ฮองเฮาสะบัดแขนเสื้อจากไปทันทีหลังจากกลับถึงตำหนัก นางยิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ จึงให้เยว่หรานไปแจ้งอ๋องอี้อย่างเงียบๆ เพื่อกําจัดคนคนนี้ จะได้ไม่ทําลายเรื่องดีๆ ของตัวเองวิธีการของอ๋องอี้นั้นโหดเหี้ยมมากและการเคลื่อนไหวก็รวดเร็วมากเช่นกันคืนนั้น สนมซูผินก็ตายเพราะพิษทันทีที่รู้ข่าว เสิ่นหนิงก็ชิงลงมือก่อน มุ่งหน้าไปยังตำหนักหลงเซิง และคุกเข่าลงตรงนอกตำหนักหลงเซิงทําให้เมิ่งเฉวียนเต๋อตกใจไม่เบา จะประคองก็ไม่ถูก ไม่ประคองก็ไม่ถูกสุดท้ายก็รีบเข้าไปข้างใน รายงานเรื่องนี้กับฮ่องเต้ต้าฉู่ว่า “ฝ่าบาท ฮองเฮากําลังคุกเข่าอยู่ข้างนอกพ่ะย่ะค่ะ”“นางเคลื่อนไหวได้รวดเร็วดีนี่” ฮ่องเต้ต้าฉู่เพิ่งได้รับข่าวการตายของสนมซูผิน ฮองเฮาก็มาแล้ว “ให้นางเข้ามาเถอะ”เนื่องจากก่อนหน้านี้เรื่องที่ตนเองปวดหัวเพราะถูกสนมอวิ๋นผิงวางยา ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงรู้สึกไม่พอใจต่อฮองเฮาไปด้วยแม้ว่าจะตรวจสอบไม่ได้ว่าเป็นฝีมือของนาง แต่ก็มักจะสงสัยนางอยู่เสมอต่อมาคนที่ทําให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ล้มเลิกความคิดนี้ คือบิดาและพี่ชายของเสิ่นหนิงคิดดูแล้วนางมีบิดาและพี่ชายที่ซื่อตรงเช่นนี้ นางไม่มีทางทําเรื่องเช่นนี้แน่ ในใจจึงเชื
“เจ้าดูแลวังหลังทั้งหกก็ลําบากมากพอแล้ว อย่าเอาเรื่องพวกนี้มาพัวพันกับตัวเองอีกเลย” ฮ่องเต้ต้าฉู่ดูแม้จะปลอบโยนฮองเฮาอยู่ แต่ก็ดูเหมือนจะปลอบโยนตัวเองไปด้วยจากนั้นก็หันตัวกลับไปนั่งที่เดิม “ประกาศกับคนภายนอกว่าสนมซูผินเสียชีวิตด้วยอาการป่วยกะทันหัน ซิงเสวี่ยเพิ่งแต่งงาน เรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูดแล้ว”“เพคะ” เสิ่นหนิงค้อมกายให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ แล้วพูดคุยกับเขาเล็กน้อย ถึงออกจากตำหนักหลงเซิงหลังจากออกจากตำหนักหลงเซิง เสิ่นหนิงก็ถอนหายใจยาวอวิ๋นหลานจึงรีบสาวเท้าเดินขึ้นไป “เมื่อครู่พระมเหสีทําให้บ่าวตกใจแทบตาย คําพูดแบบนี้วันหลังอย่าพูดเหลวไหลอีกนะเพคะ”อวิ๋นหลานยังคงทําท่าทางหวาดกลัวไม่หาย “หากฝ่าบาททรงคิดจริงจังขึ้นมส พระสนมมิต้องทนทุกข์ทรมานแล้วหรือเพคะ?”นางรู้สึกสงสารฮองเฮาอยู่บ้าง แต่ที่สําคัญกว่านั้นก็คือ หากฮองเฮาล้มลง นางจะรักษาอำนาจในตอนนี้ได้อย่างไรกัน?เสิ่นหนิงแค่พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากถึงอย่างไร ทุกอย่างก็อยู่ภายใต้การควบคุมของนาง การทําให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ประกาศเรื่องที่สนมซูผินเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บถึงจะเป็นจุดประสงค์ของนางต่างหากตอนนี้ก็บรรลุเท่านป้าหมายแล้ว อย่
เมื่อได้รับอนุญาตจากลู่ซิงหว่าน ซ่งชิงเหยียนก็อุ้มนางขึ้นมาจูบอีกครั้ง แล้วจึงก้าวยาวๆ ออกจากตําหนักชิงอวิ๋นไปยังตําหนักเหยียนหัวไม่รู้เพราะเหตุใด นางถึงรีบร้อนอยากจะจุดธูปให้พี่สาวซ่งชิงหย่านคุกเข่าลงบนเบาะและมองไปที่ป้ายบูชาของซ่งชิงหย่า น้ำตาของนางไม่สามารถหยุดไหลได้เมื่อซ่งชิงหย่าเสียชีวิตนั้น นางยังไม่ได้เสียใจขนาดนี้เลย“พี่หญิง ท่านสบายดีหรือไม่?”“พวกเราทุกคนดีมาก ตอนนี้จิ่นเหยาก็ได้รับความสําคัญจากฝ่าบาทแล้ว เมื่อก่อนรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะกับนิสัยขององค์รัชทายาทที่สุด ตอนนี้ดูแล้วก็ดีมาก”ซ่งชิงเหยียนพึมพําอยู่ในตําหนักคนเดียว ไม่ได้ตระหนักว่า ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ฉู่ผู้ยิ่งใหญ่มาอยู่ข้างหลังนางตั้งแต่เมื่อไหร่ฮ่องเต้ต้าฉู่เพียงแค่มองนางอย่างเงียบๆ และคิดถึงซ่งชิงหย่าในใจ“ทางฝ่ายท่านพ่อก็ดีมาก ตอนนี้ลาออกจากตําแหน่งแล้ว ได้ยินอาซ้อบอกว่า ทะเลาะกับท่านแม่ที่จวนทั้งวัน เป็นวันเวลาแบบที่เราเคยต้องการจริงๆ แล้วนะ”พูดถึงตรงนี้ ซ่งชิงเหยียนก็เติมกระดาษเงินกระดาษทองลงในอ่างทองแดงตรงหน้า“แต่ลูกหลานในบ้านกลับไม่เอาไหน ลูกชายของพี่ใหญ่จั๋วเกอเอ๋อร์ พี่หญิงยังจําได้ใช่ไหม อายุยี
ตอนนี้แม้แต่ทํางานเขาก็ทําได้แค่ซ่อนตัวอยู่ในกรมเท่านั้น เพราะที่บ้านไม่มีของเหล่านี้เลยอีกทั้งอนุคนนั้น เขายิ่งหลบได้ก็หลบ ไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่ครึ่งส่วนอย่างไรก็เป็นไส้ศึกคนหนึ่ง ใครจะรู้ว่าวันหน้าฝ่าบาทกับองค์รัชทายาทจะชักสีหน้าใส่กัน ถอนรากถอนโคนตระกูลหรงทั้งหมดหรือไม่แม้แต่เรือนในก็เงียบลงไปมากมิฉะนั้น เรื่องที่เหออวิ๋นเหยาพยายามลักพาตัวหรงเหวินเมี่ยว เขาคงจะกราบทูลฝ่าบาทไปแล้วแต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่า ในเมื่อไม่ได้ทําร้าย ก็อย่าไปสร้างความวุ่นวายให้ตัวเองเลยฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ได้เอ่ยปาก ใต้เท้าหรงทําได้เพียงกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “กระหม่อมจะฟังการจัดการของฝ่าบาทและองค์รัชทายาททุกอย่าง”และในแคว้นเยว่เฟิงในเวลานี้ ความมุ่งมั่นของเฮ่อเหลียนเหิงซินช่างสิ้นหวังจริงๆก่อนหน้านี้เฮ่อเหลียนเหรินซินอาศัยการโจมตีติ้งกั๋วโหวเพื่อควบคุมอํานาจทางทหารของกองทัพชายแดน ตอนนี้กลับกําไว้ในมือแน่น ไม่ยอมส่งมอบออกมาแน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเหิงซินโกรธเฮ่อปาขุย “ท่านลุงบอกว่าใช้เฮ่อเหลียนเหรินซินไม่ใช่หรือ?ตอนนี้พวกเราถูกเขาใช้ประโยชน์แล้ว”พอคิดถึงตรงนี้เฮ่อเหลียนเหิงก็ยิ่งโมโห โยนฎีกาตรงหน้าตัวเ
เมื่อเห็นเสด็จพี่ไม่ได้หมายความเช่นนี้เฮ่อเหลียนจูลี่จึงมองไปที่อ๋องเหรินอย่างงุนงง“จูลี่ เจ้าทํามากพอแล้ว” คําพูดของอ๋องเหรินถึงกับสะอึกสะอื้นเล็กน้อย ครั้งนี้เขาจริงใจจริงๆแม้ว่าตนเองและน้องสาวต่างก็เป็นลูกของเสด็จแม่ แต่ก็เข้ากันไม่ได้มากที่สุดเมื่อก่อนก็ทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ต่อหน้าเสด็จแม่ และทุกครั้งก็ทะเลาะกันไม่หยุดสําหรับน้องสาวคนนี้ เขาก็ดูถูกมาตลอดแต่ในทํานองเดียวกันเฮ่อเหลียนจูลี่ก็ไม่ชอบพี่ชายคนนี้เช่นกันในสายตาของนาง เสด็จพี่เป็นองค์รัชทายาทที่ไร้ความสามารถที่ถูกเสด็จแม่ตามใจจนเสียนิสัยแต่ตั้งแต่ที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่ประสบเรื่องเช่นนั้น สองพี่น้องกลับกลมกลืนกันอย่างอธิบายไม่ได้เมื่อเฮ่อเหลียนจูลี่ได้ยินเฮ่อเหลียนเหรินซินพูดแบบนี้ ก็อดสะอึกสะอื้นไม่ได้ที่แท้เสด็จพี่ทรงทราบถึงความยากลําบากของพระองค์เอง รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้ของพระองค์ก็ไม่ง่ายเช่นกันเมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้เฮ่อเหลียนเหรินซินก็ดึงนางเข้ามากอดแล้วตบหลังนางเบาๆอธิบายว่า “เฮ่อเหลียนเหิงซินเป็นคนขี้สงสัยมาก ตอนนี้ข้ากุมอํานาจทางการทหารอยู่ในมือ แต่กลับได้รับการแนะนําจากเฮ่อปาขุย
“เพียงฝากบ่าวไปบอกองค์หญิงจูลี่ว่าองค์หญิงจูลี่เดินทางไกลลําบากแล้ว จึงเชิญองค์หญิงพักผ่อนที่จวนให้ดี”เฮ่อเหลียเหรินซินรับคําด้วยรอยยิ้ม หลังจากขันทีคนนั้นหันหน้ามา เขาก็ยิ้มเยาะออกมาเฮอเหลียนเหิงคนนี้ เกรงว่าจะไม่ได้รู้สึกว่าจูลี่ลําบาก เพียงแต่ไม่อยากเจอหน้าสองพี่น้องเท่านั้นเองบัดนี้ตนเองสองพี่น้อง กลับกลายเป็นหนามยอกอกเขา ถอนก็ถอนไม่ออก ทิ้งก็ทิ้งไม่ได้เฮ่อเหลียจูลี่กลับมีความสุขอย่างสบายใจและบ่ายวันนี้เฮ่อเหลียนเหิงซินก็ได้รับรายงานจากองครักษ์ลับว่า “ฝ่าบาท ช่วงนี้เฮ่อเหลียนจูลี่พักอยู่ในจวนเสนาบดีตลอดพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเฮ่อเหลียนเหิงซินได้ยินประโยคนี้ พู่กันในมือก็ตกลงบนโต๊ะทันที เขาเงยหน้าขึ้นมององครักษ์ลับตรงหน้าอย่างตื่นตระหนกไม่นึกเลยว่าเฮ่อปาขุยกับเฮ่อเหลียนจูลี่จะคบหาสมาพันกัน มิน่าล่ะเฮ่อปาขุยถึงแนะนําเฮ่อเหลียนเหรินซินขนาดนี้ตัวเองเชื่อใจเขาขนาดนี้ เขากลับกล้าทรยศตัวเองเฮอเหลียนเหิงซินรู้สึกว่าความโกรธพุ่งขึ้นเหนือศีรษะของเขา พลางกำมือแน่นขึ้น เส้นเลือดบนมือก็ปูดโปนโผล่ออกมา และทั้งตัวก็สั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธเขาโกรธมากจริงๆ นั่นแหละเขาไม่เคยคิดเลยว่าลุง
ไม่ใช่ว่าเฮ่อเหลียนเหิงไม่เข้าใจความหมายของขันทีผู้นั้น แต่ใบหน้ายังคงดําคล้ำเหมือนเมื่อครู่ “แค่บอกว่าข้ามีเรื่องสําคัญ จะดึกแค่ไหนก็จะรอเขา”ขันทีเข้าใจความหมายของฝ่าบาทแล้ว จึงรีบรับคําและรีบมุ่งหน้าไปยังจวนเสนาบดีแต่วันนี้มันบังเอิญจริงๆ ที่เฮ่อปากุยดื่มเหล้าไปนิดหน่อยหลังจากดื่มเหล้าแล้ว กลับรู้สึกไม่เคารพต่อเฮ่อเหลียนเหิงมากขึ้น โบกมือให้ขันทีผู้นั้น “เจ้าแค่ไปบอกฝ่าบาทว่า วันนี้ข้าดื่มมากเกินไป ไม่เหมาะที่จะเข้าเฝ้า คิดว่าหลานชายของข้าคนนี้ก็คงไม่สนใจหรอก”คราวนี้คนที่ร่วมดื่มกับเฮ่อปาขุยกลับบีบหัวใจขึ้นมาทุกคนรู้ว่าเฮ่อปาขุยเป็นคนไร้ระเบียบและไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตา ตอนนี้ดูเหมือนว่าข่าวลือข้างนอกจะเป็นความจริงบ้างแล้วคราวนี้กลับทําให้ขันทีผู้นั้นลําบากใจแล้ว ได้แต่กุมหมัดคารวะเฮ่อปาขุยอย่างนอบน้อมอีกครั้ง “ฝ่าบาทตรัสว่า ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน ก็จะรอท่านเสนาบดีเข้าวังให้ได้นะขอรับ”ในที่สุดก็เป็นกุนซือของเฮ่อปาขุยที่เดินมาถึงข้างกายเฮ่อปาขุย พูดเสียงเบาว่า “ท่านเสนาบดี ฝ่าบาททรงเรียกท่านในเวลาเช่นนี้ จะต้องมีเรื่องสําคัญแน่นอนนอขอรับ”“ไม่ว่าอย่างไร ไต้เท้าก็ควรไป
“ไม่ว่าท่านจะไปมาหาสู่กับเฮ่อเหลียนจูลี่ด้วยเหตุผลใด และไม่ว่าท่านจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ข้าก็ยินดีที่จะไม่ถือสาเรื่องเหล่านี้” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเหิงซินเป็นน้ำเสียงอันมีเมตตาอย่างหาได้ยาก “เพียงเพราะข้อเดียวเท่านั้น ตอนนี้ข้ายังถือว่าท่านเป็นลุงของข้า ยินดีที่จะเชื่อท่าน”เฮ่อปาขุยได้ยินคําพูดนี้ของเฮ่อเหลียนเหิงก็รู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆโขกหัวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่าวันนี้เขาเพิ่งตระหนักว่า ต่อให้ตัวเองจะสนับสนุนตําแหน่งเขาขึ้นครองราชย์ก็ตาม แต่ในใจของเฮ่อเหลียนเหิง อย่างไรเสียท้ายที่สุดเขาก็เป็นกษัตริย์ ส่วนตัวเองก็เป็นเพียงขุนนางเท่านั้นกษัตริย์กับขุนนางย่อมมีความแตกต่างกันถ้าฝ่าบาทต้องการชีวิตของตัวเอง มันก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือเมื่อเฮ่อเหลียนเหิงซินเห็นว่าการตักเตือนครั้งนี้ได้ผล อารมณ์ก็ดีขึ้นบ้างดีชั่วตอนนี้เฮ่อเหลียนเหรินซินมีอํานาจทางการทหารอยู่ในมือแล้ว ไปคิดเล็กคิดน้อยก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ต่อไปไม่สู้ถือโอกาสนี้ปลูกฝังคนไว้เนื้อเชื่อใจบ้าง รอโอกาสสุกงอมแล้วค่อยจัดการเฮ่อเหลียนเหรินซินเมื่อเฮ่อปาขุยออกจากวัง เขาก็รู้สึกว่าฝ่าเท้าของเขาว่างเปล่าในใจกลับเกลียดเฮ่
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต