ทางด้านของติ้งกั๋วโหว ช่วงนี้ก็ยุ่งวุ่นวายไม่น้อยหลังจากได้รับจดหมายตอบกลับจากองค์รัชทายาทครั้งล่าสุด เขาก็ได้พบกับเหอเหลียนเหรินซินอย่างลับๆ กองทัพของแคว้นเยว่เฟิงนั้นกำลังคุกรุ่นอยู่ที่ชายแดน ติ้งกั๋วโหวเองเองเดิมก็มีความคิดที่จะเตือนอยู่แล้ว พอดีกับที่ในจดหมายขององค์รัชทายาทก็มีความหมายเช่นเดียวกัน เพียงแต่ต้องแจ้งให้เหอเหลียนเหรินซินทราบเท่านั้น“ตอนนี้ท่านอ๋องเหรินได้นั่งมั่นคงอยู่ในราชสำนักแล้ว” ติ้งกั๋วโหวรินน้ำชาให้อ๋องเหริน แล้วจึงนั่งตัวตรงมองไปที่เขา “เรื่องที่องค์ชายขอไว้เมื่อครั้งก่อน องค์รัชทายาทของพวกเราได้ตอบกลับมาแล้ว”หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย เหอเหลียนเหรินซินก็ลดความหุนหันลงไป และมีความหนักแน่นมากขึ้น “ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาทต้าฉู่มีความประสงค์เช่นไร?”“ช่วงนี้เหอเหลียนเหิงซินนั้นไม่สงบเลย ก่อเรื่องที่ชายแดนอยู่บ่อยครั้ง ข้าก็รอคำตอบจากองค์รัชทายาทอยู่เช่นกัน จึงยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร” ติ้งกั๋วโหวพูดพลางชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว “ข้าต้องการเมืองสองเมือง”เหอเหลียนเหรินซินรู้สึกประหลาดใจในใจ แต่ก็สงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว ด้วยกำลังของแคว้นต้าฉู่ในตอนนี้ อีกทั
ฝ่ายที่สนับสนุนสันติภาพย่อมกล่าวว่า ตอนนี้แคว้นเยว่เฟิงเพิ่งได้รับบาดเจ็บ ไม่ควรก่อเรื่องวุ่นวายอีก ควรรีบส่งหนังสือยอมแพ้ไปยังแคว้นต้าฉู่โดยเร็ว แล้วส่งทูตไปขอสงบศึกส่วนฝ่ายที่สนับสนุนการสู้รบกลับรู้สึกว่า ตอนนี้ควรรีบฉวยโอกาสต่อสู้กับแคว้นต้าฉู่สักศึก เพื่อแสดงศักดิ์ศรีของแคว้นเหอเหลียนเหิงซินย่อมสนับสนุนการสู้รบ แต่กลับเกิดความคิดที่จะลองสำรวจท่าทีของเหอเหลียนเหรินซิน จึงหันไปถามว่า “อ๋องเหรินมีความเห็นอย่างไร?”เหอเหลียนเหรินซินเหมือนกำลังเหม่อลอย รีบตอบอย่างลนลาน “ทูลฝ่าบาท ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่าบาทเป็นหลักพ่ะย่ะค่ะ”เหอเหลียนเหิงซินชอบท่าทางขี้ขลาดของเขาในตอนนี้มาก จึงหัวเราะอย่างเสียงดังว่า “หากเช่นนั้น ให้ท่านเสนาบดีเฮ่อนำทัพออกไปสู้รบ”พูดจบก็หันไปมองเฮ่อปาขุยที่อยู่ข้างๆ “ท่านเสนาบดีเฮ่อ การศึกครั้งนี้ต้องกลับมาอย่างมีชัยชนะ”“กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”แม้เฮ่อปาขุยจะเป็นเสนาบดีที่เหอเหลียนเหิงซินแต่งตั้งเอง แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยออกรบมาก่อน อีกทั้งยังไม่มีหัวทางทหาร ผลลัพธ์ของศึกครั้งนี้คงพอจะคาดเดาได้ติ้งกั๋วโหวถึงกับยึดเมืองได้อีกสองเ
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เหอเหลียนเหรินซินกลับได้รับชื่อเสียงที่ดีเยี่ยมในหมู่ราษฏรในขณะที่ชื่อเสียงของเหอเหลียนเหิงซินกลับตกต่ำลงอย่างมากในช่วงเวลาเดียวกันแม้ว่าเขาจะขึ้นครองราชย์ด้วยการแย่งชิง แต่สำหรับราษฏรแล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นฮ่องเต้ พวกเขาก็แค่หวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้นแต่ก่อนเหอเหลียนเหรินซินมัวเมาในความสำราญ ไม่สนใจบ้านเมือง ทำให้เหอเหลียนเหิงซินมีชื่อเสียงที่ดีกว่าในหมู่ราษฏร แต่บัดนี้เหอเหลียนเหรินซินมีชัยชนะในสงคราม อีกทั้งยังเป็นรัชทายาทที่ถูกต้องตามราชประเพณี ทำให้ราษฏรเริ่มพูดถึงเรื่องที่เหอเหลียนเหิงซินแย่งชิงราชบัลลังก์อีกครั้งในราชสำนักก็มีขุนนางไม่น้อยที่ทูลฎีกาต่อเหอเหลียนเหิงซิน ขอให้แต่งตั้งเหอเหลียนเหรินซินเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดนในบรรดาคนเหล่านี้ย่อมมีทั้งผู้ที่เคยสนับสนุนเหอเหลียนเหรินซินให้ชิงราชบัลลังก์คืน และขุนนางที่วางตัวเป็นกลาง การที่เหอเหลียนเหิงซินแย่งชิงอำนาจครั้งนี้ ได้สังหารขุนนางในราชสำนักไปมากมาย ทำให้ตอนนี้ราชสำนักขาดแคลนแม่ทัพ ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องส่งเฮ่อปาขุยออกรบไม่ว่าอ๋องเหรินจะเป็นอย่างไรในอดีต แต่บัดนี้เขารักษาหน้าที่ของตนอย
เมื่อพูดถึงเหอเหลียนจูลี่ เฮ่อปาขุยก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยชั่วขณะ แต่เหอเหลียนเหิงซินกำลังจมอยู่กับความเกลียดชังจึงไม่ทันสังเกตเห็น “กระหม่อมส่งคนไปสืบมาแล้ว เหอเหลียนจูลี่หลบอยู่ในจวนอ๋องเหริน แทบไม่ได้ออกจากเรือนของตนเองเลย คงจะกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ไร้ประโยชน์” ในสายตาของเหอเหลียนเหิงซิน เหอเหลียนเหรินซินสองพี่น้องเป็นเพียงคนไร้ค่าที่ไม่มีวันเอาดีอะไรได้สองวันต่อมา พระราชโองการส่งไปถึงกองทัพ แต่งตั้งเหอเหลียนเหรินซินเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดน การกระทำครั้งนี้ของเหอเหลียนเหิงซินทำให้เขาได้รับชื่อเสียงที่ดีไม่น้อย“ได้ยินว่าฝ่าบาททรงแต่งตั้งอ๋องเหรินเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดนแล้ว ฝ่าบาทช่างมีพระทัยกว้างขวางจริงๆ นึกว่าจะทรงอิจฉาอ๋องเหรินแล้วลงมือเสียอีก ไม่คาดว่าจะทรงสนับสนุนเขาเช่นนี้”“นี่แหละถึงได้ขึ้นครองราชย์ได้ มีฮ่องเต้เช่นนี้เป็นบุญของแคว้นเยว่เฟิง คิดว่าแคว้นเยว่เฟิงคงจะรุ่งเรืองไปอีกนับพันปี”คำพูดเช่นนี้แพร่สะพัดในหมู่ประชาชน แน่นอนว่าย่อมเล็ดลอดเข้าไปในวังหลวงด้วย เหอเหลียนเหิงซินถึงได้ยอมรับคำแนะนำของเฮ่อปาขุย ดูเหมือนเสด็จลุงจะยังเป็นคนที่ไว้ใจได้จริงๆ
วันรุ่งขึ้น คณะทูตจากแคว้นต้าลี่ก็มาถึงเนื่องจากพวกเขามาถึงเมืองหลวงเมื่อคืนนี้ จึงได้พักผ่อนที่จวนรับรองแขกเมืองหนึ่งคืน เช้านี้ทางวังจึงส่งคนไปรับที่จวนรับรองผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดในวังหลังคงไม่พ้นพระสนมเหวินเฟย พี่ชายแท้ๆ ของนาง พี่ชายที่ไม่ได้พบกันมานานนับสิบปีและเพื่อนสนิทสมัยสาวๆ กำลังจะมา นางจึงตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อแต่งตัว โดยได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ต้าฉู่ให้สวมชุดแบบแคว้นต้าลี่ จึงดูมีเสน่ห์แปลกตาเป็นพิเศษองค์ชายสี่เห็นความเปลี่ยนแปลงของเสด็จแม่ ก็รู้สึกสดชื่นในใจอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานช่วงนี้มีพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคอยอยู่เป็นเพื่อน เสด็จแม่ออกไปเดินเล่นทุกวัน แม้ไม่มีพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคอยอยู่เป็นเพื่อน นางก็จะพานางกำนัลออกไปเดินเล่นในอุทยานหลวงสักครู่ ดูเหมือนตอนนี้เสด็จแม่จะมีความทุกข์ใจน้อยลงกว่าแต่ก่อน ดูมีความสุขจากใจจริงส่วนตัวเขาเองก็ได้รับคำแนะนำด้านการเรียนจากองค์รัชทายาท ช่วงนี้แม้แต่อาจารย์ในวังยังบอกว่าเขาก้าวหน้าขึ้นมากทางฝ่ายฮองเฮาก็ไม่ได้อยู่เฉย นี่เป็นครั้งแรกที่นางจัดงานเลี้ยงในวังหลังจากขึ้นเป็นฮองเฮา จึงต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เพื่อให้ไทเฮาและฝ่าบา
ซ่งชิงเหยียนอดมององค์รัชทายาทอีกครั้งไม่ได้ “ข้าเห็นช่วงนี้เจ้ายุ่งกับงานราชการ ดูผอมลงไปมาก เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ อย่าให้ถึงตอนที่คุณหนูตระกูลหานแต่งงานกับเจ้า แล้วต้องเจอรัชทายาทผอมโซ”พูดจบก็หันไปมองจงผิงที่ยืนอยู่ด้านหลังองค์รัชทายาท “ต่อไปต้องคอยดูแลให้นายของเจ้ากินอาหารให้ดี ให้เขากินมากๆ หน่อย”จงผิงยิ้มตอบ “กระหม่อมไม่กล้าหรอกพ่ะย่ะค่ะ ต้องให้ฮองเฮาว่ากล่าวองค์ชายของพวกเราดีกว่า”ลู่ซิงหว่านก็อดบ่นไม่ได้[ข้าเห็นว่าพี่ชายรัชทายาทก็ไม่ชินกับการมีนางกำนัลคอยรับใช้ สู้รีบแต่งคุณหนูตระกูลหานเข้ามา ให้นางมาดูแลพี่ชายรัชทายาทดีกว่า][ข้าจะได้เห็นว่าทั้งสองคนรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างไร]ซ่งชิงเหยียนคิดในใจ หวานหว่านของข้า ถึงจะใจร้อนแค่ไหน เราก็ต้องรักษามารยาท ต้องรอให้คุณหนูตระกูลหานโตเต็มที่ก่อน ที่นี่ไม่เหมือนกับโลกแห่งการบําเพ็ญเพียรของพวกเจ้าหรอกนะลู่ซิงหว่าน พูดเหลวไหล โลกแห่งการบําเพ็ญเพียรของพวกเราก็มีกฎเกณฑ์มากมายเช่นกันขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ก็เห็นพระสนมเหวินเฟยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าผิดหวัง ตามหลังมาด้วยองค์ชายสี่ที่ดูไม่ค่อยสบายใจเช่นกันซ่งชิงเหยียนรีบเ
ซ่งชิงเหยียนได้ยินความคิดของลู่ซิงหว่าน ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่ก็คิดว่าคงไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง?อย่างไรก็ตาม นางรีบปลอบพระสนมเหวินเฟย จับมือพระสนมเหวินเฟยแล้วมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์ “วันนี้พี่หญิงเหวินงดงามมากจริงๆ หากไม่รู้ คงนึกว่าพี่หญิงเหวินเป็นสาวน้อยที่ยังไม่ออกเรือนเสียอีก!”“พี่หญิงเหวินอย่าเพิ่งร้อนใจ คืนนี้ในงานเลี้ยงในวังจะต้องได้พบอี้ซวนอ๋องงและพระชายาอี้ซวนอ๋องอย่างแน่นอน พวกเขาจะอยู่ที่นี่อีกนาน ย่อมมีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนพี่หญิงเหวินแน่ ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอก”“อีกอย่าง หากพี่หญิงไปที่ตำหนักหลงเซิงวันนี้ ได้แค่เห็นหน้าแต่พูดคุยไม่ได้ จะไม่ยิ่งทำให้คันยุบยิบหรอกหรือ?”“ไม่สู้พี่หญิงส่งคนไปทูลขออนุญาตฝ่าบาท ให้อี้ซวนอ๋องและพระชายามาเยี่ยมพี่หญิงที่ตำหนักในภายหลังไม่ดีกว่าหรอกหรือ? ถึงตอนนั้นมีแค่พวกท่าน จะไม่สบายใจกว่ามากหรอกหรือไงกัน”“ได้จริงหรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของซ่งชิงเหยียน ดวงตาของพระสนมเหวินเฟยก็เป็นประกาย มองซ่งชิงเหยียนด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวัง“แน่นอนสิ” ซ่งชิงเหยียนเห็นนางเป็นเช่นนั้น ก็เข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี ตัวนางเองจากเมืองหลวงไปไม่ถึงสอง
องค์รัชทายาทมองตามทิศทางที่องค์ชายสี่จากไป ยืนเหม่ออยู่นานโดยไม่ได้ออกเดินเมื่อเห็นองค์ชายสี่กลับมาอีกครั้ง อวิ๋นจูกำลังจะก้าวออกไปห้าม แต่พอดีสวนทางกับเมิ่งฉวนเต๋อที่กลับมาเมิ่งฉวนเต๋อเห็นองค์ชายสี่ก็รีบเข้าไปคำนับ “องค์ชายสี่เสด็จมาแล้ว กระหม่อมเพิ่งไปหาพระสนมเหวินเฟยที่ตำหนักหานหวางมา แต่กลับไม่พบ”องค์ชายสี่ขมวดคิ้วถาม “ไม่ทราบว่ามหาขันทีเมิ่งมีธุระอะไรกับเสด็จแม่ของข้าหรือ?”“ฝ่าบาททรงให้กระหม่อมไปเชิญพระสนมเหวินเฟยที่ตำหนักหานหวางพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากทูตจากแคว้นต้าลี่มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เมิ่งฉวนเต๋อก้าวเข้าไปกล่าวองค์ชายสี่ได้ยินดังนั้น สีหน้าแสดงความไม่อยากเชื่อ มองไปทางอวิ๋นจูที่อยู่ข้างๆ ส่วนอวิ๋นจูเมื่อได้ยินคำพูดของเมิ่งฉวนเต๋อ ก็แสดงสีหน้าตื่นตระหนก รีบก้มหน้าลงไม่พูดอะไรอีกองค์ชายสี่นึกถึงจุดประสงค์ที่ตนมาและคำกำชับของเสด็จพี่เมื่อครู่ ตอนนี้มีทูตจากแคว้นต้าลี่อยู่ แม้จะเป็นอาแท้ๆ ของตน แต่ก็ไม่อาจทำให้เสด็จพ่อและแคว้นต้าฉู่เสียหน้าในเวลานี้ได้ จึงต้องกลืนความขุ่นเคืองไว้ก่อนเขายิ้มพูดกับเมิ่งฉวนเต๋อว่า “ช่างน่าเสียดายจริงๆ เสด็จแม่ของข้าไปที่ตำหนักของพระสนมเฉิ