นับตั้งแต่เปิดตัวปุ๋ยหมักที่ช่วยเรื่องการเพาะปลูก ตระกูลเว่ยก็หาความสงบสุขไม่ได้อีกเลย คนทั้งตระกูลยุ่งเรื่องการแจกจ่ายและการสั่งจองปุ๋ยหมักและก้อนเชื้อเห็ดฟาง สมาชิกหลักทุกคนมีหน้าที่เป็นของตัวเองเว่ยซือหงรับหน้าที่ดูแลเรื่องการหมักปุ๋ย โดยใช้ข้ออ้างว่ามีเพียงนางที่รู้กรรมวิธีสุดท้าย ความลับสุดยอดที่ทำให้ปุ๋ยสามารถกำจัดไอมารได้ คนในครอบครัวแม้ไม่อยากให้นางทำงานหนักด้วยอายุยังน้อย แต่ก็จนด้วยเหตุผลเพราะมีอักขระกาลเวลาที่ช่วยย่นระยะเวลาหมัก และโรงเรือนปุ๋ยหมักขนาดใหญ่ทั้ง 5 หลัง ในแต่ละวันจึงมีปุ๋ยหมักที่ได้คุณภาพออกมาจำนวนมาก เพียงพอต่อการแจกจ่ายและขายในส่วนที่ลูกค้าต้องการเพิ่มเติม แบ่งการผลิตดังนี้โรงเรือนปุ๋ยหมัก 2 หลังแรกสำหรับผลิตปุ๋ยหมักบำรุงดินระดับปกติทั่วไป ส่วนอีก 3 หลังมีไว้สำหรับผลิตปุ๋ยหมักระดับสูงที่ใช้กำจัดไอมาร เว่ยซือหงรับผิดชอบในส่วน 3 หลังนี้ เด็กน้อยต้องหยดเลือดตัวเองลงถังปุ๋ยหมัก ถังละหนึ่งหยดที่อยู่ในโรงเรือนทุกถังเป็นประจำทุกวันแรก ๆ ก็คิดว่ามันไม่น่ามีปัญหาเพราะใช้เลือดแค่หยดเดียว ทว่าพอผ่านไปสามวัน เจ้าตัวน้อยจึงตระหนักได้ว่าการสูญเสียเลือดทุกวันแบบนี้มันไ
ชั่วพริบตาเวลาก็ล่วงผ่านมาอีกสองเดือน เพราะได้รับความช่วยเหลือจากโจวเฟยหลงฮ่องเต้รวมถึงทหารใต้อานัติ การแจกจ่ายชุดปุ๋ยหมักจึงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ทั่วทั้งแคว้นโจวต่างได้รับชุดปุ๋ยปลูกผักและก้อนเชื้อเห็ดฟางครอบครัวละหนึ่งก้อนกันถ้วนหน้า ครอบครัวที่ได้เป็นครอบครัวแรก ๆ ก็เริ่มทำการเพาะปลูกและมีผลผลิตออกมาให้กินได้ขายแล้วเช่นกันความน่าอัศจรรย์ใจที่คนทั้งแคว้นโจวรู้สึกทึ่งและนับถือตระกูลเว่ยมาก ๆ คือผลลัพธ์ของปุ๋ยหมักที่ได้รับการแจกจ่ายนี้ “ท่านพี่ไม่น่าเชื่อเลยนะเจ้าคะว่าพวกเราจะสามารถเพาะปลูกได้อีกครั้ง”“นั่นสิผ่านมาหลายร้อยปีในที่สุดก็เพาะปลูกได้เสียที หลังจากนี้คงไม่อดอยากกันต่อไปอีกแล้วละ”“ฮึก เจ้าค่ะ น้องไม่รู้จะขอบคุณตระกูลท่านแม่ทัพอย่างไรเลยให้สมกับความสามารถและความดีนี้”“จริงของเจ้า ปุ๋ยหมักระดับสูงหนึ่งถังพอผสมน้ำด้วยอัตราส่วนที่คนของท่านแม่ทัพแจ้งมา กลับใช้รดที่ดินได้ถึงห้าหมู่ พวกเจ้าดูที่ดินที่เคยแห้งแร้งสิ ตอนนี้กลับมีชีวิตชีวา มีพืชผักให้พวกเราได้เก็บกิน ช่างน่าอัศจรรย์นัก”“คนของท่านแม่ทัพและฝ่าบาทแจ้งว่าอย่างไรนะ ผ่านไปสองเดือนค่อยใช้ปุ๋ยหมักบำรุงดินที่แจกมาพ
เมื่อประชาชนแคว้นโจวได้รับการช่วยเหลือครบแล้ว หลายอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ตระกูลเว่ยเริ่มกลับสู่ความสงบ มีหน้าที่แค่ผลิตปุ๋ยและก้อนเชื้อเห็ดออกมาให้ทันอัตราการแจกจ่ายที่จะส่งไปต่างแคว้นเท่านั้น คาดว่าใช้เวลาอีกราวห้าเดือนน่าจะส่งให้คนทั้งดินแดนครบทั้งหมด“ซือซาน เจ้าคิดอย่างไรที่แคว้นทั้งเจ็ดจะส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรี” “กระหม่อมคิดว่า พวกเขาอยากได้ปุ๋ยหมักและก้อนเชื้อเห็ด ไปทำการเพาะปลูกให้เร็วขึ้นพ่ะย่ะค่ะ ทั้งยังมาดูลาดเลาสถานการณ์ในแคว้นเราด้วย” “เจิ้นก็คิดแบบเดียวกันกับเจ้า แต่เจ้าไม่กลัวว่าพวกเขาจะไปยุ่งวุ่นวายจนสถานการณ์แย่หรือ”“แค่ข่าวที่ตระกูลกระหม่อมมีสิ่งที่ใช้เปลี่ยนดินให้กลับมาเพาะปลูกได้ก็วุ่นวายอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ จะวุ่นวายเพิ่มสักเล็กน้อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด กระหม่อมสามารถรับมือได้ ถึงอย่างไรก็มีพันธสัญญาสงบศึกอยู่ พระองค์ไม่ต้องกังวลถึงเพียงนั้น”เฮ้อ โจวเฟยหลงฮ่องเต้ถอนหายใจ เขาเรียกเว่ยซือซานมาเข้าพบเป็นการส่วนพระองค์ เพื่อปรึกษาเรื่องการรับมือของทูตที่มาเจริญสัมพันธไมตรีครั้งนี้“ซือซาน เจิ้นบอกตรง ๆ นะ คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก สัญญาสงบศึกมีอยู่ก็จริง แต่ไ
เว่ยซือซานที่กลับมาถึงจวนตระกูลเว่ยก็เข้าห้องบรรพบุรุษไปพร้อมกับบิดาตัวเอง หารือกันเกี่ยวกับเนื้อความในกระดาษกว่าชั่วยามจึงพากันกลับออกมา ส่วนกระดาษแผ่นนั้นไหม้เป็นจุณด้วยธาตุไฟของเว่ยซือซานแล้ว ไม่อาจเปิดเผยความในใด ๆ ได้อีกสองผู้เป็นใหญ่ในจวนแบกรับความหนักอึ้งและความกังวลทั้งหมดเอาไว้ ในขณะที่คนอื่น ๆ ไม่รู้เรื่องราวเลยแม้แต่น้อย ตัวเว่ยซือหงเองก็ใช้ชีวิตประจำวันอย่างปรกติสุข กระทั่งกลางดึกคืนหนึ่งในฝันเว่ยซือหงเห็นตัวเองเดินอยู่ในสถานที่งดงามมาก กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าแจ่มชัด ความสมบูรณ์พร้อมของสถานที่แห่งนั้นทำให้เจ้าตัวน้อยดำดิ่งไปด้วยได้ไม่ยาก เด็กหญิงเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย ๆ ไม่รับรู้ถึงความผิดแปลกที่เกิดขึ้น เดินมานานไม่รู้เท่าไร เท้าน้อย ๆ จึงหยุดลง พลันนั้นนางจึงตระหนักได้ว่า สถานที่งดงามนี้ไม่มีคนหรือสัตว์เลยแม้แต่ชนิดเดียว เด็กน้อยเริ่มกลัว พลังปราณสีทองที่ถือกำเนิดมาพร้อมกันเข้าโอบล้อมร่างกาย ปัดเป่าความรู้สึกไม่ดีนั้นของเจ้าตัวไปอย่างรวดเร็ว “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ อยู่ไหนกันหมด อาหงกลัวแล้วนะ”“พี่ใหญ่พี่รอง ได้ยินเสียงอาหงหรือไม่เจ้าคะ อาหงอยู่ตรงนี้”“ท่านปู่ท่านย่า พวกท่า
ภายในวังหลวงแสนโอ่อ่างดงามนี้ นอกจากจะมีโจวเฟยหลงฮ่องเต้เป็นเจ้านายของวังแล้ว โอรสสวรรค์ยังมีบุปผาในวังหลังถึง 4 นางด้วยกัน ล้วนมาจากตระกูลใหญ่ทั้งสิ้น เริ่มจากพระมเหสีคู่บัลลังก์ มารดาของแผ่นดิน ผู้ปกครองวังหลัง หลินเหมยฮวาหลินเหมยฮวา เป็นบุตรีของเสนาบดีกรมกลาโหมหลินปิง แต่งเข้ามาในฐานะมารดาของแผ่นดิน หลังฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้นบุปผาคนที่สองมีพระนามว่า จ้าวลู่ซือ กุ้ยเฟยในโจวเฟยหลงฮ่องเต้ บุตรสาวจ้าวฝานเสนาบดีกรมขุนนาง แต่งเข้ามาหลังจากที่มีการแต่งตั้งฮองเฮาได้หนึ่งปีบุปผาคนที่สามมีพระนามว่า เกาซูเม่ย บุตรสาวเกาฉีเสนาบดีกรมพิธีการ และบุปผาคนสุดท้ายมีพระนามว่า วั่งเลี่ยงหรู บุตรสาววั่งไฉเสนาบดีกรมโยธา ทั้งสองพระองค์แต่งเข้าวังและถูกแต่งตั้งดำรงตำแหน่งซูเฟยและเต๋อเฟยพร้อม ๆ กันตามลำดับแม้โจวเฟยหลงฮ่องเต้จะมีบุปผามากถึงสี่นาง กระนั้นพระองค์กลับมีพระราชโอรสเพียงสองพระองค์ที่เกิดในพระครรภ์ของฮองเฮาเท่านั้นพระโอรสองค์โตมีพระนามว่า โจวเทียนหลง ถูกวางตัวเป็นองค์รัชทายาทตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันมีอายุ 20 ชันษา ทรงศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษามังกรดำพระโอรสองค์รองมีนามว่า โจวเฟย
เมื่อได้รับมอบหมายงานมาแล้ว พระนางย่อมทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด หลินเหมยฮวาเดินทางออกจากวังหลวงมายังจวนตระกูลเว่ย เพื่อพบผู้เป็นอาอย่างหลินซือเหยา“ถวายพระพรฮองเฮา ทรงพระเจริญพันปี พันพันปีเพคะ” หลินซือเหยาย่อกายถวายความเคารพผู้เป็นหลานสาว บุตรสาวของพี่ชายแท้ ๆ ที่มีบรรดาศักดิ์สูงกว่าอย่างเต็มพิธีการผู้ปกครองวังหลังปรี่เข้าประคองผู้เป็นอาให้ลุกยืนพลางกล่าวอย่างอ่อนพระทัย “ท่านอา ข้าเคยบอกแล้วนี่เพคะ ว่าหากไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพข้าเช่นนี้ ข้าเป็นหลานสาวของท่านนะเจ้าคะ เผื่อว่าท่านจะลืม”“หม่อมฉันไหนเลยจะลืมว่าพระองค์เป็นหลานสาวของหม่อมฉัน เพียงแต่ว่าเมื่อมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงมารดาของแผ่นดิน ทำสิ่งใดต้องระมัดระวังตนเสมอเพคะ หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ไม่เช่นนั้นจะถูกว่ากล่าวไม่รู้สูงต่ำเอาได้ ชื่อเสียงพระองค์จะพลอยมัวหมองไปด้วย”“ใครมันกล้าข้าจะสั่งลงโทษมันให้หมด!”“ฮองเฮาเพคะ”“เฮ้อ ก็ได้ก็ได้ มาเถอะเจ้าค่ะท่านอา ที่หลานมาหาท่านอาวันนี้ก็ตามที่แจ้งในจดหมายเลยเจ้าค่ะ”หลินเหมยฮวารู้ความสามารถของตนเองดี หากต้องการจัดงานเลี้ยงต้อนรับจนเป็นที่ถูกตาต้องใจคณะทูต ก็ต้องมาปรึก
อีกด้านเว่ยซือหงกำลังช่วยมารดาเก็บเห็ดฟาง ที่ติดดอกออกผลมากเป็นพิเศษ“ท่านแม่ เมื่อไหร่ท่านพ่อจะกลับมาสักทีเจ้าค่ะ อาหงคิดถึงท่านพ่อม้ากมากเจ้าค่ะ” เสียงใสฉอเลาะอย่างมีจังหวะจะโคน ถามถึงบิดาที่ออกไปรับคณะทูตนานหลายวันแล้วแต่ยังไม่กลับมาสักที “อีกไม่นานก็คงถึงแล้วละ”“แล้วทำไมท่านพ่อต้องไปรับคณะทูตด้วยตนเองด้วยเล่าเจ้าคะท่านแม่ ความจริงชินอ๋องโจวเฟยหมิง พระอนุชาของฝ่าบาทก็กลับมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตเช่นกันไม่ใช่หรือเพคะ น่าจะให้พระองค์รอต้อนรับคณะทูตและเดินทางมาพร้อมกันเลย”“ไม่ได้หรอกลูก เราเป็นเจ้าบ้าน พ่อของเจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่ อย่างไรก็ต้องไปขี่ม้านำขบวนคณะทูตมาวังหลวงด้วยตนเอง อีกอย่างคณะทูตที่มาในครั้งนี้มีแต่ขุนนางใหญ่ บ้างเป็นถึงเชื้อพระวงศ์เลยเชียวนะ เจ้าอย่าได้ไปเสียมารยาทกับพวกเขาเหล่านั้นเชียว”“อาหงไม่เสียมารยาทหรอกเจ้าค่ะท่านแม่ เพราะอาหงไม่คุยกับคนแปลกหน้า”“นี่แหละตัวเสียมารยาทเลย”“อ้าว ก็ท่านพ่อสอนอาหงเองนี่เจ้าคะว่าห้ามคุยกับคนแปลกหน้า ห้ามรับของจากคนที่ไม่รู้จักเพราะมันอันตราย”“เฮ้อ เอาเช่นนี้ ลูกไม่ต้องสนทนากับเขา แต่ว่าถ้าเขาบังเอิญเจอหรือถามสิ่งใดกับลูก ลูก
เพียงชั่วพริบตา ท่ามกลางแสงอาทิตย์สาดส่องภายใต้ท้องฟ้าสีคราม ด้านหน้าประตูเมืองหลวง มีขบวนรถม้าขนาดใหญ่ ของคณะทูตที่มาจากต่างแคว้น กำลังเคลื่อนเข้ามาอย่างช้า ๆ โดยรอบขบวนรายล้อมไปด้วยทหารม้าเกราะเหล็กผู้ที่ขี่ม้านำขบวนเข้ามาคือเว่ยซือซาน เขาอยู่ในชุดแม่ทัพใหญ่เต็มยศ ทั้งองอาจและสง่าผ่าเผย บุรุษอีกผู้หนึ่งที่ควบม้าข้างผู้เป็นแม่ทัพใหญ่มีท่วงท่าน่ามองไม่ต่างกัน เรียกสายตาจากชาวบ้านที่มาต้อนรับขบวนคณะทูตจากต่างแคว้นได้มากไม่แพ้กันคือ ชินอ๋องหนึ่งเดียวของแคว้นโจว โจวเฟยหมิงด้วยใบหน้าคมสันคิ้วกระบี่พาดเฉียง ดวงเนตรดำขลับดุดันแฝงอันตราย ทว่ายามมองชาวประชากลับมีแววอ่อนโยนพาดผ่าน ความนิยมของหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์จึงเพิ่มมากยิ่งขึ้น สังเกตได้จากจำนวนผ้าเช็ดหน้าที่ปลิวว่อนอยู่ตอนนี้ หนึ่งแม่ทัพใหญ่ หนึ่งสายเลือดราชวงศ์ ได้แต่หันหน้าสบสายตากันก่อนเว่ยซือซานจะเอ่ยเย้าชินอ๋องว่า “ถึงไม่ได้อยู่เมืองหลวงนาน แต่ความนิยมของพระองค์ก็ไม่ได้ลดลงเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”“ฮ่าฮ่า ขอน้อมรับด้วยความยินดี น่าเสียดายที่ข้าไม่คิดรับใครเข้ามาในตอนนี้”“พระองค์จะอยู่คนเดียวไปถึงเมื่อไหร่ อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้วนะพ่ะย่ะ
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“
แม้มื้ออาหารจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่คนตระกูลเว่ยก็ยังไม่ได้แยกย้าย พวกเขายังคงต้องการพูดคุยกับเว่ยซือหงให้มากอีกหน่อย ความคิดถึงที่มีมาตลอดหนึ่งเดือนก็ยังไม่เบาบางลงเลย จะให้รีบไปไหนเล่าเว่ยซือเองก็พูดคุยกับครอบครัวด้วยความสนุกสนาน ทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องราวที่ตนเองเผชิญมาให้เว่ยซือหงฟัง เจ้าตัวเล็กก็มีอารมณ์ร่วมไปเสียหมด พาลให้คนเล่ามีใจอยากยิ่งอยากเล่าเพิ่ม ความสุขเรียบง่ายที่มีคุณค่าทางใจยิ่งกว่าของหายากราคาแพงเช่นนี้ คนตระกูลเว่ยหวงแหนมันมาก ครั้นทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องจนครบแล้วพลันถึงตาเจ้าตัวน้อยบ้าง“แล้วเจ้าเล่าน้องเล็ก เก็บตัวฝึกฝนเสียนาน มีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง” เว่ยซือเหลียงเป็นฝ่ายถามน้องสาวเว่ยซือหงเห็นสายตาทุกคนมองมาอย่างรอคอยและคาดหวังได้แต่ระบายยิ้มกว้างก่อนจะยอมเปิดเผยระดับพลังปัจจุบันของตนทันที ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนในครอบครัวต่างแตกตื่นตกใจ โดยเฉพาะพี่ชายคนรองอย่างเว่ยซือเหลียง“พลังปราณระดับนักรบขั้นสูง!”“เจ้าค่ะ” เห็นน้องสาวรับคำยิ้ม ๆ เช่นนี้พี่ชายอย่างเขารู้สึกปวดใจจริง ๆ ให้ตายเถอะน้องเล็กมีระดับเดียวกันกับเขาเลย!“ระดับเท่าพี่เลยน้องเล็ก นี่คือความแตกต่างของคนธรรมด
วันเวลาภายในมิติผ่านไปแล้วสิบปี โลกภายนอกก็ผ่านไปนานนับเดือนเช่นกัน ความคิดถึงและความห่วงใยที่มีต่อบุตรหลานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นานแล้วที่เว่ยซือหงเก็บตัวฝึกฝน หากไม่รู้ว่านางเข้าไปในมิติจิตวิญญาณพวกตนคงจะเป็นกังวลและไม่เป็นอันกินอันนอนมากกว่านี้อย่างไรก็ตาม พวกเขาอยู่กับเว่ยซือหงทุกวันตั้งแต่นางเกิดจวบจนอายุใกล้จะแปดขวบแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่ต้องห่างกันนานถึงเพียงนี้สักครั้ง ความอดทนที่เคยมีชักจะมอดลงไปทุกทีถึงคนตระกูลเว่ยยังใช้ชีวิตเช่นเดิม ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำสิ่งนั้น แต่มันขาดความมีชีวิตชีวาและสีสันในชีวิต เสียงเจื้อยแจ้วที่เคยทำให้จวนสดใส เสียงหัวเราะของนางที่เคยทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาผ่อนคลายความเครียดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยามไม่มีจึงรู้สึกขาดหายและกระหายถึงสิ่งนั้นมากขึ้นร่วมเดือนที่จวนตระกูลเว่ยเงียบเหงา ยิ่งช่วงสองสามวันที่ผ่านมาถึงกับขาดความมีชีวิตชีวาจนแม้แต่บ่าวรับใช้ยังรู้สึกได้ พวกตนก็คิดถึงคุณหนูน้อยเช่นกัน อยากให้นางมาสร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศแสนสดใสให้จวนตระกูลเว่ยโดยเร็ว เจ้านายในจวนจะได้แช่มชื่นขึ้นมาบ้างความกังวลของบ่าวรับใช้นั้นค่อนข้างมาก ถึงขั้นรวมตัวกันนำเรื
เว่ยซือหงเริ่มเดินพลังในร่างกายอีกครั้ง แต่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความติดขัดที่ตนไม่เคยเจอ ภายนอกคิ้วได้รูปของนางขมวดแน่น หากภายในจิตวิญญาณกลับสงบนิ่งมั่นคงอย่างมากเมื่อระดับการบ่มเพาะถูกทำลาย เส้นชีพจรต่าง ๆ จะอุดตันเต็มไปด้วยความสกปรกจากการดูดซับลมปราณ แม้แต่เว่ยซือหงที่ดูดซับลมปราณภายในมิติที่มีความบริสุทธิ์มาตลอดก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ด้วยเคล็ดวิชาหยินหยางลมปราณสวรรค์ ปัญหาดังกล่าวจึงถูกจัดการได้อย่างไร้ที่ติเว่ยซือหงเดินพลังด้วยเส้นลมปราณสีทอง ซึ่งมีชื่อว่าเส้นลมปราณสวรรค์ ชักนำมันไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ด้วยความวิเศษของตัวเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ ร่วมกับเส้นลมปราณสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมนาง สิ่งต่าง ๆ ที่อุดตันในร่างกายจึงถูกกำจัด ทั้งเส้นเลือดและเส้นชีพจรยังถุกกรุยทางจนโล่ง ความสกปรกถูกชะล้างครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งการเดินพลังไร้การติดขัด เด็กน้อยจึงเริ่มการฝึกในลำดับต่อไปเว่ยซือหงค่อย ๆ ชักนำเส้นลมปราณสวรรค์ไปตามเส้นชีพจรต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ตามความรู้ที่ได้รับจากเคล็ดวิชา ความอุ่นร้อนจนเกือบร้อนลวกอยู่กึ่งกลางหน้าท้อง ตันเถียนที่ถูกทำลายไปเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ซึ่งมาพร้อมความเจ็บปวดเกินหยั่