เกิดความคิดนี้ขึ้น ซ่งชิงเหยียนตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาทีหนึ่งตนเองอายุยังไม่ถึงสามสิบเลยนะ เหตุใดเกิดความคิดวางมาดถือดีของผู้อาวุโสเช่นนี้ได้เล่าองค์รัชทายาทย่อมมาคารวะซ่งชิงเหยียน “เดิมทีลูกเสร็จงานแล้วอยากไปที่ตำหนักชิงอวิ๋น เดินทางมาจวนตระกูลหานพร้อมพระสนม กลับได้ยินนางกำนัลตำหนักชิงอวิ๋นพูดว่าพระสนมเสด็จออกมาตั้งนานแล้ว กลับเป็นลูกมาช้าไปเสียแล้ว”ลู่ซิงหว่านหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้‘เสด็จพี่องค์รัชทายาทอย่าเปิดโปงท่านแม่อีกเลย ท่านแม่อับอายแทบแย่แล้ว’‘วันนี้ท่านแม่ออกมาเร็วก็เพราะอยากมาเที่ยวเล่นในเมืองนะ!’‘น่าเสียดายเวลาสั้นเกินไป อีกทั้งยังเป็นช่วงเช้า ไม่มีอะไรให้เลือกซื้อ’‘กระนั้นข้ากลับชอบกลิ่นอายของตลาดเช่นนี้มากนะ!’ซ่งชิงเหยียนเองก็หัวเราะอย่างเอือมระอา “วันนี้ตื่นเช้ามาก ไปกินมื้อเช้าที่หอชมจันทร์มาแล้ว”หานซีเยว่ได้ยินก็พูดยิ้มๆ “พระสนมเคยลิ้มรสเปี๊ยะเนื้อขาวของหอชมจันทร์แล้วหรือไม่? ได้ยินมาว่าพ่อครัวคนใหม่เป็นคนปรุง! รสชาติดีมากเพคะ”ภายในเสียงมีความออดอ้อนที่หาได้ยากแม้แต่หรงเหวินเมี่ยวเองก็ช้อนตามองหานซีเยว่อย่างสุดระงับแต่ไหนแต่ไรมาพี่หญิงตระกูลหานเป็
นึกถึงตรงนี้ ฮูหยินคนนี้ก็อยากตบปากตนเองเสียให้ได้บัดนี้สามีภรรยาอันกั๋วกงตายไปแล้ว ไฉนเลยจะมีน้องสาวคนหนึ่งได้แต่เผยฉู่เยี่ยนกลับไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ เพียงประกบมือเบาๆ “หวังฮูหยิน ท่านนี้คือองค์หญิงหย่งอัน”หวังฮูหยินท่านนี้ ก็คือฮูหยินของราชเลขากรมทหาร ในอดีตมาร่วมงานเลี้ยงใหญ่เหล่านี้ไม่บ่อย ดังนั้นจึงได้พบองค์หยิงหย่งอันเป็นครั้งแรกนางมองเผยฉู่เยี่ยน จากนั้นก้มหน้ามององค์หญิงหย่งอันต่อมาคุกเข่าลง “ถวายพระพรองค์หญิงหย่งอัน หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่”ในเมืองหลวงแห่งนี้ใครบ้างไม่รู้องค์หญิงหย่งอันเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของฝ่าบาท เมื่อครู่นางล่วงเกินองค์หญิงหย่งอันไปแล้วใช่หรือไม่ลู่ซิงหว่านยืนที่ฝั่งหนึ่ง คล้ายตกใจเพราะฮูหยินท่านนี้คุกเข่าลงอย่างกะทันหัน รีบขยับถอยหลังหลายก้าว ครู่ต่อมาล้มลงกับพื้นดังตุบหวังฮูหยินรีบถลันขึ้นไปประคองนาง ทันใดนั้น มือไม้ก็พันกันวุ่นวายไปหมด“ท่านอย่าทำให้หวานหว่านของพวกเราได้รับบาดเจ็บ นี่คือศิษย์ที่เจ้าสำนักเสวียนเทียนรักที่สุดเชียวนะ”“ใช่แล้วๆ คิดไม่ถึงว่าศิษย์ของเจ้าสำนักเสวียนเทียนผู้ยิ่งใหญ่ บัดนี้ตกต่ำถึงขั้นนี้ กลายเป็นทารกน้อยเดินได้ไม
ซิงเหนียวเหนี่ยวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลกลับมองเห็นเงาของเผยฉู่เยี่ยนแล้ววันนี้เผยฉู่เยี่ยนไม่ได้สวมใส่อาภรณ์สีขาวดำอย่างหาได้ยาก แต่สวมใส่ชุดสีคราม คาดเอวด้วยเข็มขัดลายเมฆสีขาวจันทรา บนศีรษะครอบกวานหยกขาวเรียบง่าย มองเห็นความสง่างามห่างเหินได้อย่างชัดเจนซิงเหนียวเหนี่ยวทิ้งพี่หญิงน้องหญิงทางด้านข้างในทันใด ตามไปอยู่ข้างกายเผยฉู่เยี่ยน“รัฐทายาทเผย” ซิงเหนียวเหนี่ยวเดินเนิบนาบเข้ามาหาเผยฉู่เยี่ยน ทำความเคารพหน้าเผยฉู่เยี่ยน จนเกือบจะชนเข้ากับลู่ซิงหว่านที่กำลังเดินอยู่บนพื้นเผยฉู่เยี่ยนใส่ใจเพียงลู่ซิงหว่าน ทันใดนั้นยื่นแขนออกไปคว้าตัวลู่ซิงหว่านขึ้นมาเขาถอยหลังสองก้าว หันมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง “เดินเยี่ยงไรกัน!”ซิงเหนียวหนี่ยวถูกการกระทำนี้ของเผยฉู่เยี่ยนทำให้ตกใจ มิหนำซ้ำยังมีคนมากมายอยู่ในงาน ทันใดนั้นก็ระงับสีหน้าไม่อยู่อ้าปากได้ก็ร้องไห้ออกมาการกระทำเล็กๆ ของนางนี้ กลับทำให้ลู่ซิงหว่านหัวเราะออกมา‘คุณหนูตระกูลซิงท่านนี้อีกแล้ว ดูท่าแล้วมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อเผยฉู่เยี่ยนมากนัก!’เพราะเสียงเผยฉู่เยี่ยนดังมาก สายตาหลายคู่ล้วนหันมองมาทางนี้แม้แต่ซ่งชิงเหยียนท
แต่เขาในเวลานี้ กลับรอบคอบมาก รู้จักหลักการก้าวเดินอย่างระมัดระวังนี้แล้วดังนั้นเมื่อได้รู้ว่าองค์รัชทายาทและองค์ชายรองล้วนมาเข้าร่วมงานเลี้ยงแต่งงานของหานซีสือนี้ เขาถึงขั้นไปขออนุญาตที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อมาเข้าร่วมงานด้วยซ่งชิงเหยียนฝืนยิ้ม “จิ่นเฉินเองก็มาแล้ว”องค์ชายสามถ่อมตนอย่างมาก “ได้พบเสด็จพี่รอง มาสร้างความครึกครื้นมีความสุขร่วมกัน ก็ไม่รู้จะรบกวนตระกูลหานหรือไม่”“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น” ในเมื่อองค์ชายสามเสด็จมาเยือนตระกูลหาน คนเปิดปากเอ่ยย่อมเป็นหานซีเยว่ “ไม่ทราบว่าองค์ชายสามจะเสด็จมา หากต้อนรับไม่ดี องค์ชายสามโปรดอภัยด้วยเพคะ”มีองค์ชายสามอยู่ในงานเลี้ยง บรรยากาศก็เปลี่ยนไปแล้วทุกคนเองก็ไม่สนุกครึกครื้นเหมือนเมื่อครู่ลู่ซิงหว่านอดพูดแขวะไม่ได้‘ไอหยา เหตุใดองค์ชายสามก็มาพร้อมกับเสด็จพี่รองได้เล่า ยังอยากเห็นพี่รองกับพี่หญิงตระกูลหรงสานสัมพันธ์กันอยู่เลย!’‘เหตุใดถึง...’‘ไม่ได้การ ข้าต้องเคลื่อนไหวแล้ว’นึกถึงตรงนี้ ลู่ซิงหว่านก็เริ่มดิ้นออกจากตัวจิ่นซิน จากนั้นเดินโยกเยกไปทางองค์ชายสาม ถึงขั้นกุมมือของเขาซุนชิงเหยียนและองค์รัชทายาทหันมองหน้าสบตากัน จากนั
หากพูดว่าเขาไม่มีความรู้สึกอันใดต่อคุณหนูตระกูลหรงเลย นั่นเป็นเรื่องเท็จแท้จริงเขาเองก็ชมชอบอุปนิสัยแจ่มใสร่าเริงของคุณหนูหรงมาก ทว่าบัดนี้เขาอายุยังน้อยเกินไป ยังไม่คิดไปถึงด้านนั้นหันหน้ามองหรงเหวินเมี่ยว กลับพบว่านางคล้ายผอมลงไม่น้อยจึงเอ่ยถามว่า “กลับไม่ทันสังเกต เหตุใดแม่นางหรงซูบผอมกว่าเมื่อก่อนถึงเพียงนี้? ร่างกายไม่สบายที่ใดหรือ?”ซ่งชิงเหยียนเห็นองค์ชายรองใส่ใจเพียงนี้ มุมปากยกขึ้นอย่างสุดระงับหากไม่ใช่หวานหว่านเป็นคนพูดว่า องค์ชายรองคือพระเอกในนิยายแล้วล่ะก็ เทียบกับหลานชายทึมทื่อของตนคนนั้น นับว่าดีกว่ามากซ่งชิงเหยียนนึกถึงตรงนี้ หันมององค์รัชทายาททางด้านข้างอย่างอดไม่ได้เห็นเขากำลังพูดคุยพลางหัวเราะกับหานซีเยว่ทันใดนั้นปฏิเสธความคิดเมื่อครู่ของตน ตนผิดไปแล้ว หลานชายของตนนี้ก็ดีมากเช่นกันเป็นพระเอกที่ดีมากคนหนึ่งหรงเหวินเมี่ยวมีเบาะรองเมื่อครู่ บัดนี้นับว่าสบายไม่น้อย มองทางองค์ชายรองยิ้มๆ “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกเพคะ เพียงแต่ระยะนี้งานภายในบ้านมีมากอยู่บ้าง”องค์ชายรองได้ฟังนาง ทันใดนั้นความคิดหนึ่งแล่นผ่านสมองเงยหน้ามองเสด็จพี่ กลับเห็นเขากำลังสนทนากับคุณห
ลู่ซิงหว่านถึงขั้นว่าได้ยินเสียงพูดคุยกันของสองคนนั้นอย่างชัดเจน“หลินเหอเฉิง ท่านอย่าคิดว่าบัดนี้อาศัยองค์ชายสามแล้ว ก็สามารถไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาได้”“น้องเขยระงับโทสะด้วย ข้าสามารถนั่งในตำแหน่งนี้ได้ ทั้งหมดล้วนอาศัยกำลังสนับสนุนจากน้องเขย ไฉนเลยจะไม่เห็นน้องเขยอยู่ในสายตาได้เล่า” สุ้มเสียงกลับแผ่วเบา เห็นได้ชัดว่าตอบอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจลู่ซิงหว่านฟังออก นี่คือเหอหย่งและหลินเหอเฉิงสองคนซ่อนตัวอยู่ที่นี่และ ‘คุยกันอย่างลับๆ’ ไม่สิ ‘ทะเลาะกันอย่างลับๆ’ มากกว่าลู่ซิงหว่านเงยหน้าช้อนตามององค์ชายสามแวบหนึ่ง กลับเห็นเขามองทางนั้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า นึกลำพองใจภายในใจดังคาด ระยะห่างนี้มีเพียงตนเองสามารถได้ยินลู่ซิงหว่านเกิดความคิดอยากฟังละครฉากสนุก จูงมือขององค์ชายสามไปนั่งบนหินริมทางองค์ชายสามพูดไม่ออกอยู่บ้างเอ่อ...พระสนมเฉินคือคนไม่มีกฎระเบียบคนหนึ่ง ทว่าลู่ซิงหว่านคนนี้กลับไม่มีกฎระเบียบยิ่งกว่านั่งริมทางเช่นนี้ ช่างขาดรัศมีของเชื้อพระวงศ์โดยแท้ทว่าเขากลับคร้านจะสนใจนาง เพียงตามไปยืนที่ฝั่งหนึ่ง สายตาหันมองบริเวณที่ลู่ซิงหว่านจับจ้องอยู่ตลอดแห่งนั้นลู่ซิงหว่านเองก็
ช่างเถอะ หากไม่มีเงิน ก็ใช้สินสอดทองหมั้นนั้นไปแลกเงินอย่างไรเล่าตนเองก็ไม่ต้องเหนื่อยแล้วเห็นลู่ซิงหว่านคล้ายต้องการกลับแล้ว สมองขององค์ชายสามปรากฏภาพแขกหญิงภายในงานชื่นชมตนขึ้นได้เขาก้าวเท้าไล่ตาม ย่อตัวหน้าลู่ซิงหว่าน “ซิงหว่าน เสด็จพี่สามอุ้มเจ้าดีหรือไม่?”ลู่ซิงหว่านตกใจต่อการกระทำอย่างกะทันหันขององค์ชายสาม ชะงักไปเล็กน้อยขณะองค์ชายสามคิดว่าเด็กคนนี้ต้องการปฏิเสธตนเอง ทันใดนั้นลู่ซิงหว่านกางแขนออก ให้เขาอุ้มตนคราวนี จิ่นซินที่อยู่ด้านหลังว้าวุ่นแล้วองค์หญิงและองค์ชายสามความสัมพันธ์ดีเพียงนี้เชียวหรือ?ยามสองสามคนกลับเข้างานเลี้ยง บังเอิญองค์รัชทายาทและองค์ชายรองกำลังจะไปเรือนส่วนหน้าพอดีเห็นองค์ชายสามอุ้มลู่ซิงหว่านมา องค์ชายรองนึกแปลกใจในทันใด คิดไม่ถึงหวานหว่านถึงขั้นเข้ากับองค์ชายสามได้ดีเพียงนี้เห็นพวกเขาคล้ายกำลังจะไป องค์ชายสามนึกร้อนใจขึ้นภายในใจตนเองมาวันนี้มิใช่เพื่อดูแลเด็กเสียหน่อย เป้าหมายของตนคือไล่ตามองค์รัชทายาทอย่างกระชั้นชิด ดูว่าปกติแล้วเขาติดต่อกับใคร“เสด็จพี่จะไปแล้วหรือ?” เห็นองค์รัชทายาทและองค์ชายรองไม่พูดจา องค์ชายสามเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อ
‘ทว่าตอนนี้ข้าเป็นถึงองค์หญิงเชียวนะ รังแกข้าหรือ? เสด็จพ่อตัดหัวเจ้าแน่!’นึกถึงตรงนี้ลู่ซิงหว่านก็ขยับถอยหลังหลายก้าว เงยหน้ามองใบหน้าคนผู้นั้น‘อ้อ เป็นซิงเหนียวเหนี่ยวหรือนี่’‘ดูท่าแล้วต้องการระบายโทสะที่ถูกเผยฉู่เยี่ยนโมโหใส่ข้าเสียแล้ว’เห็นองค์หญิงของตนขยับถอยหลังหลายก้าว จิ่นซินคิดว่าซิงเหนียวเหนี่ยวชนนาง รีบถลันขึ้นไปค้อมเอวประคองลู่ซิงหว่าน อุ้มนางเข้าอ้อมอกของตนก่อนเอ่ยปากอย่างทรงพลัง “คุณหนูตระกูลใดไม่มีตา ชนองค์หญิงของพวกเราแล้ว?”“คุณหนูท่านนี้ หากสายตาไม่ดี ไปหาหมอจะดีกว่าเจ้าค่ะ”ลู่ซิงหว่านถูกจิ่นซินอุ้มไว้ในอ้อมกอด เอียงหน้ามองจิ่นซิน‘ว้าว พี่หญิงจิ่นซินของข้ายอดเยี่ยมเพียงนี้เชียว!’‘ลุยเลยพี่หญิงจิ่นซิน ท่านทำได้ ทำให้พวกนางรู้ถึงความยอดเยี่ยมของท่าน ไม่สิ เป็นความยอดเยี่ยมของข้า’จินซินเปล่งวาจานี้ออกไป พวกพี่หญิงน้องหญิงที่อยู่ไม่ห่างจากซิงเหนียวเหนี่ยวเหล่านั้น ก็แยกย้ายออกไปในทันใดเมื่อครู่หลังซิงเหนียวเหนี่ยวถูกเผยฉู่เยี่ยนตะคอกใส่ พวกนางย่อมเข้ามาห้อมล้อมปลอบใจหลังซิงเหนียวเหนี่ยวสะอึกสะอื้นอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นคล้ายตัดสินใจแล้วก็มิปาน “ข้าจะ