แต่ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตาของเขารูปทรงดอกบัวนั้นเหมือนกับดอกบัวบนแขนของหวานหว่านไม่มีผิด และยังเหมือนกับดอกบัวที่ลอยขึ้นบนท้องฟ้าเหนือตำหนักชิงอวิ๋นในวันที่หวานหว่านเกิดด้วยนี่หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าการตัดสินใจของเขาครั้งนี้ถูกใจหวานหว่านจริงๆ นางจึงเป็นเช่นนี้?ลู่ซิงหว่านไม่รู้เรื่องนี้แน่นอน นางยังคงชมเชยฮ่องเต้ต้าฉู่อย่างไม่หยุด[ช่างคิดไม่ถึงจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเสด็จพ่อจะรักท่านแม่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ถึงกับปกป้องนางเช่นนี้][ตำแหน่งเทียบเท่ารองฮองเฮา และให้นั่งเสมอกับฮองเฮา แค่สองประโยคนี้ก็พอจะทำให้พระสนมหนิงเฟย...ไม่สิ ฮองเฮาโกรธจนตายได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทยังให้เมิ่งฉวนเต๋อมาประกาศที่ตำหนักชิงอวิ๋นก่อน นี่ทั้งหน้าตาและเกียรติยศให้ท่านแม่ทั้งหมดแล้ว ข้าแทบจะนึกภาพฮองเฮาที่โกรธจนหน้าแดงได้เลย]คำพูดเหล่านี้ตกเข้าหูฮ่องเต้ต้าฉู่ เขารู้สึกพอใจอย่างยิ่งทันใดนั้นเขาก็อุ้มลู่ซิงหว่านขึ้นมา แล้วจูงมือซ่งชิงเหยียนเดินเข้าไปข้างใน แต่ซ่งชิงเหยียนกลับเอ่ยปาก “ฝ่าบาทเพคะ นี่ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม ทางฝ่ายฮองเฮา เกรงว่า...”“ไม่เป็นไร” ฮ่องเต้ต้าฉู่ก
หลังจากพยุงพระสนมหลานเฟยและพระสนมเหวินเฟยให้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว ซ่งชิงเหยียนก็เอ่ยต่อไปว่า “หากพูดถึงอาวุโส พี่ทั้งสองเข้าวังก่อนข้าหลายปี ที่ข้าได้รับแต่งตั้งเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยก็เพราะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ข้าหวังว่าพี่ทั้งสองจะไม่ถือสาและยังปฏิบัติต่อข้าเหมือนเดิม”พูดจบก็หันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่ “ฝ่าบาทว่าดีหรือไม่เพคะ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่กำลังวุ่นอยู่กับการเล่นกับลู่ซิงหว่าน เมื่อได้ยินซ่งชิงเหยียนพูดเช่นนั้นก็เพียงแต่หันมายิ้มตอบว่า “พวกเจ้าอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขก็เป็นสิ่งที่ข้าอยากเห็นที่สุด ส่วนพิธีการต่างๆ พวกเจ้าตกลงกันเองก็แล้วกัน”ซ่งชิงเหยียนจึงหันกลับไปมองพระสนมหลานเฟยและพระสนมเหวินเฟย แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนเนื่องจากฮ่องเต้ต้าฉู่อยู่ด้วย พระสนมหลานเฟยและพระสนมเหวินเฟยจึงไม่กล้าถามคำถามที่อยู่ในใจ ได้แต่พูดคุยเรื่องทั่วไปอย่างสุภาพพวกนางคิดว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะไปเยี่ยมตำหนักหนิงเหอ แต่กลับเห็นว่าฮ่องเต้นั่งอย่างสบายใจ คงจะอยู่ที่ตำหนักชิงอวิ๋นเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน จึงขอตัวกลับไปมีอะไรก็ค่อยถามตอนที่ฝ่าบาทไม่อยู่ก็ได้ ไม่เร่งด่วนอะไรทันใดนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่ก็นึกอะไรข
หลังจากเมิ่งฉวนเต๋อประกาศพระบรมราชโองการเสร็จ เขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างนอบน้อมและส่งมอบพระบรมราชโองการให้เสิ่นหนิง “ขอแสดงความยินดีกับฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”จากนั้นก็สั่งให้ขันทีน้อยที่อยู่ข้างๆ ส่งมอบสมุดทองและตราประทับหงส์ให้กับนางกำนัลข้างๆ ฮองเฮาบรรดาพระสนมด้านหลังต่างก็ก้มกราบลงอีกครั้งเพื่อแสดงความยินดีกับฮองเฮา “พวกหม่อมฉันขอถวายพระพรฮองเฮา ขอแสดงความยินดีที่ฮองเฮาได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในวังหลังเพคะ”เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นหนิงก็รู้สึกยินดีในใจ ความพยายามของนางในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่สูญเปล่า และได้รับผลตอบแทนแล้วนางสงสัยว่าตอนนี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่ตำหนักชิงอวิ๋นกำลังโมโหจนขว้างข้าวของอยู่หรือเปล่าจากนั้นนางก็หันมายิ้มและพูดว่า “ทุกคนลุกขึ้นเถิด”“ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ”เมิ่งฉวนเต๋อที่อยู่ด้านหลังรอจนฮองเฮาวางท่าเสร็จแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ฮองเฮาเตรียมตัวก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเสด็จไปยังตำหนักของพระสนมหวงกุ้ยเฟยแล้ว คงไม่เสด็จมาตำหนักจิ่นซิ่วในเร็วๆ นี้”เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นหนิงก็ขมวดคิ้ว พระสนมหวงกุ้ยเฟย? หรือว่าฝ่าบาทเพิ่งเลื่อนตำแหน่งให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอีก?เห็นความสงสัยของนาง
เสิ่นหนิงเงียบไปอยู่นาน จนในที่สุดก็เอ่ยขึ้นว่า "บัดนี้ข้าคือฮองเฮา พวกเจ้าอยู่ข้างกายข้าก็ต้องมีมารยาทหน่อย"ชุนหลานและอวิ๋นจูรีบคุกเข่าลงอย่างรีบร้อน "บ่าวรับคำสั่งเพคะ"เสิ่นหนิงโบกมือ "ชุนหลานเปลี่ยนชื่อเป็นอวิ๋นหลาน วันหลังก็อยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายข้า"ได้จัดการเอาอวิ๋นจูมาเสียบในตำแหน่งคนหนึ่งแล้ว ถ้าหากว่าเอาอีกคนเข้ามาเสียบอีก เกรงว่าจะทําให้คนสงสัยได้ สู้ดึงชุนหลานมาเป็นพวกโดยตรงเลยดีกว่า เด็กคนนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าความทะเยอทะยานมากไปหน่อยก็เท่านั้น แต่ควบคุมได้ง่ายอวิ๋นหลานรีบคุกเข่าขอบพระมหากรุณาธิคุณ "ขอขอบพระคุณฮองเฮาที่ประทานชื่อเพคะ ต่อไปบ่าวจะปรนนิบัติรับใช้ฮองเฮาอย่างสุดจิตสุดใจ"แน่นอนเสิ่นหนิงรู้ความไม่ลงรอยกันระหว่างอวิ๋นจูกับอวิ๋นหลานทั้งสองคนดี แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพียงแต่กําชับแค่ประโยคหนึ่งว่า "ต่อไปเรื่องทุกอย่างทำตามคำสั่งของอวิ๋นจูก็พอ พวกเจ้าทั้งสองคนจะต้องสามัคคีร่วมใจกัน ถึงจะรับประกันความเจริญรุ่งเรืองของตำหนักจิ่นซิ่วได้"อวิ๋นจูและอวิ๋นหลานตอบรับอีกครั้งเพียงแค่พวกนางสองคน ต่างคนต่างมีความคิดของตัวเอง ในสายตาของอวิ๋นหลาน อวิ๋นจูก็แค่คนท
อวิ๋นหลานกำลังมองอยู่นอกวัง แต่ทว่าเกิดความไม่พอใจขึ้นมานิดหน่อย ตอนนี้ฮองเฮากลับคงให้ความสําคัญกับอวิ๋นจูนั่นมากกว่า จากนั้นไล่ตนออกมาเพื่อจะแอบสั่งอวิ๋นจูอย่างเงียบๆเมื่อเห็นอวิ๋นจูออกจากตำหนักจิ่นซิ่วไป ตอนนั้นนางก็สั่งสาวใช้ข้างกายไปปรนนิบัติรับใช้ฮองเฮาให้ดี ส่วนตัวนางจะตามอวิ๋นจูไปเดินตามอวิ๋นจูไปรอบๆ พระราชวังอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งมาถึงเรือนแห่งหนึ่งที่อวิ๋นหลานไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเห็นอวิ๋นจูเข้าไปในเรือน อวิ๋นหลานที่เห็นบริเวณรอบข้างถูกทิ้งร้าง ลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็กัดฟันและตามไปแต่หลังจากเดินไปได้หนึ่งก้าว ก็ถูกคนตบที่คอด้านหลังและสลบลงกับพื้นทันทีคนที่ลงมือ เป็นแค่เพียงขันทีหนุ่มในชุดวังหลวง ส่วนคนที่อยู่ข้างกายเขา คนที่ยืนด้วยความประหลาดใจก็คืออวิ๋นจูนั่นเองเมื่อเห็นขันทีหนุ่มนั้นกำลังจะลงมือหักคออวิ๋นหลาน แต่กลับถูกอวิ๋นจูขวางเอาไว้ว่า "นายท่านเจ้าคะ บัดนี้ฮองเฮาได้รับตำแหน่งเป็นฮองเฮา อวิ๋นหลานเป็นคนที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายนาง ถ้าหากนางหายตัวไป มันจะไม่สร้างปัญหาให้กับฮองเฮาอย่างนั้นหรือ?"เมื่อขันทีหนุ่มได้ยินดังนั้น จึงเก็บมือลงและเอ่ยอย่า
ตอนที่พระสนมของตนเองยังมีชีวิตอยู่ ได้ใช้ความพยายามอย่างมากขนาดนั้นกว่าจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท แต่ภายในห้าปีหลังจากที่อดีตฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ก็ไม่ถูกฝ่าบาทแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาทว่ากลับคิดไม่ถึง กลับถูกตระกูลเสิ่นที่เข้าวังในภายหลังมาคว้าพุงปลาไปกิน ตระกูลเสิ่นนั่น ก็แค่เข้าวังได้ไม่ถึงครึ่งปีเท่านั้น คนที่เคยต้องคุกเข่าโขกหัวต่อหน้าพระสนมของตัวเอง เหตุใดนางจะทําได้ไร้คุณธรรมเช่นนี้?ส่วนซ่งชิงเหยียนที่ไม่เคยสู้รบตบมือกับพระสนมของตน บัดนี้ก็ได้แต่งตั้งเป็นหวงกุ้ยเฟย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระสนมของตนเองไม่เคยได้รับ แล้วพระสนมของตนเองล่ะ? ในวันแรกของการแต่งตั้งเป็นพระสนมกุ้ยเฟย ก็ถูกแย่งชิงพระนามภายหลังก็ถูกฝ่าบาทลดตําแหน่งเข้ามาในวังเย็น ถูกคนฆ่าตายในวังเย็นนี้ที่หนาวเหน็บเช่นนี้ แล้วนางจะไม่เกลียดได้อย่างไร!เมื่อครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ นางจ้องมองอย่างตั้งใจ คนที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะเป็นสาวใช้ที่อยู่ข้างกายตระกูลเสิ่นชุนหลานเป็นคนโอ้อวดมาโดยตลอด บัดนี้ในวังหลังที่โออ่าขนาดนี้ ใครบ้างที่จะไม่รู้จักชุนหลานผู้นี้ล่ะ!ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในสมองของไป๋จื่ออย่างรวดเร็ว
"บ่าวชื่อว่าไป๋หลิงเจ้าค่ะ กูกูอวิ๋นหลานจะต้องระวังคำพูดแทนบ่าวด้วย" ไป๋จื่อจงใจปิดบังชื่อของตัวเอง "ถ้าหากถูกกูกูที่ดูจัดการในตำหนักฉางชิวรู้ว่าบ่าวออกมาหาทางออกเอง ก็จะเฆี่ยนบ่าวจนตายมิใช่หรือ"อวิ๋นหลานที่เห็นอย่างนั้นก็สงสารนางเช่นกัน จากนั้นก็ยัดเงินถุงนั้นเข้าไปในอกและตบมือของไป๋จื่อ "น้องสาววางใจได้ ข้าจะช่วยเจ้าออกมาโดยเร็วที่สุดแน่นอน""ขอบคุณกูกูอวิ๋นหลานเจ้าค่ะ "ไป๋จื่อย่อคำนับตัวด้วยความสุข จากนั้นก็เหลือบมองไปรอบๆ อีกครั้ง "ที่นี่มันอึมครึมเกินไป บ่าวส่งกูกูกลับตำหนักดีกว่า"ตอนนี้ทั้งสองจึงเดินไปที่ตำหนักจิ่นซิ่วด้วยกัน ไป๋จื่อมีรูปร่างสูงมาก ยืนอยู่ต่อหน้าอวิ๋นหลานก็ตัวสูงกว่านางครึ่งหัว ในเวลานี้มองนางด้วยสายตาเย็นชาและในใจเต็มไปด้วยความเกลียดชังชั่วขณะหนึ่งก็แยกไม่ออกว่า เคียดแค้นหวงกุ้ยเฟยหรือว่าฮองเฮามากกว่ากันแน่พอมาถึงใกล้บริเวณตำหนักจิ่นซิ่ว ทั้งสองจึงแยกทางกันส่วนไป๋จื่อก็ดึงมือของอวิ๋นหลานไปกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงได้หมุนตัวหันหลังวิ่งเหยาะๆ ออกไป ท่าทางเต็มไปด้วยความยับยั้งชั่งใจ กลับสอดคล้องกับท่าทางของเด็กเก็บกวาดมากอวิ๋นหลานมองชั่วขณะหนึ่ง ก็หันห
อาหารเที่ยงของวันนี้ แน่นอนว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ไปเสวยอาหารที่ตำหนักชิงอวิ๋นเสร็จแล้วถึงค่อยกลับไปที่ตำหนักหลงเซิงดังนั้นหลังจากพักเที่ยงแล้ว องค์รัชทายาทถึงทรงมีเวลามาที่ตำหนักชิงอวิ๋น "เดิมทีคิดว่าหลังเลิกจากราชสำนักตอนเช้าแล้วก็มา ได้ยินคนข้างกายเสด็จพ่อบอกว่าเสด็จพ่อเสด็จมาที่ตำหนักชิงอวิ๋นแล้ว หลังจากช่วงบ่ายถึงจะมา"ในคำพูดขององค์รัชทายาท ไม่ได้กล่าวถึงคําแสดงความยินดีสองคำเลย แน่นอนว่าซ่งชิงเหยียนย่อมรู้ดีว่าหลานชายของตัวเองคนนี้ รู้สึกผิดเล็กน้อยต่อนางเพราะเรื่องหลังการแต่งตั้งฮองเฮาจิ่นอวี้เป็นคนอ่านสีหน้าคนออกมาโดยตลอด จึงรีบอธิบายว่า "บัดนี้ทางตำหนักทั้งหมดยังบอกว่าฝ่าบาทสงสารพระสนม"องค์รัชทายาทได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองจิ่นอวี้ด้วยความประหลาดใจ"เนื่องจากพระสนมไม่อยากดูแลเรื่องวังหลังทั้งหก จึงแต่งตั้งให้พระสนมหนิงเฟยเป็นฮองเฮา ให้นางดูแลจัดการเรื่องวังหลังทั้งหก""อีกทั้งกลัวว่าจะไม่เป็นธรรมต่อพระสนมของเรา จึงแต่งตั้งเป็นหวงกุ้ยเฟย ฝ่าบาทบอกแล้วว่า เป็นตำแหน่งเหมือนรองฮองเฮา ตำแหน่งเท่าเทียมกับฮองเฮา"องค์รัชทายาททรงเหม่อลอยตลอดเวลา กลับไม่ได้ฟังพระราชโองการนี้อย