วันรุ่งขึ้น คณะทูตจากแคว้นต้าลี่ก็มาถึงเนื่องจากพวกเขามาถึงเมืองหลวงเมื่อคืนนี้ จึงได้พักผ่อนที่จวนรับรองแขกเมืองหนึ่งคืน เช้านี้ทางวังจึงส่งคนไปรับที่จวนรับรองผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดในวังหลังคงไม่พ้นพระสนมเหวินเฟย พี่ชายแท้ๆ ของนาง พี่ชายที่ไม่ได้พบกันมานานนับสิบปีและเพื่อนสนิทสมัยสาวๆ กำลังจะมา นางจึงตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อแต่งตัว โดยได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ต้าฉู่ให้สวมชุดแบบแคว้นต้าลี่ จึงดูมีเสน่ห์แปลกตาเป็นพิเศษองค์ชายสี่เห็นความเปลี่ยนแปลงของเสด็จแม่ ก็รู้สึกสดชื่นในใจอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานช่วงนี้มีพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคอยอยู่เป็นเพื่อน เสด็จแม่ออกไปเดินเล่นทุกวัน แม้ไม่มีพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคอยอยู่เป็นเพื่อน นางก็จะพานางกำนัลออกไปเดินเล่นในอุทยานหลวงสักครู่ ดูเหมือนตอนนี้เสด็จแม่จะมีความทุกข์ใจน้อยลงกว่าแต่ก่อน ดูมีความสุขจากใจจริงส่วนตัวเขาเองก็ได้รับคำแนะนำด้านการเรียนจากองค์รัชทายาท ช่วงนี้แม้แต่อาจารย์ในวังยังบอกว่าเขาก้าวหน้าขึ้นมากทางฝ่ายฮองเฮาก็ไม่ได้อยู่เฉย นี่เป็นครั้งแรกที่นางจัดงานเลี้ยงในวังหลังจากขึ้นเป็นฮองเฮา จึงต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เพื่อให้ไทเฮาและฝ่าบา
ซ่งชิงเหยียนอดมององค์รัชทายาทอีกครั้งไม่ได้ “ข้าเห็นช่วงนี้เจ้ายุ่งกับงานราชการ ดูผอมลงไปมาก เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ อย่าให้ถึงตอนที่คุณหนูตระกูลหานแต่งงานกับเจ้า แล้วต้องเจอรัชทายาทผอมโซ”พูดจบก็หันไปมองจงผิงที่ยืนอยู่ด้านหลังองค์รัชทายาท “ต่อไปต้องคอยดูแลให้นายของเจ้ากินอาหารให้ดี ให้เขากินมากๆ หน่อย”จงผิงยิ้มตอบ “กระหม่อมไม่กล้าหรอกพ่ะย่ะค่ะ ต้องให้ฮองเฮาว่ากล่าวองค์ชายของพวกเราดีกว่า”ลู่ซิงหว่านก็อดบ่นไม่ได้[ข้าเห็นว่าพี่ชายรัชทายาทก็ไม่ชินกับการมีนางกำนัลคอยรับใช้ สู้รีบแต่งคุณหนูตระกูลหานเข้ามา ให้นางมาดูแลพี่ชายรัชทายาทดีกว่า][ข้าจะได้เห็นว่าทั้งสองคนรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างไร]ซ่งชิงเหยียนคิดในใจ หวานหว่านของข้า ถึงจะใจร้อนแค่ไหน เราก็ต้องรักษามารยาท ต้องรอให้คุณหนูตระกูลหานโตเต็มที่ก่อน ที่นี่ไม่เหมือนกับโลกแห่งการบําเพ็ญเพียรของพวกเจ้าหรอกนะลู่ซิงหว่าน พูดเหลวไหล โลกแห่งการบําเพ็ญเพียรของพวกเราก็มีกฎเกณฑ์มากมายเช่นกันขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ก็เห็นพระสนมเหวินเฟยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าผิดหวัง ตามหลังมาด้วยองค์ชายสี่ที่ดูไม่ค่อยสบายใจเช่นกันซ่งชิงเหยียนรีบเ
ซ่งชิงเหยียนได้ยินความคิดของลู่ซิงหว่าน ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่ก็คิดว่าคงไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง?อย่างไรก็ตาม นางรีบปลอบพระสนมเหวินเฟย จับมือพระสนมเหวินเฟยแล้วมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์ “วันนี้พี่หญิงเหวินงดงามมากจริงๆ หากไม่รู้ คงนึกว่าพี่หญิงเหวินเป็นสาวน้อยที่ยังไม่ออกเรือนเสียอีก!”“พี่หญิงเหวินอย่าเพิ่งร้อนใจ คืนนี้ในงานเลี้ยงในวังจะต้องได้พบอี้ซวนอ๋องงและพระชายาอี้ซวนอ๋องอย่างแน่นอน พวกเขาจะอยู่ที่นี่อีกนาน ย่อมมีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนพี่หญิงเหวินแน่ ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอก”“อีกอย่าง หากพี่หญิงไปที่ตำหนักหลงเซิงวันนี้ ได้แค่เห็นหน้าแต่พูดคุยไม่ได้ จะไม่ยิ่งทำให้คันยุบยิบหรอกหรือ?”“ไม่สู้พี่หญิงส่งคนไปทูลขออนุญาตฝ่าบาท ให้อี้ซวนอ๋องและพระชายามาเยี่ยมพี่หญิงที่ตำหนักในภายหลังไม่ดีกว่าหรอกหรือ? ถึงตอนนั้นมีแค่พวกท่าน จะไม่สบายใจกว่ามากหรอกหรือไงกัน”“ได้จริงหรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของซ่งชิงเหยียน ดวงตาของพระสนมเหวินเฟยก็เป็นประกาย มองซ่งชิงเหยียนด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวัง“แน่นอนสิ” ซ่งชิงเหยียนเห็นนางเป็นเช่นนั้น ก็เข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี ตัวนางเองจากเมืองหลวงไปไม่ถึงสอง
องค์รัชทายาทมองตามทิศทางที่องค์ชายสี่จากไป ยืนเหม่ออยู่นานโดยไม่ได้ออกเดินเมื่อเห็นองค์ชายสี่กลับมาอีกครั้ง อวิ๋นจูกำลังจะก้าวออกไปห้าม แต่พอดีสวนทางกับเมิ่งฉวนเต๋อที่กลับมาเมิ่งฉวนเต๋อเห็นองค์ชายสี่ก็รีบเข้าไปคำนับ “องค์ชายสี่เสด็จมาแล้ว กระหม่อมเพิ่งไปหาพระสนมเหวินเฟยที่ตำหนักหานหวางมา แต่กลับไม่พบ”องค์ชายสี่ขมวดคิ้วถาม “ไม่ทราบว่ามหาขันทีเมิ่งมีธุระอะไรกับเสด็จแม่ของข้าหรือ?”“ฝ่าบาททรงให้กระหม่อมไปเชิญพระสนมเหวินเฟยที่ตำหนักหานหวางพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากทูตจากแคว้นต้าลี่มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เมิ่งฉวนเต๋อก้าวเข้าไปกล่าวองค์ชายสี่ได้ยินดังนั้น สีหน้าแสดงความไม่อยากเชื่อ มองไปทางอวิ๋นจูที่อยู่ข้างๆ ส่วนอวิ๋นจูเมื่อได้ยินคำพูดของเมิ่งฉวนเต๋อ ก็แสดงสีหน้าตื่นตระหนก รีบก้มหน้าลงไม่พูดอะไรอีกองค์ชายสี่นึกถึงจุดประสงค์ที่ตนมาและคำกำชับของเสด็จพี่เมื่อครู่ ตอนนี้มีทูตจากแคว้นต้าลี่อยู่ แม้จะเป็นอาแท้ๆ ของตน แต่ก็ไม่อาจทำให้เสด็จพ่อและแคว้นต้าฉู่เสียหน้าในเวลานี้ได้ จึงต้องกลืนความขุ่นเคืองไว้ก่อนเขายิ้มพูดกับเมิ่งฉวนเต๋อว่า “ช่างน่าเสียดายจริงๆ เสด็จแม่ของข้าไปที่ตำหนักของพระสนมเฉิ
หลังจากจิ่นรุ่ยออกจากตำหนักชิงอวิ๋นไปแล้ว พระสนมเหวินเฟยก็ทักทายกับซ่งชิงเหยียนไม่กี่คำแล้วกลับไปยังตำหนักหานกวางของตนองค์ชายสี่เดินทางไปยังตำหนักหานกวางพร้อมกับอี้ซวนอ๋องและพระชายา เนื่องจากนึกถึงคำกำชับของเสด็จพี่ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรตลอดทางทำให้อี้ซวนอ๋องและพระชายาที่เดินตามหลังรู้สึกสับสนอยู่บ้าง เมื่อครู่ดูเหมือนองค์ชายสี่จะเป็นเด็กที่รู้กาลเทศะ แต่ตอนนี้เหตุใดถึงเย็นชาเช่นนี้ หรือว่าเมื่อครู่แสดงออกเพียงเพื่อเอาใจฮ่องเต้ต้าฉู่เท่านั้น?ขณะที่ทั้งสองกำลังครุ่นคิด ก็เข้ามาถึงตำหนักหลักของตำหนักหานกวางแล้วพระสนมเหวินเฟยไล่ทุกคนออกไปแต่แรก เหลือเพียงนางกำนัลคนสนิทที่ติดตามมาจากแคว้นต้าลี่เท่านั้นหลังจากปิดประตูห้องโถง พระสนมเหวินเฟยรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว ด้วยความตื่นเต้นจนก้าวเดินสะดุดเล็กน้อยแม้แต่นางกำนัลเองก็ยังมีน้ำตาคลอนางเป็นนางกำนัลที่รับใช้ราชวงศ์ต้าลี่ ตามองค์หญิงมาแต่งงานที่แคว้นต้าฉู่ และใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนต่างถิ่นมากว่าสิบปีแล้วนึกถึงความทุกข์ทรมานที่พระสนมของตนได้ประสบมาตลอดหลายปีนี้ จึงไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้พระชายาอี้ซวนอ๋องรีบเดินเข้
พระสนมเหวินเฟยมองออกว่านางเสียดาย จึงปลอบเบา ๆ ว่า "อาเหยาไม่ต้องเศร้าไป บัดนี้นางเป็นหวงกุ้ยเฟยของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ ให้นางมีฐานะเท่าเทียมกับฮองเฮา และไม่ต้องดูแลเรื่องจุกจิกต่าง ๆ อีก ชีวิตเป็นอิสระมาก"ทว่าฟู่เหยากลับคร่ำครวญเบา ๆ "นางกลับยังนั่งนิ่งได้"พระสนมเหวินเฟยได้ยินดังนั้นก็ยิ้มและส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อว่า "จะว่าไป ข้ากลับรู้สึกว่าคนอย่างหวงกุ้ยเฟย ไม่มีใครคู่ควรกลับนาง แม้แต่คนรักเก่าของนางผู้นั้นก็ยังห่างชั้นจากนางมาก ข้ากลับรู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว มีอำนาจปกป้อง นางจึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ"เมื่อรู้ความคิดของเสี่ยวหร่าน ฟู่เหยาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก "งานเลี้ยงพระราชวังตอนกลางคืนข้าจะต้องดูนางให้ดี ๆ เพื่อดูว่ายังมีฝีมือเหมือนเดิมหรือไม่"หลีซื่อที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดของพระชายาตัวเอง ก็จับแขนของนางเบา ๆ "อาเหยา!"แม้ว่าจะเป็นการตำหนิ แต่กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนพระสนมเหวินเฟยดูชีวิตปัจจุบันของพี่ชายกับอาเหยา ในใจมีความสุขกับพวกเขาถ้าหากบอกว่าอิจฉาก็เปล่า บัดนี้ตนมีสถานะเช่นนี้อยู่แล้ว จิ่นรุ่ยเองก็โตแล้ว กลับตัดความคิดเรื่องความรักเหล่านั้นอ
ภายในตำหนักชิงอวิ๋น หลังจากที่พระสนมเหวินเฟยจากตำหนักชิงอวิ๋นไปได้ไม่นาน เหมยอิ่งและจวี๋อิ่งก็มาถึง"คุณหนูเจ้าค่ะ หลายวันมานี้จวี๋อิ่งได้ตรวจสอบเรื่องที่พระสนมหลานเฟยถูกวางยาพิษมาตลอดช่วงนี้ เมื่อหลายวันก่อนนางได้พบเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าน้อยจึงไปไปตรวจสอบอีกครั้งและพบบางอย่าง"ซ่งชิงเหยียนรู้ดีว่า หากไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เหมยอิ่งคงไม่มาพร้อมกับจวี๋อิ่ง จึงตั้งตัวให้ตรงพร้อมกับมองไปที่เหมยอิ่ง โดยไม่พูดอะไร เพียงรอคำพูดต่อไปของนางเหมยอิ่งมองไปที่จวี๋อิ่ง จวี๋อิ่งจึงรับหน้าที่พูดต่อ "ข้าน้อยคิดว่าการถูกวางยาพิษของพระสนมหลานเฟยเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แม่นางอูผู้นั้นเองก็พูดว่า ฝ่ายตรงข้ามใช้พิษอย่างเร่งรีบจนพลาดท่า ข้าน้อยคิดว่าพิษนี้น่าจะมาจากอาหาร จึงไปตรวจสอบบันทึกในตำหนักเหยียนเหอในช่วงเวลานั้น ในที่สุดก็พบเบาะแสเจ้าค่ะ หลายวันก่อนหน้าที่พระสนมหลานเฟยจะถูกพิษ ในช่วงนั้นมีของหวานเพิ่มขึ้นมา""ข้าน้อยจึงไปไปตรวจสอบห้องเครื่องอีกครั้ง บันทึกของห้องเครื่องไม่ได้มีของหวานชนิดนี้" เมื่อจวี๋อิ่งพูดถึงตรงนี้ก็มองไปยังซ่งชิงเหยียน "คุณหนูเดาว่าของหวานนี้มาจากไหน?"นิสัยของจวี๋อิ่งไม
ในใจก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ นางได้ฝึกวรยุทธ์กับคุณหนูมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะไม่สามารถฝึกจนเก่งมากอะไร แต่ร่างกายของนางก็แข็งแรงกว่าสาวใช้คนอื่น ๆ พวกนั้นมาโดยตลอด วันนี้กลับวิ่งตามแม่นางฉยงหัวไม่ทันซ่งชิงเหยียนเห็นจิ่นอวี้เดินหอบเข้ามา จากนั้นก็เห็นท่าทางของฉยงหัวที่หายใจอย่างปกติ ก็ประหลาดใจมากว่า "แม่นางฉยงหัวร่างกายแข็งแรงจริง ๆ จิ่นอวี้เป็นคนที่แข็งแรงมาโดยตลอด"ทว่าฉยงหัวกลับเกาหัวด้วยความเขินอายเล็กน้อย "ข้าลืมไปว่าแม่นางจิ่นอวี้ยังอยู่ข้างหลัง"พูดจบก็ย่อคำนับจิ่นอวี้ เพื่อแสดงการขอโทษ จากนั้นก็เหลือบมองไปที่หวงกุ้ยเฟย "ข้าติดตามท่านไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาตั้งแต่เด็ก จึงได้ฝึกมา"ซ่งชิงเหยียนก็ไม่ได้ตั้งใจจะถามอะไรมาก จึงชี้ไปที่สองสิ่งที่อยู่บนโต๊ะ "ขอให้แม่นางฉยงหัวช่วยตรวจสอบให้หน่อยว่า นี่เป็นยาชนิดเดียวกันหรือไม่"ขณะพูดก็กำชับอีกว่า "นี่เป็นยาพิษ แม่นางฉยงหัวต้องระวังด้วย"ฉยงหัวพยักหน้า พร้อมกับก้าวไปข้างหน้าเปิดยานั้นเบา ๆ แต่กลับหัวเราะออกมา "พระสนมสบายใจได้ นี่ไม่ใช่ยาพิษร้ายแรงอะไร""ไม่ใช่ยาพิษร้ายแรง?" ซ่งชิงเหยียนขมวดคิ้ว ตอนนั้นภาพของหว่านหว่านที่มีผื่นและมีไข