ในระหว่างที่ด้านนอกกำลังวุ่นวาย ตัวต้นเหตุอย่างเว่ยซือหงนั้นไม่ได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้นางกำลังมึนงงสับสนและหวาดกลัวเล็กน้อย ดวงตากลมโตกวาดมองไปทั่วบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลที่นางยืนอยู่ในขณะนี้ด้วยความสนใจ ข้อความมากมายลอยขึ้นมาให้เห็นทันทีที่สายตากวาดผ่านจนลายตาไปหมด
ทำไมที่นี่มีแต่สีเขียว พืชพรรณมากมาย ทั้งอากาศยังบริสุทธิ์ ครอบครัวของนางเล่าอยู่ที่ใด?
“ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าคะ”
“ท่านปู่ ท่านย่า”
“พี่ใหญ่ พี่รอง”
เสียงเล็กเอ่ยเรียกคนในครอบครัวหากไม่มีสักคนที่จะตอบรับ ใจที่ชื้นเพราะสถานที่งดงามแป้วลงอีกครั้ง ดวงตากลมโตรื้นไปด้วยม่านน้ำตา ปากเล็กเบะออกอย่างน่าสงสาร คิดว่าอีกไม่นานต้องร้องไห้แน่ ก่อนที่เจ้าตัวกลมจะคิดมากและร่ำไห้ น้ำเสียงคุ้นเคยที่มาหานางตอนเป็นทารกก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เสี่ยวหงเอ๋อร์”
“ท่านตา!”
เจ้าตัวกลมร้องเรียกท่านตาที่ชอบโผล่มาตอนกลางคืนและหายไปตอนกลางวันอย่างรวดเร็ว ก่อนเท้าเล็ก ๆ จะวิ่งพรวดไปกอดต้นขาชราเอาไว้ นานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน แต่นางจำท่านตาใจดีที่ชอบนำผลน้ำนมมาให้นางดื่มได้!
“ท่านตา! อาหงคิดว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้วเสียอีก เมื่อครู่อาหงกลัวมาก หากท่านตาไม่ออกมา อาหงต้องร้องไห้เสียใจแน่ ๆ เจ้าค่ะ” ได้ทีก็ชิงฟ้องทันที
ท่านตาหรือเทพโชคชะตายกยิ้มเอ็นดูให้กับเทพธิดาตัวน้อย นางช่างน่ารักน่าเอ็นดูจริง ๆ ไม่เสียแรงที่ฝืนคำสั่งของท่านมหาเทพลงมาเล่นกับนางบ่อย ๆ
จะอย่างไรสิ่งที่เขาทำก็ไม่ได้ผิดแม้แต่น้อย เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเส้นชะตาของนาง โอ้! ลืมไป นางเป็นสตรีเหนือชะตา เขามองชะตาของนางไม่ออกนี่นะ เอาเถอะ ลืมมันไปเสีย...
ท่านมหาเทพกล่าวไว้ว่า หากลงไปโลกมนุษย์มากเกินไป ชะตาโลกจะเปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์ยุ่งเหยิง ทว่าที่ที่เขาทำอยู่นี่จะว่าถูกก็ไม่ใช่ ผิดก็ไม่เชิง เพราะเดิมทีตอนลงไปเล่นกับนางพร้อมผลน้ำนม ก็ไม่มีมนุษย์คนใดเห็นหรือสัมผัสถึงเขาได้อยู่แล้ว ทั้งเจ้าตัวกลมนี่ก็ไม่ได้เป็นมนุษย์เสียทีเดียว นางเป็นเทพที่ลงมาผ่านด่านเคราะห์เสียหลายภพชาติ ชาตินี้ถือเป็นชาติสุดท้าย เมื่อนางสั่งสมพลังจนครบก็จะได้เลื่อนเป็นเทพอีกครั้ง
เหตุใดจึงกล่าวว่านางเป็นสตรีเหนือชะตา?
นั่นเพราะในหลาย ๆ ภพชาติที่ผ่านมา นางได้ผ่านด่านเคราะห์ต่าง ๆ มาทั้งหมดแล้ว ความจริงนางควรกลับคืนสู่การเป็นเทพ ทว่าเสี้ยวจิตครั้งยังเป็นเทพมีปรารถนาอันแรงกล้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ นางจึงตั้งใจจุติที่โลกลมปราณ โลกที่เอื้อต่อการเลื่อนขั้นเป็นเทพและจัดการอะไร ๆ ได้ง่ายที่สุด ด้วยความเมตตาและความตั้งใจอันบริสุทธิ์ที่มีต่อสรรพชีวิตนี้ เขาจึงไม่สามารถอ่านเส้นชะตาของนางได้อีกต่อไป
หากพูดให้ถูกต้อง เขาอ่านชะตาชีวิตของนางไม่ได้ตั้งแต่ที่นางสิ้นชีพลงในภพมนุษย์ อันเป็นโลกระดับต่ำ วัฒนธรรมเสื่อมถอย แต่กลับเจริญด้วยเทคโนโลยี ในกรณีที่ท่านมหาเทพได้ยื่นข้อเสนอให้นางก่อนจะเกิดนั้น เป็นเพียงกลอุบายที่จะส่งมอบทุกสิ่งที่เป็นของนางกลับคืนสู่เจ้าของเท่านั้นเอง
เมื่อไม่อาจอ่านเส้นชะตาของนางได้ เว่ยซือหงก็แทบกลายเป็นตัวตนเหนือกฎเกณฑ์ ไม่มีใครสามารถบงการ ไม่อาจหยุดยั้ง ต่อจากนี้ไปล้วนเป็นนางที่ลิขิตชีวิตของตัวเอง ทวยเทพไม่อาจแทรกแซง...
“ท่านตา ท่านตา!”
“หะ... หา! ว่าอย่างไรเสี่ยวหง”
“ท่านตาเหม่ออันใดเจ้าคะ อาหงเรียกตั้งนาน ท่านตาก็ไม่ตอบรับ” เจ้าตัวกลมขมวดคิ้วพูดพลางใช้ตากลม ๆ จ้องคนที่เรียกว่าท่านตาตาไม่กะพริบ
เทพโชคชะตาหัวเราะเบา ๆ มือใหญ่ลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน “ตาเพียงแค่คิดอะไรเล็กน้อย ทำให้เสี่ยวหงเป็นกังวลแล้ว”
เจ้าตัวกลมไม่สนใจ นางจับมือใหญ่ที่มีร่องรอยเหี่ยวย่นเขย่าไปมา “ท่านตา ท่านตา ที่นี่คือที่ไหนหรือเจ้าคะ ทั้งงดงามและ ฟืด... หอมมาก! อาหงชอบ” พูดพร้อมหลับตาสูดดมกลิ่นหอมเข้าปอด
เทพโชคชะตายิ้มใจดีให้คำตอบไม่ปล่อยเจ้าตัวกลมสงสัยนาน “ที่นี่คือมิติพฤกษาสวรรค์”
“มิติพฤกษาสวรรค์... คือสิ่งใด แล้วอาหงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ ครอบครัวอาหงอยู่ไหน”
“ใจเย็นก่อนเจ้าตัวน้อยขี้สงสัย เว้นช่วงให้ตาตอบบ้าง”
“แหะ ๆ อาหงขอโทษเจ้าค่ะ” เทพโชคชะตายกยิ้มไม่ว่ากล่าวอันใด เพียงอธิบายให้นางฟังอย่างใจเย็น
“ที่นี่คือมิติพฤกษาสวรรค์ เป็นมิติในดวงจิตของเจ้า มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เข้ามาได้ เจ้าจะเข้ามาทั้งร่างกายหรือดวงจิตก็ได้ เพียงนึกคำว่าเข้าและออกเท่านั้น ส่วนที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ก็เพราะพลังปราณและพลังธาตุของเจ้าตื่นก่อนกำหนดอย่างไรเล่า ร่างกายเจ้ารับความเจ็บปวดและพลังปราณมากมายมหาศาลไม่ไหว ดวงจิตของเจ้าจึงถูกมิติแห่งนี้ดึงเข้ามา เพื่อปกป้องไม่ให้ฐานดวงจิตของเจ้าได้รับบาดเจ็บจากการที่พลังตื่นก่อนกำหนด”
“แสดงว่าครอบครัวอาหงอยู่ด้านนอกใช่หรือไม่เจ้าคะ” เจ้าตัวน้อยฉลาดยิ่ง เพียงฟังอย่างตั้งใจก็เข้าใจได้ไม่ยาก ไม่ต้องอธิบายซ้ำรอบสอง
“ถูกแล้ว ครอบครัวของเจ้าอยู่ด้านนอก”
เว่ยซือหงตัวน้อยก้มหน้ามองพื้น หัวคิ้วเรียวสวยกดเข้าหากันเรื่อย ๆ แววตาสงสัยยิ่ง ก่อนเงยหน้าถามท่านตาของนาง “ท่านตา แล้วอาหงพาครอบครัวเข้ามาได้หรือไม่เจ้าคะ ที่แห่งนี้ดีมาก อาหงอยากให้ทุกคนเข้ามา”
เทพโชคชะตายิ้มอ่อน “ตอนนี้ยังไม่ได้ แต่ในอนาคตหากเจ้าแข็งแกร่งขึ้น จะสามารถพาพวกเขาเข้ามาได้”
“ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนหรือเจ้าคะ ตอนนี้อาหงแข็งแรงมากนะ”
“เจ้าต้องมีพลังอยู่ในระดับแม่ทัพเสียก่อน เมื่อมีพลังถึงระดับนั้นแล้ว หากต้องการพาผู้ใดเข้ามา เจ้าต้องทำอักขระพันธสัญญากับพวกเขาด้วย ยกเว้นเนื้อคู่ของเจ้าที่ไม่ต้องทำอักขระพันธสัญญา เพราะพวกเจ้ามีพันธะร่วมกันอยู่แล้ว”
ฟังถึงตรงนี้เจ้าตัวกลมตีหน้ายุ่งไม่พอใจกล่าวปฏิเสธทันที “ท่านตา! อาหงยังเด็กอยู่เลย อาหงไม่มีเนื้อคู่หรอก ถึงมีอาหงก็ไม่คิดแต่งงาน อาหงจะอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ ท่านปู่ท่านย่า และพี่ใหญ่พี่รอง อาหงไม่ไปไหนหรอก คำพูดท่านตานี่ไม่ดี ไม่ดี ไม่ดีจริง ๆ อาหงเพิ่งเจ็ดหนาวก็พูดถึงเนื้อคู่เสียแล้ว เฮ้อ!”
ฟังคำพูดจริงจังของเจ้าตัวกลมแล้วทนไม่ไหว เทพโชคชะตาหลุดหัวเราะเสียงดัง
“เอาเถอะ ๆ เเล้วแต่เจ้า แต่ว่าตอนนี้เจ้านั่งสมาธิก่อนเถิด ปล่อยกายปล่อยใจให้ว่าง เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังปราณพลังธาตุก็ค่อย ๆ ดูดซับมันเข้ามา”
เว่ยซือหงไม่ถามให้มากความ เพราะนางได้ศึกษาเรื่องนี้ตั้งแต่สามขวบแล้ว เมื่อได้รับคำแนะนำจากท่านตาปริศนา นางจึงทำตามทันที เพียงไม่นานก็สัมผัสได้ถึงละอองปราณและเส้นพลังธาตุที่คุ้นเคย เจ้าตัวน้อยดูดซับมันเข้ามาอย่างช้า ๆ ไม่นานก็เสร็จสิ้น เพียงแต่เด็กตัวกลมหาได้ออกจากสมาธิไม่ นางยังคงดูดซับต่อไปจนกระทั่ง
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงการเลื่อนระดับสามครั้งติดต่อกันดังในห้วงจิต เว่ยซือหงลืมตาขึ้น ดวงตาทอประกายยินดี นางเลื่อนขั้นพลังถึงสามขั้นรวด! ตอนนี้พลังปราณของนางอยู่ที่ พลังปราณระดับเริ่มต้นขั้นสูง!แม้แต่เทพโชคชะตายังอดอึ้งไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าอัตราการดูดซับของนางรวดเร็วเหนือผู้ใด การเลื่อนระดับขั้นพลังของนางยังไม่มีการติดขัดอีกต่างหาก เขาเป็นเทพยังอึ้งขนาดนี้ หากเรื่องนี้รู้ถึงโลกภายนอก ไม่รู้ว่าคนที่ปิดด่านกักตนกันเป็นเดือนเป็นปีจะพากันกัดลิ้นตายหรือไม่ ช่างเถอะใครใช้ให้พวกเขาไม่มีมิติพฤกษาสวรรค์เล่า!“ปรับสมดุลพลังปราณก่อนเสี่ยวหง”“เจ้าค่ะท่านตา”เว่ยซือหงทำตามอย่างเชื่อฟัง นางเป็นเด็กดีมาก ๆ แค่นั่งสมาธิต่อเหตุใดนางจะทำไม่ได้ ทว่าคราวนี้การนั่งสมาธิไม่ได้สงบนิ่งอีกต่อไป คิ้วน้อย ๆ ของเจ้าตัวเริ่มขมวดเข้าหากัน พร้อม ๆ กับความทรงจำบางอย่างที่วาบผ่านเข้ามาในห้วงภวังคจิต‘ที่แห่งนั้นกำลังเผชิญกับความเลวร้าย ข้าวยากหมากแพง บ้านเมืองแห้งแล้ง อยู่ในสภาวะแร้นแค้นอย่างหนัก สิ่งที่ผู้คนกำลังเผชิญอยู่มันไม่ใช่เพราะฤดูกาล แต่เป็นความชั่วร้ายที่กำลังกัดกินทุกสิ่งอย่างทีละเล็กละน้อย หากมิตินั้นไม่ได้รับความช่วยเหล
เด็กหญิงตัวน้อยสูดอากาศเข้าปอดเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง แล้ววิ่งออกจากใต้ต้นไม้ใหญ่ที่นางและท่านตานั่งสนทนากันทันที เป้าหมายแรกที่นางสนใจคือทุ่งหญ้าโล่งกว้างเต็มไปด้วยสีเขียวระยิบระยับ ยามลมพัดโชยยอดหญ้าพลันพลิ้วไหวไปตามลม ทั้งดูอ่อนนุ่มและงดงาม“โอ้โห...”ปากเล็กอ้ากว้างยกมือสองข้างประกบแก้มตัวเองไว้ ดวงตาคล้ายมีหมู่มวลดาราอยู่ภายในทอประกายระยิบระยับงดงาม เจ้าตัวน้อยเริ่มเก็บอาการไม่อยู่ ขาสองข้างสั่นระริก นางอยากเดินเข้าไปในทุ่งหญ้ากว้างและวิ่งเล่นให้สุขใจ แต่ก็กลัวเจ้าต้นหญ้าจะบาดเจ็บ หากนางเหยียบแล้วมันตายเล่า จะทำอย่างไร ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยเห็นที่ไหนมีสีเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยประกายเเห่งชีวิตอุดมสมบูรณ์เท่านี้มาก่อนเลยนะ!ตอนนี้ทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจที่ตัวเองมีสถานที่สวยงามเช่นนี้ นางไม่อยากทำลายมัน! ดวงตาคู่กลมจับจ้องไปยังใบเรียวเล็กมีสีดังหยกบริสุทธิ์ของต้นหญ้าไม่กะพริบตา ขณะนั้นเองความพิเศษของดวงเนตรสวรรค์พลันแสดงผล[หญ้ามรกต สมุนไพรระดับสูง เนื่องจากขึ้นอยู่ในสถานที่พลังปราณหนาแน่นจึงเลื่อนขั้นเป็นสมุนไพรปราณ หนึ่งในสมุนไพรการหลอมโอสถสงบจิต เมื่อนำไปทำโอสถสงบจิตจะช่วยให้มีสมา
“นี่บ้านของอาหงที่ท่านตาบอกเหรอ?” แม้สงสัยหากแววตากลับเป็นประกายชอบใจ“งดงามมาก!”“เอ๊ะ! เมื่อครู่อาหงหายตัวได้เหรอ? หมายความว่าถ้าอาหงอยู่ในมิติอาหงจะหายตัวไปที่ไหนก็ได้ใช่ไหม?” คิดแล้วพลันทดลองดูนางก็ได้คำตอบ นางสามารถหายตัวไปโผล่ยังสถานที่ที่นางต้องการภายในมิติได้จริงสะดวกสบายมาก!ขาน้อย ๆ ของอาหงไม่ต้องทำงานหนักแล้ว!ทดลองความคิดของตนเองจนพอใจเว่ยซือหงตัวน้อยกลับมาสนใจทิวทัศน์หรือบ้านของนางอีกครั้งเบื้องหน้าของนางไม่ต่างอันใดจากเกาะระดับย่อม เพราะกลางทะเลสาบขนาดใหญ่ มีจุดที่เป็นพื้นดินไม่มากนัก และพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยต้นไม้ใหญ่ยักษ์ต้นนั้น ที่ยืนต้นโดดเด่นเป็นสง่าเพียงต้นเดียว ใช่แล้วมิติพฤกษาสวรรค์แห่งนี้แบ่งพื้นที่เป็นผืนดินกับผืนน้ำ โดยมีทะเลสาบขนาดใหญ่ข้างหน้าเป็นตัวกลางกั้น พิศดูแล้วเว่ยซือหงคิดว่า จุดที่ต้นไม้ใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่ จะต้องมีไอปราณหนาแน่นที่สุด ทิวทัศน์งดงามที่สุดเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีการสร้างบ้านต้นไม้ขึ้นมาบริเวณนั้นแน่นอน แม้นางจะเด็กแต่อย่าได้ดูเบาการวิเคราะห์ของนางเชียวตอนนี้หากนางต้องการไปยังกึ่งกลางทะเลสาบ เพื่อเข้าไปยังบ้านต้นไม้ นางสามารถไ
“โอ้โห! สวยมาก สวยมาก ๆ อาหงชอบที่สุด” สถานที่งดงาม อากาศบริสุทธิ์ พืชพรรณอุดมสมบูรณ์ ไม่มีอะไรงดงามและน่าอิจฉาไปมากกว่านี้แล้ว เจ้าตัวน้อยยิ้มไม่หุบ เดินไปมองทางนั้นทีทางนี้ที ก่อนตัดใจเข้าไปสำรวจในเรือนบ้างภายในเรือนมีห้องโถงโล่งกว้างและโต๊ะน้ำชาสำหรับรับแขก เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยจะมีทางแยกสองทาง ซ้ายมือจะเป็นทางสำหรับไปห้องครัว ทางด้านขวามือเป็นห้องนอน หลังสำรวจจนพอใจเจ้าตัวเดินกลับมาหน้าเรือนอีกครั้ง ดวงตาระยิบระยับบ่งบอกว่าเจ้าตัวมีความสุขยิ่งจับจ้องไปที่ต้นไม้สองต้นที่ปลูกไว้ในกระถาง วางอยู่มุมหนึ่งของชานเรือน มันโดดเด่นกระแทกตาตั้งแต่นางขึ้นบันไดบ้านมาแล้ว![ต้นตำลึงเงิน ไม้ประดับระดับศักดิ์สิทธิ์ ทั้งต้นและใบมีสีเงิน ติดผล 100 ผล ผลสุกทุก ๆ หนึ่งชั่วยาม เมื่อเด็ดผลออกจากต้นแล้วจะกลายเป็นตำลึงเงินทันที 1 ผลเท่ากับ 100 ตำลึงเงิน] [ต้นตำลึงทอง ไม้ประดับระดับศักดิ์สิทธิ์ ทั้งต้นและใบมีสีทอง ออกผลทุก ๆ หนึ่งชั่วยาม เมื่อเด็ดผลออกจากต้นแล้วจะกลายเป็นตำลึงทองทันที 1 ผลเท่ากับ 100 ตำลึงทอง]“โฮะ ๆ ๆ ต้นไม้แห่งความร่ำรวยของอาหง” สายตาของเจ้าตัวน้อยเปล่งประกายเป็นรูปเงินทอง มองกระถา
บรรยากาศเงียบสงบภายในเรือนปัญญา บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยกองตำรา มีร่างแน่งน้อยกำลังนั่งอ่านตำราเพิ่มพูนความรู้อย่างตั้งใจ เจ้าตัวน้อยเว่ยซือหงอยู่ในมิติมาสามวันแล้ว หากหิวนางจะเรียกผลไม้มากินเดิมทีนางต้องการอ่านข้อมูลพื้นฐานเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงอย่างไรนางก็ศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่สามขวบ ทว่าหลังจากอ่านไปเรื่อย ๆ ข้อมูลพื้นฐานในตำราแต่ละประเภทกลับชัดเจนยิ่งกว่าตำราที่นางเคยอ่านเสียอีก อย่างเช่น ตำราพลังธาตุพื้นฐานตำราที่นางได้อ่านด้านนอกมิติ นอกจากบอกเกี่ยวกับชื่อธาตุต่าง ๆ แล้ว ก็บอกเพียงเส้นทางฝึกฝนเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีพลังธาตุพฤกษา ธาตุไฟ ธาตุน้ำ สามารถเลือกเส้นทางแห่งวิถีโอสถได้ทว่าตำราพลังธาตุในมิตินี้ไม่เพียงบอกคุณลักษณะพิเศษของธาตุต่าง ๆ เท่านั้น ยังลงรายละเอียดเกี่ยวกับการเพิ่มพูนพลังธาตุให้หนาแน่นและบริสุทธิ์ขึ้นด้วย อย่าได้ชะล่าใจไป ขอเพียงพลังธาตุในตัวบริสุทธิ์และหนาแน่นขึ้น เราก็จะสามารถเรียกใช้พลังธาตุได้นานและควบคุมได้ง่ายขึ้นด้วย หากเป็นการโจมตี ก็จะทำให้การโจมตีของพลังธาตุรุนแรงขึ้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน คู่ต่อสู้มีพลังม
ว่าด้วยเรื่องระดับพลังในโลกลมปราณ ทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรใช้ระดับขั้นเดียวกัน มีทั้งหมด 12 ระดับ (แบ่งขั้นย่อยเป็น ต่ำ กลาง สูง) ประกอบไปด้วย ระดับเริ่มต้น หลอมรวม นักรบ แม่ทัพ จอมยุทธ์ ปราชญ์ จักรพรรดิ ราชัน ราชันจักรพรรดิ เซียน เทพ และเทพบรรพกาลระดับพลังของดินแดนเบื้องล่างพบเห็นเพียง 7 ระดับเท่านั้น คือระดับเริ่มต้นถึงระดับปราชญ์ ด้วยทรัพยากรที่จำกัดทำให้ยากนักจะเลื่อนขั้นพลังได้ ดังนั้นตั้งแต่ระดับจักรพรรดิเป็นต้นไป ในสายตาคนของดินแดนเบื้องล่างถือได้ว่าเป็นระดับตำนาน เพราะมันนานมากแล้วที่ไม่มีระดับจักรพรรดิปรากฏกายออกมาไม่ต้องพูดถึงระดับเทพ เพราะต่อให้เป็นดินแดนเบื้องบนก็ยังนับว่าเป็นขั้นระดับตำนานเหนือตำนาน เนื่องจากยังไม่เคยมีใครไปถึงระดับเทพเลยนั่นเอง แม้แต่ขั้นเซียนยังมีน้อยที่จะเลื่อนระดับพลังไปถึงได้การที่เว่ยซือหงปกปิดระดับพลังของตนในครั้งนี้ ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว เพราะหากนางไม่ปกปิดระดับพลัง เกรงว่ายุทธภพได้วุ่นวายครั้งใหญ่แน่ ทั้งนี้หากนางไม่ปกปิดอาจนำมาซึ่งปัญหา และก่อให้เกิดอันตรายกับครอบครัวของนางได้อีกด้วยถึงนางจะเด็กแต่นางก็ไม่ได้โง่นะ!“เอาละ ไปข้างนอกก
รุ่งเช้าต้นยามเฉิน(07.00-08.59น.) หลังทุกคนรับอาหารเช้าเสร็จแล้ว จึงมารวมตัวกันที่เรือนหลักในห้องตำราประจำตระกูล“เอาละ หงเอ๋อร์หลานรู้หรือไม่ว่าทำไมเราถึงมารวมตัวกันที่นี่” เว่ยซือหลิวถามหลานสาว“เพราะพลังปราณของอาหงเจ้าค่ะท่านปู่” เจ้าตัวน้อยตอบเสียงดังฟังชัด“ถูกต้อง ที่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เพื่อหารือกับการที่พลังปราณของเจ้าตื่นก่อนกำหนด” เจ้าตัวน้อยฟังท่านปู่ของนางอย่างตั้งใจ“ตอนแรกพวกเราตั้งใจจะเก็บเป็นความลับไว้ก่อน แต่มันทำไม่ได้แล้ว เพราะการที่พลังปราณของเจ้าตื่นก่อนกำหนดปะทุรุนแรงเกินไป ทำให้ตระกูลใหญ่ที่คานอำนาจรวมถึงราชวงศ์ได้ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้แล้ว หงเอ๋อร์ รู้ใช่หรือไม่ว่าเรื่องนี้รุนแรงและน่าตื่นตะลึงแค่ไหน”“อาหงรู้เจ้าค่ะท่านปู่ ในเมื่อพวกเขารู้แล้วเราก็ไม่ต้องปิดหรอกเจ้าค่ะ”“จริงอยู่ที่ไม่ต้องปิด แต่ลูกรักเจ้าฟังพ่อนะ ถึงพวกเขาจะรู้ว่าพลังปราณของเจ้าตื่นขึ้น ก็ใช่ว่าจะรู้รายละเอียดทั้งหมด ดังนั้นเราต้องปกปิดเอาไว้บ้าง”“พ่อของลูกพูดถูก ความจริงเราตั้งใจจะเปิดเผยพลังธาตุของลูกแค่บางส่วนเท่านั้น แต่เราอยากถามความคิดเห็นของลูกก่อน ว่าลูกอยากเปิดเผยพลังธาตุใด เราจึงได้
ต้นยามเว่ย(13.00-14.59 น.) ขบวนเดินทางย่อม ๆ ของเว่ยซือหงเคลื่อนออกจากจวนมุ่งหน้าเข้าสู่ตลาด ด้วยเป็นวันเทศกาลหยวนเซียว แม้จะยังเป็นช่วงกลางวัน แต่บรรยากาศในตลาดของเมืองหลวงแคว้นโจวก็ครึกครื้นยิ่งนัก เสียงผู้คนพูดคุยดังจอแจ เรียกความสนใจจากคนที่อยากมาเที่ยวได้ไม่ยากเจ้าตัวน้อยมองสองข้างทางซ้ายทีขวาทีอย่างร่าเริง นางเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ เพราะไม่บ่อยนักที่ครอบครัวจะปล่อยนางออกมานอกจวนให้เดินตลาดเล่นเช่นนี้เด็กเล็กเช่นนางจะมีอะไรน่าดึงดูดไปกว่าขนมหวาน เมื่อเห็นร้านขายน้ำตาลปั้นจึงไม่รอช้าที่จะหยุดซื้อ“ข้าเอาลายกระต่ายหนึ่งไม้เจ้าค่ะ พี่ใหญ่พี่รองเอาน้ำตาลปั้นไหมเจ้าคะ”“ไม่ละ เจ้ากินเถอะ” เว่ยซือหลางตอบน้องสาว เขาโตแล้วมีอายุ 17 ปีแล้ว ของกินเล่นหวาน ๆ แบบนี้ไว้ให้เด็กอย่างนางกินเถอะ“แต่พี่เอานะน้องเล็ก ข้าขอลายเสือขอรับ” เว่ยซือเหลียงที่อายุ 14 ปีตอบน้องสาวก่อนพูดกับคนขาย เมินเฉยสายตาดูถูกของพี่ชาย คิดในใจว่า ไม่มีใครห้ามเสียหน่อยว่าโตแล้วห้ามกินขนมหวาน พี่ใหญ่ไม่ชอบของหวานแล้วไยต้องมองเขาด้วยสายตาดูถูกด้วย!เว่ยซือหงซื้อน้ำตาลปั้นอีกหลายไม้ให้ข้ารับใช้ที่ติดตามมาก่อนเดินไป
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“
แม้มื้ออาหารจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่คนตระกูลเว่ยก็ยังไม่ได้แยกย้าย พวกเขายังคงต้องการพูดคุยกับเว่ยซือหงให้มากอีกหน่อย ความคิดถึงที่มีมาตลอดหนึ่งเดือนก็ยังไม่เบาบางลงเลย จะให้รีบไปไหนเล่าเว่ยซือเองก็พูดคุยกับครอบครัวด้วยความสนุกสนาน ทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องราวที่ตนเองเผชิญมาให้เว่ยซือหงฟัง เจ้าตัวเล็กก็มีอารมณ์ร่วมไปเสียหมด พาลให้คนเล่ามีใจอยากยิ่งอยากเล่าเพิ่ม ความสุขเรียบง่ายที่มีคุณค่าทางใจยิ่งกว่าของหายากราคาแพงเช่นนี้ คนตระกูลเว่ยหวงแหนมันมาก ครั้นทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องจนครบแล้วพลันถึงตาเจ้าตัวน้อยบ้าง“แล้วเจ้าเล่าน้องเล็ก เก็บตัวฝึกฝนเสียนาน มีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง” เว่ยซือเหลียงเป็นฝ่ายถามน้องสาวเว่ยซือหงเห็นสายตาทุกคนมองมาอย่างรอคอยและคาดหวังได้แต่ระบายยิ้มกว้างก่อนจะยอมเปิดเผยระดับพลังปัจจุบันของตนทันที ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนในครอบครัวต่างแตกตื่นตกใจ โดยเฉพาะพี่ชายคนรองอย่างเว่ยซือเหลียง“พลังปราณระดับนักรบขั้นสูง!”“เจ้าค่ะ” เห็นน้องสาวรับคำยิ้ม ๆ เช่นนี้พี่ชายอย่างเขารู้สึกปวดใจจริง ๆ ให้ตายเถอะน้องเล็กมีระดับเดียวกันกับเขาเลย!“ระดับเท่าพี่เลยน้องเล็ก นี่คือความแตกต่างของคนธรรมด
วันเวลาภายในมิติผ่านไปแล้วสิบปี โลกภายนอกก็ผ่านไปนานนับเดือนเช่นกัน ความคิดถึงและความห่วงใยที่มีต่อบุตรหลานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นานแล้วที่เว่ยซือหงเก็บตัวฝึกฝน หากไม่รู้ว่านางเข้าไปในมิติจิตวิญญาณพวกตนคงจะเป็นกังวลและไม่เป็นอันกินอันนอนมากกว่านี้อย่างไรก็ตาม พวกเขาอยู่กับเว่ยซือหงทุกวันตั้งแต่นางเกิดจวบจนอายุใกล้จะแปดขวบแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่ต้องห่างกันนานถึงเพียงนี้สักครั้ง ความอดทนที่เคยมีชักจะมอดลงไปทุกทีถึงคนตระกูลเว่ยยังใช้ชีวิตเช่นเดิม ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำสิ่งนั้น แต่มันขาดความมีชีวิตชีวาและสีสันในชีวิต เสียงเจื้อยแจ้วที่เคยทำให้จวนสดใส เสียงหัวเราะของนางที่เคยทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาผ่อนคลายความเครียดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยามไม่มีจึงรู้สึกขาดหายและกระหายถึงสิ่งนั้นมากขึ้นร่วมเดือนที่จวนตระกูลเว่ยเงียบเหงา ยิ่งช่วงสองสามวันที่ผ่านมาถึงกับขาดความมีชีวิตชีวาจนแม้แต่บ่าวรับใช้ยังรู้สึกได้ พวกตนก็คิดถึงคุณหนูน้อยเช่นกัน อยากให้นางมาสร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศแสนสดใสให้จวนตระกูลเว่ยโดยเร็ว เจ้านายในจวนจะได้แช่มชื่นขึ้นมาบ้างความกังวลของบ่าวรับใช้นั้นค่อนข้างมาก ถึงขั้นรวมตัวกันนำเรื
เว่ยซือหงเริ่มเดินพลังในร่างกายอีกครั้ง แต่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความติดขัดที่ตนไม่เคยเจอ ภายนอกคิ้วได้รูปของนางขมวดแน่น หากภายในจิตวิญญาณกลับสงบนิ่งมั่นคงอย่างมากเมื่อระดับการบ่มเพาะถูกทำลาย เส้นชีพจรต่าง ๆ จะอุดตันเต็มไปด้วยความสกปรกจากการดูดซับลมปราณ แม้แต่เว่ยซือหงที่ดูดซับลมปราณภายในมิติที่มีความบริสุทธิ์มาตลอดก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ด้วยเคล็ดวิชาหยินหยางลมปราณสวรรค์ ปัญหาดังกล่าวจึงถูกจัดการได้อย่างไร้ที่ติเว่ยซือหงเดินพลังด้วยเส้นลมปราณสีทอง ซึ่งมีชื่อว่าเส้นลมปราณสวรรค์ ชักนำมันไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ด้วยความวิเศษของตัวเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ ร่วมกับเส้นลมปราณสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมนาง สิ่งต่าง ๆ ที่อุดตันในร่างกายจึงถูกกำจัด ทั้งเส้นเลือดและเส้นชีพจรยังถุกกรุยทางจนโล่ง ความสกปรกถูกชะล้างครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งการเดินพลังไร้การติดขัด เด็กน้อยจึงเริ่มการฝึกในลำดับต่อไปเว่ยซือหงค่อย ๆ ชักนำเส้นลมปราณสวรรค์ไปตามเส้นชีพจรต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ตามความรู้ที่ได้รับจากเคล็ดวิชา ความอุ่นร้อนจนเกือบร้อนลวกอยู่กึ่งกลางหน้าท้อง ตันเถียนที่ถูกทำลายไปเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ซึ่งมาพร้อมความเจ็บปวดเกินหยั่