“นังม่าน แกจะรีบไปไหน”
เสียงขุ่นมัวดังขึ้น ใบหน้าสวยหวานจึงเงยขึ้นมามองคนตรงหน้า ไม่ใช่ใครที่ไหน วรรณา สมุทรธารา แม่เลี้ยงของเธอนั่นเอง
“ไปทำงานค่ะน้าวรรณ” ม่านทิวาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหวานละมุนก่อนจะเดินผละออกไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อวรรณาตวาดเรียกเธอเอาไว้อีกครั้ง
“เดี๋ยว!”
คนตัวเล็กชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะพูดตอบคนตรงหน้า “มีอะไรอีกคะน้าวรรณ”
“ก่อนที่แกจะออกไปเอาเงินมาให้ฉันก่อน ฉันจะเอาไปจ่ายค่าเช่าบ้านกับใช้หนี้ให้พ่อแก” นางว่าพร้อมกับแบมือขอต่อหน้าหญิงสาว
“ม่านเพิ่งให้น้าวรรณกับวิไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่คะ” ม่านทิวาสงสัยไม่น้อยกับการใช้จ่ายที่ดูจะฟุ่มเฟือยของแม่เลี้ยงที่ให้เท่าไรก็ไม่เคยพอ
“มันก็ต้องกินต้องใช้ทุกวันไหมยะ” วรรณาตวาดว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
หญิงสาวเปิดกระเป๋าสตางค์ใบเล็กหยิบเงินจำนวนหนึ่งยื่นให้นาง “ตอนนี้ม่านมีให้แค่นี้ค่ะ น้าวรรณช่วย…”
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะเอ่ยจบประโยค เสียงเล็กแหลมก็ดังขึ้นขัดมาแต่ไกล ม่านทิวาหันกลับไปมองทางด้านหลังของตนก็พบกับ รวิดา สมุทรธารา ลูกสาวของวรรณาที่รีบลงบันไดตรงมาหาเธอด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“แล้วของฉันล่ะ”
“วิเพิ่งขอไปเมื่อวาน หมดแล้วเหรอ”
“แค่จ่ายค่ากินค่าเที่ยวเมื่อคืนก็หมดแล้ว เอามาเร็ว ๆ อย่าพูดมาก”
ม่านทิวาส่งเงินให้ลูกสาวแม่เลี้ยงง่าย ๆ เพราะไม่อยากทะเลาะหรือมีปัญหากับคนทั้งสองแล้วเดินออกไปจากบ้านทันที เธอมันคนหัวเดียวกระเทียมลีบสู้ความร้ายกาจของสองแม่ลูกนั้นไม่ไหวหรอก กระนั้นก็ยังมีเสียงกระแนะกระแหนของรวิดาดังตามมาไม่ขาดปาก
“อันที่จริงฉันไม่อยากจะขอเงินเธอหรอกนะ ผัวฉันเขาก็รวยมีเงินมากมาย แต่ที่ไม่อยากจะขอน่ะ เดี๋ยวเขาจะว่าฉันไปปอกลอกเอาเงินจากเขา”
ม่านทิวาพยายามสงบสติอารมณ์กับคำพูดน่ารำคาญของคนข้างหลัง แล้วเดินออกจากบ้านสองชั้นกึ่งไม้กึ่งปูนที่ถูกแสงแดดกลืนความสดใสจนซีดหมอง เหลือไว้เพียงความทรุดโทรมไร้การดูแลจากผู้พักอาศัยและสภาพแวดล้อมไม่ได้ดูดีมากนัก
ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่ายไร้เฟอร์นิเจอร์ราคาแพง เธออาศัยอยู่กับบิดามารดามาตั้งแต่เด็ก แล้ววันหนึ่งมารดาของเธอก็จากไปพร้อมกับโรคร้าย สี่ปีผ่านไปบิดาก็พาวรรณาและรวิดาลูกสาวของหล่อนเข้ามาในบ้าน ต่อหน้าวรรณาแสร้งทำเป็นแสนดีกับเธอ แต่ว่าลับหลังท่านนั้นราวกับแม่เลี้ยงใจร้ายในการ์ตูนซินเดอเรลลาที่เธอนั้นเคยดู เธออยากหลุดพ้นไปจากสองแม่ลูกเต็มที
หญิงสาวมองนาฬิกาข้อมือเรือนเล็กพบว่าสายมากแล้ว วันนี้เธอต้องไปทำงานเสิร์ฟที่ร้านอาหารกึ่งคาเฟแห่งหนึ่งในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ส่วนวันจันทร์ถึงวันศุกร์ทำบัญชีให้กับบริษัทแห่งหนึ่ง และหลังจากเลิกงานเธอก็ไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหารร้านเดิมโดยขอเจ้าของร้านไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทางเจ้าของร้านเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ดีเสียอีกเพราะทางนั้นชอบคนที่ขยันทำงาน หนักก็เอาเบาก็สู้
ร้านอาหารกึ่งคาเฟใจกลางเมืองเป็นสถานที่ทำงานในวันหยุดของเธอ การตกแต่งของร้านอาหารแห่งนี้ผสมผสานสีขาว สีเขียว และโทนสีไม้ให้ดูเข้ากันได้อย่างลงตัว ร้านล้อมรอบไปด้วยกระจกหน้าต่างบานใหญ่ ภายในร้านมีความเขียวชอุ่มของบรรดาพรรณไม้นานาชนิดที่ตกแต่งให้ดูร่มรื่น ในช่วงวันหยุดมักมีคนมาใช้บริการจนแน่นร้าน อาจเป็นเพราะมีมุมต่าง ๆ ให้ถ่ายรูปอัปเดตลงในโซเชียลมีเดียมากมาย เอาใจวัยรุ่นและวัยทำงานที่มาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจยามว่าง
“มาแล้วเหรอม่าน” พนักงานสาวรุ่นน้องเอ่ยทักทายทันทีที่เพื่อนร่วมงานสาวสวยเดินเข้ามาภายในร้าน
“สวัสดีจ้ะ สวัสดีค่ะพี่ณี” กล่าวทักทายเพื่อนร่วมงานก่อนจะหันไปสวัสดีพี่ณีเจ้าของร้าน
“ปกติมาช่วงเย็นไม่ใช่เหรอจ๊ะ ทำไมวันนี้มาแต่เช้าเชียว”
“พี่ณีลืมใช่ไหมคะเนี่ย ม่านขอพี่ณีมาทำช่วงเช้าแล้วก็ช่วงเย็นด้วย” หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ
“จริงด้วย! พี่ลืมเสียสนิทเลย”
“พี่ม่านขยันขนาดนี้ หนูจะตกงานไหมเนี่ย” พนักงานสาวรุ่นน้องที่ทักม่านทิวาเอ่ยแซว
เจ้าของร้านเลยแกล้งแซวกลับ “ก็ขยันให้เหมือนพี่ม่านสิจ๊ะจะได้ไม่ตกงาน” แล้วเดินออกไปดูงานในส่วนอื่นทันที
“งั้นพี่ขอตัวเอาของไปเก็บแล้วจะออกมาช่วยจัดร้านนะ”
“ได้ค่ะ” ว่าแล้วเดินผละออกไปยังหลังร้านที่เจ้าของร้านได้เตรียมล็อกเกอร์ไว้ให้เก็บของ เนื่องจากพนักงานของทางร้านมีราว ๆ สิบกว่าชีวิตจึงต้องจัดระเบียบให้รัดกุม ข้าวของมีค่าจะได้ไม่สูญหายให้เป็นปัญหา
ร่างเล็กบอบบางของม่านทิวาสวมชุดพนักงานประจำร้านทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลอ่อน ดูเข้าชุดกันดีกับเสื้อสีขาวและกางเกงยีนของเธอ กอปรกับรอยยิ้มสวย ๆ แล้วทำให้เธอดูเป็นคนมีเสน่ห์น่าหลงใหลไปโดยปริยาย
ไม่นานหญิงสาวก็เริ่มทำงานในส่วนหน้าที่ของตนไปจนถึงช่วงค่ำ บรรยากาศภายในร้านจะแตกต่างกันกับช่วงกลางวันโดยสิ้นเชิง ภายในร้านช่วงค่ำจะตกแต่งด้วยไฟดวงเล็กระยิบระยับทั่วอาณาบริเวณ เหมาะแก่การมานั่งดินเนอร์กับครอบครัวหรือไม่ก็นั่งสังสรรค์เอามาก ๆ
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามากันกี่คนคะ” เสียงพนักงานสาวประจำร้านเอ่ยทักทายลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่
“สองคนจ้ะ” ลูกค้าผู้หญิงวัยกลางคนเอ่ยตอบพนักงาน จากนั้นเดินตามไปยังโต๊ะที่ได้รับการแนะนำ
“เมนูค่ะ” ลูกค้ารับเมนูไปถือก่อนเอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“วันนี้หนูม่านมาทำงานไหมจ๊ะ” นางถามหลังจากสอดส่ายสายตามองหาอยู่ครู่หนึ่งแล้วไม่เห็นว่าม่านทิวาทำงานอยู่ภายในร้าน
“มาค่ะ แต่ตอนนี้พี่ม่านพักเบรกอยู่น่ะค่ะ”
“ฉันนึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก ยังไงฝากบอกหนูม่านด้วยว่าฉันอยากเจอ” นางฝากฝังด้วยใบหน้าแย้มยิ้มเป็นกันเอง
“ได้ค่ะคุณนาย” พนักงานสาวรับคำแล้วผละมาจดเมนูอาหารของลูกค้าประจำที่ชอบมารับประทานอาหารที่นี่อยู่บ่อย ๆ ดูเหมือนคุณนายท่านจะชอบม่านทิวาเอามากๆ เพราะถ้ามาแล้วไม่เจอหญิงสาวก็มักจะถามหาแบบนี้ตลอดเลย
หลังจากที่เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องเข้ามาบอกว่ามีลูกค้าคนเดิมกำลังรออยู่ ม่านทิวาก็รีบกุลีกุจอออกมาหาทันทีเพราะไม่อยากให้ผู้ใหญ่รอนานมันเสียมารยาท
“สวัสดีค่ะคุณนาย สวัสดีค่ะคุณท่าน” หญิงสาวเข้ามาเสิร์ฟอาหารและทักทายลูกค้าประจำพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ท่านทั้งสอง
“อีกแล้วนะหนูม่าน บอกให้เรียกลุงกับป้า ไม่ต้องเรียกคุณท่านกับคุณนาย” คุณนายสรวงสุดาลูกค้าประจำบอกกับหญิงสาวรุ่นลูกด้วยความเมตตาเอ็นดู
“ก็หนูไม่ชินนี่คะ”
“คราวหลังถ้าเรียกคุณนายอีก ป้าจะโกรธหนูจริง ๆ แล้วนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนพูดตอบอย่างเอ็นดูมากกว่าจริงจัง
“แต่ว่า…” หญิงสาวกำลังจะแย้ง แต่ถูกคุณอนันต์สามีของคุณนายสรวงสุดาดักคอไว้เสียก่อน
“ไม่มีแต่หรอกลูก เอาตามที่ป้าเขาว่าน่ะดีแล้ว”
“งั้นก็ได้ค่ะ คุณลุง...คุณป้า”
ม่านทิวารู้สึกกังวลที่ต้องเรียกลูกค้าประจำที่มีฐานะสูงศักดิ์กว่าอย่างสนิทสนม ถึงแม้ว่าเธอจะรู้จักท่านทั้งสองมาเกือบสามปีแล้วก็ตาม ร่างเล็กกำลังจะเอ่ยถาม แต่ก็ต้องชะงักเพราะลูกค้าที่เข้ามาใหม่อีกโต๊ะหนึ่งต้องการสั่งอาหารเพิ่ม เธอจึงขอตัวไปทำงานตามหน้าที่จวบจนถึงเวลาเลิกงานประมาณห้าทุ่ม
ม่านทิวากำลังเดินไปรอรถประจำทางเพื่อที่จะกลับบ้าน อยู่ ๆ ก็มีชายร่างสูงกำยำในชุดสีดำสองคนมายืนดักหน้าเธอเอาไว้ คนตัวเล็กสั่นสะท้านด้วยความกลัวว่าตนจะตกอยู่ในอันตราย“รีบไปไหน เมื่อไรมึงจะใช้หนี้ฮะ!” หนึ่งในสองคนนั้นจู่โจมถามน้ำเสียงกระชากม่านทิวาถึงกับนิ่วหน้าสงสัยว่าเธอนั้นไปติดหนี้พวกมันตั้งแต่เมื่อไร ถ้าเป็นหนี้สินของบิดาเธอจ่ายให้กับธนาคารจนจะหมดอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ชายสองคนนี้พูดมามันคือหนี้ส่วนไหน“เงินอะไรของพวกคุณฉันไม่เข้าใจ ฉันไม่เคยติดหนี้ใคร!” ม่านทิวาตอบอย่างมั่นใจ สายตาจ้องมองมันอย่างระแวงระวังกลัวว่าตัวเองจะถูกทำร้าย“เงินห้าหมื่นที่แม่เธอติดเสี่ยอู๋เอาไว้ เมื่อไรจะคืน”“แม่เหรอ?” ม่านทิวาทวนคำพลางครุ่นคิดในใจ ‘น้าวรรณ!’ ต้องเป็นน้าวรรณแน่ ๆ ที่ก่อเรื่องให้เธอ พวกมันถึงได้เจาะจงมาทวงหนี้ที่เธอแบบนี้“ห้าหมื่นฉันไม่มีหรอก”“ถ้าไม่มี...” สายตาของมันทั้งสองกวาดมองร่างงามตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ทำให้หญิงสาวต้องรีบถอยหนีโดยสัญชาตญาณแต่ถูกคว้าตัวเอาไว้เสียก่อน “...ก็ต้องเอาอย่างอื่นไปใช้หนี้แทนเงิน”“ช่วยด้วย...ช่วยด้วยค่ะ ปล่อยฉันนะ!” หญิงสาวร้องตะโกนเสียงดังหวังว่าจะมีคนมาช่วย
ในหนึ่งวันของม่านทิวาหมดไปกับงานจนไม่มีเวลาหันมาสนใจเรื่องราวของวรรณากับรวิดาเลย เธอรู้เพียงแค่เรื่องเดียวคือหนี้สินที่น้าวรรณาภรรยาใหม่ของบิดาไปก่อเอาไว้หลังจากที่ท่านเสียไป นางติดเงินพนัน แต่ก็ไม่รู้ไปหยิบยืมเอามาจากใครบ้าง เท่าที่ได้ยินกับหูก็มีเสี่ยอู๋อะไรนั่นแหละคนหนึ่ง คนที่ส่งลูกน้องสองคนมาดักทวงหนี้ห้าหมื่นบาทกับเธอนั่นแล้วถ้าคนของเสี่ยอู๋ย้อนกลับมาทวงหนี้ที่เธออีกล่ะ เธอจะเอาเงินที่ไหนมาคืนให้พวกมันตั้งห้าหมื่น!พอสองแม่ลูกออกจากบ้านไปแล้ว คนตัวเล็กก็ออกจากบ้านไปจ่ายตลาด เกือบสองชั่วโมงที่หญิงสาวอยู่นอกบ้านเพราะจับจ่ายซื้อของใช้เข้าบ้านยังไม่ครบ ระหว่างที่เลือกซื้อของอยู่นั้นเธอมีลางสังหรณ์แปลก ๆ แวบเข้ามาในใจเหมือนกับว่าที่บ้านกำลังมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น หญิงสาวจึงตัดสินใจกลับจากตลาดทั้ง ๆ ที่ยังซื้อของไม่ครบม่านทิวาแทบจะเป็นลมเมื่อเดินเข้ามาถึงทางเข้าหน้าบ้าน เพราะประตูบ้านที่ล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนาถูกงัดออก อีกทั้งยังได้ยินเสียงดังโครมครามมาจากด้านใน แต่ผู้หญิงตัวคนเดียวจะเข้าไปในบ้านโดยที่ไม่รู้ว่าข้างในนั้นเป็นใครมีอาวุธปืนหรือไม่ได้หรือ เธอจึงมองหาสิ่งของเอาไว้ป้องกันตั
นับจากวันที่รณพีร์กลับจากต่างประเทศโดยไม่บอกคนในครอบครัวให้รับรู้ล่วงหน้าแม้แต่คนเดียว บ่อยครั้งที่ชายหนุ่มมักจะได้ยินคำถามจากบิดาและมารดาอยู่เสมอว่าเมื่อไรเขาจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเหมือนพี่ชายคนโตเสียที เพราะตอนนี้รณวีร์มีครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ แม่ ลูกไปแล้ว นั่นคงเป็นเพราะว่าเขาถูกอดีตคนรักทำร้ายจึงไม่ยอมเปิดใจรับใครเข้ามาในชีวิตอีกตลอดเวลาที่ผ่านมามารดามักจะต่อว่าเขาที่ชอบควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ถ้าหากนางเห็นหรือได้ยินคนอื่นพูดเรื่องที่เขาควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าอีกละก็ นางจะหาผู้หญิงที่เหมาะสมมาแต่งงานกับเขาให้รู้แล้วรู้รอดแต่สมัยนี้มันหมดยุคจับคลุมถุงชนไปแล้ว ปีนี้ก็ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเข้าไปแล้วมารดายังคิดจะทำอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้อยู่ได้“เฮ้อ!”เสียงถอนหายใจหนักหน่วงของรณพีร์ดังขึ้น เมื่อเห็นว่ามารดากำลังเดินเข้ามาภายในบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางดูเบิกบานราวกับว่ามีเรื่องดี ๆ ทำให้เป็นสุขใจ แต่ถ้าหากเป็นเรื่องดี ๆ ของมารดาก็โปรดจงรู้เอาไว้ว่ามันต้องเป็นเรื่องหายนะสำหรับเขาแน่นอน“อะไรกันตาสอง เห็นหน้าแม่แล้วทำไมต้องถอนหายใจแรง ๆ แบบนั้นด้วย” นางว่าด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์
เวลาบ่ายคล้อยรณพีร์กลับลงมาอีกครั้งพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบย่อม เดินตรงไปยังรถยนต์ส่วนตัวโดยไม่สนใจคนในบ้านแม้แต่น้อย แต่ยังไม่ทันก้าวข้ามธรณีประตูก็ต้องชะงัก เมื่อบิดาที่กำลังนั่งดูข่าวอยู่ในห้องนั่งเล่นส่งเสียงเรียกรั้งไว้ ชายหนุ่มจึงต้องหยุดแล้วเดินกลับมาหาบิดา“ครับพ่อ”“จะไปไหน?” คนเป็นพ่อเอ่ยถามพลางลดสายตามองดูกระเป๋าเดินทางที่อยู่ในมือบุตรชายคนเล็กด้วยความสงสัย“ไปรีสอร์ตของไอ้หนึ่งที่กระบี่ครับคุณพ่อ” ร่างสูงตอบไปตามความจริงดังที่ตั้งใจจะไป เหตุผลที่จะไปก็เพื่อหลบหลีกการไปดูตัวตามที่มารดาต้องการ“ผมไปนะครับ” สายตาคมกริบของรณพีร์มองผ่านไปยังด้านหลังของบิดา เขาเห็นมารดาเดินออกมาจากในครัวจึงรีบขอตัวออกไปทันที“เดี๋ยวเจ้าสอง ก่อนไปเอาซองเอกสารนี่ติดมือไปด้วย แม่แกเตรียมเอาไว้ให้น่ะ” พูดจบก็ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้บุตรชายคนเล็ก“อะไรครับพ่อ” ชายหนุ่มรับซองเอกสารจากบิดามาพลิกดูกลับไปกลับมาก่อนเอ่ยถามอย่างงุนงงสงสัย“เอาไปเถอะน่า เปิดดูก็รู้เอง” คุณอนันต์บอกบุตรชายเพียงอ้อม ๆ กลัวว่ารู้ความจริงแล้วจะไม่ยอมเอาไปด้วย“ถ้างั้นผมไปนะครับ” เอ่ยลาแล้วรีบออกจากบ้านไปด้วยความรวดเร็ว ไม่สนใจเ
สายตาคมกริบปะทะเข้ากับร่างเล็กบอบบางในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงขาสั้น รวบผมไว้กลางศีรษะที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับการจัดเตรียมงานบางอย่าง มือเล็กเรียวกำลังจัดของ ริมฝีปากบางกระจับพลางขยับโต้ตอบกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน พลันสายตาของเขาสะดุดเข้ากับรอยยิ้มหวาน ท่าทางน่ารักสดใส แต่เหตุใดดวงตาสวยหวานคู่นั้นถึงแฝงไปด้วยความโศกเศร้า ราวกับว่าเธอกำลังมีเรื่องทุกข์ใจเหลือแสนที่ไม่สามารถบอกกับใครได้ชายหนุ่มสะบัดศีรษะแรง ๆ ขับไล่เรื่องไร้สาระของคนที่ไม่รู้จักออกจากสมองให้หมด ผละออกมาจากระเบียงเข้าไปจัดการอาบน้ำอาบท่า ออกมาสั่งอาหารเช้ารับประทานระหว่างรอลูกน้องคนสนิทเอางานลงมาให้ที่กระบี่ ถึงแม้ว่าจะมาพักผ่อน แต่คนอย่างรณพีร์ก็ขาดงานไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว เพราะเขาไม่ชอบเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงานจนทำให้เกิดความเสียหายกับบริษัทหลายนาทีต่อมาเสียงของเหล่าสาว ๆ ยังคงวุ่นวายและดังไม่หยุด ในบางครั้งก็ออกความเห็น บางครั้งก็ทะเลาะกันเป็นครั้งคราวไป ร่างสูงของรณพีร์เดินออกมายังระเบียงห้องพักอีกครั้งพร้อมกับถ้วยกาแฟหอมกรุ่นรสชาติโปรดปราน จิบไปพลางชื่นชมบรรยากาศท้องทะเล สายลมและแสงแดดตรงหน้าไปเรื่อย ๆ บางครั้ง
ตอนนี้วรรณาและรวิดาขาดการติดต่อไปเลย นับตั้งแต่พากันออกจากบ้านไปคราวก่อน เธอเองก็ไม่รู้ว่าสองคนนั้นพากันไปอยู่ที่ไหนถึงติดต่อไม่ได้ แต่ก็คงใช้ชีวิตกินหรูอยู่สบายตามประสาคนหัวสูง อยากได้อยากมีเกินฐานะของตนจนใช้ชีวิตธรรมดาสามัญอย่างคนอื่นเขาไม่เป็น การที่ม่านทิวาต้องคอยหาเงินทำงานหนักเพื่อเอามาจุนเจือครอบครัวไม่ขาด ก็เพราะว่าสองคนแม่ลูกไม่ยอมทำมาหากินช่วยเธอเลย วัน ๆ เอาแต่เข้าบ่อนเล่นการพนัน กู้หนี้ยืมสินเพื่อที่จะเอาเงินมาต่อทุนเดิมพันในการเล่นครั้งต่อไปส่วนรวิดาลูกสาวของนางวรรณานั้นชอบเที่ยวกลางคืนเป็นชีวิตจิตใจและไม่ค่อยกลับบ้านอยู่บ่อยครั้ง และถ้าหากว่าเธอจำไม่ผิดละก็...เจ้าหล่อนเลิกรากับแฟนหนุ่มที่เคยคบหาดูใจกันตอนที่เรียนอยู่ต่างประเทศหลังจากกลับประเทศไทยเพราะต้องห่างกัน แล้วหันมาคบกับคนใหม่ที่คอยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายซื้อของแบรนด์เนมราคาแพงให้ใช้อยู่เสมอ แต่เธอเองก็ไม่เคยรู้จักหรือแม้แต่จะเคยเห็นหน้าค่าตาผู้ชายทั้งสองคนมาก่อนว่าเป็นใครมาจากไหน เพราะทุกวันของเธอนั้นทำแต่งานตั้งแต่เช้าจรดค่ำไม่มีเวลามาสนใจคนรอบข้าง ทว่าสิ่งที่เธอรู้คร่าว ๆ ก็มาจากปากของแม่เลี้ยงและลูกสาวของนางน
ร่างสูงโปร่งของรณพีร์ออกมายืนยืดเส้นยืดสายให้คลายความเมื่อยขบจากการนั่งทำงานอยู่ในห้องเป็นเวลานาน ชายหนุ่มเดินมาหยุดที่บริเวณริมระเบียงห้องนอนใกล้ทะเล สายตาคู่คมทอดมองไปยังท้องทะเลสีครามยาวสุดลูกหูลูกตาพร้อมกับฟังเสียงคลื่นลมซัดสาดเข้ากับชายหาดเมื่อฟังเสียงคลื่นลมจากท้องทะเลจนรู้สึกผ่อนคลาย ชายหนุ่มเบนสายตาจากท้องทะเลไปยังลานจัดกิจกรรมยามค่ำคืนที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและสวยงาม เสียงเพลงดังต่อเนื่องมาร่วมชั่วโมงเห็นจะได้ มันไม่ได้ทำให้เขานั้นรู้สึกความรำคาญแม้แต่น้อย กลับกันเขารู้สึกสนุกสนานเมื่อเห็นผู้คนกำลังปาร์ตีกันอย่างคึกคัก ท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนในงานนับสิบคนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวที่เขาได้ช่วยเหลือเอาไว้เมื่อช่วงเย็นจากการโดนโจรวิ่งราวกระเป๋า รอยยิ้มของเธอนั้นไม่เหมือนคนที่พึ่งผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ มาแม้แต่น้อย กิริยาท่าทางของหญิงสาวที่เขาไม่รู้แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามของเธอตกอยู่ในสายตาคู่คมของรณพีร์ครู่หนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินกลับเข้าไปภายในห้องและออกมาอีกครั้งพร้อมกับแล็ปท็อป โทรศัพท์มือถือ เตรียมที่จะนั่งทำงานอีกครั้งพร้อมกับดูผู้คนที่กำลังสนุกกับงานปาร์ตีไปด้วยใ
เธอพาผู้ชายคนนั้นเดินผ่านบ้านพักของเขาเพื่อไปยังบ้านพักถัดไปอีกสองหลัง รณพีร์เดินออกมาจากที่พักตรงไปยังทางเดินคอนกรีตเพื่อดูว่าเธอจะเดินกลับไปยังที่พักของตัวเองหรือไม่ เท่าที่เขามองดูเป็นระยะ ๆ เจ้าของร่างเล็กนั้นดื่มไปหลายแก้วซึ่งเป็นปริมาณที่มาก ใบหน้าสวยหวานจึงแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ และถ้าเขาจำไม่ผิด...ห้องของเธออยู่แถวๆ บริเวณที่จัดงานนี่แหละแต่จนแล้วจนลอดเธอก็ไม่ออกมาจากบ้านพักของผู้ชายคนนั้น ทำให้เขาคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากคิดว่าเธอเข้าไปนอนค้างกับผู้ชายคนนั้น“หึ! ผู้หญิงก็เหมือนกันหมด” ชายหนุ่มถึงกับส่ายหน้า สบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเดินกลับเข้าที่พักด้วยอาการหัวเสียไม่น้อยช่วงเวลาราว ๆ แปดโมงเช้าในวันถัดมา เป็นเวลาที่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวไปเก็บของเคลียร์สถานที่จัดงานเมื่อคืนให้เรียบร้อยก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพในวันพรุ่งนี้ แต่เพื่อนของเธอนั้นยังไม่มีใครตื่นขึ้นมาสักคน เพราะแต่ละคนดื่มกันหนักเอามาก ๆ ขนาดเธอดื่มน้อยกว่านิดหน่อยยังมึนและปวดหัวเอาเรื่องอยู่เหมือนกันใบหน้าสวยหวานที่ยังตื่นไม่เต็มที่สะบัดไปมาให้คลายจากความมึนงง ก่อนลุกไปจัดการอาบน้ำและลง
ธาริกาตอบกลับพร้อมกับทำหน้าล้อเลียนคนที่เพิ่งจะจบการสนทนาเมื่อครู่ด้วยความไม่ชอบใจ ก่อนหันไปหาม่านทิวาและชวนเข้าไปในห้องด้วยกัน เธอไม่ค่อยไว้ใจให้เพื่อนยืนรอหน้าห้องเท่าไร เพราะมีผู้ชายท่าทางไม่น่าไว้ใจเดินวนเวียนอยู่ไม่ห่าง"สวัสดีค่ะคุณนที" น้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะพอใจและรู้สึกเจ็บกับสิ่งที่ได้เห็นของเลขานุการสาวนอกเวลางาน…เอ่ยทักเจ้านายทันทีที่มาถึง ทำให้สี่หนุ่มที่นั่งสังสรรค์พร้อมกับสาว ๆ ข้างกายเงยหน้าขึ้นมามองเป็นตาเดียว"สายไปห้านาที" นทีต่อว่าด้วยความเขี้ยว"ฉันก็มีธุระของฉันนี่คะ คุณนทีรีบเซ็นเอกสารเถอะค่ะ ฉันจะได้รีบไป" หญิงสาวย่อตัวลงวางเอกสารให้เจ้านายหนุ่มเซ็นแต่นทีกลับไม่ยอมทำตาม อีกทั้งถามกลับเสียงแข็ง "ไปไหน""ไปไหนไม่สำคัญค่ะ" หญิงสาวตอบเสียงเรียบก่อนหันไปหาม่านทิวาที่สะกิดเรียก"หือ..มีอะไร?""ฉันกลับไปรอที่ห้องนะ" ม่านทิวาบอกกับเพื่อนสาว ทั้ง ๆ ที่สายตาของเธอจ้องมองไปยังร่างสูงของรณพีร์ที่กำลังกอดผู้หญิงแต่งตัวเซ็กซี่ยั่วยวนข้างกายธาริกาพยักหน้าอนุญาตแล้วหันกลับมามองเอกสารสำคัญที่เจ้านายหนุ่มเพิ่งจรดปากกาเซ็นช
เวลาสามทุ่มกว่าของคืนวันเดียวกัน ภายในสถานบันเทิงชื่อดังแห่งหนึ่ง เสียงเพลงจังหวะสนุกสนานผสมผสานเคล้าคลอกับเครื่องดื่มชั้นดีที่ธาริกาจัดมาให้เพื่อน หญิงสาวเลือกโต๊ะที่มีความเป็นส่วนตัวเพราะไม่อยากให้ใครมารบกวน"โต๊ะที่คุณผู้หญิงจองไว้ทางร้านจัดให้เรียบร้อยแล้วครับ" พนักงานชายของร้านบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ"ขอบคุณค่ะ อย่าลืมของที่สั่งไว้นะคะ"ธาริกาย้ำเตือนกับพนักงานแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาถ่ายรูปโต๊ะที่จองไว้ ส่งให้เพื่อนในไลน์กรุปทันทีจะได้ไม่เสียเวลาเดินออกไปรับ ไม่นานนักเสียงข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้นอัญญ์ : ถึงแล้ว กำลังจะเข้าไปธาริกา : โอเค รีบมาฉันรออยู่อัญญ์ส่งสติกเกอร์ยิ้มแฉ่งแข่งตะวันมาให้ธาริกาธาริกา : แล้วคนอื่นล่ะ? ยัยวีวี่ ยัยปอ ยัยม่านถ้าแกไม่มาฉันจะโกรธจริง ๆ ด้วยม่านทิวาส่งสติกเกอร์การ์ตูนรูปหน้าผู้หญิงหัวเราะชอบใจเป็นการตอบกลับวีรพล : กำลังจะเข้าไปปอแก้ว : กำลังถึงเช่นกันจ้า รอแป๊บน
“ไม่ใช่ครับ แต่มีเรื่องจะถามนิดหน่อย” ตอบพร้อมกับมองหน้าสวยหวานที่เต็มไปด้วยความสงสัย “บัญชีงบประมาณที่คุณทำอยู่เสร็จหมดหรือยังครับ”“เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”“เดือนหน้าคุณม่านไม่ต้องมาทำงานแล้วนะครับ”“ทำไมคะ?” หญิงสาวถามเจ้านายอย่างไม่เข้าใจ ก่อนเหลือบตามองคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามอย่างสงสัยว่าน่าจะเป็นตัวต้นเหตุของเรื่องนี้“พอดีสามีคุณทำเรื่องลาออกให้เรียบร้อยแล้วครับ” ม่านทิวาตกใจพอ ๆ กับพนักงานหลายคนที่ได้ยินเรื่องน่าตกใจของเธอในคราวเดียวกันถ้าเดือนหน้าไม่ต้องมาทำงาน เช่นนั้นเธอจะเหลือเวลาทำงานที่บริษัทแห่งนี้เพียงสามวันเท่านั้น…สายตาหวานมองไปรอบ ๆ สายตาพนักงานคนอื่นต่างมองมาที่เธอรณพีร์! นี่เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไงกัน!“ขอบคุณคุณหิรัญมากนะครับที่อนุมัติให้ภรรยาผมลาออกอย่างกะทันหัน” รณพีร์หันไปคุยกับหิรัญโดยไม่สนสายตาขุ่น ๆ ของม่านทิวาเลย“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี” หิรัญตอบรับด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”ชายหนุ่มผู้เป็นสามีของม่านทิวาขอตัวกลับ เขาเดินผ่านคนตัวเล
เกือบ ๆ สี่เดือนที่ผ่านมา...ในยามเช้าของต้นสัปดาห์ซึ่งเป็นวันทำงานของใครหลาย ๆ คน เช่นเดียวกันกับม่านทิวาและรณพีร์ สองร่างเปลือยเปล่ายังคงนอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียง ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาง่าย ๆใบหน้าสวยหวานกะพริบตาเล็กน้อยเพื่อหลีกหนีแสงสว่างที่สาดส่องผ่านผ้าม่านโปร่งแสงสีเทาเข้ามา ก่อนเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาดูก็ต้องตกใจกับเวลาที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ร่างเล็กรีบดีดกายออกจากอ้อมแขนแข็งแรงของคนที่นอนกอดทันที คว้าผ้าขนหนูมาพันกายในจังหวะที่จะเดินเข้าห้องน้ำ"จะรีบตื่นไปไหน" รณพีร์ยกศีรษะขึ้นมาถามคนที่กำลังเร่งรีบเมื่อครู่"ไปทำงานค่ะ" ร่างเล็กตอบกลับโดยไม่หันมามอง"เพิ่งเจ็ดโมงครึ่งเอง…จะรีบตื่นทำไม" คนตัวโตยันกายขึ้นนั่งพิงหัวเตียง สองมือรองที่ท้ายทอยถามด้วยท่าทางสบายใจไม่ได้เร่งร้อนใจเหมือนม่านทิวา"ฉันจะลงไปช่วยป้าเจียมเตรียมอาหารเข้า และฉันก็ไม่อยากไปทำงานสายค่ะ" บอกอย่างเร่งรีบก่อนเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัวของตนรณพีร์ยกยิ้มมุมปากบาง ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะสะบัดผ้าห่มที่คลุมกายออก จากนั้นคว้าผ้าขนหนูสีขาวผืน
ม่านทิวาส่ายหน้าเป็นคำตอบ เธออยากกลับไปพักผ่อนมากกว่า ทั้งสองคนจึงพากันกลับบ้านทันที กว่าจะถึงบ้านก็เวลาราว ๆ สองทุ่ม"กลับมากันแล้วเหรอ" รณวีร์ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยถามคนเป็นน้องชายตอบรับในลำคอเท่านั้น ส่วนคนที่เดินตามหลังมาพยักหน้าเป็นคำตอบเช่นกัน"ตาสองกับหนูม่าน...มาทานอาหารเย็นด้วยกันสิลูก"คุณนายสรวงสุดาเดินออกมาจากครัวเอ่ยชวน วันนี้นางเป็นคนลงมือเข้าครัวเองเพราะอยากทดลองทำอาหารเมนูใหม่ ๆ เอาใจสามี และให้บุตรชายกับลูกสะใภ้ได้ลิ้มลอง"คุณแม่ทานเลยครับ ผมเพิ่งทานมาเมื่อกี้นี้เอง" รณพีร์ตอบอย่างถนอมน้ำใจมารดา"แล้วหนูม่านล่ะลูก" นางหันไปถามลูกสะใภ้คนเล็กด้วยความเป็นห่วง"ทานพร้อมคุณสองมาแล้วค่ะคุณแม่" หญิงสาวตอบกลับแม่สามีด้วยความเกรงใจไม่ต่างกัน"ผมขอตัวขึ้นห้องก่อนนะครับ" ชายหนุ่มบอกกับมารดาก่อนเดินขึ้นชั้นสองไปม่านทิวากำลังจะก้าวเท้าขึ้นตามคนที่เป็นสามีไป อยู่ ๆ เสียงเจื้อยแจ้วของน้องพายก็ดังขึ้นพร้อมกับวิ่งมากอดขาเรียวของเธอ"อาม่านมาแล้ว" น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความดีใจทำเอาม่านทิวายิ้มออกมาอย่างมีความสุข
"อะไรก็ได้ค่ะ…แล้วแต่คุณสองเลยค่ะ"ม่านทิวาไม่อยากเรื่องมากกับเขา และการรับประทานอาหารมื้อนี้เป็นอีกมื้อที่เราสองคนรับประทานกันอย่างเงียบ ๆ ถึงแม้รอบกายจะมีเสียงดังรบกวนไม่น้อยสายตาของม่านทิวาเหลือบมองไปเห็นรองเท้าส้นสูงสีแดงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จึงเงยหน้าขึ้นมามอง เธอตกใจไม่น้อย...ไม่คิดว่าจะได้พบรวิดาที่นี่"วิ!" ม่านทิวาอุทานเรียกเบา ๆ ราวละเมอ"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะพี่ม่าน"น้ำเสียงกระแนะกระแหนของรวิดาดังขึ้นพร้อมกับเหยียดยิ้มใส่หน้าพี่สาวนอกไส้ทันที ก่อนหันไปมองรณพีร์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับม่านทิวา"สวัสดีค่ะพี่สอง ไม่เจอกันนานเลยนะคะ สบายดีไหม" รวิดาหันมาถามรณพีร์อย่างสนิทสนมเป็นการจงใจทำให้ม่านทิวาเข้าใจผิด"สบายดี" รณพีร์ตอบอย่างไร้เยื่อใยใบหน้านิ่งขรึม ไม่ใส่ใจรวิดาเท่าที่ควร"ไม่คิดเลยนะคะว่าจะมาเจอกันที่นี่ พี่ม่านมีเงินกินของหรู ๆ แพง ๆ แบบนี้ด้วยเหรอคะ" เสียงค่อนแคะที่ค่อนข้างดังทำให้คนภายในร้านจ้องมองมาที่โต๊ะของรณพีร์ทันทีรณพีร์กำลังจะอ้าปากตอบคำถามของคนรักเก่าแทนม่านทิวา แต่ไม่ทันเพราะหญิงสา
ม่านทิวาเดินตามหลังชายหนุ่มโดยเว้นระยะห่างตามที่เขาเคยสั่งเธอไว้ คนตัวเล็กมองรอบบ้านที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราน่าอยู่ โทนสีขาวตัดกับสีเทาให้ความสุขุมนุ่มลึกตามแบบฉบับของเจ้าของบ้าน เท้าเรียวเดินมาหยุดยืนอยู่มุมหนึ่งของบ้าน ไม่ได้เดินตามเขาเข้าไปตรวจเช็กความเรียบร้อยแต่อย่างใดมันไม่ใช่เรื่องของเธอ แต่ถ้าเดินตามเขาเข้าไปชายหนุ่มคงไม่พอใจเธอแน่ ๆ และยังคงจดจำข้อตกลงของเขาได้เป็นอย่างดี เธอรออยู่ตรงนี้น่าจะเป็นการดีที่สุดเวลาผ่านไปม่านทิวาจึงเดินมานั่งบนโซฟาหรูที่ยังคงห่อหุ้มด้วยพลาสติกอย่างถือวิสาสะ ในใจยังกังวลว่าเจ้าของบ้านเห็นเข้าจะต่อว่าเอาได้ แต่เธอนั้นเมื่อยขาเกินกว่าที่จะยืนไหว นั่งไม่นานก็เผลอหลับไปอีกครั้งด้วยความเพลียจับใจ"งั้นรบกวนคุณจัดการแก้ไขและเปลี่ยนตามที่ผมบอกด้วยนะครับ" ชายหนุ่มบอกกับคนที่เข้ามาตรวจสอบความเรียบร้อยของบ้านและอินทีเรียที่เป็นพนักงานในบริษัทของเขาเอง"ได้ครับคุณรณพีร์ เดี๋ยวพวกผมจัดการทั้งหมดให้เรียบร้อย ไม่เกินหนึ่งเดือนครับ""ครับ" เจ้าของบ้านหนุ่มหล่อพยักหน้ารับอย่างขอบคุณตอนนี้ก็เวลาราว ๆ สี่โม
ม่านทิวาถูกร่างสูงของสามีกึ่งลากกึ่งจูงออกมาจากร้านกาแฟที่ชายหนุ่มให้ลูกน้องคนสนิทตามมาดูว่าหญิงสาวอยู่ที่ไหน หลังจากที่เขาจัดการงานของตนเองเสร็จเรียบร้อยจึงตามออกมา ในจังหวะที่เขาเข้ามาในร้านก็ได้ยินม่านทิวากำลังพูดเรื่องลับ ๆ ระหว่างเราอยู่พอดี ใจก็อยากจะเข้าไปกระชากตัวหญิงสาวออกมาจากตรงนั้นก่อนที่เรื่องนี้จะมีคนรู้มากกว่าที่ควรแต่ไม่รู้เหตุใดทำไมเขาถึงกลับใจยืนหลบมุมคอยฟังว่าสาวเจ้าจะพูดอะไรบ้าง จะรักษาคำพูดที่เคยให้ไว้หรือไม่ แต่แล้วเธอก็ทำแบบนั้นจริง ๆ บอกกับกลุ่มเพื่อนสนิทเพียงนิดหนึ่งแล้วก็ปิดบังความจริงส่วนใหญ่เอาไว้ตามสัญญา"คุณสอง...ปล่อยฉันค่ะ ฉันเจ็บนะ” คนตัวเล็กอ้อนวอนและพยายามบิดข้อมือออกจากมือหนาทันทีที่เดินมาถึงรถยนต์คันหรู ชายหนุ่มเปิดประตูและผลักหญิงสาวให้เข้าไปนั่งในรถทันที พร้อมกำชับว่าหากลงมา ‘โดนดีแน่’ม่านทิวาจึงอยู่นิ่ง ๆ บนรถตามคำขู่ของคนใจร้าย และนั่งนิ่งอยู่ภายในรถด้วยความร้อนอกร้อนใจ"ทำไมเธอไม่ถอดแหวนแต่งงานออกตามที่ฉันสั่ง" ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวทันทีที่เข้ามานั่งเบาะฝั่งคนขับคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้า
ม่านทิวาส่ายหน้าให้กับคำตอบของเพื่อนก่อนหันไปจ่ายค่าเครื่องดื่มให้กับพนักงาน"ฉันง่วงไม่ไหวแล้วอะ ขอกลับก่อนนะ"ม่านทิวาบอกกับเพื่อนเสียงงัวเงียทางอ่อนเพลีย เธอขอตัวกลับทันทีเพราะตอนนี้เริ่มจะง่วงขึ้นมาอีกแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่าเสียมารยาทมากแค่ไหนที่เธอนั้นมาทีหลังยังจะขอกลับก่อน"แล้วจะกลับยังไง ให้พวกฉันไปส่งไหม"วีรพลขันอาสาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ถ้าง่วงแบบนี้ให้กลับเองไม่ดีแน่ ทว่าอีกใจคืออยากเห็นบ้านสามีเพื่อนด้วยนั่นแหละ ว่าบ้านสามีของเพื่อนสาวจะใหญ่อลังการหรือเปล่า ในจังหวะที่ม่านทิวากำลังจะตอบกลับ เสียงเข้มของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ“ถ้าง่วงก็กลับบ้าน"ม่านทิวาที่กำลังดื่มกาแฟอยู่ต้องชะงัก เงยหน้าขึ้นมาดูว่าเสียงนั้นใช่คนที่เธอคิดไว้หรือไม่ใช่...เขาคือคนที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด นั่นก็คือรณพีร์ แต่จะว่าไปเขามาอยู่อะไรที่นี่"คุณสอง""ฉันมารับกลับบ้าน" ชายหนุ่มเอ่ยบอกเสียงเข้มก่อนหันมาบอกเพื่อนของเธอ "ขอตัวพาภรรยากลับบ้านก่อนนะครับ" พูดจบก็คว้ามือเรียวของคนตัวเล็กออกจากร้านท่ามกลางความมึนงงของสาว