ซิงเหนียวเหนี่ยวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลกลับมองเห็นเงาของเผยฉู่เยี่ยนแล้ววันนี้เผยฉู่เยี่ยนไม่ได้สวมใส่อาภรณ์สีขาวดำอย่างหาได้ยาก แต่สวมใส่ชุดสีคราม คาดเอวด้วยเข็มขัดลายเมฆสีขาวจันทรา บนศีรษะครอบกวานหยกขาวเรียบง่าย มองเห็นความสง่างามห่างเหินได้อย่างชัดเจนซิงเหนียวเหนี่ยวทิ้งพี่หญิงน้องหญิงทางด้านข้างในทันใด ตามไปอยู่ข้างกายเผยฉู่เยี่ยน“รัฐทายาทเผย” ซิงเหนียวเหนี่ยวเดินเนิบนาบเข้ามาหาเผยฉู่เยี่ยน ทำความเคารพหน้าเผยฉู่เยี่ยน จนเกือบจะชนเข้ากับลู่ซิงหว่านที่กำลังเดินอยู่บนพื้นเผยฉู่เยี่ยนใส่ใจเพียงลู่ซิงหว่าน ทันใดนั้นยื่นแขนออกไปคว้าตัวลู่ซิงหว่านขึ้นมาเขาถอยหลังสองก้าว หันมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง “เดินเยี่ยงไรกัน!”ซิงเหนียวหนี่ยวถูกการกระทำนี้ของเผยฉู่เยี่ยนทำให้ตกใจ มิหนำซ้ำยังมีคนมากมายอยู่ในงาน ทันใดนั้นก็ระงับสีหน้าไม่อยู่อ้าปากได้ก็ร้องไห้ออกมาการกระทำเล็กๆ ของนางนี้ กลับทำให้ลู่ซิงหว่านหัวเราะออกมา‘คุณหนูตระกูลซิงท่านนี้อีกแล้ว ดูท่าแล้วมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อเผยฉู่เยี่ยนมากนัก!’เพราะเสียงเผยฉู่เยี่ยนดังมาก สายตาหลายคู่ล้วนหันมองมาทางนี้แม้แต่ซ่งชิงเหยียนท
แต่เขาในเวลานี้ กลับรอบคอบมาก รู้จักหลักการก้าวเดินอย่างระมัดระวังนี้แล้วดังนั้นเมื่อได้รู้ว่าองค์รัชทายาทและองค์ชายรองล้วนมาเข้าร่วมงานเลี้ยงแต่งงานของหานซีสือนี้ เขาถึงขั้นไปขออนุญาตที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อมาเข้าร่วมงานด้วยซ่งชิงเหยียนฝืนยิ้ม “จิ่นเฉินเองก็มาแล้ว”องค์ชายสามถ่อมตนอย่างมาก “ได้พบเสด็จพี่รอง มาสร้างความครึกครื้นมีความสุขร่วมกัน ก็ไม่รู้จะรบกวนตระกูลหานหรือไม่”“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น” ในเมื่อองค์ชายสามเสด็จมาเยือนตระกูลหาน คนเปิดปากเอ่ยย่อมเป็นหานซีเยว่ “ไม่ทราบว่าองค์ชายสามจะเสด็จมา หากต้อนรับไม่ดี องค์ชายสามโปรดอภัยด้วยเพคะ”มีองค์ชายสามอยู่ในงานเลี้ยง บรรยากาศก็เปลี่ยนไปแล้วทุกคนเองก็ไม่สนุกครึกครื้นเหมือนเมื่อครู่ลู่ซิงหว่านอดพูดแขวะไม่ได้‘ไอหยา เหตุใดองค์ชายสามก็มาพร้อมกับเสด็จพี่รองได้เล่า ยังอยากเห็นพี่รองกับพี่หญิงตระกูลหรงสานสัมพันธ์กันอยู่เลย!’‘เหตุใดถึง...’‘ไม่ได้การ ข้าต้องเคลื่อนไหวแล้ว’นึกถึงตรงนี้ ลู่ซิงหว่านก็เริ่มดิ้นออกจากตัวจิ่นซิน จากนั้นเดินโยกเยกไปทางองค์ชายสาม ถึงขั้นกุมมือของเขาซุนชิงเหยียนและองค์รัชทายาทหันมองหน้าสบตากัน จากนั
หากพูดว่าเขาไม่มีความรู้สึกอันใดต่อคุณหนูตระกูลหรงเลย นั่นเป็นเรื่องเท็จแท้จริงเขาเองก็ชมชอบอุปนิสัยแจ่มใสร่าเริงของคุณหนูหรงมาก ทว่าบัดนี้เขาอายุยังน้อยเกินไป ยังไม่คิดไปถึงด้านนั้นหันหน้ามองหรงเหวินเมี่ยว กลับพบว่านางคล้ายผอมลงไม่น้อยจึงเอ่ยถามว่า “กลับไม่ทันสังเกต เหตุใดแม่นางหรงซูบผอมกว่าเมื่อก่อนถึงเพียงนี้? ร่างกายไม่สบายที่ใดหรือ?”ซ่งชิงเหยียนเห็นองค์ชายรองใส่ใจเพียงนี้ มุมปากยกขึ้นอย่างสุดระงับหากไม่ใช่หวานหว่านเป็นคนพูดว่า องค์ชายรองคือพระเอกในนิยายแล้วล่ะก็ เทียบกับหลานชายทึมทื่อของตนคนนั้น นับว่าดีกว่ามากซ่งชิงเหยียนนึกถึงตรงนี้ หันมององค์รัชทายาททางด้านข้างอย่างอดไม่ได้เห็นเขากำลังพูดคุยพลางหัวเราะกับหานซีเยว่ทันใดนั้นปฏิเสธความคิดเมื่อครู่ของตน ตนผิดไปแล้ว หลานชายของตนนี้ก็ดีมากเช่นกันเป็นพระเอกที่ดีมากคนหนึ่งหรงเหวินเมี่ยวมีเบาะรองเมื่อครู่ บัดนี้นับว่าสบายไม่น้อย มองทางองค์ชายรองยิ้มๆ “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกเพคะ เพียงแต่ระยะนี้งานภายในบ้านมีมากอยู่บ้าง”องค์ชายรองได้ฟังนาง ทันใดนั้นความคิดหนึ่งแล่นผ่านสมองเงยหน้ามองเสด็จพี่ กลับเห็นเขากำลังสนทนากับคุณห
ลู่ซิงหว่านถึงขั้นว่าได้ยินเสียงพูดคุยกันของสองคนนั้นอย่างชัดเจน“หลินเหอเฉิง ท่านอย่าคิดว่าบัดนี้อาศัยองค์ชายสามแล้ว ก็สามารถไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาได้”“น้องเขยระงับโทสะด้วย ข้าสามารถนั่งในตำแหน่งนี้ได้ ทั้งหมดล้วนอาศัยกำลังสนับสนุนจากน้องเขย ไฉนเลยจะไม่เห็นน้องเขยอยู่ในสายตาได้เล่า” สุ้มเสียงกลับแผ่วเบา เห็นได้ชัดว่าตอบอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจลู่ซิงหว่านฟังออก นี่คือเหอหย่งและหลินเหอเฉิงสองคนซ่อนตัวอยู่ที่นี่และ ‘คุยกันอย่างลับๆ’ ไม่สิ ‘ทะเลาะกันอย่างลับๆ’ มากกว่าลู่ซิงหว่านเงยหน้าช้อนตามององค์ชายสามแวบหนึ่ง กลับเห็นเขามองทางนั้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า นึกลำพองใจภายในใจดังคาด ระยะห่างนี้มีเพียงตนเองสามารถได้ยินลู่ซิงหว่านเกิดความคิดอยากฟังละครฉากสนุก จูงมือขององค์ชายสามไปนั่งบนหินริมทางองค์ชายสามพูดไม่ออกอยู่บ้างเอ่อ...พระสนมเฉินคือคนไม่มีกฎระเบียบคนหนึ่ง ทว่าลู่ซิงหว่านคนนี้กลับไม่มีกฎระเบียบยิ่งกว่านั่งริมทางเช่นนี้ ช่างขาดรัศมีของเชื้อพระวงศ์โดยแท้ทว่าเขากลับคร้านจะสนใจนาง เพียงตามไปยืนที่ฝั่งหนึ่ง สายตาหันมองบริเวณที่ลู่ซิงหว่านจับจ้องอยู่ตลอดแห่งนั้นลู่ซิงหว่านเองก็
ช่างเถอะ หากไม่มีเงิน ก็ใช้สินสอดทองหมั้นนั้นไปแลกเงินอย่างไรเล่าตนเองก็ไม่ต้องเหนื่อยแล้วเห็นลู่ซิงหว่านคล้ายต้องการกลับแล้ว สมองขององค์ชายสามปรากฏภาพแขกหญิงภายในงานชื่นชมตนขึ้นได้เขาก้าวเท้าไล่ตาม ย่อตัวหน้าลู่ซิงหว่าน “ซิงหว่าน เสด็จพี่สามอุ้มเจ้าดีหรือไม่?”ลู่ซิงหว่านตกใจต่อการกระทำอย่างกะทันหันขององค์ชายสาม ชะงักไปเล็กน้อยขณะองค์ชายสามคิดว่าเด็กคนนี้ต้องการปฏิเสธตนเอง ทันใดนั้นลู่ซิงหว่านกางแขนออก ให้เขาอุ้มตนคราวนี จิ่นซินที่อยู่ด้านหลังว้าวุ่นแล้วองค์หญิงและองค์ชายสามความสัมพันธ์ดีเพียงนี้เชียวหรือ?ยามสองสามคนกลับเข้างานเลี้ยง บังเอิญองค์รัชทายาทและองค์ชายรองกำลังจะไปเรือนส่วนหน้าพอดีเห็นองค์ชายสามอุ้มลู่ซิงหว่านมา องค์ชายรองนึกแปลกใจในทันใด คิดไม่ถึงหวานหว่านถึงขั้นเข้ากับองค์ชายสามได้ดีเพียงนี้เห็นพวกเขาคล้ายกำลังจะไป องค์ชายสามนึกร้อนใจขึ้นภายในใจตนเองมาวันนี้มิใช่เพื่อดูแลเด็กเสียหน่อย เป้าหมายของตนคือไล่ตามองค์รัชทายาทอย่างกระชั้นชิด ดูว่าปกติแล้วเขาติดต่อกับใคร“เสด็จพี่จะไปแล้วหรือ?” เห็นองค์รัชทายาทและองค์ชายรองไม่พูดจา องค์ชายสามเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อ
‘ทว่าตอนนี้ข้าเป็นถึงองค์หญิงเชียวนะ รังแกข้าหรือ? เสด็จพ่อตัดหัวเจ้าแน่!’นึกถึงตรงนี้ลู่ซิงหว่านก็ขยับถอยหลังหลายก้าว เงยหน้ามองใบหน้าคนผู้นั้น‘อ้อ เป็นซิงเหนียวเหนี่ยวหรือนี่’‘ดูท่าแล้วต้องการระบายโทสะที่ถูกเผยฉู่เยี่ยนโมโหใส่ข้าเสียแล้ว’เห็นองค์หญิงของตนขยับถอยหลังหลายก้าว จิ่นซินคิดว่าซิงเหนียวเหนี่ยวชนนาง รีบถลันขึ้นไปค้อมเอวประคองลู่ซิงหว่าน อุ้มนางเข้าอ้อมอกของตนก่อนเอ่ยปากอย่างทรงพลัง “คุณหนูตระกูลใดไม่มีตา ชนองค์หญิงของพวกเราแล้ว?”“คุณหนูท่านนี้ หากสายตาไม่ดี ไปหาหมอจะดีกว่าเจ้าค่ะ”ลู่ซิงหว่านถูกจิ่นซินอุ้มไว้ในอ้อมกอด เอียงหน้ามองจิ่นซิน‘ว้าว พี่หญิงจิ่นซินของข้ายอดเยี่ยมเพียงนี้เชียว!’‘ลุยเลยพี่หญิงจิ่นซิน ท่านทำได้ ทำให้พวกนางรู้ถึงความยอดเยี่ยมของท่าน ไม่สิ เป็นความยอดเยี่ยมของข้า’จินซินเปล่งวาจานี้ออกไป พวกพี่หญิงน้องหญิงที่อยู่ไม่ห่างจากซิงเหนียวเหนี่ยวเหล่านั้น ก็แยกย้ายออกไปในทันใดเมื่อครู่หลังซิงเหนียวเหนี่ยวถูกเผยฉู่เยี่ยนตะคอกใส่ พวกนางย่อมเข้ามาห้อมล้อมปลอบใจหลังซิงเหนียวเหนี่ยวสะอึกสะอื้นอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นคล้ายตัดสินใจแล้วก็มิปาน “ข้าจะ
ทุกคนในลานบ้านต่างพากันกระซิบกระซาบ เสียงดังไปถึงทางฝั่งซ่งชิงเหยียนอย่างรวดเร็วมากเมื่อครู่พวกหานซีเยว่ไปต้อนรับแขกที่แห่งอื่น บัดนี้กลับมีเพียงซ่งชิงเหยียนและจิ่นอวี้อยู่ด้วยกันยังมีหญิงออกเรือนแล้วสองสามคนเข้ามาสนทนาด้วยเดิมทีซ่งชิงเหยียนก็คิดอยากรับชมความครึกครื้น เอียงหน้าหันไปทางนั้น “จิ่นอวี้ ทางฝั่งนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”เผยฉู่เยี่ยนกลับยืนข้างกายซ่งชิงเหยียนอยู่ตลอดไม่รอให้จิ่นอวี้ขยับ เขาเดินออกไปทางฝั่งนั้นหลายก้าวหลังผ่านไปครู่หนึ่ง รีบก้าวเท้าฉับไวกลับมา “พระสนม ดูเหมือนจะเป็นองค์หญิงหย่งอันเพคะ”ซ่งชิงเหยียนได้ยินก็ขมวดคิ้ว หญิงออกเรือนแล้วหลายคนหันมองทางซ่งชิงเหยียนอย่างอกสั่นขวัญแขวน กลัวนางจะเกิดโทสะขึ้นมานางกลับไม่ใส่ใจ อย่างไรเสียจิ่นซินและหวานหว่านล้วนมิใช่คนยอมเสียเปรียบแต่เพราะแปลกใจมาก จึงลุกขึ้นยิ้มพลางมองหญิงออกเรือนแล้วหลายท่านนั้น “ทุกท่านนั่งไปก่อน ข้าจะไปดูหย่งอันสักหน่อย”พูดจบก็ไม่ต้องให้จิ่นอวี้ประคอง ก้าวเท้าออกไปทางฝั่งลู่ซิงหว่านด้วยตนเองเห็นซ่งชิงเหยียนจากไป เหล่าฮูหยินทางด้านหลังกระซิบขึ้นมา“คิดไม่ถึงว่าหวงกุ้ยเฟยถึงขั้นเข้าถึ
‘ท่านแม่ ท่านจัดการเรื่องของท่านดีๆ เถอะ อุ้มเด็กคนหนึ่งไม่มีความน่าครั่นคร้ามเอาเสียเลย’ซ่งชิงเหยียนหัวเราะ นี่ถึงหมุนตัวมองทางซิงเหนียวเหนี่ยวและซิงฮูหยินตรงหน้า“คุณหนูซิงมิได้ตั้งใจกระนั้นหรือ?” ซ่งชิงเหยียนเอ่ยปากอีกครั้ง ไม่มีสีหน้ามีความสุขเหมือนเมื่อครู่แล้ว สุ้มเสียงเย็นชาปานน้ำค้างแข็งทำให้ซิงเหนียวเหนี่ยวกลัวจนพูดไม่ออก“ทูล...ทูลพระสนม ใช่เพคะ”“แต่ข้าได้ยินอย่างชัดเจน ว่าเจ้าขวางหน้าองค์หญิงหย่งอันอยู่หลายหน”จิ่นซินหันมองซ่งชิงเหยียนอย่างแปลกใจ ที่แท้พระสนมก็รู้แล้วนับตั้งแต่พระสนมปรากฏตัวออกมา นางก็ยืนอยู่ที่ฝั่งหนึ่งไม่ได้พูดอะไร นางยังจำสิ่งที่จิ่นอวี้สอนเมื่อหลายวันก่อนได้ อยู่ในวังไม่ว่าอะไรก็ล้วนดี แต่ออกมาแล้ว นางเป็นหน้าตาของตำหนักชิงอวิ๋นดังนั้นจะทำให้คนคิดว่าตำหนักชิงอวิ๋นไม่มีกฎระเบียบไม่ได้ไม่รอให้ซิงฮูหยินและซิงเหนียวเหนี่ยวอธิบาย ซ่งชิงเหยียนเอ่ยปาก “ในเมื่อวันนี้เป็นวันดีของคุณชายตระกูลหานและคุณหนูตระกูลเสิ่น ก็อย่าได้เห็นเลือดเลย”ซิงฮูหยินได้ยินก็เงยหน้าขึ้นช้อนตามองซ่งชิงเหยียน ภายนอกล้วนพูดว่าหวงกุ้ยเฟยอุปนิสัยอ่อนโยนที่สุด เหตุใดตอนนี้ถึงข
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต