น้ำเสียงก้อนแป้งน้อยทั้งเศร้าและเห็นใจในเวลาเดียวกัน ปรารถนาแรงกล้าที่สุดของนางตอนนี้คือไม่ต้องการให้บิดาหรือคนในครอบครัวเข้าป่า นางไม่อยากให้พวกเขาได้รับอันตราย
หากท่านพ่อหรือคนในครอบครัวได้รับบาดเจ็บเพราะต้องการให้นางได้กินผักสด นางคงเสียใจและรู้สึกผิดมากแน่ ไม่มีทางเสียหรอก อย่างไรนางก็ไม่ยอมให้ครอบครัวต้องลำบากเพราะความอยากกินของนาง!
ด้านผู้ใหญ่ที่นั่งล้อมโต๊ะอาหารอยู่พลันเอ็นดูเจ้าตัวน้อย มีความสุขและเสียใจไปพร้อม ๆ กันที่ไม่สามารถหาผักสดมาให้นางกินได้ ทั้ง ๆ ที่พรุ่งนี้ก็เป็นวันเกิดอายุครบ 7 หนาวของนางแท้ ๆ
“ได้หรือไม่เจ้าคะท่านพ่อ ห้ามเข้าป่าอีกได้หรือไม่ พวกท่านด้วยนะเจ้าคะห้ามเข้าป่า อาหงรู้ ในป่านั้นอันตรายมาก ไม่ดี ไม่ดี!” หัวกลม ๆ ส่ายไปมาจนก้อนซาลาเปาที่ผูกไว้บนหัวสั่นตาม ใบหน้าน่ารักจริงจังจนคนมองอยู่อดแย้มยิ้มออกมาด้วยความรักและเอ็นดูไม่ได้
“ได้ ๆ พ่อรับปากเจ้า พวกเจ้าด้วยใช่หรือไม่” เว่ยซือซานรับปากบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนใช้เสียงเข้มพูดกับบุตรชาย
“ขอรับ” เว่ยซือหลางเว่ยซือเหลียงรับคำพร้อมกัน
เมื่อเห็นว่าทุกคนรับปาก เจ้าตัวน้อยก็ยิ้มออกมาด้วยความยินดี ราวกับมีดวงดาวนับหมื่นปรากฏในแววตากลมโตคู่นั้น เพราะมันระยิบระยับชวนมองเหลือเกิน
“ดียิ่งเจ้าค่ะ อาหงมีความสุขมาก ไม่มีผักสดกินแล้วอย่างไร อาหงกินเนื้อสัตว์ก็ได้ อร่อยเหมือนกัน อาหงจะกินให้อ้วนไปเลย อิอิ”
“เช่นนั้นปู่จะกินให้อ้วนเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่เสี่ยวหงของปู่”
“ยายก็จะกินเป็นเพื่อนเจ้าด้วย”
“แม่ด้วย/พี่ด้วย”
เจ้าตัวน้อยพยักหน้ารับคำคนในครอบครัวจนแก้มขาว ๆ กระเพื่อม ก่อนคีบเนื้อหมูที่ท่านปู่คีบมาวางใส่ถ้วยข้าวของนางเข้าปาก เจ้าตัวน้อยเคี้ยวตุ้ย ๆ หลับตาพริ้มรับรสชาติอาหาร คนอื่น ๆ จึงกินในส่วนของตัวเองตาม ทั้งยังมองท่าทางเจ้าตัวเล็กด้วย เพราะท่าทางเจ้าตัวน้อยนั้นชวนให้เจริญอาหารไม่หยอก
อิ่มแล้วก็พากันมานั่งเล่นในส่วนของห้องโถง เจ้าตัวน้อยที่อิ่มจุกจนพุงน้อย ๆ โผล่ออกมาจู่ ๆ ก็ทะลึ่งตัวพรวดขึ้นนั่งพานให้ท่านปู่ท่านย่าตกใจจนต้องยกมือตบอก
“เป็นอะไรของเจ้าเสี่ยวหง ย่าตกใจหมด” หลินซือเหยาถามพลางตบอกตัวเองเบา ๆ ไปด้วย
“นั่นสิเสี่ยวหง หรือเจ้าเจ็บตรงไหน บอกปู่มา ปู่จะช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้” ท่านปู่ถามอย่างรีบร้อน หัวใจคนแก่เต้นเร็วรี่กลัวหลานน้อยสุดที่รักได้รับอันตราย ส่วนคนอื่น ๆ นั้นก็ตกใจไม่แพ้กัน แต่เก็บอาการได้ดีกว่าสองผู้เฒ่านัก
เสี่ยวหงยิ้มแห้งก้มหัวขอโทษปลก ๆ พลางว่า “อาหงขอโทษเจ้าค่ะ อาหงแค่คิดอะไรขึ้นมาได้”
“ฮืม เจ้าตัวน้อยของแม่คิดอะไรได้กัน” หลิวลี่หงถามบุตรสาว
“ก่อนหน้านี้อาหงคิดไม่ได้ แต่มาคิดได้เมื่อกี้เลยเจ้าค่ะ ในเมื่ออาหงชอบกินผักสด แต่ก็ไม่อยากให้ท่านพ่อท่านพี่เสี่ยงอันตรายเข้าไปในป่า ดังนั้นอาหงจึงอยากปลูกผักเจ้าค่ะ”
“ปลูกผัก!” หกเสียงประสานออกมาพร้อมกันลั่นห้องโถงจนก้อนแป้งน้อยยู่หน้า หากพยักหน้ารับคำ
“แต่ปลูกผักมันยากนะเสี่ยวหง มีคนมากมายพยายามปลูกแล้วก็ปลูกไม่ขึ้น ที่ปลูกขึ้นทั้งแคระทั้งแกร็น ไม่งาม ไม่น่ากินสักนิด” ท่านปู่อธิบายพร้อมมองสีหน้าเจ้าตัวน้อยไปด้วย เนื่องจากกลัวเจ้าตัวน้อยเสียใจ
“ใช่ ๆ อาหง ปลูกผักนั้นยากมาก ที่สำนักศึกษาของพี่ใหญ่มีผู้อาวุโสพยายามปลูกหลายคนแต่ก็ปลูกไม่ขึ้น” เว่ยซือหลางกล่าว
เขาศึกษาอยู่ที่สำนักพยัคฆ์ทมิฬเพราะเห็นว่าใกล้บ้าน เนื่องจากสถานศึกษาตั้งอยู่ระหว่างแคว้นโจวและแคว้นฮั่น ด้วยเป็นสำนักศึกษาขนาดใหญ่จึงต้องใช้ทรัพยากรในการเลี้ยงดูคนค่อนข้างมาก จะให้เข้าป่าหาของมีค่ากลับมาตลอดก็ไม่ได้ เพราะมันคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
ผู้อาวุโสในสำนักศึกษาจึงได้รวมตัวประชุมและได้ข้อสรุปในการทำการเพาะปลูก ทว่าไม่ว่าจะพยายามเช่นไร เริ่มใหม่อีกกี่ครั้ง ผลที่ได้ก็ล้มเหลวเช่นเดิม ไม่เพียงแค่สำนักศึกษาของเขาเท่านั้น อีกสามสำนักใหญ่ก็สบชะตาเดียวกันทั้งสิ้น จนพากันล้มเลิกแล้วออกภารกิจให้ศิษย์ในสำนักหาทรัพยากรในป่ามากกว่าเดิม
เห็นพี่ใหญ่กล่าวเช่นนั้น เว่ยซือเหลียงที่เป็นพี่ชายคนรองจึงกล่าวบ้าง “ใช่ ถ้าอาหงอยากกินพี่จะพยายามหาซื้อมาให้ดีหรือไม่”
“นั่นสิอาหง แม่ว่าลูกทำอย่างอื่นดีหรือไม่” ท่านแม่พูดโดยมีท่านพ่อพยักหน้าเห็นด้วย หากเจ้าตัวน้อยกลับส่ายหน้า ทั้งยังมีสีหน้าตั้งอกตั้งใจมาก
“ไม่เจ้าค่ะ อาหงจะปลูกผัก อาหงปลูกได้แน่นอน พวกท่านรอดูได้เลย”
ด้วยสีหน้ามาดมั่นของเจ้าตัวน้อย คนอื่น ๆ ในครอบครัวก็ได้แต่ลอบมองหน้ากันพร้อมพยักหน้าเบา ๆ ก่อนท่านปู่จะเป็นคนพูดว่า
“เช่นนั้นพวกเราก็จะช่วยเสี่ยวหงปลูกด้วย แต่เสี่ยวหงต้องรับปากปู่ก่อน หากปลูกแล้วผักไม่ขึ้น เสี่ยวหงต้องไม่งอแงเอาแต่ใจและเลิกปลูกผักไปอย่างไม่มีข้อแม้ ตกลงหรือไม่”
เจ้าตัวเล็กครุ่นคิด หากรับปากแล้วปลูกผักไม่สำเร็จนางคงไม่ได้ปลูกอีก แต่นางมั่นใจว่านางปลูกได้นะ นางรู้แค่ว่านางปลูกได้ เจ้าตัวน้อยจมอยู่ในความคิดตัวเองก่อนดวงตาสว่างวาบเมื่อเห็นภาพแปลก ๆ แวบเข้ามาในหัว
เว่ยซือหงก้มหน้าซ่อนแววตาเจ้าเล่ห์ของตัวเองก่อนยื่นมือขวาไปด้านหลังแล้วเอานิ้วกลางเกี่ยวกับนิ้วชี้ไว้ พลางว่า “ตกลงเจ้าค่ะ อาหงให้สัญญา หากปลูกไม่ขึ้นอาหงจะไม่ดื้ออีก”
เมื่อเจ้าตัวน้อยรับปากทุกคนจึงพยักหน้าและถอนหายใจออกมา โดยคิดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เป็นไร ในเมื่อนางอยากลองก็ให้นางลอง หากไม่สำเร็จพวกเขาค่อยปลอบและอธิบายให้นางฟังอีกครั้งก็ได้ ถึงนางจะฉลาดเกินวัย แต่อย่างไรนางก็ยังเป็นเด็ก จะคิดแบบเด็ก ๆ บ้างก็ไม่เสียหายอันใด
ส่วนก้อนแป้งน้อยเว่ยซือหงนั้นไม่สนใจผู้อื่น นางกำลังระริกระรี้กับความรู้ใหม่! เมื่อกี้ที่นางคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรนางก็เห็นภาพแปลก ๆ แวบเข้ามาอีกแล้ว
ในภาพที่นางเห็นนั้นผู้คนมักแต่งตัวแปลก ๆ ไม่เหมือนพวกนางสักนิด แต่ช่างเรื่องการแต่งตัว ที่นางสนใจคือการไม่ผิดสัญญาดีกว่า
ในภาพที่เห็นนั้นบอกนางว่า หากไม่มั่นใจว่ารับปากแล้วจะทำได้หรือไม่ ให้เอานิ้วกลางเกี่ยวนิ้วชี้ไว้ เมื่อรับปากแล้วทำไม่ได้ หรือผิดคำพูดก็นับว่านางไม่ผิดมากนัก เพราะนางเกี่ยวนิ้วกันไว้ก่อนแล้วนั่นเอง
ดีละ! จากนี้ไปถ้านางไม่มั่นใจเรื่องอะไร นางจะแอบเกี่ยวนิ้วไว้ด้านหลังเสมอเลย แค่นี้นางก็ไม่ต้องผิดคำพูดแล้ว
วะฮะฮ่า นางฉลาดจริง ๆ ทั่วหล้านี้ใครฉลาดที่สุด ก็นางน่ะสิ นางน่ะสิ
“อิอิ หุหุ” แล้วเสียงหัวเราะชั่วร้ายระคนเจ้าเล่ห์ก็ดังออกมาจากปากเจ้าตัวน้อยโดยที่นางไม่รู้ตัว โดยมีสายตาคนในครอบครัวหรี่ตาจับผิดนางทีละคน ๆ
กลางดึกก้อนแป้งน้อยเว่ยซือหงนอนพลิกตัวไปมา ท่าทางกระสับกระส่ายไม่สบาย จนหลิงจูสาวใช้คนสนิทที่หลิวลี่หงมอบให้มาดูแลก้อนแป้งน้อย เร่งรีบออกไปแจ้งข่าวนายหญิงกับนายท่านของตนเอง“มีอะไรหลิงจู เหตุใดจึงมาดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้”“แย่แล้วเจ้าค่ะฮูหยิน คุณหนูเป็นอะไรไม่รู้เจ้าค่ะ นอนดิ้นไปมา ทั้งยังตัวร้อนมากด้วย ปลุกเท่าไหร่ก็ปลุกไม่ตื่นเจ้าค่ะ” หลิงจูกล่าวบอกท่าทางร้อนรน เป็นห่วงเจ้านายตัวน้อยยิ่งนักหลิวลี่หงฟังแล้วชะงักก่อนหันไปมองหน้าสามีแล้วเร่งรีบไปเรือนนอนของบุตรสาวทันทียังไม่ทันจะได้เข้าไปในห้องบุตรสาว เว่ยซือซานและหลิวลี่หงพลันสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่เอ่อล้นออกมาจากภายใน สามีภรรยามองหน้ากันด้วยไม่อยากเชื่อ“จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะท่านพี่ หงเอ๋อร์เพิ่งจะเจ็ดหนาวเท่านั้นเองนะเจ้าคะ พลังปราณของลูกจะตื่นขึ้นได้เช่นไร” หลิวลี่หงพูดด้วยใบหน้ากลัดกลุ้มยิ่ง ด้วยปกติพลังจะตื่นก็ต่อเมื่ออายุ 9 หนาว “พี่ก็ไม่รู้เช่นกัน เรารีบเข้าไปดูลูกกันก่อนเถอะ” เว่ยซือซานเป็นห่วงบุตรสาวที่พลังปราณตื่นก่อนกำหนด ขณะเดียวกันบอกพ่อบ้านอวิ๋นให้ไปตามบิดาของตนมาโดยเร็วสามีภรรยาเร่งเข้าไปในห้องนอนบุตรสาวตัวน้อยอ
ในระหว่างที่ด้านนอกกำลังวุ่นวาย ตัวต้นเหตุอย่างเว่ยซือหงนั้นไม่ได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้นางกำลังมึนงงสับสนและหวาดกลัวเล็กน้อย ดวงตากลมโตกวาดมองไปทั่วบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลที่นางยืนอยู่ในขณะนี้ด้วยความสนใจ ข้อความมากมายลอยขึ้นมาให้เห็นทันทีที่สายตากวาดผ่านจนลายตาไปหมดทำไมที่นี่มีแต่สีเขียว พืชพรรณมากมาย ทั้งอากาศยังบริสุทธิ์ ครอบครัวของนางเล่าอยู่ที่ใด? “ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าคะ”“ท่านปู่ ท่านย่า”“พี่ใหญ่ พี่รอง”เสียงเล็กเอ่ยเรียกคนในครอบครัวหากไม่มีสักคนที่จะตอบรับ ใจที่ชื้นเพราะสถานที่งดงามแป้วลงอีกครั้ง ดวงตากลมโตรื้นไปด้วยม่านน้ำตา ปากเล็กเบะออกอย่างน่าสงสาร คิดว่าอีกไม่นานต้องร้องไห้แน่ ก่อนที่เจ้าตัวกลมจะคิดมากและร่ำไห้ น้ำเสียงคุ้นเคยที่มาหานางตอนเป็นทารกก็ดังขึ้นเสียก่อน“เสี่ยวหงเอ๋อร์”“ท่านตา!”เจ้าตัวกลมร้องเรียกท่านตาที่ชอบโผล่มาตอนกลางคืนและหายไปตอนกลางวันอย่างรวดเร็ว ก่อนเท้าเล็ก ๆ จะวิ่งพรวดไปกอดต้นขาชราเอาไว้ นานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน แต่นางจำท่านตาใจดีที่ชอบนำผลน้ำนมมาให้นางดื่มได้! “ท่านตา! อาหงคิดว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้วเสียอีก เมื่อครู่อาหงกลัวมาก หากท่านตาไม่อ
เสียงการเลื่อนระดับสามครั้งติดต่อกันดังในห้วงจิต เว่ยซือหงลืมตาขึ้น ดวงตาทอประกายยินดี นางเลื่อนขั้นพลังถึงสามขั้นรวด! ตอนนี้พลังปราณของนางอยู่ที่ พลังปราณระดับเริ่มต้นขั้นสูง!แม้แต่เทพโชคชะตายังอดอึ้งไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าอัตราการดูดซับของนางรวดเร็วเหนือผู้ใด การเลื่อนระดับขั้นพลังของนางยังไม่มีการติดขัดอีกต่างหาก เขาเป็นเทพยังอึ้งขนาดนี้ หากเรื่องนี้รู้ถึงโลกภายนอก ไม่รู้ว่าคนที่ปิดด่านกักตนกันเป็นเดือนเป็นปีจะพากันกัดลิ้นตายหรือไม่ ช่างเถอะใครใช้ให้พวกเขาไม่มีมิติพฤกษาสวรรค์เล่า!“ปรับสมดุลพลังปราณก่อนเสี่ยวหง”“เจ้าค่ะท่านตา”เว่ยซือหงทำตามอย่างเชื่อฟัง นางเป็นเด็กดีมาก ๆ แค่นั่งสมาธิต่อเหตุใดนางจะทำไม่ได้ ทว่าคราวนี้การนั่งสมาธิไม่ได้สงบนิ่งอีกต่อไป คิ้วน้อย ๆ ของเจ้าตัวเริ่มขมวดเข้าหากัน พร้อม ๆ กับความทรงจำบางอย่างที่วาบผ่านเข้ามาในห้วงภวังคจิต‘ที่แห่งนั้นกำลังเผชิญกับความเลวร้าย ข้าวยากหมากแพง บ้านเมืองแห้งแล้ง อยู่ในสภาวะแร้นแค้นอย่างหนัก สิ่งที่ผู้คนกำลังเผชิญอยู่มันไม่ใช่เพราะฤดูกาล แต่เป็นความชั่วร้ายที่กำลังกัดกินทุกสิ่งอย่างทีละเล็กละน้อย หากมิตินั้นไม่ได้รับความช่วยเหล
เด็กหญิงตัวน้อยสูดอากาศเข้าปอดเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง แล้ววิ่งออกจากใต้ต้นไม้ใหญ่ที่นางและท่านตานั่งสนทนากันทันที เป้าหมายแรกที่นางสนใจคือทุ่งหญ้าโล่งกว้างเต็มไปด้วยสีเขียวระยิบระยับ ยามลมพัดโชยยอดหญ้าพลันพลิ้วไหวไปตามลม ทั้งดูอ่อนนุ่มและงดงาม“โอ้โห...”ปากเล็กอ้ากว้างยกมือสองข้างประกบแก้มตัวเองไว้ ดวงตาคล้ายมีหมู่มวลดาราอยู่ภายในทอประกายระยิบระยับงดงาม เจ้าตัวน้อยเริ่มเก็บอาการไม่อยู่ ขาสองข้างสั่นระริก นางอยากเดินเข้าไปในทุ่งหญ้ากว้างและวิ่งเล่นให้สุขใจ แต่ก็กลัวเจ้าต้นหญ้าจะบาดเจ็บ หากนางเหยียบแล้วมันตายเล่า จะทำอย่างไร ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยเห็นที่ไหนมีสีเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยประกายเเห่งชีวิตอุดมสมบูรณ์เท่านี้มาก่อนเลยนะ!ตอนนี้ทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจที่ตัวเองมีสถานที่สวยงามเช่นนี้ นางไม่อยากทำลายมัน! ดวงตาคู่กลมจับจ้องไปยังใบเรียวเล็กมีสีดังหยกบริสุทธิ์ของต้นหญ้าไม่กะพริบตา ขณะนั้นเองความพิเศษของดวงเนตรสวรรค์พลันแสดงผล[หญ้ามรกต สมุนไพรระดับสูง เนื่องจากขึ้นอยู่ในสถานที่พลังปราณหนาแน่นจึงเลื่อนขั้นเป็นสมุนไพรปราณ หนึ่งในสมุนไพรการหลอมโอสถสงบจิต เมื่อนำไปทำโอสถสงบจิตจะช่วยให้มีสมา
“นี่บ้านของอาหงที่ท่านตาบอกเหรอ?” แม้สงสัยหากแววตากลับเป็นประกายชอบใจ“งดงามมาก!”“เอ๊ะ! เมื่อครู่อาหงหายตัวได้เหรอ? หมายความว่าถ้าอาหงอยู่ในมิติอาหงจะหายตัวไปที่ไหนก็ได้ใช่ไหม?” คิดแล้วพลันทดลองดูนางก็ได้คำตอบ นางสามารถหายตัวไปโผล่ยังสถานที่ที่นางต้องการภายในมิติได้จริงสะดวกสบายมาก!ขาน้อย ๆ ของอาหงไม่ต้องทำงานหนักแล้ว!ทดลองความคิดของตนเองจนพอใจเว่ยซือหงตัวน้อยกลับมาสนใจทิวทัศน์หรือบ้านของนางอีกครั้งเบื้องหน้าของนางไม่ต่างอันใดจากเกาะระดับย่อม เพราะกลางทะเลสาบขนาดใหญ่ มีจุดที่เป็นพื้นดินไม่มากนัก และพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยต้นไม้ใหญ่ยักษ์ต้นนั้น ที่ยืนต้นโดดเด่นเป็นสง่าเพียงต้นเดียว ใช่แล้วมิติพฤกษาสวรรค์แห่งนี้แบ่งพื้นที่เป็นผืนดินกับผืนน้ำ โดยมีทะเลสาบขนาดใหญ่ข้างหน้าเป็นตัวกลางกั้น พิศดูแล้วเว่ยซือหงคิดว่า จุดที่ต้นไม้ใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่ จะต้องมีไอปราณหนาแน่นที่สุด ทิวทัศน์งดงามที่สุดเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีการสร้างบ้านต้นไม้ขึ้นมาบริเวณนั้นแน่นอน แม้นางจะเด็กแต่อย่าได้ดูเบาการวิเคราะห์ของนางเชียวตอนนี้หากนางต้องการไปยังกึ่งกลางทะเลสาบ เพื่อเข้าไปยังบ้านต้นไม้ นางสามารถไ
“โอ้โห! สวยมาก สวยมาก ๆ อาหงชอบที่สุด” สถานที่งดงาม อากาศบริสุทธิ์ พืชพรรณอุดมสมบูรณ์ ไม่มีอะไรงดงามและน่าอิจฉาไปมากกว่านี้แล้ว เจ้าตัวน้อยยิ้มไม่หุบ เดินไปมองทางนั้นทีทางนี้ที ก่อนตัดใจเข้าไปสำรวจในเรือนบ้างภายในเรือนมีห้องโถงโล่งกว้างและโต๊ะน้ำชาสำหรับรับแขก เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยจะมีทางแยกสองทาง ซ้ายมือจะเป็นทางสำหรับไปห้องครัว ทางด้านขวามือเป็นห้องนอน หลังสำรวจจนพอใจเจ้าตัวเดินกลับมาหน้าเรือนอีกครั้ง ดวงตาระยิบระยับบ่งบอกว่าเจ้าตัวมีความสุขยิ่งจับจ้องไปที่ต้นไม้สองต้นที่ปลูกไว้ในกระถาง วางอยู่มุมหนึ่งของชานเรือน มันโดดเด่นกระแทกตาตั้งแต่นางขึ้นบันไดบ้านมาแล้ว![ต้นตำลึงเงิน ไม้ประดับระดับศักดิ์สิทธิ์ ทั้งต้นและใบมีสีเงิน ติดผล 100 ผล ผลสุกทุก ๆ หนึ่งชั่วยาม เมื่อเด็ดผลออกจากต้นแล้วจะกลายเป็นตำลึงเงินทันที 1 ผลเท่ากับ 100 ตำลึงเงิน] [ต้นตำลึงทอง ไม้ประดับระดับศักดิ์สิทธิ์ ทั้งต้นและใบมีสีทอง ออกผลทุก ๆ หนึ่งชั่วยาม เมื่อเด็ดผลออกจากต้นแล้วจะกลายเป็นตำลึงทองทันที 1 ผลเท่ากับ 100 ตำลึงทอง]“โฮะ ๆ ๆ ต้นไม้แห่งความร่ำรวยของอาหง” สายตาของเจ้าตัวน้อยเปล่งประกายเป็นรูปเงินทอง มองกระถา
บรรยากาศเงียบสงบภายในเรือนปัญญา บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยกองตำรา มีร่างแน่งน้อยกำลังนั่งอ่านตำราเพิ่มพูนความรู้อย่างตั้งใจ เจ้าตัวน้อยเว่ยซือหงอยู่ในมิติมาสามวันแล้ว หากหิวนางจะเรียกผลไม้มากินเดิมทีนางต้องการอ่านข้อมูลพื้นฐานเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงอย่างไรนางก็ศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่สามขวบ ทว่าหลังจากอ่านไปเรื่อย ๆ ข้อมูลพื้นฐานในตำราแต่ละประเภทกลับชัดเจนยิ่งกว่าตำราที่นางเคยอ่านเสียอีก อย่างเช่น ตำราพลังธาตุพื้นฐานตำราที่นางได้อ่านด้านนอกมิติ นอกจากบอกเกี่ยวกับชื่อธาตุต่าง ๆ แล้ว ก็บอกเพียงเส้นทางฝึกฝนเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีพลังธาตุพฤกษา ธาตุไฟ ธาตุน้ำ สามารถเลือกเส้นทางแห่งวิถีโอสถได้ทว่าตำราพลังธาตุในมิตินี้ไม่เพียงบอกคุณลักษณะพิเศษของธาตุต่าง ๆ เท่านั้น ยังลงรายละเอียดเกี่ยวกับการเพิ่มพูนพลังธาตุให้หนาแน่นและบริสุทธิ์ขึ้นด้วย อย่าได้ชะล่าใจไป ขอเพียงพลังธาตุในตัวบริสุทธิ์และหนาแน่นขึ้น เราก็จะสามารถเรียกใช้พลังธาตุได้นานและควบคุมได้ง่ายขึ้นด้วย หากเป็นการโจมตี ก็จะทำให้การโจมตีของพลังธาตุรุนแรงขึ้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน คู่ต่อสู้มีพลังม
ว่าด้วยเรื่องระดับพลังในโลกลมปราณ ทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรใช้ระดับขั้นเดียวกัน มีทั้งหมด 12 ระดับ (แบ่งขั้นย่อยเป็น ต่ำ กลาง สูง) ประกอบไปด้วย ระดับเริ่มต้น หลอมรวม นักรบ แม่ทัพ จอมยุทธ์ ปราชญ์ จักรพรรดิ ราชัน ราชันจักรพรรดิ เซียน เทพ และเทพบรรพกาลระดับพลังของดินแดนเบื้องล่างพบเห็นเพียง 7 ระดับเท่านั้น คือระดับเริ่มต้นถึงระดับปราชญ์ ด้วยทรัพยากรที่จำกัดทำให้ยากนักจะเลื่อนขั้นพลังได้ ดังนั้นตั้งแต่ระดับจักรพรรดิเป็นต้นไป ในสายตาคนของดินแดนเบื้องล่างถือได้ว่าเป็นระดับตำนาน เพราะมันนานมากแล้วที่ไม่มีระดับจักรพรรดิปรากฏกายออกมาไม่ต้องพูดถึงระดับเทพ เพราะต่อให้เป็นดินแดนเบื้องบนก็ยังนับว่าเป็นขั้นระดับตำนานเหนือตำนาน เนื่องจากยังไม่เคยมีใครไปถึงระดับเทพเลยนั่นเอง แม้แต่ขั้นเซียนยังมีน้อยที่จะเลื่อนระดับพลังไปถึงได้การที่เว่ยซือหงปกปิดระดับพลังของตนในครั้งนี้ ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว เพราะหากนางไม่ปกปิดระดับพลัง เกรงว่ายุทธภพได้วุ่นวายครั้งใหญ่แน่ ทั้งนี้หากนางไม่ปกปิดอาจนำมาซึ่งปัญหา และก่อให้เกิดอันตรายกับครอบครัวของนางได้อีกด้วยถึงนางจะเด็กแต่นางก็ไม่ได้โง่นะ!“เอาละ ไปข้างนอกก
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“
แม้มื้ออาหารจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่คนตระกูลเว่ยก็ยังไม่ได้แยกย้าย พวกเขายังคงต้องการพูดคุยกับเว่ยซือหงให้มากอีกหน่อย ความคิดถึงที่มีมาตลอดหนึ่งเดือนก็ยังไม่เบาบางลงเลย จะให้รีบไปไหนเล่าเว่ยซือเองก็พูดคุยกับครอบครัวด้วยความสนุกสนาน ทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องราวที่ตนเองเผชิญมาให้เว่ยซือหงฟัง เจ้าตัวเล็กก็มีอารมณ์ร่วมไปเสียหมด พาลให้คนเล่ามีใจอยากยิ่งอยากเล่าเพิ่ม ความสุขเรียบง่ายที่มีคุณค่าทางใจยิ่งกว่าของหายากราคาแพงเช่นนี้ คนตระกูลเว่ยหวงแหนมันมาก ครั้นทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องจนครบแล้วพลันถึงตาเจ้าตัวน้อยบ้าง“แล้วเจ้าเล่าน้องเล็ก เก็บตัวฝึกฝนเสียนาน มีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง” เว่ยซือเหลียงเป็นฝ่ายถามน้องสาวเว่ยซือหงเห็นสายตาทุกคนมองมาอย่างรอคอยและคาดหวังได้แต่ระบายยิ้มกว้างก่อนจะยอมเปิดเผยระดับพลังปัจจุบันของตนทันที ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนในครอบครัวต่างแตกตื่นตกใจ โดยเฉพาะพี่ชายคนรองอย่างเว่ยซือเหลียง“พลังปราณระดับนักรบขั้นสูง!”“เจ้าค่ะ” เห็นน้องสาวรับคำยิ้ม ๆ เช่นนี้พี่ชายอย่างเขารู้สึกปวดใจจริง ๆ ให้ตายเถอะน้องเล็กมีระดับเดียวกันกับเขาเลย!“ระดับเท่าพี่เลยน้องเล็ก นี่คือความแตกต่างของคนธรรมด
วันเวลาภายในมิติผ่านไปแล้วสิบปี โลกภายนอกก็ผ่านไปนานนับเดือนเช่นกัน ความคิดถึงและความห่วงใยที่มีต่อบุตรหลานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นานแล้วที่เว่ยซือหงเก็บตัวฝึกฝน หากไม่รู้ว่านางเข้าไปในมิติจิตวิญญาณพวกตนคงจะเป็นกังวลและไม่เป็นอันกินอันนอนมากกว่านี้อย่างไรก็ตาม พวกเขาอยู่กับเว่ยซือหงทุกวันตั้งแต่นางเกิดจวบจนอายุใกล้จะแปดขวบแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่ต้องห่างกันนานถึงเพียงนี้สักครั้ง ความอดทนที่เคยมีชักจะมอดลงไปทุกทีถึงคนตระกูลเว่ยยังใช้ชีวิตเช่นเดิม ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำสิ่งนั้น แต่มันขาดความมีชีวิตชีวาและสีสันในชีวิต เสียงเจื้อยแจ้วที่เคยทำให้จวนสดใส เสียงหัวเราะของนางที่เคยทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาผ่อนคลายความเครียดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยามไม่มีจึงรู้สึกขาดหายและกระหายถึงสิ่งนั้นมากขึ้นร่วมเดือนที่จวนตระกูลเว่ยเงียบเหงา ยิ่งช่วงสองสามวันที่ผ่านมาถึงกับขาดความมีชีวิตชีวาจนแม้แต่บ่าวรับใช้ยังรู้สึกได้ พวกตนก็คิดถึงคุณหนูน้อยเช่นกัน อยากให้นางมาสร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศแสนสดใสให้จวนตระกูลเว่ยโดยเร็ว เจ้านายในจวนจะได้แช่มชื่นขึ้นมาบ้างความกังวลของบ่าวรับใช้นั้นค่อนข้างมาก ถึงขั้นรวมตัวกันนำเรื
เว่ยซือหงเริ่มเดินพลังในร่างกายอีกครั้ง แต่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความติดขัดที่ตนไม่เคยเจอ ภายนอกคิ้วได้รูปของนางขมวดแน่น หากภายในจิตวิญญาณกลับสงบนิ่งมั่นคงอย่างมากเมื่อระดับการบ่มเพาะถูกทำลาย เส้นชีพจรต่าง ๆ จะอุดตันเต็มไปด้วยความสกปรกจากการดูดซับลมปราณ แม้แต่เว่ยซือหงที่ดูดซับลมปราณภายในมิติที่มีความบริสุทธิ์มาตลอดก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ด้วยเคล็ดวิชาหยินหยางลมปราณสวรรค์ ปัญหาดังกล่าวจึงถูกจัดการได้อย่างไร้ที่ติเว่ยซือหงเดินพลังด้วยเส้นลมปราณสีทอง ซึ่งมีชื่อว่าเส้นลมปราณสวรรค์ ชักนำมันไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ด้วยความวิเศษของตัวเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ ร่วมกับเส้นลมปราณสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมนาง สิ่งต่าง ๆ ที่อุดตันในร่างกายจึงถูกกำจัด ทั้งเส้นเลือดและเส้นชีพจรยังถุกกรุยทางจนโล่ง ความสกปรกถูกชะล้างครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งการเดินพลังไร้การติดขัด เด็กน้อยจึงเริ่มการฝึกในลำดับต่อไปเว่ยซือหงค่อย ๆ ชักนำเส้นลมปราณสวรรค์ไปตามเส้นชีพจรต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ตามความรู้ที่ได้รับจากเคล็ดวิชา ความอุ่นร้อนจนเกือบร้อนลวกอยู่กึ่งกลางหน้าท้อง ตันเถียนที่ถูกทำลายไปเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ซึ่งมาพร้อมความเจ็บปวดเกินหยั่