“นี่บ้านของอาหงที่ท่านตาบอกเหรอ?” แม้สงสัยหากแววตากลับเป็นประกายชอบใจ
“งดงามมาก!”
“เอ๊ะ! เมื่อครู่อาหงหายตัวได้เหรอ? หมายความว่าถ้าอาหงอยู่ในมิติอาหงจะหายตัวไปที่ไหนก็ได้ใช่ไหม?” คิดแล้วพลันทดลองดูนางก็ได้คำตอบ นางสามารถหายตัวไปโผล่ยังสถานที่ที่นางต้องการภายในมิติได้จริง
สะดวกสบายมาก!
ขาน้อย ๆ ของอาหงไม่ต้องทำงานหนักแล้ว!
ทดลองความคิดของตนเองจนพอใจเว่ยซือหงตัวน้อยกลับมาสนใจทิวทัศน์หรือบ้านของนางอีกครั้ง
เบื้องหน้าของนางไม่ต่างอันใดจากเกาะระดับย่อม เพราะกลางทะเลสาบขนาดใหญ่ มีจุดที่เป็นพื้นดินไม่มากนัก และพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยต้นไม้ใหญ่ยักษ์ต้นนั้น ที่ยืนต้นโดดเด่นเป็นสง่าเพียงต้นเดียว
ใช่แล้วมิติพฤกษาสวรรค์แห่งนี้แบ่งพื้นที่เป็นผืนดินกับผืนน้ำ โดยมีทะเลสาบขนาดใหญ่ข้างหน้าเป็นตัวกลางกั้น พิศดูแล้วเว่ยซือหงคิดว่า จุดที่ต้นไม้ใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่ จะต้องมีไอปราณหนาแน่นที่สุด ทิวทัศน์งดงามที่สุดเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีการสร้างบ้านต้นไม้ขึ้นมาบริเวณนั้นแน่นอน แม้นางจะเด็กแต่อย่าได้ดูเบาการวิเคราะห์ของนางเชียว
ตอนนี้หากนางต้องการไปยังกึ่งกลางทะเลสาบ เพื่อเข้าไปยังบ้านต้นไม้ นางสามารถไปได้สองรูปแบบ หนึ่งคือกำหนดจุดหมายและหายตัวไป สองคือเดินข้ามสะพานไม้สีขาวที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นทางเชื่อมระหว่างส่วนที่เป็นพื้นดินและส่วนที่เป็นพื้นน้ำใจกลางเกาะที่บ้านต้นไม้ตั้งอยู่
ถึงจะสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว แต่เว่ยซือหงชอบซึมซับบรรยากาศและมองรายละเอียดอย่างช้า ๆ มากกว่า ดวงตากลมไล่มองไปทีละตำแหน่งราวกับต้องการจดจำ
“โอ้... ต้นไม้บรรพกาล ไม่แปลกเลยที่จะใหญ่ยักษ์ขนาดนี้” อุทานออกมาเมื่อเนตรสวรรค์ฉายรายละเอียดให้ยลอีกครั้ง ไม่รู้ว่าก่อนจะถูกดัดแปลงให้เป็นบ้านต้นไม้ รูปลักษณ์เดิมของต้นไม้นี้ใหญ่โตเท่าใด เว่ยซือหงไม่อยากคิด
บ้านต้นไม้บรรพกาลตรงหน้าถูกดัดแปลงเป็นพื้นที่บ้านและจัดสรรปันส่วนเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ได้อย่างลงตัว แบ่งออกเป็นสี่ชั้นด้วยกัน
เริ่มจากชั้นล่างสุดถือเป็นชั้นแรก เนินดินขนาดใหญ่ถูกครอบครองโดยรากของต้นไม้ยักษ์ มีแผ่นหินเรียงรายเป็นทางเดินเล็ก ๆ มวลผกาต่างสีสันปลูกประดับไว้สองข้างทางอย่างลงตัว แอ่งวงกลมตรงกลางมีไว้สำหรับรองรับมวลน้ำที่ไหลลงมาจากชั้นสองราวกับม่านน้ำต้น ในส่วนที่เป็นชั้นนี้ ลำต้นบางส่วนของต้นไม้บรรพกาลถูกตัดแต่งคล้ายกับหินงอกหินย้อย พื้นที่ด้านขวามือมีบันไดไม้เชื่อมต่อเป็นทางขึ้นสู่ชั้นสอง
เข้าสู่ชั้นที่สอง พื้นที่ของต้นไม้ถูกดัดแปลงให้เป็นร่องน้ำขนาดเล็กโดยเอาหินก้อนเล็กก้อนใหญ่กั้นขอบด้านนอกเอาไว้ กระทั่งถึงตรงกลางพื้นที่ร่องน้ำจึงราบเรียบ เมื่อไม่มีอะไรขวางกั้นน้ำทั้งหมดจึงตกกระทบลงสู่ชั้นแรก กลายเป็นม่านน้ำตกขนาดย่อม ๆ พื้นที่ด้านซ้ายมือเต็มไปด้วยไม้ประดับ ส่วนพื้นที่ด้านขวามีบ่อน้ำเล็ก ๆ สองบ่อ พร้อมโต๊ะเก้าอี้สำหรับพักผ่อนอีกหนึ่งตัว พื้นที่ตรงกลางเหนือธารน้ำถูกจัดให้เป็นทางเดินไต่ระดับเป็นบันไดไม้ขึ้นสู่ชั้นสาม
ทันทีที่เข้าสู่ชั้นสามสิ่งแรกที่ต้องเจอคือเรือนไม้ขนาดกลาง ชานด้านนอกโล่งเตียน แต่มีกลิ่นสมุนไพรจาง ๆ กำจายออกมา เว่ยซือหงทนความอยากรู้ไม่ไหวจึงเข้าไปสำรวจ ด้านในมีแต่สมุนไพรเต็มไปหมด ทั้งสดและแห้ง รวมทั้งมีขวดโอสถถูกวางบนชั้นจำแนกเป็นประเภทต่าง ๆ ไว้ด้วย ทั้งนี้ด้านในยังมีห้องย่อยอีกห้อง เข้าไปดูพลันพบกับหม้อโอสถสำหรับปรุงยาตั้งอยู่
“อืม... มีหม้อโอสถ มีโอสถและสมุนไพร งั้นอาหงจะเรียกเรือนนี้ว่าเรือนโอสถก็แล้วกันนะ”
แล้วเสร็จจากเรือนโอสถเหลือบไปดูพื้นที่ด้านซ้ายมือของเรือนพบเห็นบ่อน้ำเล็ก ๆ หลายบ่อและมวลดอกไม้เช่นเคย เว่ยซือหงละความสนใจหันไปมองด้านขวามือบ้าง พบว่าในชั้นสามนี้มีเรือนตั้งอยู่ริมสุดของพื้นที่ด้านขวาอยู่หนึ่งหลัง หลังเข้าไปสำรวจพบว่าเป็นเรือนสำหรับพักผ่อนเฉย ๆ นอกจากนี้ก็ไม่พบเจอสิ่งใดอีก
“ดูเหมือนว่าชั้นที่สามจะมีเพียงเรือนโอสถกับเรือนพักผ่อนเท่านั้น พื้นที่ด้านซ้ายก็เป็นบ่อน้ำเล็ก ๆ หลายบ่อ ด้านขวานอกจากเรือนพักผ่อนแล้วก็ไม่มีอะไรอีก เป็นเพียงลานสีเขียวโล่ง ๆ แต่กลับสบายตายิ่ง เอาละ ไปสำรวจชั้นบนสุดกัน”
เท้าเล็ก ๆ ก้าวขึ้นบันไดไม้สู่ชั้นที่สี่หรือชั้นบนสุดช้า ๆ ทว่าขึ้นมาได้ไม่เท่าไรนางก็ชะงัก เหลียวกลับไปมองด้านหลังพบว่าเดินขึ้นมาได้แค่นิดเดียวกลับพบเรือนไม้อีกหลังอยู่เยื้องด้านขวามือติดกับบันไดไม้ขึ้นลงพอดี
“เรือนอันใด เหตุใดจะอยู่ชั้นสามก็ไม่อยู่จะอยู่ชั้นสี่ก็ไม่ใช่ ดันอยู่เยื้องของชั้นสามเท่านั้น”
พูดเสร็จก็เร่งเข้าไปสำรวจ ทันทีที่ประตูเปิดออกกลิ่นอายบัณฑิตภูมิความรู้เก่าแก่ต่าง ๆ กระจายออกมา ด้านในเต็มไปด้วยชั้นตำรามากมาย ดูไม่ธรรมดายิ่ง ตอนแรกเว่ยซือหงจะหยิบมาอ่านแต่ใจไม่สงบเอาแต่คิดถึงเรือนชั้นบนสุดอยู่เรื่อย นางจึงตัดใจจาก ‘เรือนปัญญา’ มา เรียกเช่นนี้เพราะมีตำรามากมายเกินไปทั้งยังเป็นเรือนใหญ่ไม่อาจหักใจเรียกเรือนตำราได้
เจ้าตัวน้อยวิ่งขึ้นบันไดไม้เข้าสู่ชั้นสี่อย่างกระตือรือร้น เมื่อมาถึงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง เรือนขนาดใหญ่มีชานเรือนกว้างขวาง และมีโต๊ะเก้าอี้จัดเข้ามุมไว้อย่างเหมาะสม นางสามารถยืนหรือนั่งดูทิวทัศน์และจิบชาชื่นชมธรรมชาติตรงนี้ได้ รับรองว่าไม่ร้อนแน่นอน เพราะยอดต้นไม้ยักษ์บรรพกาลต้นนี้แผ่กิ่งก้านสาขาใบดกปกคลุมแทบจะทั่วพื้นที่เลยทีเดียว ทว่าไม่อึดอัดแม้แต่น้อยเพราะปลายยอดสูงขึ้นไปทำให้ดูโล่งกว้างมากยิ่งขึ้น
ไหน ๆ ก็ขึ้นมาชั้นบนสุดแล้วขอชื่นชมความงามเสียหน่อยเถอะ
“โอ้โห! สวยมาก สวยมาก ๆ อาหงชอบที่สุด” สถานที่งดงาม อากาศบริสุทธิ์ พืชพรรณอุดมสมบูรณ์ ไม่มีอะไรงดงามและน่าอิจฉาไปมากกว่านี้แล้ว เจ้าตัวน้อยยิ้มไม่หุบ เดินไปมองทางนั้นทีทางนี้ที ก่อนตัดใจเข้าไปสำรวจในเรือนบ้างภายในเรือนมีห้องโถงโล่งกว้างและโต๊ะน้ำชาสำหรับรับแขก เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยจะมีทางแยกสองทาง ซ้ายมือจะเป็นทางสำหรับไปห้องครัว ทางด้านขวามือเป็นห้องนอน หลังสำรวจจนพอใจเจ้าตัวเดินกลับมาหน้าเรือนอีกครั้ง ดวงตาระยิบระยับบ่งบอกว่าเจ้าตัวมีความสุขยิ่งจับจ้องไปที่ต้นไม้สองต้นที่ปลูกไว้ในกระถาง วางอยู่มุมหนึ่งของชานเรือน มันโดดเด่นกระแทกตาตั้งแต่นางขึ้นบันไดบ้านมาแล้ว![ต้นตำลึงเงิน ไม้ประดับระดับศักดิ์สิทธิ์ ทั้งต้นและใบมีสีเงิน ติดผล 100 ผล ผลสุกทุก ๆ หนึ่งชั่วยาม เมื่อเด็ดผลออกจากต้นแล้วจะกลายเป็นตำลึงเงินทันที 1 ผลเท่ากับ 100 ตำลึงเงิน] [ต้นตำลึงทอง ไม้ประดับระดับศักดิ์สิทธิ์ ทั้งต้นและใบมีสีทอง ออกผลทุก ๆ หนึ่งชั่วยาม เมื่อเด็ดผลออกจากต้นแล้วจะกลายเป็นตำลึงทองทันที 1 ผลเท่ากับ 100 ตำลึงทอง]“โฮะ ๆ ๆ ต้นไม้แห่งความร่ำรวยของอาหง” สายตาของเจ้าตัวน้อยเปล่งประกายเป็นรูปเงินทอง มองกระถา
บรรยากาศเงียบสงบภายในเรือนปัญญา บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยกองตำรา มีร่างแน่งน้อยกำลังนั่งอ่านตำราเพิ่มพูนความรู้อย่างตั้งใจ เจ้าตัวน้อยเว่ยซือหงอยู่ในมิติมาสามวันแล้ว หากหิวนางจะเรียกผลไม้มากินเดิมทีนางต้องการอ่านข้อมูลพื้นฐานเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงอย่างไรนางก็ศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่สามขวบ ทว่าหลังจากอ่านไปเรื่อย ๆ ข้อมูลพื้นฐานในตำราแต่ละประเภทกลับชัดเจนยิ่งกว่าตำราที่นางเคยอ่านเสียอีก อย่างเช่น ตำราพลังธาตุพื้นฐานตำราที่นางได้อ่านด้านนอกมิติ นอกจากบอกเกี่ยวกับชื่อธาตุต่าง ๆ แล้ว ก็บอกเพียงเส้นทางฝึกฝนเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีพลังธาตุพฤกษา ธาตุไฟ ธาตุน้ำ สามารถเลือกเส้นทางแห่งวิถีโอสถได้ทว่าตำราพลังธาตุในมิตินี้ไม่เพียงบอกคุณลักษณะพิเศษของธาตุต่าง ๆ เท่านั้น ยังลงรายละเอียดเกี่ยวกับการเพิ่มพูนพลังธาตุให้หนาแน่นและบริสุทธิ์ขึ้นด้วย อย่าได้ชะล่าใจไป ขอเพียงพลังธาตุในตัวบริสุทธิ์และหนาแน่นขึ้น เราก็จะสามารถเรียกใช้พลังธาตุได้นานและควบคุมได้ง่ายขึ้นด้วย หากเป็นการโจมตี ก็จะทำให้การโจมตีของพลังธาตุรุนแรงขึ้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน คู่ต่อสู้มีพลังม
ว่าด้วยเรื่องระดับพลังในโลกลมปราณ ทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรใช้ระดับขั้นเดียวกัน มีทั้งหมด 12 ระดับ (แบ่งขั้นย่อยเป็น ต่ำ กลาง สูง) ประกอบไปด้วย ระดับเริ่มต้น หลอมรวม นักรบ แม่ทัพ จอมยุทธ์ ปราชญ์ จักรพรรดิ ราชัน ราชันจักรพรรดิ เซียน เทพ และเทพบรรพกาลระดับพลังของดินแดนเบื้องล่างพบเห็นเพียง 7 ระดับเท่านั้น คือระดับเริ่มต้นถึงระดับปราชญ์ ด้วยทรัพยากรที่จำกัดทำให้ยากนักจะเลื่อนขั้นพลังได้ ดังนั้นตั้งแต่ระดับจักรพรรดิเป็นต้นไป ในสายตาคนของดินแดนเบื้องล่างถือได้ว่าเป็นระดับตำนาน เพราะมันนานมากแล้วที่ไม่มีระดับจักรพรรดิปรากฏกายออกมาไม่ต้องพูดถึงระดับเทพ เพราะต่อให้เป็นดินแดนเบื้องบนก็ยังนับว่าเป็นขั้นระดับตำนานเหนือตำนาน เนื่องจากยังไม่เคยมีใครไปถึงระดับเทพเลยนั่นเอง แม้แต่ขั้นเซียนยังมีน้อยที่จะเลื่อนระดับพลังไปถึงได้การที่เว่ยซือหงปกปิดระดับพลังของตนในครั้งนี้ ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว เพราะหากนางไม่ปกปิดระดับพลัง เกรงว่ายุทธภพได้วุ่นวายครั้งใหญ่แน่ ทั้งนี้หากนางไม่ปกปิดอาจนำมาซึ่งปัญหา และก่อให้เกิดอันตรายกับครอบครัวของนางได้อีกด้วยถึงนางจะเด็กแต่นางก็ไม่ได้โง่นะ!“เอาละ ไปข้างนอกก
รุ่งเช้าต้นยามเฉิน(07.00-08.59น.) หลังทุกคนรับอาหารเช้าเสร็จแล้ว จึงมารวมตัวกันที่เรือนหลักในห้องตำราประจำตระกูล“เอาละ หงเอ๋อร์หลานรู้หรือไม่ว่าทำไมเราถึงมารวมตัวกันที่นี่” เว่ยซือหลิวถามหลานสาว“เพราะพลังปราณของอาหงเจ้าค่ะท่านปู่” เจ้าตัวน้อยตอบเสียงดังฟังชัด“ถูกต้อง ที่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เพื่อหารือกับการที่พลังปราณของเจ้าตื่นก่อนกำหนด” เจ้าตัวน้อยฟังท่านปู่ของนางอย่างตั้งใจ“ตอนแรกพวกเราตั้งใจจะเก็บเป็นความลับไว้ก่อน แต่มันทำไม่ได้แล้ว เพราะการที่พลังปราณของเจ้าตื่นก่อนกำหนดปะทุรุนแรงเกินไป ทำให้ตระกูลใหญ่ที่คานอำนาจรวมถึงราชวงศ์ได้ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้แล้ว หงเอ๋อร์ รู้ใช่หรือไม่ว่าเรื่องนี้รุนแรงและน่าตื่นตะลึงแค่ไหน”“อาหงรู้เจ้าค่ะท่านปู่ ในเมื่อพวกเขารู้แล้วเราก็ไม่ต้องปิดหรอกเจ้าค่ะ”“จริงอยู่ที่ไม่ต้องปิด แต่ลูกรักเจ้าฟังพ่อนะ ถึงพวกเขาจะรู้ว่าพลังปราณของเจ้าตื่นขึ้น ก็ใช่ว่าจะรู้รายละเอียดทั้งหมด ดังนั้นเราต้องปกปิดเอาไว้บ้าง”“พ่อของลูกพูดถูก ความจริงเราตั้งใจจะเปิดเผยพลังธาตุของลูกแค่บางส่วนเท่านั้น แต่เราอยากถามความคิดเห็นของลูกก่อน ว่าลูกอยากเปิดเผยพลังธาตุใด เราจึงได้
ต้นยามเว่ย(13.00-14.59 น.) ขบวนเดินทางย่อม ๆ ของเว่ยซือหงเคลื่อนออกจากจวนมุ่งหน้าเข้าสู่ตลาด ด้วยเป็นวันเทศกาลหยวนเซียว แม้จะยังเป็นช่วงกลางวัน แต่บรรยากาศในตลาดของเมืองหลวงแคว้นโจวก็ครึกครื้นยิ่งนัก เสียงผู้คนพูดคุยดังจอแจ เรียกความสนใจจากคนที่อยากมาเที่ยวได้ไม่ยากเจ้าตัวน้อยมองสองข้างทางซ้ายทีขวาทีอย่างร่าเริง นางเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ เพราะไม่บ่อยนักที่ครอบครัวจะปล่อยนางออกมานอกจวนให้เดินตลาดเล่นเช่นนี้เด็กเล็กเช่นนางจะมีอะไรน่าดึงดูดไปกว่าขนมหวาน เมื่อเห็นร้านขายน้ำตาลปั้นจึงไม่รอช้าที่จะหยุดซื้อ“ข้าเอาลายกระต่ายหนึ่งไม้เจ้าค่ะ พี่ใหญ่พี่รองเอาน้ำตาลปั้นไหมเจ้าคะ”“ไม่ละ เจ้ากินเถอะ” เว่ยซือหลางตอบน้องสาว เขาโตแล้วมีอายุ 17 ปีแล้ว ของกินเล่นหวาน ๆ แบบนี้ไว้ให้เด็กอย่างนางกินเถอะ“แต่พี่เอานะน้องเล็ก ข้าขอลายเสือขอรับ” เว่ยซือเหลียงที่อายุ 14 ปีตอบน้องสาวก่อนพูดกับคนขาย เมินเฉยสายตาดูถูกของพี่ชาย คิดในใจว่า ไม่มีใครห้ามเสียหน่อยว่าโตแล้วห้ามกินขนมหวาน พี่ใหญ่ไม่ชอบของหวานแล้วไยต้องมองเขาด้วยสายตาดูถูกด้วย!เว่ยซือหงซื้อน้ำตาลปั้นอีกหลายไม้ให้ข้ารับใช้ที่ติดตามมาก่อนเดินไป
หลังพบกับความผิดหวังแรกที่ส่งผลต่อจิตใจ เว่ยซือหงแอบหลบเข้ามิติในตอนกลางคืน นางศึกษาตำราเกี่ยวกับการเพาะปลูก หลอมรวมความทรงจำแปลก ๆ ที่เข้ามาในห้วงความคิดของนางอีกครั้งเรียนรู้ทำความเข้าใจ ทั้งยังพยายามยอมรับความจริง จนกระทั่งทำใจยอมรับกับความผิดหวังได้ในที่สุด เจ้าตัวน้อยถึงยอมออกจากมิติเช่นเคย เวลาภายนอกยังเท่าเดิมแต่ภายในมิติผ่านไปหลายวัน หลังออกมาจากมิติเว่ยซือหงก็เข้านอน3 วันต่อมา ความวุ่นวายเกิดขึ้นภายในจวนตระกูลเว่ย ณ เรือนประจำตัวของเว่ยซือหง เรือนเหมยกุ้ย(ดอกกุหลาบ) ร่างเล็กขาวอวบของผู้เป็นเจ้าของเรือนกำลังยืนสั่งการบ่าวไพร่ที่นางให้สาวใช้คนสนิทไปเกณฑ์ตัวมา กำลังใช้เครื่องมือการเกษตรกำจัดวัชพืช คนที่เว่ยซือหงเรียกใช้งาน ล้วนเป็นคนที่มีความรู้และเคยผ่านการทำเทือกสวนไร่นาทั้งสิ้น จึงเข้าใจคำสั่งเจ้านายตัวน้อยโดยง่าย“ท่านลุง บริเวณนี้โล่งเตียนแล้ว ท่านขุดพรวนดินไว้ได้เลยเจ้าค่ะ”“ขอรับคุณหนู”“ท่านป้า เดี๋ยวขนหญ้าใส่ตะกร้าไว้แล้วเอาไปกองกันที่มุมนู้นนะเจ้าคะ ใต้ต้นไม้ใหญ่น่ะเจ้าค่ะ”“เจ้าค่ะคุณหนู” “พี่เอ้อซานขุดหน้าดินขึ้นมาพรวน อืม... ลึกสัก 6 ชุ่น(6 นิ้ว) กว้าง 3 ฉื่อ(
“คุยอะไรกันอยู่หรือสองแม่ลูก” เว่ยซือซานที่กลับมาจากว่าราชการเอ่ยแทรกบทสนทนาระหว่างภรรยาและบุตรสาว“ท่านพ่อ” เจ้าตัวน้อยผละกอดมารดาวิ่งเข้ากอดบิดาทันใด เว่ยซือซานอ้าแขนรับไว้ด้วยความยินดี“ว่าอย่างไร คุยอะไรกันอยู่หรือ”“คุยเรื่องการเตรียมดินสำหรับปลูกผักเจ้าค่ะ ตอนนี้อาหงกำลังเริ่มบำรุงดิน”เว่ยซือซานฉงนสงสัยไม่ต่างจากภรรยาว่าอะไรคือการบำรุงดิน เจ้าตัวน้อยเห็นสายตาสงสัยใคร่รู้ของบุพการีก็ยิ้มกว้างบอกกล่าวความรู้ที่ได้รับมาอย่างไม่ปิดบัง“หากเป็นเช่นที่หงเอ๋อร์พูดจริง เท่ากับว่าพวกเราจะเพาะปลูกกันได้อีกครั้งใช่หรือไม่”“เจ้าค่ะท่านพ่อ แต่ก็ต้องทดลองดูก่อนนะเจ้าคะ”คนเป็นบิดาพยักหน้ารับคำก่อนสบสายตากับภรรยาถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ ไม่รู้ทำไมเขาถึงเชื่อเต็มเปี่ยมว่ามันจะสำเร็จ อืม... ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องเพิ่มการป้องกันให้รัดกุมมากกว่าเดิมเสียแล้ว บุตรสาวของพวกเขาคิดทำอะไรมีแต่เรื่องใหญ่ ๆ ทั้งนั้น!หลิวลี่หงเห็นความเคร่งเครียดของสามีจึงเปลี่ยนเรื่อง ด้วยไม่อยากให้เจ้าตัวเล็กไม่สบายใจ “แล้วหงเอ๋อร์คิดหรือยังว่าจะปลูกผักอะไรบ้าง”“คิดไว้บ้างแล้วเจ้าค่ะ”ตามปกติข้าว ถั่ว และยู่หมี
ยามซื่อ(09.00-10.59 น.) ตรงตามเวลานัดหมาย บ่าวทั้งสาม ลุงอวี้ ป้าหม่า และเอ้อซาน มารวมตัวกันอยู่เรือนเพาะชำ เค่อต่อมาเว่ยซือหงก็เดินนำบ่าวชายเข้ามา“นี่อันใดหรือขอรับคุณหนู” ลุงอวี้บ่าวชายวัยกลางคนถามเมื่อเห็นกระบะไม้สี่เหลี่ยม“กระบะไม้เพาะเมล็ดเจ้าค่ะ”เบื้องหน้าเว่ยซือหงคือกระบะไม้ที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยม ด้านในมีไม้ขั้นเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อีกราว 200 ช่อง กระบะไม้มีขนาดความกว้าง 1 ฉื่อ(30ซม.) ยาว 2 ฉื่อ(60ซม.) ภายในก้นลึก 2 ชุ่น(2นิ้ว) รวมถึงฐานสำหรับวางกระบะไม้ที่ความสูง 1 ฉื่อ(30ซม.) นี่คือกระบะไม้สำหรับเพาะเมล็ดที่เว่ยซือหงขอให้ช่างไม้ฝีมือดีประจำจวนทำขึ้นมา จากเมื่อวานที่ไปสอบถามท่านปู่ท่านย่าเรื่องถาดเพาะเมล็ดแล้วปรากฏว่าไม่มี ในตอนแรกนางคิดจะปั้นดินเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ เยอะ ๆ ใช้สำหรับเพาะเมล็ดเป็นการแก้ขัด ทว่าหลังจากตรองดูอีกครั้ง นางรู้สึกว่าอัตราการงอกน่าจะน้อยเนื่องจากนางไม่มีขุยมะพร้าว การปั้นดินเป็นก้อนจะทำให้ดินแข็งและแน่น สุดท้ายก่อนเวลาอาหารเย็น นางจึงไปสั่งการช่างไม้ทำกระบะเพาะเมล็ดขึ้นมา อธิบายอยู่นานกว่าจะเข้าใจ แต่ผลที่ได้นับว่าเป็นที่น่าพอใจทีเดียวกระบะไม้เพ
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“
แม้มื้ออาหารจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่คนตระกูลเว่ยก็ยังไม่ได้แยกย้าย พวกเขายังคงต้องการพูดคุยกับเว่ยซือหงให้มากอีกหน่อย ความคิดถึงที่มีมาตลอดหนึ่งเดือนก็ยังไม่เบาบางลงเลย จะให้รีบไปไหนเล่าเว่ยซือเองก็พูดคุยกับครอบครัวด้วยความสนุกสนาน ทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องราวที่ตนเองเผชิญมาให้เว่ยซือหงฟัง เจ้าตัวเล็กก็มีอารมณ์ร่วมไปเสียหมด พาลให้คนเล่ามีใจอยากยิ่งอยากเล่าเพิ่ม ความสุขเรียบง่ายที่มีคุณค่าทางใจยิ่งกว่าของหายากราคาแพงเช่นนี้ คนตระกูลเว่ยหวงแหนมันมาก ครั้นทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องจนครบแล้วพลันถึงตาเจ้าตัวน้อยบ้าง“แล้วเจ้าเล่าน้องเล็ก เก็บตัวฝึกฝนเสียนาน มีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง” เว่ยซือเหลียงเป็นฝ่ายถามน้องสาวเว่ยซือหงเห็นสายตาทุกคนมองมาอย่างรอคอยและคาดหวังได้แต่ระบายยิ้มกว้างก่อนจะยอมเปิดเผยระดับพลังปัจจุบันของตนทันที ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนในครอบครัวต่างแตกตื่นตกใจ โดยเฉพาะพี่ชายคนรองอย่างเว่ยซือเหลียง“พลังปราณระดับนักรบขั้นสูง!”“เจ้าค่ะ” เห็นน้องสาวรับคำยิ้ม ๆ เช่นนี้พี่ชายอย่างเขารู้สึกปวดใจจริง ๆ ให้ตายเถอะน้องเล็กมีระดับเดียวกันกับเขาเลย!“ระดับเท่าพี่เลยน้องเล็ก นี่คือความแตกต่างของคนธรรมด
วันเวลาภายในมิติผ่านไปแล้วสิบปี โลกภายนอกก็ผ่านไปนานนับเดือนเช่นกัน ความคิดถึงและความห่วงใยที่มีต่อบุตรหลานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นานแล้วที่เว่ยซือหงเก็บตัวฝึกฝน หากไม่รู้ว่านางเข้าไปในมิติจิตวิญญาณพวกตนคงจะเป็นกังวลและไม่เป็นอันกินอันนอนมากกว่านี้อย่างไรก็ตาม พวกเขาอยู่กับเว่ยซือหงทุกวันตั้งแต่นางเกิดจวบจนอายุใกล้จะแปดขวบแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่ต้องห่างกันนานถึงเพียงนี้สักครั้ง ความอดทนที่เคยมีชักจะมอดลงไปทุกทีถึงคนตระกูลเว่ยยังใช้ชีวิตเช่นเดิม ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำสิ่งนั้น แต่มันขาดความมีชีวิตชีวาและสีสันในชีวิต เสียงเจื้อยแจ้วที่เคยทำให้จวนสดใส เสียงหัวเราะของนางที่เคยทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาผ่อนคลายความเครียดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยามไม่มีจึงรู้สึกขาดหายและกระหายถึงสิ่งนั้นมากขึ้นร่วมเดือนที่จวนตระกูลเว่ยเงียบเหงา ยิ่งช่วงสองสามวันที่ผ่านมาถึงกับขาดความมีชีวิตชีวาจนแม้แต่บ่าวรับใช้ยังรู้สึกได้ พวกตนก็คิดถึงคุณหนูน้อยเช่นกัน อยากให้นางมาสร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศแสนสดใสให้จวนตระกูลเว่ยโดยเร็ว เจ้านายในจวนจะได้แช่มชื่นขึ้นมาบ้างความกังวลของบ่าวรับใช้นั้นค่อนข้างมาก ถึงขั้นรวมตัวกันนำเรื
เว่ยซือหงเริ่มเดินพลังในร่างกายอีกครั้ง แต่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความติดขัดที่ตนไม่เคยเจอ ภายนอกคิ้วได้รูปของนางขมวดแน่น หากภายในจิตวิญญาณกลับสงบนิ่งมั่นคงอย่างมากเมื่อระดับการบ่มเพาะถูกทำลาย เส้นชีพจรต่าง ๆ จะอุดตันเต็มไปด้วยความสกปรกจากการดูดซับลมปราณ แม้แต่เว่ยซือหงที่ดูดซับลมปราณภายในมิติที่มีความบริสุทธิ์มาตลอดก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ด้วยเคล็ดวิชาหยินหยางลมปราณสวรรค์ ปัญหาดังกล่าวจึงถูกจัดการได้อย่างไร้ที่ติเว่ยซือหงเดินพลังด้วยเส้นลมปราณสีทอง ซึ่งมีชื่อว่าเส้นลมปราณสวรรค์ ชักนำมันไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ด้วยความวิเศษของตัวเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ ร่วมกับเส้นลมปราณสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมนาง สิ่งต่าง ๆ ที่อุดตันในร่างกายจึงถูกกำจัด ทั้งเส้นเลือดและเส้นชีพจรยังถุกกรุยทางจนโล่ง ความสกปรกถูกชะล้างครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งการเดินพลังไร้การติดขัด เด็กน้อยจึงเริ่มการฝึกในลำดับต่อไปเว่ยซือหงค่อย ๆ ชักนำเส้นลมปราณสวรรค์ไปตามเส้นชีพจรต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ตามความรู้ที่ได้รับจากเคล็ดวิชา ความอุ่นร้อนจนเกือบร้อนลวกอยู่กึ่งกลางหน้าท้อง ตันเถียนที่ถูกทำลายไปเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ซึ่งมาพร้อมความเจ็บปวดเกินหยั่