เมื่อได้ยินฮ่องเต้ต้าฉู่ถามเช่นนี้ ฮองเฮาก็รีบเอ่ยตอบว่า "ฝ่าบาทวางใจได้เพคะ ก่อนหน้านี้หวงกุ้ยเฟยได้จัดการเรื่องไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว บัดนี้รอแค่เพียงทูตของแคว้นต้าลี่มาถึงก็พอ"ซ่งชิงเหยียนเองก็ไม่ใช่คนโง่ จึงรีบลุกขึ้นเอ่ยว่า "ฮองเฮาไม่ต้องแซวหม่อมฉันแล้วเพคะ หม่อมฉันเป็นคนขี้เกียจ แต่เตรียมการไว้คร่าวๆ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องให้ฮองเฮาเตรียมการอย่างสมบูรณ์ หม่อมฉันมิบังอาจมีความดีความชอบ"เสิ่นหนิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน เดิมทีนึกว่าพระสนมหวงกุ้ยเฟยมาจากสนามรบ น่าจะเป็นคนที่มีความคิดสะเพร่า แต่หลังจากการสนทนาหลายครั้งก็พบว่า ซ่งชิงเหยียนผู้นี้มองผิวเผินเหมือนหยาบคาย แต่จริงๆ แล้วเป็นคนรอบคอบและระมัดระวังมาก เป็นคนที่จัดการได้ยากลู่ซิงหว่านที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะตบมือน้อยๆ [ท่านแม่ฉลาดมาก ฮองเฮาผู้นี้มีเจตนาไม่ดีจริงๆ มองดูแล้วกำลังจะขุดหลุมให้ท่านแม่ ถ้างานเลี้ยงในวังนั้นท่านแม่เป็นคนจัดเตรียมทั้งหมด เมื่อถึงตอนนั้นหากเกิดเรื่องขึ้น ก็จะผลักความผิดไปให้ท่านแม่คนเดียว][โชคดีที่ท่านแม่เป็นคนฉลาด สมแล้วที่เป็นท่านแม่ของลู่ซิงหว่านอย่างข้าไงล่ะ!]ฮ่องเต้ต
[น่าสงสาร ช่างน่าสงสารจริงๆ]ฮ่องเต้ต้าฉู่ตอนนี้อยากจะโยนลู่ซิงหว่านที่อยู่ในอ้อมแขนออกไปจริงๆ ลูกสาวสุดที่รักของตนมาเรียกตนว่าชายแก่ซะงั้นเจ้ารอก่อนเถอะ รอให้เจ้าอายุครบสิบห้าปี เสด็จพ่อของเจ้าจะยกเจ้าให้แต่งงานกับชายแก่เหมือนกันแต่เมื่อลองคิดอีกที ลูกสาวสุดที่รักที่ตนทะนุถนอมมาตลอด จะยอมยกให้แต่งงานกับชายแก่ตั้งแต่อายุยังน้อยได้อย่างไร? ตนจะต้องเลือกคู่ครองที่นางพึงพอใจและมีความสามารถให้นางแน่นอนลูกสาวของตน ก็ต้องตามใจนางนั่นแหละ ใครใช้ให้นางเป็นเซียนตัวน้อยกันเล่า!ซ่งชิงเหยียนได้ยินความคิดของลู่ซิงหว่านก็อดเอามือกุมขมับไม่ได้ โชคดีที่ฮ่องเต้ไม่ได้ยินความคิดของหวานหว่าน หากรู้ว่าในใจของหวานหว่านมองพระองค์เช่นนี้ คงจะโยนหวานหว่านออกไปเป็นแน่ส่วนตัวนางเอง ก็ต้องทำหน้าที่ของตน จึงหันไปมองฮองเฮาแล้วพูดว่า “ฮองเฮาเพคะ เมื่อไม่กี่วันก่อนหม่อมฉันเห็นว่าเล่อกุ้ยเหรินดูเหมือนจะมีจิตใจไม่ค่อยมั่นคง หมอหลวงเองก็บอกว่าไม่ค่อยดีนัก ต้องรบกวนฮองเฮาคอยดูแลครรภ์ของนางด้วยเพคะ”เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นหนิงก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วพูดว่า “หวงกุ้ยเฟยวางใจเถิด นี่เป็นหน้าที่ของข้า” ก่อนจะหันไป
ทางด้านของติ้งกั๋วโหว ช่วงนี้ก็ยุ่งวุ่นวายไม่น้อยหลังจากได้รับจดหมายตอบกลับจากองค์รัชทายาทครั้งล่าสุด เขาก็ได้พบกับเหอเหลียนเหรินซินอย่างลับๆ กองทัพของแคว้นเยว่เฟิงนั้นกำลังคุกรุ่นอยู่ที่ชายแดน ติ้งกั๋วโหวเองเองเดิมก็มีความคิดที่จะเตือนอยู่แล้ว พอดีกับที่ในจดหมายขององค์รัชทายาทก็มีความหมายเช่นเดียวกัน เพียงแต่ต้องแจ้งให้เหอเหลียนเหรินซินทราบเท่านั้น“ตอนนี้ท่านอ๋องเหรินได้นั่งมั่นคงอยู่ในราชสำนักแล้ว” ติ้งกั๋วโหวรินน้ำชาให้อ๋องเหริน แล้วจึงนั่งตัวตรงมองไปที่เขา “เรื่องที่องค์ชายขอไว้เมื่อครั้งก่อน องค์รัชทายาทของพวกเราได้ตอบกลับมาแล้ว”หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย เหอเหลียนเหรินซินก็ลดความหุนหันลงไป และมีความหนักแน่นมากขึ้น “ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาทต้าฉู่มีความประสงค์เช่นไร?”“ช่วงนี้เหอเหลียนเหิงซินนั้นไม่สงบเลย ก่อเรื่องที่ชายแดนอยู่บ่อยครั้ง ข้าก็รอคำตอบจากองค์รัชทายาทอยู่เช่นกัน จึงยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร” ติ้งกั๋วโหวพูดพลางชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว “ข้าต้องการเมืองสองเมือง”เหอเหลียนเหรินซินรู้สึกประหลาดใจในใจ แต่ก็สงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว ด้วยกำลังของแคว้นต้าฉู่ในตอนนี้ อีกทั
ฝ่ายที่สนับสนุนสันติภาพย่อมกล่าวว่า ตอนนี้แคว้นเยว่เฟิงเพิ่งได้รับบาดเจ็บ ไม่ควรก่อเรื่องวุ่นวายอีก ควรรีบส่งหนังสือยอมแพ้ไปยังแคว้นต้าฉู่โดยเร็ว แล้วส่งทูตไปขอสงบศึกส่วนฝ่ายที่สนับสนุนการสู้รบกลับรู้สึกว่า ตอนนี้ควรรีบฉวยโอกาสต่อสู้กับแคว้นต้าฉู่สักศึก เพื่อแสดงศักดิ์ศรีของแคว้นเหอเหลียนเหิงซินย่อมสนับสนุนการสู้รบ แต่กลับเกิดความคิดที่จะลองสำรวจท่าทีของเหอเหลียนเหรินซิน จึงหันไปถามว่า “อ๋องเหรินมีความเห็นอย่างไร?”เหอเหลียนเหรินซินเหมือนกำลังเหม่อลอย รีบตอบอย่างลนลาน “ทูลฝ่าบาท ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่าบาทเป็นหลักพ่ะย่ะค่ะ”เหอเหลียนเหิงซินชอบท่าทางขี้ขลาดของเขาในตอนนี้มาก จึงหัวเราะอย่างเสียงดังว่า “หากเช่นนั้น ให้ท่านเสนาบดีเฮ่อนำทัพออกไปสู้รบ”พูดจบก็หันไปมองเฮ่อปาขุยที่อยู่ข้างๆ “ท่านเสนาบดีเฮ่อ การศึกครั้งนี้ต้องกลับมาอย่างมีชัยชนะ”“กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”แม้เฮ่อปาขุยจะเป็นเสนาบดีที่เหอเหลียนเหิงซินแต่งตั้งเอง แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยออกรบมาก่อน อีกทั้งยังไม่มีหัวทางทหาร ผลลัพธ์ของศึกครั้งนี้คงพอจะคาดเดาได้ติ้งกั๋วโหวถึงกับยึดเมืองได้อีกสองเ
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เหอเหลียนเหรินซินกลับได้รับชื่อเสียงที่ดีเยี่ยมในหมู่ราษฏรในขณะที่ชื่อเสียงของเหอเหลียนเหิงซินกลับตกต่ำลงอย่างมากในช่วงเวลาเดียวกันแม้ว่าเขาจะขึ้นครองราชย์ด้วยการแย่งชิง แต่สำหรับราษฏรแล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นฮ่องเต้ พวกเขาก็แค่หวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้นแต่ก่อนเหอเหลียนเหรินซินมัวเมาในความสำราญ ไม่สนใจบ้านเมือง ทำให้เหอเหลียนเหิงซินมีชื่อเสียงที่ดีกว่าในหมู่ราษฏร แต่บัดนี้เหอเหลียนเหรินซินมีชัยชนะในสงคราม อีกทั้งยังเป็นรัชทายาทที่ถูกต้องตามราชประเพณี ทำให้ราษฏรเริ่มพูดถึงเรื่องที่เหอเหลียนเหิงซินแย่งชิงราชบัลลังก์อีกครั้งในราชสำนักก็มีขุนนางไม่น้อยที่ทูลฎีกาต่อเหอเหลียนเหิงซิน ขอให้แต่งตั้งเหอเหลียนเหรินซินเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดนในบรรดาคนเหล่านี้ย่อมมีทั้งผู้ที่เคยสนับสนุนเหอเหลียนเหรินซินให้ชิงราชบัลลังก์คืน และขุนนางที่วางตัวเป็นกลาง การที่เหอเหลียนเหิงซินแย่งชิงอำนาจครั้งนี้ ได้สังหารขุนนางในราชสำนักไปมากมาย ทำให้ตอนนี้ราชสำนักขาดแคลนแม่ทัพ ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องส่งเฮ่อปาขุยออกรบไม่ว่าอ๋องเหรินจะเป็นอย่างไรในอดีต แต่บัดนี้เขารักษาหน้าที่ของตนอย
เมื่อพูดถึงเหอเหลียนจูลี่ เฮ่อปาขุยก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยชั่วขณะ แต่เหอเหลียนเหิงซินกำลังจมอยู่กับความเกลียดชังจึงไม่ทันสังเกตเห็น “กระหม่อมส่งคนไปสืบมาแล้ว เหอเหลียนจูลี่หลบอยู่ในจวนอ๋องเหริน แทบไม่ได้ออกจากเรือนของตนเองเลย คงจะกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ไร้ประโยชน์” ในสายตาของเหอเหลียนเหิงซิน เหอเหลียนเหรินซินสองพี่น้องเป็นเพียงคนไร้ค่าที่ไม่มีวันเอาดีอะไรได้สองวันต่อมา พระราชโองการส่งไปถึงกองทัพ แต่งตั้งเหอเหลียนเหรินซินเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดน การกระทำครั้งนี้ของเหอเหลียนเหิงซินทำให้เขาได้รับชื่อเสียงที่ดีไม่น้อย“ได้ยินว่าฝ่าบาททรงแต่งตั้งอ๋องเหรินเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดนแล้ว ฝ่าบาทช่างมีพระทัยกว้างขวางจริงๆ นึกว่าจะทรงอิจฉาอ๋องเหรินแล้วลงมือเสียอีก ไม่คาดว่าจะทรงสนับสนุนเขาเช่นนี้”“นี่แหละถึงได้ขึ้นครองราชย์ได้ มีฮ่องเต้เช่นนี้เป็นบุญของแคว้นเยว่เฟิง คิดว่าแคว้นเยว่เฟิงคงจะรุ่งเรืองไปอีกนับพันปี”คำพูดเช่นนี้แพร่สะพัดในหมู่ประชาชน แน่นอนว่าย่อมเล็ดลอดเข้าไปในวังหลวงด้วย เหอเหลียนเหิงซินถึงได้ยอมรับคำแนะนำของเฮ่อปาขุย ดูเหมือนเสด็จลุงจะยังเป็นคนที่ไว้ใจได้จริงๆ
วันรุ่งขึ้น คณะทูตจากแคว้นต้าลี่ก็มาถึงเนื่องจากพวกเขามาถึงเมืองหลวงเมื่อคืนนี้ จึงได้พักผ่อนที่จวนรับรองแขกเมืองหนึ่งคืน เช้านี้ทางวังจึงส่งคนไปรับที่จวนรับรองผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดในวังหลังคงไม่พ้นพระสนมเหวินเฟย พี่ชายแท้ๆ ของนาง พี่ชายที่ไม่ได้พบกันมานานนับสิบปีและเพื่อนสนิทสมัยสาวๆ กำลังจะมา นางจึงตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อแต่งตัว โดยได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ต้าฉู่ให้สวมชุดแบบแคว้นต้าลี่ จึงดูมีเสน่ห์แปลกตาเป็นพิเศษองค์ชายสี่เห็นความเปลี่ยนแปลงของเสด็จแม่ ก็รู้สึกสดชื่นในใจอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานช่วงนี้มีพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคอยอยู่เป็นเพื่อน เสด็จแม่ออกไปเดินเล่นทุกวัน แม้ไม่มีพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคอยอยู่เป็นเพื่อน นางก็จะพานางกำนัลออกไปเดินเล่นในอุทยานหลวงสักครู่ ดูเหมือนตอนนี้เสด็จแม่จะมีความทุกข์ใจน้อยลงกว่าแต่ก่อน ดูมีความสุขจากใจจริงส่วนตัวเขาเองก็ได้รับคำแนะนำด้านการเรียนจากองค์รัชทายาท ช่วงนี้แม้แต่อาจารย์ในวังยังบอกว่าเขาก้าวหน้าขึ้นมากทางฝ่ายฮองเฮาก็ไม่ได้อยู่เฉย นี่เป็นครั้งแรกที่นางจัดงานเลี้ยงในวังหลังจากขึ้นเป็นฮองเฮา จึงต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เพื่อให้ไทเฮาและฝ่าบา
ซ่งชิงเหยียนอดมององค์รัชทายาทอีกครั้งไม่ได้ “ข้าเห็นช่วงนี้เจ้ายุ่งกับงานราชการ ดูผอมลงไปมาก เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ อย่าให้ถึงตอนที่คุณหนูตระกูลหานแต่งงานกับเจ้า แล้วต้องเจอรัชทายาทผอมโซ”พูดจบก็หันไปมองจงผิงที่ยืนอยู่ด้านหลังองค์รัชทายาท “ต่อไปต้องคอยดูแลให้นายของเจ้ากินอาหารให้ดี ให้เขากินมากๆ หน่อย”จงผิงยิ้มตอบ “กระหม่อมไม่กล้าหรอกพ่ะย่ะค่ะ ต้องให้ฮองเฮาว่ากล่าวองค์ชายของพวกเราดีกว่า”ลู่ซิงหว่านก็อดบ่นไม่ได้[ข้าเห็นว่าพี่ชายรัชทายาทก็ไม่ชินกับการมีนางกำนัลคอยรับใช้ สู้รีบแต่งคุณหนูตระกูลหานเข้ามา ให้นางมาดูแลพี่ชายรัชทายาทดีกว่า][ข้าจะได้เห็นว่าทั้งสองคนรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างไร]ซ่งชิงเหยียนคิดในใจ หวานหว่านของข้า ถึงจะใจร้อนแค่ไหน เราก็ต้องรักษามารยาท ต้องรอให้คุณหนูตระกูลหานโตเต็มที่ก่อน ที่นี่ไม่เหมือนกับโลกแห่งการบําเพ็ญเพียรของพวกเจ้าหรอกนะลู่ซิงหว่าน พูดเหลวไหล โลกแห่งการบําเพ็ญเพียรของพวกเราก็มีกฎเกณฑ์มากมายเช่นกันขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ก็เห็นพระสนมเหวินเฟยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าผิดหวัง ตามหลังมาด้วยองค์ชายสี่ที่ดูไม่ค่อยสบายใจเช่นกันซ่งชิงเหยียนรีบเ