กลางดึกก้อนแป้งน้อยเว่ยซือหงนอนพลิกตัวไปมา ท่าทางกระสับกระส่ายไม่สบาย จนหลิงจูสาวใช้คนสนิทที่หลิวลี่หงมอบให้มาดูแลก้อนแป้งน้อย เร่งรีบออกไปแจ้งข่าวนายหญิงกับนายท่านของตนเอง
“มีอะไรหลิงจู เหตุใดจึงมาดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้”
“แย่แล้วเจ้าค่ะฮูหยิน คุณหนูเป็นอะไรไม่รู้เจ้าค่ะ นอนดิ้นไปมา ทั้งยังตัวร้อนมากด้วย ปลุกเท่าไหร่ก็ปลุกไม่ตื่นเจ้าค่ะ” หลิงจูกล่าวบอกท่าทางร้อนรน เป็นห่วงเจ้านายตัวน้อยยิ่งนัก
หลิวลี่หงฟังแล้วชะงักก่อนหันไปมองหน้าสามีแล้วเร่งรีบไปเรือนนอนของบุตรสาวทันที
ยังไม่ทันจะได้เข้าไปในห้องบุตรสาว เว่ยซือซานและหลิวลี่หงพลันสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่เอ่อล้นออกมาจากภายใน สามีภรรยามองหน้ากันด้วยไม่อยากเชื่อ
“จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะท่านพี่ หงเอ๋อร์เพิ่งจะเจ็ดหนาวเท่านั้นเองนะเจ้าคะ พลังปราณของลูกจะตื่นขึ้นได้เช่นไร” หลิวลี่หงพูดด้วยใบหน้ากลัดกลุ้มยิ่ง ด้วยปกติพลังจะตื่นก็ต่อเมื่ออายุ 9 หนาว
“พี่ก็ไม่รู้เช่นกัน เรารีบเข้าไปดูลูกกันก่อนเถอะ” เว่ยซือซานเป็นห่วงบุตรสาวที่พลังปราณตื่นก่อนกำหนด ขณะเดียวกันบอกพ่อบ้านอวิ๋นให้ไปตามบิดาของตนมาโดยเร็ว
สามีภรรยาเร่งเข้าไปในห้องนอนบุตรสาวตัวน้อยอย่างรวดเร็วก่อนผงะกับพลังปราณที่เข้าปะทะพวกเขา จะไม่ให้ตื่นตกใจได้อย่างไร นี่มันเป็นพลังปราณที่รุนแรงมาก แรงปะทะที่ส่งมาขวางกั้นพวกเขาเอาไว้นั้นไม่ธรรมดาเลย เขาที่มีพลังปราณระดับจอมยุทธ์ยังอึดอัดใจ ภรรยาของเขาที่มีพลังปราณระดับแม่ทัพเล่าจะอึดอัดขนาดไหน
“ลี่เอ๋อร์ เจ้าไหวหรือไม่”
“วะ ไหวเจ้าค่ะท่านพี่” หลิวลี่หงตอบตะกุกตะกัก แม้หายใจแทบไม่ออกแต่นางไม่ใส่ใจ นางห่วงบุตรสาวคนเดียวมากกว่า เว่ยซือซานยังไม่ได้กล่าวสิ่งใด เสียงเอะอะของบิดามารดารวมถึงบุตรชายสองคนพลันแทรกเข้ามา
“อาซาน ลี่เอ๋อร์ เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่”
“ท่านพ่อ/ท่านแม่”
“เกิดสิ่งใดขึ้น พ่อบ้านอวิ๋นบอกพ่อว่าพลังของหงเอ๋อร์ตื่นก่อนกำหนด”
ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากบุตรชาย เว่ยซือหลิวรีบก้าวไปยืนด้านหน้าของทุกคนพร้อมกลางม่านพลังปราณระดับปราชญ์ครอบคลุมทุกคนไว้ทันท่วงที
สมาชิกตระกูลเว่ยทุกคนรวมถึงพ่อบ้านอวิ๋น หลิงจูและหลิงอิงสาวรับใช้ข้างกายเว่ยซือหงพลันแตกตื่นกับพลังที่ปะทุออกมาจากก้อนแป้งน้อย พร้อมทั้งตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ต่างคนต่างอ้าปากค้าง แววตาฉายความไม่เชื่อ พูดออกมาพร้อมกัน
“เป็นไปไม่ได้!” หากไม่มีใครสามารถละสายตาไปจากเหตุการณ์ตรงหน้าได้สักคนเดียว เป้าสายตาเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเว่ยซือหงที่นอนหลับสนิทบนเตียงกว้าง
ร่างกายเว่ยซือหงปะทุพลังปราณออกมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งนาน แรงกดดันยิ่งเพิ่มมากขึ้น เส้นแสงเล็ก ๆ ผุดออกมาจากร่างเจ้าก้อนแป้งทีละเส้น ๆ แต่ละเส้นมีสีแตกต่างกันไป นี่คือการตื่นของพลังธาตุ ประกอบไปด้วยสีฟ้า สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน และสีขาว นับได้จากเส้นแสงเหล่านั้นมีถึง 5 สี!
สวรรค์! เจ้าตัวน้อยมีธาตุถึง 5 ธาตุด้วยกัน!
ตอนนี้คนทั้งเก้าที่ยืนเป็นสักขีพยานของการตื่นพลังปราณและพลังธาตุของเว่ยซือหงตกใจจนไม่รู้จะตกใจอย่างไรแล้ว สายตาหลายคู่จับจ้องไปยังพลังธาตุทั้งห้าที่ม้วนเป็นเกลียวประสานกันอย่างไม่ละสายตา แม้จะสงสัยว่าพลังสีทองที่โอบล้อมเว่ยซือหงและเกลียวธาตุทั้งห้าคือสิ่งใดก็ตามที เนิ่นนานกว่าพลังที่ตื่นขึ้นของเจ้าตัวน้อยจะยอมสงบ ร่างกายเล็ก ๆ นั่น ค่อย ๆ ดูดซับพลังทั้งหมดที่ปะทุออกมากลับคืนเข้าสู่ร่างกายทีละนิด ๆ กระทั่งไม่หลงเหลือกลิ่นอายใด ๆ
“สวรรค์ บุตรสาวข้ามีธาตุถึงห้าธาตุด้วยกัน!” เว่ยซือซาน
“สองธาตุปกติสามธาตุพิเศษ” หลิวลี่หง
“ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุพฤกษา ธาตุน้ำแข็ง และธาตุแสง!” เว่ยซือหลิวกล่าวบ้าง
“ไหนจะพลังปราณสีทอง โอย... อาหลางอาเหลียงประคองย่าทีย่าจะเป็นลม” หลินซือเหยากล่าวพร้อมกับร่างกายที่ซวนเซ
“ท่านย่า/ท่านย่า” สองพี่น้องเว่ยซือหลางเว่ยซือเหลียงรีบเข้าประคองร่างท่านย่าของตนอย่างว่องไว พร้อมรับยาหอมจากพ่อบ้านอวิ๋นมาจ่อจมูกผู้เป็นย่าอย่างรวดเร็ว ส่วนสาวรับใช้ข้างกายทั้งสองคนของน้องสาวนั้นเป็นลมไปตั้งแต่เห็นพลังธาตุที่แตกต่างกันทั้งห้าธาตุแล้ว
“นายท่าน ตั้งสติก่อนเถอะขอรับ ข้าน้อยว่าอีกไม่นานฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาที่จวนเว่ยของพวกเราแน่” พ่อบ้านอวิ๋นแม้จะยังตื่นตกใจกับเหตุการณ์พลังตื่นของคุณหนูตัวน้อย แต่เขาตั้งสติได้เร็วกว่าผู้ใด แม้ว่าก่อนหน้านี้นายท่านใหญ่จะเร่งค่ายกลป้องกันภัยของจวนไว้แล้ว แต่ก็ไม่ควรประมาท ทางที่ดีหาทางรับมือไว้ดีกว่า
“โอ ใช่ ๆ พวกราชวงศ์จะต้องรับรู้ถึงกลิ่นอายพลังปราณของเจ้าตัวน้อยแน่” นายท่านใหญ่เว่ยซือหลิวกล่าวพร้อมพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ
“ท่านพ่อ เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรดีขอรับ” เว่ยซือซานกล่าวอย่างกังวล จะปิดบังก็ไม่ได้ พลังปราณของบุตรสาวเขามากเกินไป อย่างไรฮ่องเต้และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่มีพลังระดับปราชญ์ย่อมรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายพลังปราณที่ปะทุออกมาแน่
“ข้าว่าบอกพวกเขาไปตามตรงว่าพลังของอาหงตื่นก่อนกำหนดแต่ปิดเรื่องพลังธาตุไว้ดีกว่าหรือไม่เจ้าคะ ข้าไม่วางใจผู้ใดเจ้าค่ะ กลัวว่าจะมีคนโลภใช้อาหงเป็นเครื่องมือสู่อำนาจ แม้ว่าตอนนี้อำนาจในแคว้นของเราจะปรองดองกันดี ไม่มีศึกภายใน แต่ถ้ามีคนรู้เรื่องของอาหงมากเกินไป อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้”
“ลี่เอ๋อร์พูดถูก ข้าเห็นด้วยว่าเราควรปิดเรื่องพลังธาตุของหลานสาวไว้ จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง ความอิจฉาริษยาทำร้ายคนได้” ฮูหยินผู้เฒ่าหลินซือเหยากล่าวสมทบกับความคิดของลูกสะใภ้
“จริงดังท่านแม่และท่านย่าพูดนะขอรับ แม้อำนาจภายในแคว้นโจวของเราจะดูปรองดองกัน อำนาจจากตระกูลใหญ่ต่าง ๆ เท่าเทียมกัน แต่ถ้าเมื่อไรที่ตระกูลใดตระกูลหนึ่งเรืองอำนาจกว่าตระกูลอื่น ๆ ขึ้นมา ข้าว่าไม่ดีแน่” เว่ยซือเหลียงพูดหลังจากวิเคราะห์เรื่องราวภายในต่าง ๆ ในแคว้นแล้ว
“ข้าเห็นด้วยขอรับ ทั้งนี้เพื่อปกป้องน้องสาว และตระกูลเว่ยของเราแล้ว ยังถือเป็นการปกป้องแคว้นโจวของเราไปในตัวด้วย ทุกคนอย่าลืมสิขอรับ ความอิจฉาริษยาก่อให้เกิดสงครามได้ ตอนนี้แม้จะไม่มีสงครามระหว่างแคว้น เพราะพวกเราทำสัญญาสงบศึก แต่ถ้ามีข่าวเรื่องของหงเอ๋อร์มีพลังธาตุถึงห้าธาตุหลุดออกไป ซ้ำยังมีธาตุพิเศษถึงสามธาตุ ข้าว่าแย่แน่ขอรับ บางทีหากถึงตอนนั้น สัญญาสงบศึกอาจไม่มีผลแล้วก็ได้” เว่ยซือหลางที่วิเคราะห์เหตุการณ์ได้ลึกซึ้งกว่าน้องชายกล่าวบ้าง
แน่นอนถ้าสมาชิกในจวนคนอื่นคิดได้ สองพ่อลูกอย่างเว่ยซือหลิวและเว่ยซือซานจะคิดไม่ได้ได้อย่างไร ทั้งสิ่งที่พวกเขาคิดยังน่ากลัวมากกว่าคนอื่น ๆ หลายเท่า
อำนาจภายในแคว้นโจวดูเหมือนสงบก็จริง ทว่าความจริงมันมีคลื่นใต้น้ำซ่อนอยู่ ถึงไม่ได้กล่าวออกไป แต่เหล่าคนตระกูลใหญ่ย่อมรู้กันดีว่าพวกเขาขัดขากันในมุมมืดอยู่เป็นนิจ
ส่วนสัญญาสงบศึก เป็นสัญญาที่แคว้นโจวร่วมลงนามกับแคว้นอื่น ๆ ภายในทวีปนภาครามว่าจะไม่ก่อสงครามกัน เนื่องจากปัญหาจากเหล่ามารและปัจจัยจากอาหารการกินมีผลนานนับร้อยปี ทว่าถ้าเรื่องเว่ยซือหงแพร่ออกไป ใครเล่าจะรู้ว่าแคว้นต่าง ๆ ยังจะยอมนิ่งเฉยอยู่อีกหรือไม่ ต่อให้สัญญาสงบศึกนั้นจะทำเป็นอักขระสัญญาเลือดก็ตามที บางทีความอิจฉาริษยากลัวแคว้นอื่นเรืองอำนาจกว่าแคว้นตนอาจน่ากลัวกว่าความตายก็ได้ ทว่านั่นนับเป็นปัญหาเล็กน้อยหากเทียบกับบุคคลในเงามืดอย่างพวกมาร!
นับตั้งแต่เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในคืนเทศกาลหยวนเซียว คืนเดียวกับที่เว่ยซือหงเกิด พวกมารพากันเงียบหายไปผิดปกติ จากเดิมที่ควรออกรังควานสร้างปัญหาให้กับชาวบ้าน กลับพากันเก็บหางราวกับว่าดินแดนนี้ไม่เคยมีพวกมัน ดูเหมือนว่าน่ายินดีแต่ความจริงนั้นไม่ใช่เลย!
ห้าปีก่อนสองพ่อลูกตระกูลเว่ยได้ร่วมประชุมกับตัวแทนที่มาจากดินแดนเบื้องบนพร้อมกับราชวงศ์ เหล่าผู้นำตระกูล และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ร่วมหารือกันในเรื่องนี้ความว่า พวกมันไม่ได้หายไปไหน พวกมันยังอยู่ที่เดิมแค่เก็บหัวเก็บหางตนเองได้ดีเท่านั้น
ทั้งนี้ตัวแทนจากดินแดนเบื้องบนยังกล่าวว่าให้จับตาดูไว้ให้ดี อย่าได้หละหลวมด้านการป้องกันเป็นอันขาด ด้วยเหตุนั้นทำให้สองพ่อลูกตระกูลเว่ยระแวงมาจนถึงวันนี้!
ตอนแรกพวกเขาไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกี่ยวกับบุตรหลานของตนเอง ทว่าหลังเป็นประจักษ์พยานการตื่นขึ้นของพลังปราณพลังธาตุจะว่าไม่เกี่ยวก็ไม่ได้แล้ว มองอย่างไรก้อนแป้งน้อยของพวกเขาต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่!
สองพ่อลูกหันมาสบตาและพยักหน้าให้กัน
“พ่อบ้านอวิ๋น เจ้าไปรับหน้าคนที่มาเยือนก่อน เอาใบชาพลังปราณออกมาชงรับแขกด้วยเล่า เช่นไรฮ่องเต้ต้องมาด้วยตนเองแน่”
“ขอรับนายท่านใหญ่” พ่อบ้านอวิ๋นรับคำเว่ยซือหลิวและหายออกไปจากห้องนอนคุณหนูตัวน้อยทันที
“เจ้าใหญ่ ลูกไปรับแขกกับพ่อและท่านปู่ด้านนอก เจ้ารอง อยู่เป็นเพื่อนท่านแม่และท่านย่า คอยดูแลหงเอ๋อร์และสาวใช้สองคนนี้ที่นี่”
“ขอรับท่านพ่อ/ขอรับท่านพ่อ” สองพี่น้องรับคำพร้อมกัน
หลังพูดทำความเข้าใจกันอีกเล็กน้อย เว่ยซือหลิวเดินนำบุตรชายและหลานชายออกจากห้องหลานสาวทันที ส่วนหลินซือเหยา หลิวลี่หงและเว่ยซือเหลียงคอยเฝ้าดูอาการเจ้าตัวน้อยไม่ให้มีสิ่งใดคลาดสายตาแทน
ในระหว่างที่ด้านนอกกำลังวุ่นวาย ตัวต้นเหตุอย่างเว่ยซือหงนั้นไม่ได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้นางกำลังมึนงงสับสนและหวาดกลัวเล็กน้อย ดวงตากลมโตกวาดมองไปทั่วบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลที่นางยืนอยู่ในขณะนี้ด้วยความสนใจ ข้อความมากมายลอยขึ้นมาให้เห็นทันทีที่สายตากวาดผ่านจนลายตาไปหมดทำไมที่นี่มีแต่สีเขียว พืชพรรณมากมาย ทั้งอากาศยังบริสุทธิ์ ครอบครัวของนางเล่าอยู่ที่ใด? “ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าคะ”“ท่านปู่ ท่านย่า”“พี่ใหญ่ พี่รอง”เสียงเล็กเอ่ยเรียกคนในครอบครัวหากไม่มีสักคนที่จะตอบรับ ใจที่ชื้นเพราะสถานที่งดงามแป้วลงอีกครั้ง ดวงตากลมโตรื้นไปด้วยม่านน้ำตา ปากเล็กเบะออกอย่างน่าสงสาร คิดว่าอีกไม่นานต้องร้องไห้แน่ ก่อนที่เจ้าตัวกลมจะคิดมากและร่ำไห้ น้ำเสียงคุ้นเคยที่มาหานางตอนเป็นทารกก็ดังขึ้นเสียก่อน“เสี่ยวหงเอ๋อร์”“ท่านตา!”เจ้าตัวกลมร้องเรียกท่านตาที่ชอบโผล่มาตอนกลางคืนและหายไปตอนกลางวันอย่างรวดเร็ว ก่อนเท้าเล็ก ๆ จะวิ่งพรวดไปกอดต้นขาชราเอาไว้ นานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน แต่นางจำท่านตาใจดีที่ชอบนำผลน้ำนมมาให้นางดื่มได้! “ท่านตา! อาหงคิดว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้วเสียอีก เมื่อครู่อาหงกลัวมาก หากท่านตาไม่อ
เสียงการเลื่อนระดับสามครั้งติดต่อกันดังในห้วงจิต เว่ยซือหงลืมตาขึ้น ดวงตาทอประกายยินดี นางเลื่อนขั้นพลังถึงสามขั้นรวด! ตอนนี้พลังปราณของนางอยู่ที่ พลังปราณระดับเริ่มต้นขั้นสูง!แม้แต่เทพโชคชะตายังอดอึ้งไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าอัตราการดูดซับของนางรวดเร็วเหนือผู้ใด การเลื่อนระดับขั้นพลังของนางยังไม่มีการติดขัดอีกต่างหาก เขาเป็นเทพยังอึ้งขนาดนี้ หากเรื่องนี้รู้ถึงโลกภายนอก ไม่รู้ว่าคนที่ปิดด่านกักตนกันเป็นเดือนเป็นปีจะพากันกัดลิ้นตายหรือไม่ ช่างเถอะใครใช้ให้พวกเขาไม่มีมิติพฤกษาสวรรค์เล่า!“ปรับสมดุลพลังปราณก่อนเสี่ยวหง”“เจ้าค่ะท่านตา”เว่ยซือหงทำตามอย่างเชื่อฟัง นางเป็นเด็กดีมาก ๆ แค่นั่งสมาธิต่อเหตุใดนางจะทำไม่ได้ ทว่าคราวนี้การนั่งสมาธิไม่ได้สงบนิ่งอีกต่อไป คิ้วน้อย ๆ ของเจ้าตัวเริ่มขมวดเข้าหากัน พร้อม ๆ กับความทรงจำบางอย่างที่วาบผ่านเข้ามาในห้วงภวังคจิต‘ที่แห่งนั้นกำลังเผชิญกับความเลวร้าย ข้าวยากหมากแพง บ้านเมืองแห้งแล้ง อยู่ในสภาวะแร้นแค้นอย่างหนัก สิ่งที่ผู้คนกำลังเผชิญอยู่มันไม่ใช่เพราะฤดูกาล แต่เป็นความชั่วร้ายที่กำลังกัดกินทุกสิ่งอย่างทีละเล็กละน้อย หากมิตินั้นไม่ได้รับความช่วยเหล
เด็กหญิงตัวน้อยสูดอากาศเข้าปอดเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง แล้ววิ่งออกจากใต้ต้นไม้ใหญ่ที่นางและท่านตานั่งสนทนากันทันที เป้าหมายแรกที่นางสนใจคือทุ่งหญ้าโล่งกว้างเต็มไปด้วยสีเขียวระยิบระยับ ยามลมพัดโชยยอดหญ้าพลันพลิ้วไหวไปตามลม ทั้งดูอ่อนนุ่มและงดงาม“โอ้โห...”ปากเล็กอ้ากว้างยกมือสองข้างประกบแก้มตัวเองไว้ ดวงตาคล้ายมีหมู่มวลดาราอยู่ภายในทอประกายระยิบระยับงดงาม เจ้าตัวน้อยเริ่มเก็บอาการไม่อยู่ ขาสองข้างสั่นระริก นางอยากเดินเข้าไปในทุ่งหญ้ากว้างและวิ่งเล่นให้สุขใจ แต่ก็กลัวเจ้าต้นหญ้าจะบาดเจ็บ หากนางเหยียบแล้วมันตายเล่า จะทำอย่างไร ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยเห็นที่ไหนมีสีเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยประกายเเห่งชีวิตอุดมสมบูรณ์เท่านี้มาก่อนเลยนะ!ตอนนี้ทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจที่ตัวเองมีสถานที่สวยงามเช่นนี้ นางไม่อยากทำลายมัน! ดวงตาคู่กลมจับจ้องไปยังใบเรียวเล็กมีสีดังหยกบริสุทธิ์ของต้นหญ้าไม่กะพริบตา ขณะนั้นเองความพิเศษของดวงเนตรสวรรค์พลันแสดงผล[หญ้ามรกต สมุนไพรระดับสูง เนื่องจากขึ้นอยู่ในสถานที่พลังปราณหนาแน่นจึงเลื่อนขั้นเป็นสมุนไพรปราณ หนึ่งในสมุนไพรการหลอมโอสถสงบจิต เมื่อนำไปทำโอสถสงบจิตจะช่วยให้มีสมา
“นี่บ้านของอาหงที่ท่านตาบอกเหรอ?” แม้สงสัยหากแววตากลับเป็นประกายชอบใจ“งดงามมาก!”“เอ๊ะ! เมื่อครู่อาหงหายตัวได้เหรอ? หมายความว่าถ้าอาหงอยู่ในมิติอาหงจะหายตัวไปที่ไหนก็ได้ใช่ไหม?” คิดแล้วพลันทดลองดูนางก็ได้คำตอบ นางสามารถหายตัวไปโผล่ยังสถานที่ที่นางต้องการภายในมิติได้จริงสะดวกสบายมาก!ขาน้อย ๆ ของอาหงไม่ต้องทำงานหนักแล้ว!ทดลองความคิดของตนเองจนพอใจเว่ยซือหงตัวน้อยกลับมาสนใจทิวทัศน์หรือบ้านของนางอีกครั้งเบื้องหน้าของนางไม่ต่างอันใดจากเกาะระดับย่อม เพราะกลางทะเลสาบขนาดใหญ่ มีจุดที่เป็นพื้นดินไม่มากนัก และพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยต้นไม้ใหญ่ยักษ์ต้นนั้น ที่ยืนต้นโดดเด่นเป็นสง่าเพียงต้นเดียว ใช่แล้วมิติพฤกษาสวรรค์แห่งนี้แบ่งพื้นที่เป็นผืนดินกับผืนน้ำ โดยมีทะเลสาบขนาดใหญ่ข้างหน้าเป็นตัวกลางกั้น พิศดูแล้วเว่ยซือหงคิดว่า จุดที่ต้นไม้ใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่ จะต้องมีไอปราณหนาแน่นที่สุด ทิวทัศน์งดงามที่สุดเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีการสร้างบ้านต้นไม้ขึ้นมาบริเวณนั้นแน่นอน แม้นางจะเด็กแต่อย่าได้ดูเบาการวิเคราะห์ของนางเชียวตอนนี้หากนางต้องการไปยังกึ่งกลางทะเลสาบ เพื่อเข้าไปยังบ้านต้นไม้ นางสามารถไ
“โอ้โห! สวยมาก สวยมาก ๆ อาหงชอบที่สุด” สถานที่งดงาม อากาศบริสุทธิ์ พืชพรรณอุดมสมบูรณ์ ไม่มีอะไรงดงามและน่าอิจฉาไปมากกว่านี้แล้ว เจ้าตัวน้อยยิ้มไม่หุบ เดินไปมองทางนั้นทีทางนี้ที ก่อนตัดใจเข้าไปสำรวจในเรือนบ้างภายในเรือนมีห้องโถงโล่งกว้างและโต๊ะน้ำชาสำหรับรับแขก เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยจะมีทางแยกสองทาง ซ้ายมือจะเป็นทางสำหรับไปห้องครัว ทางด้านขวามือเป็นห้องนอน หลังสำรวจจนพอใจเจ้าตัวเดินกลับมาหน้าเรือนอีกครั้ง ดวงตาระยิบระยับบ่งบอกว่าเจ้าตัวมีความสุขยิ่งจับจ้องไปที่ต้นไม้สองต้นที่ปลูกไว้ในกระถาง วางอยู่มุมหนึ่งของชานเรือน มันโดดเด่นกระแทกตาตั้งแต่นางขึ้นบันไดบ้านมาแล้ว![ต้นตำลึงเงิน ไม้ประดับระดับศักดิ์สิทธิ์ ทั้งต้นและใบมีสีเงิน ติดผล 100 ผล ผลสุกทุก ๆ หนึ่งชั่วยาม เมื่อเด็ดผลออกจากต้นแล้วจะกลายเป็นตำลึงเงินทันที 1 ผลเท่ากับ 100 ตำลึงเงิน] [ต้นตำลึงทอง ไม้ประดับระดับศักดิ์สิทธิ์ ทั้งต้นและใบมีสีทอง ออกผลทุก ๆ หนึ่งชั่วยาม เมื่อเด็ดผลออกจากต้นแล้วจะกลายเป็นตำลึงทองทันที 1 ผลเท่ากับ 100 ตำลึงทอง]“โฮะ ๆ ๆ ต้นไม้แห่งความร่ำรวยของอาหง” สายตาของเจ้าตัวน้อยเปล่งประกายเป็นรูปเงินทอง มองกระถา
บรรยากาศเงียบสงบภายในเรือนปัญญา บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยกองตำรา มีร่างแน่งน้อยกำลังนั่งอ่านตำราเพิ่มพูนความรู้อย่างตั้งใจ เจ้าตัวน้อยเว่ยซือหงอยู่ในมิติมาสามวันแล้ว หากหิวนางจะเรียกผลไม้มากินเดิมทีนางต้องการอ่านข้อมูลพื้นฐานเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงอย่างไรนางก็ศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่สามขวบ ทว่าหลังจากอ่านไปเรื่อย ๆ ข้อมูลพื้นฐานในตำราแต่ละประเภทกลับชัดเจนยิ่งกว่าตำราที่นางเคยอ่านเสียอีก อย่างเช่น ตำราพลังธาตุพื้นฐานตำราที่นางได้อ่านด้านนอกมิติ นอกจากบอกเกี่ยวกับชื่อธาตุต่าง ๆ แล้ว ก็บอกเพียงเส้นทางฝึกฝนเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีพลังธาตุพฤกษา ธาตุไฟ ธาตุน้ำ สามารถเลือกเส้นทางแห่งวิถีโอสถได้ทว่าตำราพลังธาตุในมิตินี้ไม่เพียงบอกคุณลักษณะพิเศษของธาตุต่าง ๆ เท่านั้น ยังลงรายละเอียดเกี่ยวกับการเพิ่มพูนพลังธาตุให้หนาแน่นและบริสุทธิ์ขึ้นด้วย อย่าได้ชะล่าใจไป ขอเพียงพลังธาตุในตัวบริสุทธิ์และหนาแน่นขึ้น เราก็จะสามารถเรียกใช้พลังธาตุได้นานและควบคุมได้ง่ายขึ้นด้วย หากเป็นการโจมตี ก็จะทำให้การโจมตีของพลังธาตุรุนแรงขึ้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน คู่ต่อสู้มีพลังม
ว่าด้วยเรื่องระดับพลังในโลกลมปราณ ทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรใช้ระดับขั้นเดียวกัน มีทั้งหมด 12 ระดับ (แบ่งขั้นย่อยเป็น ต่ำ กลาง สูง) ประกอบไปด้วย ระดับเริ่มต้น หลอมรวม นักรบ แม่ทัพ จอมยุทธ์ ปราชญ์ จักรพรรดิ ราชัน ราชันจักรพรรดิ เซียน เทพ และเทพบรรพกาลระดับพลังของดินแดนเบื้องล่างพบเห็นเพียง 7 ระดับเท่านั้น คือระดับเริ่มต้นถึงระดับปราชญ์ ด้วยทรัพยากรที่จำกัดทำให้ยากนักจะเลื่อนขั้นพลังได้ ดังนั้นตั้งแต่ระดับจักรพรรดิเป็นต้นไป ในสายตาคนของดินแดนเบื้องล่างถือได้ว่าเป็นระดับตำนาน เพราะมันนานมากแล้วที่ไม่มีระดับจักรพรรดิปรากฏกายออกมาไม่ต้องพูดถึงระดับเทพ เพราะต่อให้เป็นดินแดนเบื้องบนก็ยังนับว่าเป็นขั้นระดับตำนานเหนือตำนาน เนื่องจากยังไม่เคยมีใครไปถึงระดับเทพเลยนั่นเอง แม้แต่ขั้นเซียนยังมีน้อยที่จะเลื่อนระดับพลังไปถึงได้การที่เว่ยซือหงปกปิดระดับพลังของตนในครั้งนี้ ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว เพราะหากนางไม่ปกปิดระดับพลัง เกรงว่ายุทธภพได้วุ่นวายครั้งใหญ่แน่ ทั้งนี้หากนางไม่ปกปิดอาจนำมาซึ่งปัญหา และก่อให้เกิดอันตรายกับครอบครัวของนางได้อีกด้วยถึงนางจะเด็กแต่นางก็ไม่ได้โง่นะ!“เอาละ ไปข้างนอกก
รุ่งเช้าต้นยามเฉิน(07.00-08.59น.) หลังทุกคนรับอาหารเช้าเสร็จแล้ว จึงมารวมตัวกันที่เรือนหลักในห้องตำราประจำตระกูล“เอาละ หงเอ๋อร์หลานรู้หรือไม่ว่าทำไมเราถึงมารวมตัวกันที่นี่” เว่ยซือหลิวถามหลานสาว“เพราะพลังปราณของอาหงเจ้าค่ะท่านปู่” เจ้าตัวน้อยตอบเสียงดังฟังชัด“ถูกต้อง ที่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เพื่อหารือกับการที่พลังปราณของเจ้าตื่นก่อนกำหนด” เจ้าตัวน้อยฟังท่านปู่ของนางอย่างตั้งใจ“ตอนแรกพวกเราตั้งใจจะเก็บเป็นความลับไว้ก่อน แต่มันทำไม่ได้แล้ว เพราะการที่พลังปราณของเจ้าตื่นก่อนกำหนดปะทุรุนแรงเกินไป ทำให้ตระกูลใหญ่ที่คานอำนาจรวมถึงราชวงศ์ได้ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้แล้ว หงเอ๋อร์ รู้ใช่หรือไม่ว่าเรื่องนี้รุนแรงและน่าตื่นตะลึงแค่ไหน”“อาหงรู้เจ้าค่ะท่านปู่ ในเมื่อพวกเขารู้แล้วเราก็ไม่ต้องปิดหรอกเจ้าค่ะ”“จริงอยู่ที่ไม่ต้องปิด แต่ลูกรักเจ้าฟังพ่อนะ ถึงพวกเขาจะรู้ว่าพลังปราณของเจ้าตื่นขึ้น ก็ใช่ว่าจะรู้รายละเอียดทั้งหมด ดังนั้นเราต้องปกปิดเอาไว้บ้าง”“พ่อของลูกพูดถูก ความจริงเราตั้งใจจะเปิดเผยพลังธาตุของลูกแค่บางส่วนเท่านั้น แต่เราอยากถามความคิดเห็นของลูกก่อน ว่าลูกอยากเปิดเผยพลังธาตุใด เราจึงได้
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“
แม้มื้ออาหารจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่คนตระกูลเว่ยก็ยังไม่ได้แยกย้าย พวกเขายังคงต้องการพูดคุยกับเว่ยซือหงให้มากอีกหน่อย ความคิดถึงที่มีมาตลอดหนึ่งเดือนก็ยังไม่เบาบางลงเลย จะให้รีบไปไหนเล่าเว่ยซือเองก็พูดคุยกับครอบครัวด้วยความสนุกสนาน ทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องราวที่ตนเองเผชิญมาให้เว่ยซือหงฟัง เจ้าตัวเล็กก็มีอารมณ์ร่วมไปเสียหมด พาลให้คนเล่ามีใจอยากยิ่งอยากเล่าเพิ่ม ความสุขเรียบง่ายที่มีคุณค่าทางใจยิ่งกว่าของหายากราคาแพงเช่นนี้ คนตระกูลเว่ยหวงแหนมันมาก ครั้นทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องจนครบแล้วพลันถึงตาเจ้าตัวน้อยบ้าง“แล้วเจ้าเล่าน้องเล็ก เก็บตัวฝึกฝนเสียนาน มีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง” เว่ยซือเหลียงเป็นฝ่ายถามน้องสาวเว่ยซือหงเห็นสายตาทุกคนมองมาอย่างรอคอยและคาดหวังได้แต่ระบายยิ้มกว้างก่อนจะยอมเปิดเผยระดับพลังปัจจุบันของตนทันที ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนในครอบครัวต่างแตกตื่นตกใจ โดยเฉพาะพี่ชายคนรองอย่างเว่ยซือเหลียง“พลังปราณระดับนักรบขั้นสูง!”“เจ้าค่ะ” เห็นน้องสาวรับคำยิ้ม ๆ เช่นนี้พี่ชายอย่างเขารู้สึกปวดใจจริง ๆ ให้ตายเถอะน้องเล็กมีระดับเดียวกันกับเขาเลย!“ระดับเท่าพี่เลยน้องเล็ก นี่คือความแตกต่างของคนธรรมด
วันเวลาภายในมิติผ่านไปแล้วสิบปี โลกภายนอกก็ผ่านไปนานนับเดือนเช่นกัน ความคิดถึงและความห่วงใยที่มีต่อบุตรหลานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นานแล้วที่เว่ยซือหงเก็บตัวฝึกฝน หากไม่รู้ว่านางเข้าไปในมิติจิตวิญญาณพวกตนคงจะเป็นกังวลและไม่เป็นอันกินอันนอนมากกว่านี้อย่างไรก็ตาม พวกเขาอยู่กับเว่ยซือหงทุกวันตั้งแต่นางเกิดจวบจนอายุใกล้จะแปดขวบแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่ต้องห่างกันนานถึงเพียงนี้สักครั้ง ความอดทนที่เคยมีชักจะมอดลงไปทุกทีถึงคนตระกูลเว่ยยังใช้ชีวิตเช่นเดิม ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำสิ่งนั้น แต่มันขาดความมีชีวิตชีวาและสีสันในชีวิต เสียงเจื้อยแจ้วที่เคยทำให้จวนสดใส เสียงหัวเราะของนางที่เคยทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาผ่อนคลายความเครียดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยามไม่มีจึงรู้สึกขาดหายและกระหายถึงสิ่งนั้นมากขึ้นร่วมเดือนที่จวนตระกูลเว่ยเงียบเหงา ยิ่งช่วงสองสามวันที่ผ่านมาถึงกับขาดความมีชีวิตชีวาจนแม้แต่บ่าวรับใช้ยังรู้สึกได้ พวกตนก็คิดถึงคุณหนูน้อยเช่นกัน อยากให้นางมาสร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศแสนสดใสให้จวนตระกูลเว่ยโดยเร็ว เจ้านายในจวนจะได้แช่มชื่นขึ้นมาบ้างความกังวลของบ่าวรับใช้นั้นค่อนข้างมาก ถึงขั้นรวมตัวกันนำเรื
เว่ยซือหงเริ่มเดินพลังในร่างกายอีกครั้ง แต่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความติดขัดที่ตนไม่เคยเจอ ภายนอกคิ้วได้รูปของนางขมวดแน่น หากภายในจิตวิญญาณกลับสงบนิ่งมั่นคงอย่างมากเมื่อระดับการบ่มเพาะถูกทำลาย เส้นชีพจรต่าง ๆ จะอุดตันเต็มไปด้วยความสกปรกจากการดูดซับลมปราณ แม้แต่เว่ยซือหงที่ดูดซับลมปราณภายในมิติที่มีความบริสุทธิ์มาตลอดก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ด้วยเคล็ดวิชาหยินหยางลมปราณสวรรค์ ปัญหาดังกล่าวจึงถูกจัดการได้อย่างไร้ที่ติเว่ยซือหงเดินพลังด้วยเส้นลมปราณสีทอง ซึ่งมีชื่อว่าเส้นลมปราณสวรรค์ ชักนำมันไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ด้วยความวิเศษของตัวเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ ร่วมกับเส้นลมปราณสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมนาง สิ่งต่าง ๆ ที่อุดตันในร่างกายจึงถูกกำจัด ทั้งเส้นเลือดและเส้นชีพจรยังถุกกรุยทางจนโล่ง ความสกปรกถูกชะล้างครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งการเดินพลังไร้การติดขัด เด็กน้อยจึงเริ่มการฝึกในลำดับต่อไปเว่ยซือหงค่อย ๆ ชักนำเส้นลมปราณสวรรค์ไปตามเส้นชีพจรต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ตามความรู้ที่ได้รับจากเคล็ดวิชา ความอุ่นร้อนจนเกือบร้อนลวกอยู่กึ่งกลางหน้าท้อง ตันเถียนที่ถูกทำลายไปเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ซึ่งมาพร้อมความเจ็บปวดเกินหยั่