรดิสวรรค์ได้ว่าสำนักฝั่งใต้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”คำพูดของหลี่ไห่ฉินนั้นใช้ห้าวอี้ขึ้นมาอ้าง ทว่าความนัยต้องการเอ่ยถึงเทียนเหวิน เพราะหากขุนพลสวรรค์ไม่อาจหาผู้ขโมยคัมภีร์จันทราพบ หรือตามหาคัมภีร์กลับคืนมาได้ ก็ไม่อาจล้างมลทินให้เทียนเหวินทายาทสวรรค์ได้เช่นกัน“ข้าเพียงหลงเข้าไปที่นั่น ไม่ได้ลักลอบเข้าไป”เพราะตนถูกใส่ความ ถูกพันธนาการจนถึงตอนนี้ ทั้งยังถูกลงทัณฑ์ทำลายปราณเซียน แม้จะมีพลังประห
“รายงาน”ไม่นานนักทหารสวรรค์นายหนึ่งก็กลับมา“คนร้ายหลบหนีไปโลกมนุษย์ ทหารบางส่วนตามติดไปแล้วขอรับ”ห้าวอี้พยักหน้ารับ แล้วหันมาบอกกับเจ้าสำนักทั้งสอง“ข้าจะไปกับศิษย์ของพวกท่านเอง พวกท่านไม่ต้องกังวลไป”ผู้เป็นขุนพลสวรรค์เอ่ยปากเองเช่นนี้ เจ้าสำนักทั้งสองยิ่งวางใจมากขึ้นไปอีก“ลำบากท่านขุนพลแล้ว”อาจารย์ใหญ่จี๋เฟิ่งเอ่ย ความรู้สึกผิดยังเต็มล้น หวังเพียงว่าจะสามารถนำเอาคัมภีร์จันทรากลับมาได้ในเร็ววันเทียนเหวินยิ้มมุมปากเล็กน้อย รู้ทันห้าวอี้ว่านอกจากตามไปจับตัวคนผิดมาลงโทษแล้ว ยังต้องการดูพฤติกรรมของตนด้วย“ดูแลตัวเอง และดูแลหลินเฟยด้วย”เจ้าสำนักเจียงซินสั่งกับเจียอินเจ้าตัวรับคำแม้จะขัดใจที่อาจารย์ใหญ่ฝากฝังหลินเฟยกับตนอีกเช่นเคย แน่นอนว่าอีกฝ่ายนับเป็นภาระของนางมากกว่าจะช่วยเหลือสิ่งใดได้มีหลินเฟยติดตามนางคงลำบากมากกว่าไปเพียงลำพังเสียอีก“ออกเดินทางกันเลยเถิด ชักช้ากว่านี้คนร้ายอาจคลาดกับทหารของข้า และยิ่งมีเวลากลบเกลื่อนร่องรอยในโลกมนุษย์”ห้าวอี้บอกแล้วหันไปสั่งให้ทหารนำทาง“อาจารย์ ข้าขอพาเสี่ยวเหลียนไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ นางอยู่กับข้ามาตลอด และเวลานี้นางก็อาการไม่ค่อยดีนัก
“ต้องมีใครสักคนช่วยเหลือนางไว้ และเขาผู้นั้นก็มอบพลังปราณนั้นให้นาง”“ไยเขาต้องมอบพลังให้ข้า”ได้ฟังเช่นนี้เสี่ยวเหลียนยิ่งงุนงง คนผู้นั้นต้องการฆ่านางอย่างนั้นหรือ พลังสูงส่งเช่นนี้นางจะรับไว้ได้อย่างไร“นั่นสิ ทำเช่นนี้ยิ่งทำให้เสี่ยวเหลียนทรมาน”หลินเฟยเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน“มีทางเดียว คือเจ้าอาจกำลังจะตาย”สองสหายสาวต่างหันมองกันเองแล้วยิ่งหน้าซีดกับคำบอกของเจียอิน“อย่างนั้นก็หมายว่า ที่อาจารย์ปู่พูดเป็นความจริง เสี่ยวเหลียนมีเวลาเหลืออีกไม่นานอย่างนั้นหรือ”“ใช่ เทพเซียนผู้นั้นมอบพลังปราณให้เจ้าเพื่อยื้อชีวิตเอาไว้ สิ่งที่เจ้าต้องทำให้ได้คือ หลอมรวมปราณของเจ้าให้เป็นหนึ่งเดียวกับปราณเทพให้ได้”เจียอินตอบหน้าตาย ไม่มีความอนาทรต่อชีวิตของเซียนดอกบัวที่ตนไม่รู้จัก“เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี”หลินเฟยเป็นห่วงสหายของตนอย่างมาก นางไม่เคยมองเสี่ยวเหลียนเป็นเพียงภูตรับใช้ ถือว่าอีกฝ่ายเป็นสหายเป็นเหมือนพี่น้องด้วยซ้ำ“จะทำอย่างไรได้ มีเพียงนางที่ต้องพึ่งพาตนเอง”เมื่อดูเหมือนจะไร้หนทางเสี่ยวเหลียนจึงถอนหายใจ ทว่ายังจับมือหลินเฟยปลอบใจ“อย่าเพิ่งกังวลไปนักเลย ระหว่างนี้ข้าจะค่อยๆ บำเพ็ญเพียร
ต่างฝ่ายต่างแตะต้องกันและกัน มือกระด้างบีบนวดผิวบางในทุกสัดส่วน มือนุ่มก็เคล้นไปตามกล้ามแน่น ทั้งแขนกำยำ แผงอกกว้าง หน้าท้องแกร่ง รวมถึงต้นขาชายหนุ่มที่แข็งแรงชวนให้ต้องกลืนน้ำลาย ยิ่งยามที่มืออุ่นทาบทับแนบดอกไม้แสนงาม หญิงสาวก็เกาะกุมตัวตนแกร่งร้อนไว้ในมือตนเช่นกันสองหนุ่มสาวแบ่งปันห้วงอารมณ์วาบหวาม เร่งเร้านำพาให้ร่างกายทั้งคู่ค่อยๆ พลุ่งพล่านขึ้น ตาสบตา ขณะที่ต่างก็หอบหนัก เอินเอินรู้สึกได้ว่ามือตนแทบไหม้ทีเดียว อึดใจต่อมาร่างสูงใหญ่จึงขยับมาชิดบดเบียดเรือนกายเสียดสีเร้าใจเปลือกตาบางปิดลงพร้อมครางเสียงหวานข้างใบหูชายหนุ่ม สองแขนเรียวกอดร่างหนา กางกรงเล็บเล็กเกาะเกี่ยวข่วนบางเบาบนแผ่นหลังอีกฝ่าย ทั้งฟันเล็กยังกัดใบหูชายหนุ่มยั่วเย้า“อา คนดีของข้า เจ้าทำให้ข้าร้อนยิ่งกว่าร้อนแล้วในตอนนี้”เทียนเหวินเสียวสยิวไปทั้งกาย เพราะร่างที่แนบชนิดทั้งหอมกรุ่นและนุ่มนิ่ม ทั้งเจ้าตัวยังรู้ดีว่าต้องปลุกเร้าตนเช่นไร นานวันที่ได้ร่วมรัก เอินเอินสั่งสมประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เขากระตุ้นนาง นางก็กระตุ้นกลับไม่แพ้กัน หากนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มยิ่งพอใจในคนรักของตน เพราะหญิงสาวเร่าร้อนได้ถึงเพียงนี้ก็เพื่อ
ณ ศาลาริมสระน้ำตำหนักเทียนหลันอีกหมื่นปีต่อมาปลายนิ้วเรียวงามกรีดไปตามเส้นสายบรรเลงพิณตามที่ผู้เป็นเจ้าของตำหนักชี้แนะอย่างช้าๆ ด้วยความตั้งใจ ดวงหน้างามมีความจริงจังจนคิ้วขมวดมุ่น ริมฝีปากอิ่มเม้มจดจ่อร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาหยุดยืนกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่ห่างออกมา ทอดสายตามองภาพที่คล้ายตนเคยฝันถึง ทว่าในเวลานั้นเทพธดาจันทราผิงเชี่ยนบรรเลงพิณได้ไพเราะยิ่ง ขณะที่เอินเอินไม่เคยแตะต้องมาก่อน เวลานี้หญิงสาวกำลังเรียนรู้ในสิ่งที่มารดากับท่านยายของเขาสอนสั่งเอินเอินต้องฝึกฝนตนให้เหมาะสมกับที่กำลังจะเป็นสตรีที่เคียงข้างทายาทสวรรค์ ด้วยอีกไม่นานองค์จักรพรรดิสวรรค์จะแต่งตั้งเทียนเหวินขึ้นเป็นรัชทายาท เนื่องจากชายหนุ่มอุทิศตนในหน้าที่ของตนมาตลอดหมื่นปีมานี้จนกระทั่งได้ตำแหน่งหนึ่งในแม่ทัพสวรรค์ นับว่าเป็นเวลาเหมาะสมแล้วที่ชายหนุ่มจะเข้าไปช่วยงานราชกิจของเทพสงครามกับองค์จักรพรรดิเต็มตัวและงานอภิเษกขององค์รัชทายาทก็จะตามมา แม้จะไม่เร็ววันนี้ก็ตาม เพราะเอินเอินสำเร็จเซียนขั้นสูงแล้ว หญิงสาวจึงฝึกหัดสิ่งที่สตรีชาววังสรรค์ต้องสามารถทำได้ไปพลางยืนมองจนพอใจแล้วเทียนเหวินก็ก้าวเข้าไปที่ศาลา และผู้
“ข้าต้องการเจ้า”ชุดบางลอยเหนือผิวน้ำแทบไม่ปกปิดร่างกายงดงาม เทียน เหวินเองก็ใส่เพียงกางเกงตัวเดียว สองเรือนกายแทบเปลือยเปล่า เมื่อโอบกอดเสียดสี ความรุ่มร้อนย่อมก่อเกิด แรงบดเคล้าจากตัวตนเบียดสะโพกอวบ มือกร้านกระด้างวนเวียนเหนือเกสรอ่อนบางทำเอาร่างอรชรอ่อนระทวยแทบทรงกายไม่ได้เพียงอึดใจต่อมาแรงแทรกลึกก็ล่วงล้ำอย่างรวดเร็ว เสียงหวานครางแผ่วอย่างหมดแรงต้านทาน จิตใจหญิงสาวหวั่นไหวไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นระทึกกับสถานที่อันแปลกใหม่ ได้เพียงรับกายแกร่งไว้ยามอีกฝ่ายส่งตัวตนดุนดันแนบสะโพก สองมือหนาย้ายมาโอบตระกองปทุมถันคู่งามราวโอบร่างเล็กไว้กลายๆทว่ายิ่งเบียดเร้าหญิงสาวยิ่งขาอ่อนแรงจนตัวลอย ชายหนุ่มจึงกอดเอวเล็กไว้แล้วพาไปยืนชิดโขดหินก้อนใหญ่ ให้เจ้าตัวได้เกาะพยุงกาย ก่อนปลายนิ้วแกร่งจะกลับมาระรานเกสรดอกไม้แสนงาม บดขยี้พร้อมแรงรักจากสะโพกหนาภายในกายเอินเอินกำลังถูกพายุอารมณ์ร้อนแรงบ้าคลั่งพัดโหมอยู่ภายใน ความเสียวสยิวพุ่งสูงละลิ่วรวดเร็วจนกระตุกรุนแรงกะทันหัน“อื้อ”หญิงสาวครวญครางเสียงพร่าด้วยสุดจะทานทน เรือนร่างงามสั่นรัวพร้อมหอบหนัก เอนอิงพิงหลังกับแผ่นอกหนาขณะเดียวกันนั้นเทียนเหวินปลดชุ
สองร้อยปีในดินแดนมนุษย์ของเทียนเหวินกับเอินเอินผ่านไป ทว่าความหวานชื่นของคู่สามีภรรยากลับไม่ลดลง ทั้งสองดำรงชีวิตด้วยการลงไปขายของป่า และไม่ได้ต้องการทรัพย์สมบัติเงินทองมากไปกว่านี้ พอใจที่จะอยู่เพียงบนภูเขา ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบแต่การที่ลงไปในตัวเมืองก็จำต้องพานพบผู้คน ในบางครั้งความงดงามของเอินเอินก็เป็นปัญหา เมื่อขายผักผลไม้ป่าตามลำพัง ในยามที่เทียนเหวินไปซื้ออาหารหรือข้าวของบางอย่างเพราะเขาไม่ต้องการให้นางลำบากดอกไม้งามย่อมมีภมรเข้ามาดอมดม เอินเอินก็ย่อมมีบุรุษเข้ามาเกี้ยวพา“แม่นาง เจ้าจะลำบากอยู่กับสามีที่ยากจนไปไย นายท่านของข้ายินดีรับเจ้าเป็นอนุ พาไปอยู่ในจวนอย่างสุขสบาย รับรองว่าเจ้าไม่ต้องนั่งตากแดดขายของป่าทั้งวันให้เหนื่อยยากเช่นนี้”“ใช่ นายท่านของพวกข้าสามารถมอบให้เจ้าได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเครื่องประทินโฉม หรือชุดสวยงาม เจ้าเพียงแต่งเนื้อแต่งตัวให้งดงาม ยิ้มหวานรอปรนนิบัติพัดวียามนายท่านกลับมาที่จวนก็เพียงเท่านั้น”บางครั้งผู้ที่เข้ามาถามไถ่พูดคุยก็ไม่รู้ว่านางสามีแล้ว ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปนาน หากก็มีบ้างที่รู้แก่ใจ ทว่ายังไม่วายตามตอแย ภูเขาที่เทียนเหวินกับเอินเอิน
“ข้าอยากแตะต้องเจ้า”“สุดแล้วแต่ท่านต้องการ ข้าไม่ได้ห้าม”บอกแล้วเอินเอินก็กลับมาจูบซ้ำเหนือริมฝีปากได้รูป ครั้งนี้ปลายลิ้นเล็กไล้เย้ายวนตามมาด้วย แน่นอนว่าชายหนุ่มย่อมต้องเปิดรับหญิงสาว ทั้งสองรวบรัดเกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นอย่างเร่าร้อน ขณะที่มือหนาเริ่มเคลื่อนไล้ไปตามเนื้อตัวหญิงสาว สัดส่วนงดงามกับผิวเนียนน่าสัมผัสทำให้เขาไม่อาจอยู่นิ่งได้ฝ่ามือกระด้างไต่ข้างเอวบางกับสะโพกอวบ ส่วนอีกข้างเคล้าคลึงหน้าอกหน้าใจนุ่มหยุ่น เอินเอินเริ่มกายอ่อยระทวยกับความเร่าร้อนที่ตนเป็นฝ่ายจุดชนวน และชายหนุ่มสานต่ออย่างเร้าใจ หญิงสาวทรุดกายลงช้าๆ พร้อมมือบางก็ลูบไล้แผงอกหนาขณะริมฝีปากอิ่มขยับลงจูบคางแกร่ง แตะแผ่วไซ้ลำคอหนาและได้ยินเสียงเครางเข้มในลำคอเทียนเหวินปลายนิ้วเรียวเกลี่ยสะกดเหนือยอดอกที่แข็งเป็นไตของชายหนุ่ม ขณะที่เขายังบีบเคล้นหน้าอกตน มือบางอีกข้างวางยันต้นขาแกร่งเพื่อพยุงกาย โดยลืมคิดไปว่านั่นเป็นการกระทำสุดล่อแหลม ยิ่งทำให้เจ้าของร่างสูงใหญ่ถอนหายใจแรง ทว่าที่ทำเอาเขาต้องครางเสียงเข้มต่ำก็เพราะริมฝีปากนิ่มจูบเม้มยอดอกสีเข้ม“อืม”เหมือนเอินเอินจะค่อยๆ รับรู้ได้ว่าตนต้องทำอย่างไรให้ชายหนุ่มพ
หลังจากช่วยกันขนย้ายข้าวของมายังกระท่อม โดยที่เทียน เหวินยกของหนักเสียเป็นส่วนใหญ่จนเสร็จ ทั้งยังใจดีตักน้ำมาให้เอินเอินอาบในส่วนที่เขาล้อมไม้ไผ่กั้นแบ่งด้านหลัง แม้นางจะเกรงใจบอกว่าไปอาบที่น้ำตกเช่นเดิมได้ หากชายหนุ่มก็ยืนยัน“ข้าตั้งใจทำไว้ให้เจ้า...”ใบหน้าขาวคมขยับมาใกล้พร้อมส่งสายตาวาววามพร้อมเอ่ยเสียงกระเส่าทำเอาใจสาวหวิว“กับข้าลงอาบในถังด้วยกัน”หลังปลายนิ้วแกร่งไล้แก้มนวล ทว่าสีหน้าแววตากลับเปลี่ยนไปเป็นแสนเสียดายแทน“แต่วันนี้เจ้าอาบคนเดียวเถิด ข้ายังต้องไปหาอาหารด้วย คงอาบจากที่น้ำตกมาเลย”เพราะวันนี้ค่อนข้างวุ่นวาย เร่งมือสร้างกระท่อมเสร็จ พาเอินเอินมาที่นี่แล้วก็ขนของ ชายหนุ่มจึงยังไม่ได้จัดการเรื่องอาหารเย็น“ลำบากท่านแล้ว หรือข้าไปช่วยท่านดีกว่า”“อย่าเลย เจ้าเหนื่อยขนของขึ้นลงทางลาดชันหลายรอบแล้ว อาบน้ำพักให้สบายใจเถิด”“ท่านเหนื่อยกว่าข้าเสียอีก”“เถิดน่า หากข้าอยู่ด้วยเจ้าคงไม่ได้อาบน้ำเสร็จง่ายๆ”สุดท้ายเอินเอินก็เชื่อฟัง เพราะหาคำมาแย้งไม่ได้ จำต้องพยักหน้ารับอย่างเขินอายค่ำคืนมาเยือนหลังจากทานอาหารมื้อเย็น เทียนเหวินก็นอนเอนกายรับลมเย็นที่ระเบียง สองมือยกขึ้นรองใ
ช่วงเวลาในดินแดนมนุษย์นั้น ราวเป็นชีวิตที่เทียนเหวินต้องการมากกว่าการเป็นทายาทสวรรค์ แม้ต้องทำทุกอย่างด้วยสองมือ ต้องหาเงินเพื่อดำรงชีวิต ทว่าเขากลับพึงพอใจที่ได้อยู่กับเอินเอิน ทำมาหากินเช่นบุรุษหนึ่งคนที่ต้องดูแลภรรยาให้สุขสบายในช่วงแรกที่ทำงานด้วยตนเอง มือหนาแทบจะแตกยับเลยทีเดียว หากก็ได้เอินเอินหาสมุนไพรมาทาและพันผ้าให้อย่างห่วงใยใส่ใจ เห็นใบหน้างามหมองลงทั้งน้ำตายังเอ่อคลอหน่วยตา ก็เป็นเทียน เหวินที่ต้องเป็นฝ่ายปลอบหญิงสาว‘อย่ามองข้าด้วยสายตาสงสารเช่นนั้น ข้าภูมิใจในตัวเองที่จับปลา ขุดหน่อไม้มาได้ เจ้าได้อิ่มท้องด้วยสองมือของข้า ข้าอยากให้เจ้าภูมิใจในตัวข้าเช่นกัน’เอินเอินพยักหน้ารับ ทว่ากลับน้ำตารินเจ้าตัวก็รีบเช็ดแล้วยิ้มหวานให้เขา นั่นทำให้เทียนเหวินอดใจไม่อยู่ เคลื่อนใบหน้าไปจูบแก้มนุ่มชื้นด้วยน้ำตา ทำเอาหญิงสาวตกใจหน้าแดงเรื่อ เขินอายหากก็ไม่ได้โกรธเคืองเขาแต่อย่างใดยิ่งได้ใช้ชีวิตร่วมกันนานวัน สองหนุ่มสาวก็ยิ่งผูกพันใจ ความลำบากทำให้ต่างช่วยเหลือกันและกัน ห่วงใยกัน ในบางวันที่ชายหนุ่มหาปลากลับค่ำมืดเอินเอินก็กระวนกระวายนั่งไม่ติด เดินไปเดินมาหน้าถ้ำด้วยความกังวล กระทั่ง
“เมื่อครู่ ในหัวข้าเห็นคู่รักคู่หนึ่งปรากฏขึ้น พวกเขามีใบหน้าเหมือนท่านกับ...ข้า”ชายหนุ่มรู้ได้ในทันใดว่าคือซีอวิ๋นกับผิงเชี่ยน“นั่นคืออดีตของเจ้ากับข้า”เทียนเหวินยินดีบอกกล่าวให้อีกฝ่ายได้รับรู้ความสัมพันธ์อันแสนลึกซึ้งที่ผูกพันตนกับเอินเอินเอาไว้“เดิมทีข้าเองก็ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน แต่เพราะก่อนนี้เจ้ากำเนิดเป็นเสี่ยวเหลียน ภูตรับใช้ของหลินเฟย เราบังเอิญได้พบกัน ข้าช่วยเจ้าไว้ และเจ้าเสียสละตนเองช่วยข้ากับคนอื่นๆ ข้าจึงรักษาดวงจิตวิญญาณของเจ้าไว้ในดอกบัวสวรรค์ หวังว่าสักวันจะช่วยเจ้าให้กลับมามีกายทิพย์อีกครั้ง”เอินเอินเข้าใจถึงสายตาราวคุ้นเคยทว่าเจ็บปวดเพราะตนของหลินเฟยก็ในตอนนี้นั่นเอง“แล้วข้าก็ฝันถึงเทพฤดูกาลซีอวิ๋นกับเทพธิดาจันทราผิงเชี่ยนที่มีความรักต่อกันมากมายในครั้งบรรพกาลทุกค่ำคืน จนวันสุดท้ายของทั้งสองที่ต้องจากกันด้วยความเจ็บปวดเพราะความรัก ข้านำบัวสวรรค์มาฝากไว้ยังตำหนักเทียนหลันของท่านแม่ เพราะต้องทำหน้าที่ทหารสวรรค์ ไม่อาจนำดอกบัวติดตามไปทุกที่ได้ แต่แล้ววันหนึ่งเจ้าก็หายไป ต่อจากนั้นก็เช่นที่เจ้ารู้มาก่อนหน้านี้”หญิงสาวไม่คิดเลยว่าเรื่องราวชีวิตตนจะมีเบื
“ท่านพี่”“อย่าได้กลัว ข้าจะสัมผัสเจ้าอย่างอ่อนโยนที่สุด”ลมร้อนรินรดทำเอามือบางจิกปลายนิ้วลงบนบ่ากำยำ ทว่าร่างบางกลับต้องกระตุกเบาๆ จากปลายลิ้นอุ่นที่ลากไล้ก่อนบดจูบเร่าร้อนดื่มด่ำกับรสชาติหวานล้ำเต็มคำ แต่ผู้ที่ทรมานคือเอินเอิน หญิงสาวหอบหายใจแรง ริมฝีปากฝีปากอิ่มถูกขบกัดด้วยเจ้าตัวพยายามข่มบางอย่างที่ปะทุไต่ระดับสูงขึ้น หากจนแล้วจนรอดก็ไม่อาจกลั้นเสียงครวญครางไว้ได้ จำต้องเปล่งเสียงจากอาการเสียดเสียวขั้นสุดที่แล่นปราดทั่วร่าง ชนิดที่ทำเอาปลายเท้าหงิกงอด้วยไม่เคยรับรู้ถึงอาการเช่นนี้มาก่อนแม้จะรู้ว่าคนตัวเล็กก้าวข้ามที่สุดแห่งความสุขสันต์แล้ว ถึงอย่างนั้นเทียนเหวินก็ยังจุมพิตกลีบกุหลาบงาม ลิ้มรสชาติแสนพิสุทธิ์ด้วยความพึงพอใจ ขณะที่อารมณ์หนุ่มก็ทะยานสูงไปด้วยพร้อมกัน กายแกร่งเคร่งเครียดขึงขัง ทว่าเขายังไม่อยากรีบร้อนจนเกินไปร่างอรชรเริ่มคลายอาการเกร็งลง เมื่อริมฝีปากแกร่งผละห่าง แต่แล้วก็ต้องครางฮือในทั้งครั้งที่รอยจูบอุ่นชื้นฝากฝัง จุมพิตบางเบาเคลื่อนไล้จากต้นขาขาวลงต่ำเรื่อยไปถึงปลีน่องจรดปลายเท้า แล้ววกกลับมาอีกข้างไล่สูงขึ้นมาตามเรียวขางาม มือหนาลูบไล้สลับไปมาระหว่างขาสองข้างไม