“รายงาน”
ไม่นานนักทหารสวรรค์นายหนึ่งก็กลับมา
“คนร้ายหลบหนีไปโลกมนุษย์ ทหารบางส่วนตามติดไปแล้วขอรับ”
ห้าวอี้พยักหน้ารับ แล้วหันมาบอกกับเจ้าสำนักทั้งสอง
“ข้าจะไปกับศิษย์ของพวกท่านเอง พวกท่านไม่ต้องกังวลไป”
ผู้เป็นขุนพลสวรรค์เอ่ยปากเองเช่นนี้ เจ้าสำนักทั้งสองยิ่งวางใจมากขึ้นไปอีก
“ลำบากท่านขุนพลแล้ว”
อาจารย์ใหญ่จี๋เฟิ่งเอ่ย ความรู้สึกผิดยังเต็มล้น หวังเพียงว่าจะสามารถนำเอาคัมภีร์จันทรากลับมาได้ในเร็ววัน
เทียนเหวินยิ้มมุมปากเล็กน้อย รู้ทันห้าวอี้ว่านอกจากตามไปจับตัวคนผิดมาลงโทษแล้ว ยังต้องการดูพฤติกรรมของตนด้วย
“ดูแลตัวเอง และดูแลหลินเฟยด้วย”
เจ้าสำนักเจียงซินสั่งกับเจียอิน
เจ้าตัวรับคำแม้จะขัดใจที่อาจารย์ใหญ่ฝากฝังหลินเฟยกับตนอีกเช่นเคย แน่นอนว่าอีกฝ่ายนับเป็นภาระของนางมากกว่าจะช่วยเหลือสิ่งใดได้
มีหลินเฟยติดตามนางคงลำบากมากกว่าไปเพียงลำพังเสียอีก
“ออกเดินทางกันเลยเถิด ชักช้ากว่านี้คนร้ายอาจคลาดกับทหารของข้า และยิ่งมีเวลากลบเกลื่อนร่องรอยในโลกมนุษย์”
ห้าวอี้บอกแล้วหันไปสั่งให้ทหารนำทาง
“อาจารย์ ข้าขอพาเสี่ยวเหลียนไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ นางอยู่กับข้ามาตลอด และเวลานี้นางก็อาการไม่ค่อยดีนัก ข้าเป็นห่วงนาง”
หลินเฟยโอบไหล่ของเสี่ยวเหลียนไม่ยอมปล่อย บ่งบอกว่าอย่างไรก็จะพาอีกฝ่ายไปด้วย
ทว่าเจ้าสำนักเจียงซินไม่ได้ใส่ใจเสี่ยวเหลียน อย่างไรเจ้าตัวก็เป็นเพียงภูตรับใช้ที่หลินเฟยแอบพาเข้าสำนัก
“ลงทัณฑ์ข้าก็ทำไปแล้ว แม้จะไม่อาจทำลายปราณของนางได้ แต่นางก็ได้รับบาดเจ็บ ในเมื่อข้าให้เจ้าไถ่โทษด้วยการช่วยศิษย์พี่ของเจ้า เจ้าพานางไปก็ย่อมได้ อย่างไรเซียนน้อยผู้นี้ก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ในสำนักซ่างเซียน หากเจ้ากลับมาก็ต้องส่งนางกลับเผ่าวิหค”
“ขอบคุณอาจารย์”
หลินเฟยรีบขอบคุณเจ้าสำนักเจียงซิน อย่างน้อยตอนนี้ก็สามารถพาเสี่ยวเหลียนไปด้วยได้ ส่วนกลับมาจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน
จากนั้นจึงประคองเสี่ยวเหลียนไปรวมกลุ่มกับทุกคนเพื่อออกเดินทางในทันที
นับเป็นครั้งแรกที่ทุกคนมายังโลกมนุษย์ ยกเว้นห้าวอี้ซึ่งเป็นขุนพลสวรรค์ ได้รับหน้าที่ให้มาจัดการปีศาจที่ก่อภัยพิบัติให้โลกมนุษย์หลายครั้ง
ขุนพลสวรรค์หนุ่มสั่งทหารวางกำลังรายล้อมเมืองที่รู้ว่าเฉิงเคอมาหลบซ่อนตัวอยู่ ส่วนตนกับเหล่าศิษย์ของสำนักซ่างเซียนปลอมตัวเป็นมนุษย์กลบเกลื่อนกลิ่นไอเทพเซียนเข้าเมืองไปตามหาอีกฝ่าย
ตลาดภายในเมืองซีอันมีผู้คนพลุกพล่าน ร้านค้าขายอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ของมนุษย์ดึงดูดสายตาของผู้มาเยือนครั้งแรกได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหลินเฟยกับเสี่ยวเหลียนที่ยังอายุน้อย ส่วนเจียอินมีนิสัยเคร่งเครียดจริงจังจึงวางตัวนิ่ง หลี่ไห่ฉินเองก็สนใจเพียงเรื่องตามหาเฉิงเคอ
“เฉิงเคอย่อมกำบังตนเอง กลบเกลื่อนไอเซียนเช่นพวกเราแน่นอน และคงระมัดระวังตัว ไม่ยอมเผยตัวตนโดยง่าย”
หลี่ไห่ฉินเอ่ยราวทรงภูมิเหนือผู้อื่น ด้วยเป็นถึงท่านชายจากเผ่าจิ้งจอก จึงถือตนเหนือห้าวอี้ขุนพลสวรรค์ และคิดว่าตนมีความสามารถมากกว่าเทียนเหวินซึ่งเป็นเพียงศิษย์ผู้น้องแม้จะเป็นทายาทสวรรค์
“ข้ามีวิธีติดตามหาเซียนหรือปีศาจที่ปลอมแปลงเป็นมนุษย์แน่นอน ท่านชายไม่ต้องกังวล”
ห้าวอี้บอกเสียงเรียบ หลี่ไห่ฉินจึงยกยิ้มมุมปาก
“อ้อ เช่นนั้นฝากท่านขุนพลด้วย”
เจียอินถอนหายใจอย่างให้รู้ว่าระอา แม้ศิษย์อาวุโสของสำนักฝั่งเหนือจะหันมองตนตาขวางนางก็ไม่สนใจ
ทั้งสองต่างรู้จักคุ้นหน้ากัน ด้วยฝั่งเหนือกับฝั่งใต้จะรวมตัวกันสองครั้งต่อปีเพื่อประลองฝีมือ รางวัลในแต่ละปีต่างกัน บางครั้งก็เป็นอาวุธที่อาจารย์เจ้าสำนักเป็นผู้สร้างขึ้น บางครั้งก็เป็นคัมภีร์เคล็ดวิชา ซึ่งศิษย์สองสำนักผลัดกันได้ไปครอบครอง โดยสองสามปีหลังมานี้ หลี่ไห่ฉินกับเจียอินมักเผชิญหน้ากันในการตัดสินผู้ชนะ ทางด้านเทียนเหวินไม่เคยลงประลองแม้แต่ครั้งเดียว ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายไร้ฝีมือไม่กล้าประลองกับผู้ใด
“เป็นหน้าที่ข้าอยู่แล้ว เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเราหาโรงเตี๊ยมพักกันก่อน ข้าจะออกไปดูลาดเลาเอง”
“ข้าไปด้วย”
เทียนเหวินไม่อยากนั่งรอในโรงเตี๊ยมทำให้หลี่ไห่ฉินเสนอตัวตาม
“ข้าด้วย”
“เช่นนั้นพวกเจ้าสามคนไปรอที่โรงเตี๊ยมก็แล้วกัน ได้เรื่องอย่างไรแล้ว พวกเราค่อยกลับไปหารือกัน”
ห้าวอี้ตัดสินใจให้หญิงสาวทั้งสามพักผ่อน เจียอินมีสีหน้าไม่เห็นด้วย แต่นางยังยำเกรงต่อขุนพลสวรรค์จึงรับฟังโดยไม่แย้งใดๆ
จากนั้นหญิงสาวทั้งสามก็เข้าพักยังโรงเตี๊ยมเล็กๆ ทำตัวเช่นผู้คนสัญจรไปมาหาที่พักระหว่างเดินทาง
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หลินเฟยถามเสี่ยวเหลียนทันทีที่เข้ามาในห้อง เจียอินเพียงปรายตามองแล้วนั่งลงยังโต๊ะกลางห้อง
“เพียงรู้สึกเพลียเท่านั้น”
“พลังเทพเซียนในกายเจ้าสูงส่งนัก น่าแปลก ผู้ที่ทำร้ายเจ้าก่อนหน้านี้เป็นใครกันแน่”
“เฉิงเคอเป็นลูกพี่ลูกน้องกับหลี่ไห่ฉิน เป็นบุตรชายของท่านอ๋องหกเผ่าจิ้งจอก แต่บิดาของเขาไม่มีบทบาทใดในเผ่า ไม่ได้รับใช้ราชสำนัก จึงนำบุตรชายมาฝากฝังไว้กับท่านอ๋องหลี่เว่ยเสนาบดีของเผ่าจิ้งจอก เขาจึงโตมาด้วยกันกับหลี่ไห่ฉิน”
เจียอินกล่าวขึ้นลอยๆ
“แต่ถึงอย่างนั้น พลังเซียนของเขาก็ไม่ได้สูงส่งเช่นปราณเซียนในกายนาง อีกอย่าง หากเขาทำร้ายนาง นางต้องบาดเจ็บจนสูญเสียพลังมากกว่า”
ทั้งหลินเฟยกับเสี่ยวเหลียนต่างก็มองหน้ากันแล้วครุ่นคิด ก่อนเจียอินจะเอ่ยต่อด้วยสีหน้ารำคาญ
“ต้องมีใครสักคนช่วยเหลือนางไว้ และเขาผู้นั้นก็มอบพลังปราณนั้นให้นาง”
=====
เจียอินเดาได้ถูกต้อง แต่ยังไม่มีใครรู้ว่า พลังปราณในกายเสี่ยวเหลียนเป็นของทายาทสวรรค์เลยทีเดียว ยกเว้นท่านอาจารย์ทั้งสอง ^^
“ต้องมีใครสักคนช่วยเหลือนางไว้ และเขาผู้นั้นก็มอบพลังปราณนั้นให้นาง”“ไยเขาต้องมอบพลังให้ข้า”ได้ฟังเช่นนี้เสี่ยวเหลียนยิ่งงุนงง คนผู้นั้นต้องการฆ่านางอย่างนั้นหรือ พลังสูงส่งเช่นนี้นางจะรับไว้ได้อย่างไร“นั่นสิ ทำเช่นนี้ยิ่งทำให้เสี่ยวเหลียนทรมาน”หลินเฟยเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน“มีทางเดียว คือเจ้าอาจกำลังจะตาย”สองสหายสาวต่างหันมองกันเองแล้วยิ่งหน้าซีดกับคำบอกของเจียอิน“อย่างนั้นก็หมายว่า ที่อาจารย์ปู่พูดเป็นความจริง เสี่ยวเหลียนมีเวลาเหลืออีกไม่นานอย่างนั้นหรือ”“ใช่ เทพเซียนผู้นั้นมอบพลังปราณให้เจ้าเพื่อยื้อชีวิตเอาไว้ สิ่งที่เจ้าต้องทำให้ได้คือ หลอมรวมปราณของเจ้าให้เป็นหนึ่งเดียวกับปราณเทพให้ได้”เจียอินตอบหน้าตาย ไม่มีความอนาทรต่อชีวิตของเซียนดอกบัวที่ตนไม่รู้จัก“เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี”หลินเฟยเป็นห่วงสหายของตนอย่างมาก นางไม่เคยมองเสี่ยวเหลียนเป็นเพียงภูตรับใช้ ถือว่าอีกฝ่ายเป็นสหายเป็นเหมือนพี่น้องด้วยซ้ำ“จะทำอย่างไรได้ มีเพียงนางที่ต้องพึ่งพาตนเอง”เมื่อดูเหมือนจะไร้หนทางเสี่ยวเหลียนจึงถอนหายใจ ทว่ายังจับมือหลินเฟยปลอบใจ“อย่าเพิ่งกังวลไปนักเลย ระหว่างนี้ข้าจะค่อยๆ บำเพ็ญเพียร
‘หรือธาตุไฟกำลังเข้าแทรก’เสี่ยวเหลียนตัวสั่นเทา ลูบแขนตนเองทั้งที่เหงื่อชุ่มกาย ปากแห้งคอแห้ง ร่างบอบบางพยายามขยับลุกขึ้น ต้องหาแหล่งน้ำบริสุทธิ์โดยเร็วนางเป็นภูตดอกบัว เมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บ การกลายร่างกลับเป็นร่างดอกบัวดังเดิมแช่ในน้ำจะสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้ เหมือนการจำศีลเข้าฌาน ช่วยให้นางบำเพ็ญเพียรได้เต็มความสามารถ เพราะกายทิพย์ของเซียนน้อยเช่นนางไม่ได้มีกำลังมากนักหญิงสาวเดินโผเผไปจนถึงประตู แม้ไม่รู้ว่าตนจะหาแหล่งน้ำพบได้อย่างไร ทว่าก็ไม่อาจนั่งเฉยอยู่เพียงในห้องนี้ได้ แต่ประตูเปิดออกกลับต้องผงะถอยหลังเมื่อพบคนผู้หนึ่ง“ท่าน”เสียงหวานพึมพำระคนงุนงง“ข้ามาช่วยเจ้า”คิ้วเรียวงามขมวดอย่างไม่เข้าใจ หากร่างสูงใหญ่กลับก้าวพรวดมาหาจนนางถอยไม่เป็นกระบวนอย่างตกใจเกือบล้มลง แต่อีกฝ่ายโอบไหล่ช่วยพยุงได้ทัน“ปล่อยข้านะ”“ข้าบอกแล้วว่ามาช่วยเจ้า”“ท่านจะช่วยข้าได้อย่างไร”เสี่ยวเหลียนจ้องใบหน้าขาวคมที่ก้มลงมาใกล้ของศิษย์สำนักซ่างเซียนเหนือแล้วความรู้สึกหนึ่งก็แวบเข้ามานางเคยเห็นใบหน้าเช่นนี้ในระยะใกล้มาแล้วมือบางรีบผลักอีกฝ่ายทันที ความหวาดกลัวฉายชัดในแววตาพร้อมสะบัดกายหน
“หากยังอยากมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ต้องเชื่อใจข้า”“ท่านขู่ข้า?”หญิงสาวหันกลับมามองอีกฝ่าย แม้รู้สึกว่าใบหน้าของตนใกล้กับใบหน้าขาวคมมากเกินไป ทว่าในตอนนี้ชีวิตของนางอยู่ในช่วงความเป็นความตายที่ไม่รู้ว่าปราณเทพจะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาเมื่อไร หากไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ นางก็ไม่อาจหาทางหลอมรวมปราณได้เช่นกัน“ข้ามีเจตนาดีแต่แรก เพียงแต่เจ้าไม่เชื่อข้าเอง”คราวนี้เทียนเหวินเอ่ยอย่างจริงจัง“ในเมื่อช่วยเจ้ามาก่อนหน้านี้แล้วทำให้เจ้าต้องลำบาก ข้าก็กังวลใจไม่น้อยเลย จึงได้อยากช่วยเจ้าให้ถึงที่สุด”เสี่ยวเหลียนเริ่มมีสีหน้าลังเล ชายหนุ่มจึงย้ำ“ในทุกครั้งที่เจ้าพยายามใช้พลังปราณ ร่างกายของเจ้าจะยิ่งทรมานเพราะพลังที่มากเกินจะรับไหว ดวงจิตวิญญาณที่บาดเจ็บของเจ้าจะยิ่งบอบช้ำ เมื่อถึงที่สุด เจ้าก็จะแหลกสลาย”แม้จะยังไม่ไว้ใจอีกฝ่าย หากนางก็ไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว“ข้าต้องทำอย่างไร”เทียนเหวินแทบจะลอบถอนหายใจเมื่อหญิงสาวเหมือนจะยินยอมให้ตนช่วยแล้ว“นั่งนิ่งๆ หลับตา ข้าจัดการเอง”คำพูดอีกฝ่ายดูมีเลศนัยทำให้คิ้วเรียวงามขมวดมุ่น สีหน้าแววตาสงสัยชัดเจน“เถิดน่า หากไม่รีบ คนอื่นกลับมาระหว่างนี้แล้วมาพบเข้า ข้ากับเจ้าอา
ร่างกายของเสี่ยวเหลียนดีขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หญิงสาวรู้สึกตัวในเช้าวันถัดมาเป็นเวลาเดียวกันกับที่เจียอินเข้ามาในห้องพอดี อีกฝ่ายมองนางแวบเดียวแล้วนั่งลงบนโต๊ะรินน้ำชาจิบ“เอ่อ หลินเฟยไปไหนหรือ”“ล้างหน้าล้างตา”นางพยักหน้ารับแล้วเงียบไปอย่างทำตัวไม่ถูก เพราะไม่เคยพูดคุยหรืออยู่ตามลำพังกับศิษย์พี่ของหลินเฟยมาก่อนเจียอินเองก็ไม่เอ่ยสิ่งใดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นลอยๆ พลางจิบชา“เป็นเพียงภูตรับใช้ แต่กลับบนนอนเตียงอย่างสบาย ปล่อยให้เทพเซียนต้องนั่งหลังขดหลังแข็ง ทั้งที่ออกไปตะลอนข้างนอกมาหลายชั่วยาม”เสี่ยวเหลียนรู้ตัวในทันใดว่าถูกตำหนิ เพราะตนยังนั่งบนเตียง ร่างเล็กขยับลงจากเตียงและหลินเฟยก็เข้ามาพอดี“อ้าว ฟื้นแล้วหรือเสี่ยวเหลียน”“อื้อ”“ไปล้างหน้าสิจะได้สดชื่นขึ้น ข้าพบท่านขุนพลข้างนอก เห็นบอกว่าได้เรื่องแล้ว หลังทานข้าวเช้ากันแล้วค่อยมาวางแผนกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป”เมื่อสหายสนิทบอกเช่นนั้นเสี่ยวเหลียนก็รีบพยักหน้าแล้วไปทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยโดยเร็ว เพราะมีเพียงตนที่ไม่ได้ออกไปช่วยคนอื่นๆ เมื่อวาน เกรงว่าจะมีคนไม่พอใจ“เจ้าให้ความสำคัญกับภูตรับใช้เกินไปแล้ว”เสียงของเจียอินทำให้
กลางดึกคืนหนึ่งช่างแสนอบอ้าว เสี่ยวเหลียนซึ่งปูที่นอนนอนบนพื้นรู้สึกไม่ค่อยสดชื่นนัก นับแต่มาถึงโลกมนุษย์นางยังไม่มีโอกาสอาบน้ำหรือแช่น้ำเลยสักครั้ง ดวงจิตวิญญาณของนางยังไม่แข็งแรงพอ ยังต้องแปลงร่างเป็นดอกบัวอยู่ในน้ำเหมือนเช่นเวลาที่อยู่ในสำนักซ่างเซียนใต้ร่างบอบบางลุกขึ้นนั่งเมื่อไม่อาจทนได้อีกแล้ว หันไปมองหลินเฟยซึ่งหลับบนเตียงกับศิษย์พี่เจียอินก็เกรงใจ ไม่อยากรบกวนยามพักผ่อนของอีกฝ่าย จึงตัดสินใจออกไปจากห้องให้เบาที่สุดนางจำได้ว่าด้านหลังโรงเตี๊ยมมีบ่อน้ำเล็กที่เอาไว้ตักน้ำขึ้นมาใช้สอย หญิงสาวชี้สองนิ้วใช้พลังหย่อนถังลงไปตักแล้วดึงขึ้น ก่อนจะเทลงใส่ตนเองทั้งหัวจรดปลายเท้า ทว่าเทไปสามถังจนกายชุ่มโชกแล้วก็ยังรู้สึกไม่เพียงพอ ราวผิวกลีบบัวบอบบางเหี่ยวเฉา จึงอดบ่นพึมพำไม่ได้“ต้องเทอีกกี่ถังกัน”เสี่ยวเหลียนรู้สึกว่าน้ำแต่ละถังนั้นน้อยเกินไป หญิงสาวโน้มกายมองลงไปในบ่อน้ำที่ลึกจนไม่อาจมองเห็นเบื้องล่าง นิ่งคิดเพียงชั่วอึดใจเจ้าตัวก็ก้าวขาข้ามขอบบ่อน้ำตั้งใจลงไปแช่ในนั้น เพราะคิดว่าอย่างไรตนก็สามารถใช้เวทลอยกลับขึ้นมาได้“เจ้าจะทำอะไรน่ะ”ร่างสูงใหญ่ก้าวพรวดเข้ามาทำเอาเสี่ยวเหลียนตกใจ
วันแต่งงานของเมิ่งจือหยวนกับอู๋ชิวอิ่งมาถึง“ท่านชายทั้งสองปลอมเป็นผู้ไปร่วมงานและคอยจับตาดูเฉิงเคอไว้ ข้าจะไปรอที่ห้องหอกับแม่นางเจียอิน เผื่อมีสิ่งใดจะได้รีบช่วยเหลือได้ทัน”ขุนพลห้าวอี้ย้ำในสิ่งที่เขาคิดไว้“พวกข้าขอไปด้วยได้หรือไม่ อาจารย์ส่งข้ามาช่วยศิษย์พี่ หากไม่ทำสิ่งใดเลย คงไม่ดีนัก”หลินเฟยเอ่ยขอ นางเองก็อยากช่วยจับเฉิงเคอกันเช่น“ท่านหญิงกับเสี่ยวเหลียน รออยู่ที่นี่เถิด”“อย่างน้อย หลังจากศิษย์พี่เจียอินปลอมตัวเป็นอู๋ชิวอิ่งแล้ว ข้ากับเสี่ยวเหลียนจะได้พานางมาซ่อนที่นี่ เพื่อไม่ให้พวกท่านต้องกังวลเผื่อต้องต่อสู้กับเฉิงเคอ อีกอย่างพวกท่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลาพานางกลับไปกลับมา เช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือ”ฟังสิ่งที่หลินเฟยบอกแล้วสุดท้ายห้าวอี้ก็ตกลง ด้วยเห็นว่าหากมีพวกนางไปด้วยก็สามารถช่วยดูแลความปลอดภัยของอู๋ชิวอิ่งได้ขณะอยู่ในงานแต่งงานจวนนายอำเภอ ก่อนเกี้ยวเจ้าสาวมาถึง เฉิงเคอในร่างของเมิ่งจือหยวนค่อนข้างสงบนิ่งกว่าตัวตนแท้จริง แน่นอนว่าช่วงหลายวันมานี้แม้คนในบ้านจะรู้สึกว่านายน้อยแปลกไป จากที่ออกไปบ่อนทุกวันกลับไม่ย่างก้าวออกไปไหน แต่ต่างก็คิดว่าเพราะกำลังจะแต่งงานเมิ่งจือหยวนจึงอ
“เหตุใดเจ้าจึงทำร้ายศิษย์น้องข้า”“ข้าช่วยนางต่างหาก”เสี่ยวเหลียนเอ่ยโดยไม่หลบสายตาเจียอิน“หากจะหาต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด ย่อมเป็นข้า และข้าจะไม่ยอมให้หลินเฟยตกอยู่ในอันตราย”“อ้อ ภักดีเสียจริง สมกับเป็นภูตรับใช้ของหลินเฟย”เจียอินพยักหน้าพลางยิ้มเยาะ“แล้วจะทำอย่างไรต่อไป จะให้ข้าปลอมตัวเป็นนางเช่นเดิมหรือ ภูตรับใช้เช่นเจ้า ไม่มีสิทธิ์สั่งข้า หากข้าไม่ทำ เจ้าจะทำอย่างไร”“ข้าไม่กล้าสั่งท่านแน่นอน ข้าจะปลอมเป็นอู๋ชิวอิ่งเอง”ดวงตาคู่เรียวของเจียอินมองภูตดอกบัวราวประเมิน“เซียนชั้นต้นอ่อนแอเช่นเจ้า ข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามีฝีมือพอจะไม่ทำแผนพัง จับเฉิงเคอได้”“อย่างน้อยท่านก็เห็นแล้วว่า ข้าสามารถทำให้เขาหมดสติได้แน่”เสี่ยวเหลียนเองก็เชิดหน้าเอ่ยอย่างมั่นใจ หากนางแสดงท่าทางไม่มั่นใจในตัวเอง เจียอินก็คงไม่เชื่อว่านางทำได้ ใช่ว่านางเก่งหรืออวดดี แต่สถานการณ์เช่นนี้นางทำได้เพียงกันหลินเฟยออกไปก่อน“เช่นนั้นก็ดี รีบปลอมตัวเสีย ข้าจะพาอู๋ชิวอิ่งกับหลินเฟยกลับโรงเตี๊ยม หึ สุดท้ายนางก็เป็นภาระของข้าอยู่เช่นที่ผ่านมา”คนได้ยินเม้มริมฝีปาก ไม่ชอบที่เจียอินมักดูถูกหลินเฟย สหายของนางเพียงไม่ได้รั
“รีบตามเร็ว”เทียนเหวินขยับตัวหายวับไปก่อนที่ห้าวอี้จะบอกเสียอีกชายหนุ่มทั้งสามยังไม่อาจเข้ามาได้เพราะคนของจวนทั้งสองยังแอบฟังเสียงนายตนอยู่หน้าห้องพักหนึ่งก่อนจากไป หากมีการต่อสู้หรือเสียงประหลาดคนพวกนั้นอาจเข้ามาช่วยนายน้อยของพวกเขา ผู้เป็นขุนพลสวรรค์ไม่ต้องการให้มนุษย์ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของเซียนเพิ่มอีก เพียงเมิ่งจือหยวนตายไปคนหนึ่งก็มากเพียงพอแล้วไม่คิดว่าผู้ที่อยู่ในห้องหอจะเป็นเสี่ยวเหลียนที่ฝีมือยังอ่อนหัดและปราณไม่แข็งแรงพอจะจัดการกับเฉิงเคอได้ทั้งสามรีบรุดตามอีกฝ่ายไปโดยเร็ว กระดิ่งที่ห้าวอี้พกติดตัวบ่งบอกทิศทางให้พวกเขาตามไปได้ถูกต้อง ที่สำคัญเฉิงเคอไม่มีทางเล็ดลอดสายตาของเล่าทหารสวรรค์ที่รายล้อมเมืองนี้ไว้อย่างแน่นอนหลี่ไห่ฉินพุ่งไปด้านหน้าเร็วขึ้นทันทีที่เห็นด้านหลังของเฉิงเคอ ทั้งยังยกมือขึ้นร่ายเวทจะปล่อยพลังเข้าใส่ ทว่าเทียนเหวินจับมือเอาไว้ก่อน“ยั้งข้าไว้ทำไม”“เสี่ยวเหลียนอยู่ในมือเขา ท่านก็เห็นแล้ว”“หากไม่รีบจัดการเสียตอนนี้ เฉิงเคอก็ยิ่งหนีไปไกล”“แต่...”“พวกท่านหยุดเถียงกันสักที เร่งตามเฉิงเคอเร็ว เขาหนียังไปหุบเขาเบื้องหน้าแล้ว คงตั้งใจหนีเข้าป่าเพราะเรา
ต่างฝ่ายต่างแตะต้องกันและกัน มือกระด้างบีบนวดผิวบางในทุกสัดส่วน มือนุ่มก็เคล้นไปตามกล้ามแน่น ทั้งแขนกำยำ แผงอกกว้าง หน้าท้องแกร่ง รวมถึงต้นขาชายหนุ่มที่แข็งแรงชวนให้ต้องกลืนน้ำลาย ยิ่งยามที่มืออุ่นทาบทับแนบดอกไม้แสนงาม หญิงสาวก็เกาะกุมตัวตนแกร่งร้อนไว้ในมือตนเช่นกันสองหนุ่มสาวแบ่งปันห้วงอารมณ์วาบหวาม เร่งเร้านำพาให้ร่างกายทั้งคู่ค่อยๆ พลุ่งพล่านขึ้น ตาสบตา ขณะที่ต่างก็หอบหนัก เอินเอินรู้สึกได้ว่ามือตนแทบไหม้ทีเดียว อึดใจต่อมาร่างสูงใหญ่จึงขยับมาชิดบดเบียดเรือนกายเสียดสีเร้าใจเปลือกตาบางปิดลงพร้อมครางเสียงหวานข้างใบหูชายหนุ่ม สองแขนเรียวกอดร่างหนา กางกรงเล็บเล็กเกาะเกี่ยวข่วนบางเบาบนแผ่นหลังอีกฝ่าย ทั้งฟันเล็กยังกัดใบหูชายหนุ่มยั่วเย้า“อา คนดีของข้า เจ้าทำให้ข้าร้อนยิ่งกว่าร้อนแล้วในตอนนี้”เทียนเหวินเสียวสยิวไปทั้งกาย เพราะร่างที่แนบชนิดทั้งหอมกรุ่นและนุ่มนิ่ม ทั้งเจ้าตัวยังรู้ดีว่าต้องปลุกเร้าตนเช่นไร นานวันที่ได้ร่วมรัก เอินเอินสั่งสมประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เขากระตุ้นนาง นางก็กระตุ้นกลับไม่แพ้กัน หากนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มยิ่งพอใจในคนรักของตน เพราะหญิงสาวเร่าร้อนได้ถึงเพียงนี้ก็เพื่อ
ณ ศาลาริมสระน้ำตำหนักเทียนหลันอีกหมื่นปีต่อมาปลายนิ้วเรียวงามกรีดไปตามเส้นสายบรรเลงพิณตามที่ผู้เป็นเจ้าของตำหนักชี้แนะอย่างช้าๆ ด้วยความตั้งใจ ดวงหน้างามมีความจริงจังจนคิ้วขมวดมุ่น ริมฝีปากอิ่มเม้มจดจ่อร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาหยุดยืนกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่ห่างออกมา ทอดสายตามองภาพที่คล้ายตนเคยฝันถึง ทว่าในเวลานั้นเทพธดาจันทราผิงเชี่ยนบรรเลงพิณได้ไพเราะยิ่ง ขณะที่เอินเอินไม่เคยแตะต้องมาก่อน เวลานี้หญิงสาวกำลังเรียนรู้ในสิ่งที่มารดากับท่านยายของเขาสอนสั่งเอินเอินต้องฝึกฝนตนให้เหมาะสมกับที่กำลังจะเป็นสตรีที่เคียงข้างทายาทสวรรค์ ด้วยอีกไม่นานองค์จักรพรรดิสวรรค์จะแต่งตั้งเทียนเหวินขึ้นเป็นรัชทายาท เนื่องจากชายหนุ่มอุทิศตนในหน้าที่ของตนมาตลอดหมื่นปีมานี้จนกระทั่งได้ตำแหน่งหนึ่งในแม่ทัพสวรรค์ นับว่าเป็นเวลาเหมาะสมแล้วที่ชายหนุ่มจะเข้าไปช่วยงานราชกิจของเทพสงครามกับองค์จักรพรรดิเต็มตัวและงานอภิเษกขององค์รัชทายาทก็จะตามมา แม้จะไม่เร็ววันนี้ก็ตาม เพราะเอินเอินสำเร็จเซียนขั้นสูงแล้ว หญิงสาวจึงฝึกหัดสิ่งที่สตรีชาววังสรรค์ต้องสามารถทำได้ไปพลางยืนมองจนพอใจแล้วเทียนเหวินก็ก้าวเข้าไปที่ศาลา และผู้
“ข้าต้องการเจ้า”ชุดบางลอยเหนือผิวน้ำแทบไม่ปกปิดร่างกายงดงาม เทียน เหวินเองก็ใส่เพียงกางเกงตัวเดียว สองเรือนกายแทบเปลือยเปล่า เมื่อโอบกอดเสียดสี ความรุ่มร้อนย่อมก่อเกิด แรงบดเคล้าจากตัวตนเบียดสะโพกอวบ มือกร้านกระด้างวนเวียนเหนือเกสรอ่อนบางทำเอาร่างอรชรอ่อนระทวยแทบทรงกายไม่ได้เพียงอึดใจต่อมาแรงแทรกลึกก็ล่วงล้ำอย่างรวดเร็ว เสียงหวานครางแผ่วอย่างหมดแรงต้านทาน จิตใจหญิงสาวหวั่นไหวไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นระทึกกับสถานที่อันแปลกใหม่ ได้เพียงรับกายแกร่งไว้ยามอีกฝ่ายส่งตัวตนดุนดันแนบสะโพก สองมือหนาย้ายมาโอบตระกองปทุมถันคู่งามราวโอบร่างเล็กไว้กลายๆทว่ายิ่งเบียดเร้าหญิงสาวยิ่งขาอ่อนแรงจนตัวลอย ชายหนุ่มจึงกอดเอวเล็กไว้แล้วพาไปยืนชิดโขดหินก้อนใหญ่ ให้เจ้าตัวได้เกาะพยุงกาย ก่อนปลายนิ้วแกร่งจะกลับมาระรานเกสรดอกไม้แสนงาม บดขยี้พร้อมแรงรักจากสะโพกหนาภายในกายเอินเอินกำลังถูกพายุอารมณ์ร้อนแรงบ้าคลั่งพัดโหมอยู่ภายใน ความเสียวสยิวพุ่งสูงละลิ่วรวดเร็วจนกระตุกรุนแรงกะทันหัน“อื้อ”หญิงสาวครวญครางเสียงพร่าด้วยสุดจะทานทน เรือนร่างงามสั่นรัวพร้อมหอบหนัก เอนอิงพิงหลังกับแผ่นอกหนาขณะเดียวกันนั้นเทียนเหวินปลดชุ
สองร้อยปีในดินแดนมนุษย์ของเทียนเหวินกับเอินเอินผ่านไป ทว่าความหวานชื่นของคู่สามีภรรยากลับไม่ลดลง ทั้งสองดำรงชีวิตด้วยการลงไปขายของป่า และไม่ได้ต้องการทรัพย์สมบัติเงินทองมากไปกว่านี้ พอใจที่จะอยู่เพียงบนภูเขา ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบแต่การที่ลงไปในตัวเมืองก็จำต้องพานพบผู้คน ในบางครั้งความงดงามของเอินเอินก็เป็นปัญหา เมื่อขายผักผลไม้ป่าตามลำพัง ในยามที่เทียนเหวินไปซื้ออาหารหรือข้าวของบางอย่างเพราะเขาไม่ต้องการให้นางลำบากดอกไม้งามย่อมมีภมรเข้ามาดอมดม เอินเอินก็ย่อมมีบุรุษเข้ามาเกี้ยวพา“แม่นาง เจ้าจะลำบากอยู่กับสามีที่ยากจนไปไย นายท่านของข้ายินดีรับเจ้าเป็นอนุ พาไปอยู่ในจวนอย่างสุขสบาย รับรองว่าเจ้าไม่ต้องนั่งตากแดดขายของป่าทั้งวันให้เหนื่อยยากเช่นนี้”“ใช่ นายท่านของพวกข้าสามารถมอบให้เจ้าได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเครื่องประทินโฉม หรือชุดสวยงาม เจ้าเพียงแต่งเนื้อแต่งตัวให้งดงาม ยิ้มหวานรอปรนนิบัติพัดวียามนายท่านกลับมาที่จวนก็เพียงเท่านั้น”บางครั้งผู้ที่เข้ามาถามไถ่พูดคุยก็ไม่รู้ว่านางสามีแล้ว ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปนาน หากก็มีบ้างที่รู้แก่ใจ ทว่ายังไม่วายตามตอแย ภูเขาที่เทียนเหวินกับเอินเอิน
“ข้าอยากแตะต้องเจ้า”“สุดแล้วแต่ท่านต้องการ ข้าไม่ได้ห้าม”บอกแล้วเอินเอินก็กลับมาจูบซ้ำเหนือริมฝีปากได้รูป ครั้งนี้ปลายลิ้นเล็กไล้เย้ายวนตามมาด้วย แน่นอนว่าชายหนุ่มย่อมต้องเปิดรับหญิงสาว ทั้งสองรวบรัดเกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นอย่างเร่าร้อน ขณะที่มือหนาเริ่มเคลื่อนไล้ไปตามเนื้อตัวหญิงสาว สัดส่วนงดงามกับผิวเนียนน่าสัมผัสทำให้เขาไม่อาจอยู่นิ่งได้ฝ่ามือกระด้างไต่ข้างเอวบางกับสะโพกอวบ ส่วนอีกข้างเคล้าคลึงหน้าอกหน้าใจนุ่มหยุ่น เอินเอินเริ่มกายอ่อยระทวยกับความเร่าร้อนที่ตนเป็นฝ่ายจุดชนวน และชายหนุ่มสานต่ออย่างเร้าใจ หญิงสาวทรุดกายลงช้าๆ พร้อมมือบางก็ลูบไล้แผงอกหนาขณะริมฝีปากอิ่มขยับลงจูบคางแกร่ง แตะแผ่วไซ้ลำคอหนาและได้ยินเสียงเครางเข้มในลำคอเทียนเหวินปลายนิ้วเรียวเกลี่ยสะกดเหนือยอดอกที่แข็งเป็นไตของชายหนุ่ม ขณะที่เขายังบีบเคล้นหน้าอกตน มือบางอีกข้างวางยันต้นขาแกร่งเพื่อพยุงกาย โดยลืมคิดไปว่านั่นเป็นการกระทำสุดล่อแหลม ยิ่งทำให้เจ้าของร่างสูงใหญ่ถอนหายใจแรง ทว่าที่ทำเอาเขาต้องครางเสียงเข้มต่ำก็เพราะริมฝีปากนิ่มจูบเม้มยอดอกสีเข้ม“อืม”เหมือนเอินเอินจะค่อยๆ รับรู้ได้ว่าตนต้องทำอย่างไรให้ชายหนุ่มพ
หลังจากช่วยกันขนย้ายข้าวของมายังกระท่อม โดยที่เทียน เหวินยกของหนักเสียเป็นส่วนใหญ่จนเสร็จ ทั้งยังใจดีตักน้ำมาให้เอินเอินอาบในส่วนที่เขาล้อมไม้ไผ่กั้นแบ่งด้านหลัง แม้นางจะเกรงใจบอกว่าไปอาบที่น้ำตกเช่นเดิมได้ หากชายหนุ่มก็ยืนยัน“ข้าตั้งใจทำไว้ให้เจ้า...”ใบหน้าขาวคมขยับมาใกล้พร้อมส่งสายตาวาววามพร้อมเอ่ยเสียงกระเส่าทำเอาใจสาวหวิว“กับข้าลงอาบในถังด้วยกัน”หลังปลายนิ้วแกร่งไล้แก้มนวล ทว่าสีหน้าแววตากลับเปลี่ยนไปเป็นแสนเสียดายแทน“แต่วันนี้เจ้าอาบคนเดียวเถิด ข้ายังต้องไปหาอาหารด้วย คงอาบจากที่น้ำตกมาเลย”เพราะวันนี้ค่อนข้างวุ่นวาย เร่งมือสร้างกระท่อมเสร็จ พาเอินเอินมาที่นี่แล้วก็ขนของ ชายหนุ่มจึงยังไม่ได้จัดการเรื่องอาหารเย็น“ลำบากท่านแล้ว หรือข้าไปช่วยท่านดีกว่า”“อย่าเลย เจ้าเหนื่อยขนของขึ้นลงทางลาดชันหลายรอบแล้ว อาบน้ำพักให้สบายใจเถิด”“ท่านเหนื่อยกว่าข้าเสียอีก”“เถิดน่า หากข้าอยู่ด้วยเจ้าคงไม่ได้อาบน้ำเสร็จง่ายๆ”สุดท้ายเอินเอินก็เชื่อฟัง เพราะหาคำมาแย้งไม่ได้ จำต้องพยักหน้ารับอย่างเขินอายค่ำคืนมาเยือนหลังจากทานอาหารมื้อเย็น เทียนเหวินก็นอนเอนกายรับลมเย็นที่ระเบียง สองมือยกขึ้นรองใ
ช่วงเวลาในดินแดนมนุษย์นั้น ราวเป็นชีวิตที่เทียนเหวินต้องการมากกว่าการเป็นทายาทสวรรค์ แม้ต้องทำทุกอย่างด้วยสองมือ ต้องหาเงินเพื่อดำรงชีวิต ทว่าเขากลับพึงพอใจที่ได้อยู่กับเอินเอิน ทำมาหากินเช่นบุรุษหนึ่งคนที่ต้องดูแลภรรยาให้สุขสบายในช่วงแรกที่ทำงานด้วยตนเอง มือหนาแทบจะแตกยับเลยทีเดียว หากก็ได้เอินเอินหาสมุนไพรมาทาและพันผ้าให้อย่างห่วงใยใส่ใจ เห็นใบหน้างามหมองลงทั้งน้ำตายังเอ่อคลอหน่วยตา ก็เป็นเทียน เหวินที่ต้องเป็นฝ่ายปลอบหญิงสาว‘อย่ามองข้าด้วยสายตาสงสารเช่นนั้น ข้าภูมิใจในตัวเองที่จับปลา ขุดหน่อไม้มาได้ เจ้าได้อิ่มท้องด้วยสองมือของข้า ข้าอยากให้เจ้าภูมิใจในตัวข้าเช่นกัน’เอินเอินพยักหน้ารับ ทว่ากลับน้ำตารินเจ้าตัวก็รีบเช็ดแล้วยิ้มหวานให้เขา นั่นทำให้เทียนเหวินอดใจไม่อยู่ เคลื่อนใบหน้าไปจูบแก้มนุ่มชื้นด้วยน้ำตา ทำเอาหญิงสาวตกใจหน้าแดงเรื่อ เขินอายหากก็ไม่ได้โกรธเคืองเขาแต่อย่างใดยิ่งได้ใช้ชีวิตร่วมกันนานวัน สองหนุ่มสาวก็ยิ่งผูกพันใจ ความลำบากทำให้ต่างช่วยเหลือกันและกัน ห่วงใยกัน ในบางวันที่ชายหนุ่มหาปลากลับค่ำมืดเอินเอินก็กระวนกระวายนั่งไม่ติด เดินไปเดินมาหน้าถ้ำด้วยความกังวล กระทั่ง
“เมื่อครู่ ในหัวข้าเห็นคู่รักคู่หนึ่งปรากฏขึ้น พวกเขามีใบหน้าเหมือนท่านกับ...ข้า”ชายหนุ่มรู้ได้ในทันใดว่าคือซีอวิ๋นกับผิงเชี่ยน“นั่นคืออดีตของเจ้ากับข้า”เทียนเหวินยินดีบอกกล่าวให้อีกฝ่ายได้รับรู้ความสัมพันธ์อันแสนลึกซึ้งที่ผูกพันตนกับเอินเอินเอาไว้“เดิมทีข้าเองก็ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน แต่เพราะก่อนนี้เจ้ากำเนิดเป็นเสี่ยวเหลียน ภูตรับใช้ของหลินเฟย เราบังเอิญได้พบกัน ข้าช่วยเจ้าไว้ และเจ้าเสียสละตนเองช่วยข้ากับคนอื่นๆ ข้าจึงรักษาดวงจิตวิญญาณของเจ้าไว้ในดอกบัวสวรรค์ หวังว่าสักวันจะช่วยเจ้าให้กลับมามีกายทิพย์อีกครั้ง”เอินเอินเข้าใจถึงสายตาราวคุ้นเคยทว่าเจ็บปวดเพราะตนของหลินเฟยก็ในตอนนี้นั่นเอง“แล้วข้าก็ฝันถึงเทพฤดูกาลซีอวิ๋นกับเทพธิดาจันทราผิงเชี่ยนที่มีความรักต่อกันมากมายในครั้งบรรพกาลทุกค่ำคืน จนวันสุดท้ายของทั้งสองที่ต้องจากกันด้วยความเจ็บปวดเพราะความรัก ข้านำบัวสวรรค์มาฝากไว้ยังตำหนักเทียนหลันของท่านแม่ เพราะต้องทำหน้าที่ทหารสวรรค์ ไม่อาจนำดอกบัวติดตามไปทุกที่ได้ แต่แล้ววันหนึ่งเจ้าก็หายไป ต่อจากนั้นก็เช่นที่เจ้ารู้มาก่อนหน้านี้”หญิงสาวไม่คิดเลยว่าเรื่องราวชีวิตตนจะมีเบื
“ท่านพี่”“อย่าได้กลัว ข้าจะสัมผัสเจ้าอย่างอ่อนโยนที่สุด”ลมร้อนรินรดทำเอามือบางจิกปลายนิ้วลงบนบ่ากำยำ ทว่าร่างบางกลับต้องกระตุกเบาๆ จากปลายลิ้นอุ่นที่ลากไล้ก่อนบดจูบเร่าร้อนดื่มด่ำกับรสชาติหวานล้ำเต็มคำ แต่ผู้ที่ทรมานคือเอินเอิน หญิงสาวหอบหายใจแรง ริมฝีปากฝีปากอิ่มถูกขบกัดด้วยเจ้าตัวพยายามข่มบางอย่างที่ปะทุไต่ระดับสูงขึ้น หากจนแล้วจนรอดก็ไม่อาจกลั้นเสียงครวญครางไว้ได้ จำต้องเปล่งเสียงจากอาการเสียดเสียวขั้นสุดที่แล่นปราดทั่วร่าง ชนิดที่ทำเอาปลายเท้าหงิกงอด้วยไม่เคยรับรู้ถึงอาการเช่นนี้มาก่อนแม้จะรู้ว่าคนตัวเล็กก้าวข้ามที่สุดแห่งความสุขสันต์แล้ว ถึงอย่างนั้นเทียนเหวินก็ยังจุมพิตกลีบกุหลาบงาม ลิ้มรสชาติแสนพิสุทธิ์ด้วยความพึงพอใจ ขณะที่อารมณ์หนุ่มก็ทะยานสูงไปด้วยพร้อมกัน กายแกร่งเคร่งเครียดขึงขัง ทว่าเขายังไม่อยากรีบร้อนจนเกินไปร่างอรชรเริ่มคลายอาการเกร็งลง เมื่อริมฝีปากแกร่งผละห่าง แต่แล้วก็ต้องครางฮือในทั้งครั้งที่รอยจูบอุ่นชื้นฝากฝัง จุมพิตบางเบาเคลื่อนไล้จากต้นขาขาวลงต่ำเรื่อยไปถึงปลีน่องจรดปลายเท้า แล้ววกกลับมาอีกข้างไล่สูงขึ้นมาตามเรียวขางาม มือหนาลูบไล้สลับไปมาระหว่างขาสองข้างไม