“บ่าวคิดว่าในเมื่อพระราชโองการของฝ่าบาทออกมาแล้ว พระสนมของพวกเราก็ต้องปฏิบัติตามเพคะ” คําพูดของจิ่นอวี้ทุกประโยคมีเหตุผลและหลักฐาน ไม่มีใครโต้แย้งได้ “ยิ่งไปกว่านั้นในราชโองการแต่งตั้งพระสนมหวงกุ้ยเฟยก็กล่าวไว้ว่า พระสนมหวงกุ้ยเฟยไม่จําเป็นต้องถวายบังคมกับพระมเหสี”“คําพูดนี้ของอวิ๋นจู ไม่ใช่ต้องการให้พระมเหสีฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของฝ่าบาทหรือเพคะ?”จิ่นอวี้พูดถึงตรงนี้คล้ายมองเสิ่นหนิงอย่างกังวล “หากฝ่าบาทไม่ถือสาหาความก็ยังดี หากฝ่าบาทถือสาหาความขึ้นมา จะทําให้พระมเหสีกับฝ่าบาทเกิดความขัดใจกันเปล่าๆ นะเพคะ ”จิ่นอวี้พูดจบก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่รักษาท่าทางทักทายเมื่อครู่ไว้นางเห็นใบหน้าของพระมเหสีค่อยๆ มืดหม่นลงในใจก็แอบสะใจ แต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า ยังคงทําท่าทางนอบน้อมเหมือนเดิมผ่านไปเนิ่นนาน ฮองเฮาจึงเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว ขอแม่นางจิ่นอวี้ช่วยนําความไปบอกพระสนมหวงกุ้ยเฟย เรื่องนี้อวิ๋นจูไม่รู้ความจริงๆ ข้าจะลงโทษอวิ๋นจูอย่างแน่นอน”“ขอบพระทัยพระมเหสีเพคะ” จิ่นอวี้ย่อตัวลงอีกครั้ง แล้วจึงหันตัวออกจากตําหนักจิ่นซิ่วส่วนอวิ๋นหลันที่อยู่ด้านนอก ได้ยินคําพูดของจิ่นอวี้อย่างชัด
ฮองเฮากลับยื่นมือรับชาถ้วยนั้นมาเบาๆ จิบไปคําหนึ่ง “วันหลังอวิ๋นหลานมาปรนนิบัติอยู่ข้างกายข้าเถอะ”อวิ๋นหลานกระโดดโลดเต้นในใจ นางรู้ว่าครั้งนี้นางชนะพนันแล้ว“เพคะ” อวิ๋นหลานทําความเคารพอย่างเรียบร้อย พยายามปกปิดความสุขในใจอวิ๋นจูคนนี้ถือว่าตกอยู่ในกํามือของตนแล้ว หลายวันก่อนนางทรมานตน ตนจะต้องทําให้นางได้รับกลับไปอย่างแน่นอน“อวิ๋นจู เจ้าช่างเลอะเลือนเสียจริง” ฮองเฮาเอ่ยปากอีกครั้ง สิ่งที่พูดเป็นเพียงคําพูดเพียงผิวเผินเท่านั้น “พระสนมหวงกุ้ยเฟยได้รับการยกย่องจากฝ่าบาทมาโดยตลอด เหตุใดเจ้าต้องไปหักหน้านางต่อหน้าธารกํานัลด้วย”“ทางพระสนมหวงกุ้ยเฟยนี้ข้าจะต้องให้คําอธิบายแก่นาง ตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าไปทําความสะอาดเถอะ อีกไม่กี่วันหากพระสนมหวงกุ้ยเฟยหายโกรธแล้ว ข้าค่อยจัดการหน้าที่ให้เจ้าใหม่”อวิ๋นจูรู้ว่าครั้งนี้ตนเองเหิมเกริมแล้วจริงๆ จึงได้แต่ขอบพระทัยพระมเหสีอย่างเชื่อฟัง แล้วถอยออกไปเกรงว่าเสิ่นหนิงจะละทิ้งตนเองโดยสิ้นเชิง ตนเองต้องติดต่ออ๋องอี้ให้เร็วหน่อยถึงจะถูกเรื่องที่พระสนมหวงกุ้ยเฟยจัดการอวิ๋นจูได้แพร่กระจายไปทั่ววังอย่างรวดเร็วหลายวันมานี้นางกํานัลน้อยที่ถูกอวิ๋น
องค์รัชทายาทตกตะลึง แคว้นเยว่เฟิงเพิ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักเมื่อไม่กี่วันก่อน ทําไมตอนนี้ถึงคึกคักขนาดนี้“เมื่อหลายวันก่อนแคว้นเยว่เฟิงเพิ่งพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือของท่านตา จะกล้ากระทําการเหล่านี้ติดต่อกันได้อย่างไร?” องค์รัชทายาทสงสัยจริงๆ “เฮ่อเหลียนเหิงซินคนนี้เกรงว่าจะเป็นคนที่ใจร้อนอยากประสบความสําเร็จ ตีจากข้างนอกไม่แตก ก็เลยคิดจะสลายจากข้างใน”“ข้าไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับคนนี้มากนัก”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยนําทหารไปเผชิญหน้ากับเขา การรีบร้อนแสวงหาความสําเร็จเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของคนผู้นี้จริงๆ นึกไม่ถึงว่าพอเป็นฮ่องเต้แล้วก็ยังเป็นเช่นนี้”รัชทายาทรับคํา “หลายวันก่อนท่านตาและเฮ่อเหลียนเหรินซินปรึกษาหารือกันเพื่อยึดเมืองเยว่เฟิงสองเมืองได้ ตอนนี้เฮ่อเหลียนเหรินซินได้รับอํานาจทางการทหารแล้ว เกรงว่าเขาจะร้อนใจดั่งไฟเผา”ความคิดของซ่งชิงเหยียนกลับล่องลอยไปไกล เกรงว่าคงไม่ได้มีเพียงเท่านี้ตามที่หวานหว่านพูด ตามวิถีปกติของเฮ่อเหลียนเหรินซินไม่มีอํานาจทางการทหาร แคว้นต้าฉู่ก็ไม่ได้เอาเปรียบแคว้นเยว่เฟิง เกรงว่านี่คงเตรียมการไว้นานแล้วเมื่อก่อนเป็นคนของเสนาบดีชุยจัดการใส่ร้ายติ
นี่เป็นสิ่งที่ซ่งชิงเหยียนคิดจริงๆหลานอิ่งพูดต่อว่า “ก่อนหน้านี้ข้าน้อยได้ติดตามขันทีหลินผู้นั้น ตอนนี้ก็มีเบาะแสบ้างแล้ว เพียงแต่ยังหาไม่พบว่าเขาอยู่ที่ไหน”“คนคนนี้มีความสามารถมาก ในวังต้องมีคนของเขาไม่น้อยแน่ ตอนนี้กลัวว่าเขาจะปลอมตัวแล้ว เปลี่ยนหน้ามาอาศัยอยู่ในวัง”[ว้าว วังหลังของพระบิดาวุ่นวายจริง ๆ!][พี่ชายรัชทายาทลําบากมาก ไม่งั้นก็ยกตําแหน่งองค์รัชทายาทนี้ให้กับองค์ชายสามก็แล้วกัน ให้เขาไปจัดการเถอะ][ช่างเถอะ ช่างเถอะ ถ้าองค์ชายสามได้เป็นฮ่องเต้ จะต้องฆ่าท่านแม่และข้าแน่ น่ากลัวเกินไปแล้ว ข้ารวยขนาดนี้ ต้องมีชีวิตอยู่ต่ออีกหน่อยถึงจะดี][ให้พี่ชายรัชทายาททํางานหนักหน่อยเถอะ!][ท่านแม่ก็ทํางานหนักหน่อยนะ! ทั้งหมดก็เพื่อชีวิตที่ดีของเราในอนาคต]ซ่งชิงเหยียนอดปวดหัวไม่ได้ ปวดหัวจริงๆทําไมวังหลังถึงวุ่นวายขนาดนี้ซ่งชิงเหยียนรู้สึกว่าตนเองต้องการความเงียบเดิมทีซ่งชิงเหยียนมีความคิดเป็นของตนเอง ในขณะที่ซ่งชิงเหยียนกําลังลังเลว่าจะทําอย่างไรต่อไปนั้น นางกลับเห็นจิ่นซินเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น[ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านดูท่าทางของพี่จิ่นซินสิ เกรงว่าคงจะได้ยินข่าวซุ
ไป๋เวยยังคงกอดองค์ชายสามเพื่อปลอบขวัญเหมือนแต่ก่อนแต่หัวขององค์ชายสามนั้นบังเอิญไปอยู่ตรงคอของไป๋เวย พอก้มศีรษะลง ก็มองเห็นเนินขาวอันอวบอิ่มบนร่างกายของนาง คาดไม่ถึงว่าจะมีความคิดที่แตกต่างออกไปเขาเงยหน้าขึ้นมองไป๋เวย สมองของเขาว่างเปล่าเขาลุกขึ้นยืนและผลักไป๋เวยไปที่กําแพงตอนแรกไป๋เวยไม่ได้ตระหนักว่าองค์ชายสามแตกต่างจากวันวาน ยิ่งเอ่ยปากปลอบใจว่า “องค์ชายอย่าทรงรีบร้อน ฝ่าบาททรงแค่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น องค์หญิงไปตําหนักไทเฮาแล้วก็ยังดี...”พูดยังไม่ทันจบประโยค ริมฝีปากก็ถูกองค์ชายสามอุดไว้ไป๋เวยตะลึงงัน อยากจะผลักองค์ชายสามออก ปากก็พึมพําว่า “องค์ชาย”เพียงแต่เสียงร้องอันมีเสน่ห์นี้ กลับยิ่งกระตุ้นความปรารถนาขององค์ชายสามมือขององค์ชายสามเริ่มลูบไล้ร่างกายของไป๋เวย ปากของไป๋เวยส่งเสียงครางออกมา แต่ร่างกายกลับค่อยๆ อ่อนแรงลงในอ้อมอกขององค์ชายสามไป๋เวยอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว แต่เพราะติดตามพระสนมเต๋อเฟยทําให้เลยอายุออกเรือน ตอนนี้ยังไร้ประสบการณ์ จะทนการยั่วเย้าเช่นนี้ได้อย่างไรกันเมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ องค์ชายสามก็เริ่มลูบไล้ใบหน้าของนาง จูบไปที่คาง กระ
เมื่อกลับถึงห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เรียกอิ่งเข้ามา “ไปตรวจสอบจวนผู้ตรวจการแผ่นดินใต้เท้าหรง ดูว่าช่วงนี้บ้านเขามีความผิดปกติอะไรหรือไม่? มีใครเข้ามาใหม่บ้างหรือไม่?”“ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ห้ามพลาดแม้แต่นิดเดียว”เดิมคิดว่าจัดการอ๋องหรงแล้ว ควรสงบจิตสงบใจสักสองสามวัน คิดไม่ถึงว่าในเวลาเพียงสองสามเดือน กลับเกิดเรื่องมากมายเช่นนี้อีกอิ่งอีตอบรับแต่ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร และออกจากห้องทรงอักษรไปเมื่อครู่องครักษ์เงามังกรได้รับข่าวว่า หลายวันก่อนฝ่าบาททรงปวดหัว อาจเกี่ยวข้องกับฮองเฮาเสิ่นหนิงอยู่บ้างอย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ อิ่งอีไม่ได้แจ้งให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ทราบคิดจะมาตรวจสอบให้ชัดเจนแล้วค่อยอธิบายกับฝ่าบาทก็ยังไม่สายในขณะเดียวกันก็เพิ่มองครักษ์ลับสองคนให้กับฮ่องเต้ต้าฉู่ฮ่องเต้ผู้สง่าผ่าเผยของแคว้น ถูกวางยาพิษภายใต้การคุ้มครองขององครักษ์เงามังกร เกรงว่าองครักษ์เงามังกรคงยากที่จะตําหนิเอาได้ถึงเวลานั้นต่อให้ฝ่าบาทจะตัดหัวตนเอง ตนก็ไม่มีอะไรจะพูดเช้าวันรุ่งขึ้นตอนที่ฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังจะประกาศว่าไม่มีเรื่องอะไรจะออกจ
เมื่อเข้าไปในห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็สั่งให้คนทั้งหมดออกไปองค์รัชทายาทจึงรู้ว่า เสด็จพ่อคงมีเรื่องสําคัญ“เจ้ารู้เรื่ององค์ชายสามหรือไม่?” คิดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้ฉู่จะพูดถึงเรื่องนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่เดิมก็มีบุตรชายน้อยอยู่แล้ว ตอนนี้บุตรชายคนที่สามยังไม่เอาไหนเช่นนี้อีก ทําให้เขาปวดหัวจริงๆยิ่งไปกว่านั้น ฟังจากที่หวานหว่านพุด เจ้าสามนี่ยังได้เป็นฮ่องเต้องค์หนึ่งของแคว้นฉู่ในอนาคตอีกด้วยมันยากที่จะจินตนาการว่าสมองของเขาปกครองแคว้นอย่างไรรัชทายาทพยักหน้าอย่างลําบากใจ “ได้ยินนางกํานัลพูดมานิดหน่อย เมื่อคืนข่าวเพิ่งมาถึงที่กระหม่อม กระหม่อมออกคําสั่งแล้ว ในวังห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก”แม้ว่าเขาจะระมัดระวังองค์ชายสามอยู่บ้าง กลัวว่าเขาจะเกิดความคิดอะไรขึ้นมาอย่างไรก็ตามเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของราชสํานัก หากแพร่ออกไปจะไม่น่าฟังฮ่องเต้ต้าฉู่ยิ่งพอใจกับลู่จิ่นเหยา “เจ้าจัดการได้ดีมาก น้องชายของเจ้าคนนี้ไม่เอาไหนจริงๆ”องค์รัชทายาทกลับปลอบโยนว่า “เสด็จพ่ออย่าทรงเก็บมาใส่ใจเลยเพคะ จิ่นเฉินยังเด็กอยู่ เกรงว่าจะถูกคนข้างกายสั่งสอนเสียคน กระหม่อมกลับรู้สึกว่าควรเปลี่ยนคนที่ปร
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นสบตากับฮ่องเต้ต้าฉู่ “ในเมื่อเฮ่อเหลียนเหิงซินสามารถส่งคนเข้าไปในบ้านของหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินได้ คิดว่าแคว้นเยว่เฟิงคงจะมีสายลับไม่น้อยในต้าฉู่ของเรา”“หากเราจับคนคนนี้ออกมาโดยตรง จะต้องมีคนที่สอง คนที่สามแน่นอน ถึงตอนนั้นเรายังต้องใช้ความพยายามในการตามหาอีก”“ไม่สู้พวกเรารั้งคนคนนี้ไว้ ส่งข่าวเท็จบางอย่างให้เฮ่อเหลียนเหิงซินผ่านนาง ย่อมต้องมีข่าวจริงที่ไร้พิษภัยปะปนอยู่ในนั้นบ้างเป็นครั้งคราว”จากนั้นค้นหาตามเส้นนี้อย่างละเอียดและถอนรากถอนโคนรัชทายาทพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็หนักแน่นขึ้นหลายส่วน “หากแคว้นเยว่เฟิงยังไม่รู้จักกาลเทศะ จะถอนรากถอนโคนแคว้นเยว่เฟิงก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เสียหน่อย”“ตอนนี้ทหารของต้าฉู่ก็มีความสามารถเช่นนี้”นี่เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นองค์รัชทายาทที่ดุดันเช่นนี้ ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย แต่กลับหันมายิ้มแทน “ตอนนี้จิ่นเหยามีท่าทีเหมือนรัชทายาทมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้มอบให้เจ้าไปทําละกัน”“ส่วนทางด้านใต้เท้าหรง...” ฮ่องเต้ต้าฉู่เคาะโต๊ะเบาๆ คล้ายกําลังครุ่นคิด“ลูกคิดว่าทางใต้เท้าหรง ควรจะให้เขารู้เรื่องนี้ จะได้รู้