“ฮั่วจิ้นเฉิง...”หลีเกอตะโกนเสียงแหบแห้งแต่ไม่ว่าเธอจะตะโกนอย่างไร ฮั่วจิ้นเฉิงก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบสนองเลยเหยียนเจี่ยนที่นั่งอยู่บนที่นั่งคนขับก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นกันไม่คิดว่าจะมีคนกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ ยอมขับรถตัวเองพุ่งออกมาโดนชนแทนหลีเกอแต่ตอนนี้เธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกแล้วเธอไม่ลังเลแม้เสี้ยววินาที แม้ว่ารถของตัวเองจะเยินจนไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่เหยียนเจี่ยนก็ยังคงหักพวงมาลัยอย่างรวดเร็วขับรถออกจากที่เกิดเหตุด้วยความเร็วสูง“สวัสดีค่ะ 120 ใช่ไหมคะ มีรถยนต์ประสบอุบัติเหตุที่แยกถนนปินเจียงหมายเลขสาม...” หลีเกอพยายามตั้งสติ โทรแจ้งรถพยาบาลเมื่อมองไปทางฮั่วจิ้นเฉิงที่หมดสติอยู่ เธอรู้สึกว่ามือทั้งสองของตัวเองสั่นไปหมดรถพยาบาลมาถึงอย่างรวดเร็วฮั่วจิ้นเฉิงถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนขณะอยู่บนฟุตบาธ หลีเกอค่อย ๆ ตั้งสติ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเจิ้งหลิ่ว “คุณเจิ้งคะ ฉันรถชนค่ะ”เจิ้งหลิ่วแทบจะนั่งไม่ติด“คุณเป็นยังไงบ้างครับ? แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน? ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้?”“ไม่ต้องค่ะ…” หลีเกอเงยหน้าขึ้น มองไปยังประตูห้อ
"ผู้ป่วยมีบาดแผลที่หน้าผากจากการถูกกระจกบาด เราได้ทำการปฐมพยาบาลแล้ว นอกจากจะได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองเล็กน้อย ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติครับ"เมื่อได้ยินแบบนี้หลีเกอก็โล่งใจโชคดีที่ฮั่วจิ้นเฉิงไม่เป็นอะไร"ขอบคุณคุณหมอนะคะ ลูกชายฉันไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว"หลี่ซูฉินขอบคุณไม่หยุดหย่อน หัวใจที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายผ่อนเบาลง"ผู้ป่วยฟื้นแล้ว กำลังจะเข็นไปที่แผนกผู้ป่วยในนะครับ"“ได้ค่ะ ได้ค่ะ"หลังจากหมอจากไปพยาบาลก็เข็นเตียงฮั่วจิ้นเฉิงออกมาศีรษะของเขาพันไว้ด้วยผ้าพันแผล ใบหน้ายังมีคราบเลือดหลงเหลืออยู่ สูญเสียความเย็นชาเคร่งขรึมเช่นในอดีตหลี่ซูฉินเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไปร้องห่มร้องไห้ "ลูกชาย ไม่เป็นไรแล้วนะลูก"ฮั่วซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็พูดด้วยความเป็นห่วง "พี่ชาย พี่ทำพวกเราตกใจกันหมดเลย ดีนะที่ไม่เป็นอะไร"ฮั่วจิ้นเฉิงมองพวกเธอปลอบโยนสองสามประโยค "พี่ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง"แต่หลี่ซูฉินก็ยังไม่วางใจ"จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับลูก แม่จะอยู่ยังไง!"ฮั่วจิ้นเฉิงขมวดคิ้ว แต่สายตากลับมอง
เขาคิดว่าหลังจากเรื่องนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะกลับมาดีขึ้นแท้ ๆใครจะรู้ว่าหลีเกอกลับหยิบเช็คออกมาจากกระเป๋าฮั่วจิ้นเฉิงหน้าดำคร่ำเครียด"คุณหมายความว่ายังไง"หลีเกอเหลือบมอง"รถเบนท์ลีย์รุ่นใหม่ล่าสุดราคาไม่เกินห้าล้าน ส่วนที่เหลือ ถือเป็นค่าตอบแทนที่คุณฮั่วกรุณาช่วยชีวิตฉัน"ฮั่วจิ้นเฉิงโกรธจนแทบจะกระอักเลือดออกมายี่สิบล้าน?เธอคิดจะเอาเงินฟาดหัวเขาเหรอ?เขาทำไปก็เพราะสัญชาตญาณที่อยากจะปกป้องเธอล้วน ๆแค่นั้นเลยทำไมในสายตาเธอถึงมองเป็นอื่นไปได้เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของเขา เธอก็ไม่ได้พูดอะไรหลีเกอพูดต่อ "ยี่สิบล้านน่าจะเพียงพอ ถ้าคุณฮั่วคิดว่ายังไม่พอ ก็เสนอราคามาได้เลย""หลีเกอ! คุณเห็นผมเป็นอะไร" สีหน้าของฮั่วจิ้นเฉิงย่ำแย่มากตอนนี้เขายังบาดเจ็บอยู่นะเธอไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเขาเลยเหรอ?หลี่ซูฉินและฮั่วซินที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็มองด้วยความโง่เขลา ยี่สิบล้านสำหรับหลีเกอไม่มีความสำคัญอะไรเลยงั้นเหรอ?จู่ ๆ ก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาฐานะทางบ้านของหลีเกอนั้นร่ำรวยเป็นบ้าตั้งแต่สถานะการเงินของเธอถูกฮั่วจิ้นเฉิงควบคุม ตอนนี้แม้แต่จะเบิกเงินสองล้านออกมายังรู้สึก
ถึงแม้ว่าวันนี้ฮั่วจิ้นเฉิงจะทำเรื่องกล้าหาญดังกล่าว แต่ก็ยากที่จะลบล้างความเจ็บปวดที่เขาเคยกระทำต่อเธอ"คุณโม่คะ วันวันถ้าไม่รู้จะทำอะไร ก็แบ่งเวลาไปหาความรู้ซะบ้าง นินทาให้น้อยลง อย่าก้าวก่ายไม่เป็นเรื่อง!"คำพูดของหลีเกอเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนเจตนาของเธอชัดเจนโม่อี้เฟยยิ้มแห้ง "ได้ ได้ ผมขอตัวไปดูหน่อยว่าเขาเป็นยังไงแล้ว ขอตัวนะครับ"พูดจบก็รีบเผ่นออกไปหลังออกมาจากโรงพยาบาล หลีเกอก็ได้รับโทรศัพท์จากเจิ้งหลิ่ว "ตรวจสอบแล้วครับ เจ้าของรถโฟล์คคันนั้นคือเหยียนเจี่ยน วันนี้เธอเป็นคนขับรถคันนั้นด้วยตัวเอง"ได้ยินชื่อนี้หลีเกอก็มีสีหน้าเย็นชา"เป้าหมายของเธอคือฉันใช่ไหม?""ใช่ครับ คุณหนูใหญ่! แต่ไม่น่าจะเป็นการกระทำที่เกิดจากการไตร่ตรองไว้ก่อน น่าจะเป็นการกระทำที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ"หลีเกอเม้มริมฝีปาก "เธอมีใครในครอบครัวอีกหรือเปล่า?""ตรวจสอบแล้วเช่นกันครับ เหยียนเจี่ยนเป็นเด็กกำพร้า! เติบโตขึ้นจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ต่อมาสอบเข้ามหาวิทยาลัยปินเฉิงได้ด้วยความสามารถของตัวเอง ในระหว่างที่เรียนก็ได้รับการบริจาคทุนการศึกษาจากผู้ใจบุญในสังคม"แบบนี้จะหาจุดอ่อนของเธอจากไหนล่ะ?
หลีเกอตอบรับแค่ อืม"บ้าจริง เขาสำนึกผิดแล้วรึไง? แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เธอคงจะไม่ให้อภัยเขาง่าย ๆ หรอกใช่ไหม?"หลีเกอส่ายหน้าเบา ๆ"หนี้ชีวิตเขา ฉันชดใช้ไปแล้ว"เจี่ยงอีอีสงสัยมาก"เธอใช้หนี้ยังไง ไม่ใช่ว่าจะเอาตัวไปแลกใช่ไหม? ฉันบอกไว้เลยนะ ถ้าเธอกล้าให้อภัยไอ้บ้านั่น หรือกลับไปคืนดีกับเขา ฉัน… ฉันจะหาเต้าหู้มาทุบหัวตัวเองให้ตาย"หลีเกอรีบจับแขนเธอไว้"พอแล้วน่า"จากนั้นก็พูดอย่างจริงจัง"ฉันเคยบอกแล้วไง บอกว่าปล่อยวางแล้วก็คือปล่อยวาง จะไม่หวนกลับไปทำผิดซ้ำอีก..."เจี่ยงอีอีเชื่อสนิทใจ"รอดตายมาได้ก็ดี ฉันจะพาเธอไปล้างซวย"แต่หลีเกอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอนัดกับฟู่ซิวเป่ยไว้ "ไม่ได้สิ ฉันนัดกับพี่ซิวเป่ยไว้i""โอ๊ย เธอนี่เอะอะอะไรก็พี่ซิวเป่ย งั้นเรียกเขามาด้วยกันเลยไหมล่ะ?"หลีเกอลังเล "ฉันลองถามเขาก่อนดีไหม""เฮ้อ เพื่อนคนนี้! ยังต้องถามอะไรอีกเล่า ส่งโลเคชั่นไปให้เขาเลย ถ้าเขาอยากมาเดี๋ยวเขาก็ตามมาเองแหละ!"หลีเกอ "..."ตกกลางคืนเจี่ยงอีอีจองโต๊ะในบาร์แห่งหนึ่งเอาไว้ จากนั้นก็เรียกเพื่อนสาวมารวมตัวกันเพื่อเต้นรำ"ฉันขอเตือนเธออีกที ตอนนี้ลืมเรื่องทุกข์ใจทั้งหมดไปก่อน
"หล่อนเก่งจะตายไป คนธรรมดาทำอะไรหล่อนไม่ได้หรอก" ตอนนี้ฮั่วซินไม่คิดจะไปหาเรื่องหลีเกอ เธอกลัวว่าฮั่วจิ้นเฉิงจะรู้ แล้วเธอจะอยู่ที่เมืองปินเฉิงไม่ได้อีกต่อไปแต่กู้หว่านชิงกลับรู้สึกเกลียดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเธอพูดตามตรง "ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อน ฉันก็คงไม่ตกงาน ตอนนี้ไม่มีงานทำเลย ต้องมานั่งแช่อยู่ในบาร์ทุกวัน เธอลองคิดดูสิว่าหล่อนมันน่ารังเกียจมากแค่ไหน"ฮั่วซินพยักหน้าแต่เธอไม่ได้พูดอะไรมาก ความแค้นระหว่างกู้หว่านชิงกับหลีเกอ เธอไม่ออยากวิจารณ์ใด ๆ"พี่หว่านชิง ในเมื่อเกลียดหล่อนเข้าไส้ขนาดนั้น ทำไมไม่สั่งสอนหล่อนซะล่ะ?"กู้หว่านชิงยิ้มเธอเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมา ไม่ได้ตอบคำถามของฮั่วซิน แต่กลับพูดว่า "เธอเองก็เกลียดหล่อนเข้าไส้เหมือนกันไม่ใช่หรือไง?"ฮั่วซินส่ายหัว"ถึงจะเกลียด ฉันก็ทำอะไรหล่อนไม่ได้ ได้แต่เกลียดอยู่ในใจเท่านั้นแหละ"กู้หว่านชิงหัวเราะเสียงเย็น"ขี้ขลาดขนาดนี้เชียว หรือกลัวจะสู้หล่อนไม่ได้?"ฮั่วซินรู้สึกโกรธขึ้นมาเธอเคยสู้กับหลีเกอมาหลายครั้งแล้ว ไม่เคยชนะได้เลยสักครั้ง รู้สึกไม่พอใจอยู่ลึก ๆทำไมหลีเกอถึงมีชีวิตที่ราบรื่นอยู่เสมอ คนทั้งโลกพร้อมจะเ
หลังจากส่งต่อคำสั่งเรียบร้อยดวงตาของกู้หว่านชิงก็ฉายประกายความโหดเหี้ยมขึ้นมาแวบหนึ่งเวลานี้เธอเหมือนงูพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในโพรงมืดรอหาจังหวะที่เหมาะสม แล้วก็พุ่งออกมาฉกคนคนนั้นอย่างแรงกู้หว่านชิงตบไหล่ฮั่วซิน แล้วกระซิบข้างหู "อย่าลืมถ่ายคลิปไว้ด้วยล่ะ ฉันจะทำให้หล่อนเสื่อมเสียชื่อเสียง แล้วก็โดนสังคมขับไล่ออกจากปินเฉิงไปตลอดกาล"ฮั่วซินตัวสั่นเทากู้หว่านชิงมีท่าทีแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง"ฉัน... ฉันไม่ถ่าย"กู้หว่านชิงไม่ให้โอกาสเธอปฏิเสธ "หึ ไม่ถ่ายแล้วยังไง เราเป็นตั๊กแตนที่ไต่อยู่บนเส้นเชือกเดียวกันแล้วนะ เธอคิดว่าไงล่ะ?"คำพูดของเธอเต็มไปด้วยการคุกคามฮั่วซินมองไปทางหลีเกอดวงตาจมมืดลงในใจพลันตัดสินใจอย่างลับ ๆในเวลาเดียวกัน บนชั้นสองของบาร์"ผมก็นึกว่าใคร คุณชายฟู่นี่เอง ลมอะไรหอบคุณมาที่นี่ครับ" คนที่พูดเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสบาย ๆ แต่คำพูดของเขากลับเต็มไปด้วยการหยอกล้อฟู่ซิวเป่ยเห็นคนที่เดินเข้ามาทักทายเขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ท่าทางสง่างามเช่นกัน ยื่นมือออกไปจับมือกับอีกฝ่าย"ไม่ได้เจอกันนานเลย""โอ้โฮ นานแล้วจริง ๆ ครับ คุณย้ายมาที่
ฟู่ซิวเป่ยเป็นคนแรกที่ตอบสนองเขาแทบไม่ใช้เวลาลังเล ฟู่ซิวเป่ยหันหลังกลับลงบันไดไปทันทีในขณะนี้ หลีเกอกำลังนั่งพักอยู่หน้าโต๊ะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพลิกดูอย่างเบื่อหน่าย ในขณะนั้น พนักงานเสิร์ฟก็ถือถาดเข้ามา"คุณผู้หญิง นี่คือเครื่องดื่มที่บาร์ของเราแจกฟรีในคืนนี้ ลองชิมสักหน่อยไหมครับ?"ไม่รอให้หลีเกอปฏิเสธเขาวางเครื่องดื่มไว้ตรงหน้าหลีเกอโดยตรงหลีเกอหยิบแก้วขึ้นมา ยังไม่ทันได้ดื่ม ฟู่ซิวเป่ยก็ขัดจังหวะด้วยเสียงอันดัง "คุณหนูหลี!"ก้าวเดินของฟู่ซิวเป่ยดูเร่งรีบอย่างเห็นได้ชัดเขาก้าวสองสามขั้นลงบันไดในคราวเดียวไปอยู่ตรงหน้าหลีเกอ แล้วคว้าแก้วจากมือเธอไปหลีเกอดูการกระทำของเขาด้วยความสงสัยสี่ตาสบประสานกันฟู่ซิวเป่ยยื่นมือออกมากอดไหล่เธอไว้โดยไม่พูดอะไร ในสายตาคนนอก การกระทำของทั้งคู่ดูสนิทสนมกันมากแต่ฟู่ซิวเป่ยใช้โอกาสนี้กระซิบข้างหูเธอ "มีอะไรผสมอยู่ในแก้ว"เขาพูดประโยคสั้น ๆหลีเกอเข้าใจทันที"พี่ซิวเป่ย หายไปไหนมาคะ ทำไมเพิ่งมาถึงล่ะ?"ฟู่ซิวเป่ยยิ้มพราว "มาได้สักพักแล้ว บาร์นี้รุ่นน้องสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของผมเป็นเจ้าของ อยากไปทักทายเขาหน่อยไหม?"หลีเกอยิ้ม"เอ