“ว่ามา ตัวแทนคณะทูตพวกนั้นแสดงท่าทีเช่นไรบ้าง”“จากที่กระหม่อมสังเกต ดูเหมือนพวกเขาจะตื่นตาตื่นใจกับแคว้นของเรานะพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่”“เช่นนั้นหรือ แล้วเจ้าคิดอย่างไรซือซาน”“กระหม่อมคิดว่าพวกเขาเพิ่งมา เราคงบอกสิ่งใดได้ไม่มากนัก มีแต่ต้องจับตาดูต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นก็จับตาดูต่อไป ฝากเจ้าด้วยแล้วกันซือซาน”“เป็นหน้าที่ของกระหม่อมอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเรื่องที่แคว้นปิงส่งองค์หญิงใหญ่ไป๋ฟางเซียนมาเป็นตัวแทนทูตเล่า พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร”“กระหม่อมคิดว่านางงดงามไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ เพราะพระอนุชาของพระองค์ทรงมองนางตาไม่กะพริบทีเดียว”“นี่ ว่าอย่างไรนะ! เจ้าชอบนางหรือเฟยหมิง? ให้พี่เตรียมสินสอดเลยดีหรือไม่?” ฮ่องเต้ถามด้วยความกระตือรือร้น ความดีใจประทับบนพระพักตร์ ในที่สุดน้องชายของเขาก็ถูกตาต้องใจสตรีเสียทีเว่ยซือซานที่วางเพลิงคนอื่นลอบขำ มองชินอ๋องด้วยรอยยิ้มรู้ทัน คิดว่าเขาจะไม่สังเกตเห็นเชียวหรือ ก่อนหน้านี้ที่ส่งจดหมายไปแจ้งว่าคณะทูตจะมาเยือนพร้อมขอชมแปลงเพาะปลูก ขอให้อีกฝ่ายมา โจวเฟยหมิงกลับไม่ตอบรับว่าจะมาต่อมาภายหลังทราบว่าในขบวนคณะทูต มีองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นปิงไป๋ฟางเซียน เป็นตัว
“ท่านแม่งดงามมากเจ้าค่ะ” เว่ยซือหงเอ่ยชมมารดา ดวงตากลมโตของเจ้าตัวมองหลิวลี่หงด้วยประกายชื่นชมฝ่ายถูกชมยิ้มบาง มองบุตรสาวด้วยสายตารักใคร่เอ็นดูนัก “หงเอ๋อร์ของแม่ก็งดงามมาก”เจ้าตัวน้อยยิ้มแป้น “อาหงย่อมงดงามเหมือนท่านแม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ”มารดาและบุตรสาวหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนเจ้าตัวน้อยจะถูกมารดารังแกพวงแก้มก้อนแสนนุ่มนิ่มเสียเต็มรักเสียงหัวเราะและรอยยิ้มสดใสของบุตรสาวทำให้เว่ยซือซานที่ยืนแอบมองอยู่หน้าประตูฉีกยิ้ม สาวเท้าเดินเข้าไปหาพวกนางทั้งคู่เพราะใกล้เวลาออกเดินทางแล้ว“พวกเจ้าแม่ลูกเล่นอะไรกันอยู่ แต่งตัวเรียบร้อยหรือยัง ใกล้เวลาเดินทางแล้วนะ”“อาหงเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านแม่ก็เช่นกัน ท่านพ่อดูสิเจ้าคะ ท่านแม่งดงามหรือไม่”เว่ยซือซานมองภรรยาด้วยความรักที่มันล้นปรี่จนแววตาของเขาพาดผ่านร่องรอยความปรารถนา หลิวลี่หงถูกสายตาร้อนแรงของสามีจับจ้องมาถึงกับขวยอายหน้าแดงก่ำแสร้งดุบุตรสาว“พูดอะไรเช่นนั้นหงเอ๋อร์ ประเดี๋ยวเถอะ แม่จะตีเข้าให้”“อ้าว ก็ท่านแม่งดงามจริง ๆ นี่นา อาหงอยากอวดท่านพ่อ มันผิดหรือเจ้าคะ” ใบหน้าผิดหวังของบุตรสาวทำหลิวลี่หงร้อนใจ“มะ ไม่ผิด”“จริงหรือเจ้าค
งานรื่นเริงไหนเลยจะขาดอิสตรีได้ เหล่านางรำที่ถูกฮองเฮาคัดเลือกมาเป็นอย่างดีพลันขึ้นรำถวายตามลำดับที่วางไว้แขกบ้านแขกเมืองที่มาเยือนต่างตื่นตาตื่นใจกับการแสดงที่ไม่เคยเห็นพร้อมทั้งบทเพลงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เมื่อจบการแสดงแต่ละชุดเหล่านางรำต่างได้รับการตกรางวัลไปไม่น้อยฮองเฮาที่เป็นแม่งานคนสำคัญในครั้งนี้ถึงกับแย้มพระโอษฐ์กว้างกว่าครั้งไหน ๆ คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ไปปรึกษากับท่านอาหญิงของตน ผลงานในวันนี้ออกมาดีและยอดเยี่ยมมากจริง ๆจวบจนการแสดงครบทุกชุดจบลง เสียงเอ่ยชมพร้อมทั้งคำถามถึงที่มาของการแสดงก็ดังขึ้นติด ๆ กัน“งดงามนัก บทเพลงหรือก็ไพเราะเพราะพริ้ง ช่างตรึงจิตตรึงใจเสียจริง”“นั่นสิ ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินบทเพลงเหล่านี้มาก่อน ไม่ทราบว่าได้อาจารย์จากไหนฝึกสอนหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฮุ่ยหวง เสนาบดีกรมพิธีการแคว้นหนานเอ่ยถาม การแสดงเมื่อครู่นั้นดีมากจริง ๆ หากสามารถนำไปแสดงที่แคว้นของตนได้คงจะดีไม่น้อยโจวเฟยหลงฮ่องเต้แย้มพระโอษฐ์พลางว่า “ว่าเช่นไรเล่าฮองเฮา ท่านทูตจากแคว้นหนานเอ่ยถาม พอจะไขข้อสงสัยให้เขาได้หรือไม่”“เพคะฝ่าบาท การแสดงในวันนี้ เป็นการแสดงที่เปิ่นกงและท่านอาหญิงฝึกสอนเหล่านางรำ
เช้าวันใหม่มาเยือนอย่างรวดเร็ว โจวเฟยหลงฮ่องเต้พร้อมด้วยโจวเฟยหมิงชินอ๋องผู้เป็นน้องชาย ตัวแทนคณะทูต และผู้ร่วมติดตามเกือบร้อยชีวิต มารวมตัวกันที่หน้าไร่ตระกูลเว่ยเว่ยซือหลิวและเว่ยซือซานทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี เขานำกลุ่มคนสูงศักดิ์และแขกผู้มีเกียรติเข้าไปในไร่ตระกูลเว่ยทันทีที่คนทั้งหมดก้าวขาเข้ามาในอาณาเขตที่ดินหนึ่งพันหมู่ต่างตกอยู่ในภวังค์ สีเขียวของพืชพรรณที่เจริญงอกงามดีกระแทกเข้าตาอย่างจัง ตามมาด้วยเสียงอื้ออึงเดิมทีรู้อยู่แล้วว่าตระกูลเว่ยปลูกพืชผักได้ แต่ไม่คิดว่าปุ๋ยหมักของตระกูลเว่ยจะให้ผลดีได้มากขนาดนี้ เปรียบเทียบพื้นที่ภายในไร่ตระกูลเว่ยกับนอกกำแพงนั้น มันไม่ต่างอันใดกับนรกและสวรรค์ตระกูลเว่ยช่างทำให้คนตื่นตกใจดีจริง ๆ เช่นนั้นปุ๋ยหมักที่สั่งจากพวกเขาจำนวนมากก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าจะได้ผลหรือไม่ เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือข้อพิสูจน์เป็นหลักฐานชั้นดี“งดงามมาก”“พืชผักพวกนี้มันเติบโตได้จริง ๆ”“ตระกูลเว่ยไม่ได้หลอกลวงผู้คน ปุ๋ยหมักของพวกเขาคือของจริง”เสียงชื่นชมของเหล่าคณะทูตที่มีต่อตระกูลเว่ยดังระงม เรียกรอยยิ้มจากสองพ่อลูกได้ไม่น้อย สองโอรสสวรรค์เองก็รู้สึกภูมิใจและดีใจ
“คารวะท่านอ๋องเพคะ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องกำลังจะไปที่ใดหรือเพคะ ขอหม่อมฉันไปด้วยคนได้หรือไม่” ฮุ่ยหลิงบุตรสาวเสนาบดีกรมพิธีการ สาวงามที่มาจากแคว้นหนานเอ่ยทักชินอ๋องรูปงามของแคว้นโจวอย่างมีจริตเขินอายเนตรคมมองตอบหญิงงามนิ่งนานจนฮุ่ยหลิงใจสั่น ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าดวงตาคู่นี้น่ากลัวนัก ทว่าเมื่อคิดถึงแผนการที่วางเอาไว้กับอ๋องอีกคน จึงเผยรอยยิ้มขวยอายลบความรู้สึกไม่ดีทิ้งไป“เปิ่นหวางจะไปรับมื้อเที่ยงที่โรงเตี๊ยมตระกูลหลิว หากคุณหนูฮุ่ยหลิงอยากไปก็ย่อมได้”“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ” พอได้รับคำอนุญาตหญิงสาวจึงเอ่ยตอบรับด้วยความดีใจ แววตาที่ทอประกายครุ่นคิดเต็มไปด้วยแผนการ ซึ่งทุกอย่างอยู่ในสายตาของโจวชินอ๋อง หากเขาไม่เปิดโปงนาง เล่ห์เพทุบายใดที่นางอยากใช้ หากคิดว่ารับผลของมันได้ เชิญลงมือได้เลยคิดแล้วให้รู้สึกแปลก เหตุใดหนานชินอ๋องถึงได้คิดว่าตนจะตกหลุมพรางนี้ง่าย ๆ กันนะอันบุรุษพ่ายแพ้สามงามอะไรเทือกนั้น ใช้กับเขาไม่ได้ผลสักนิด คนอย่างเขาหากไม่รู้สึกพึงใจ ต่อให้โดนพิษปลุกกำหนัดก็ต้องกระเสือกกระสนเอาตัวเองออกจากสถานการณ์อันตรายให้ได้อยู่แล้วช่างน่าผิดหวังกับความคิดอ่านของหนานชิ
เว่ยซือซานมองผ่านช่องเล็ก ๆ ที่เจาะเป็นรูพอมองเหตุการณ์ด้านในต่อได้ ครั้นเห็นว่าน้องชายต่างสายเลือดที่นับถือกันแสร้งหลับอย่างว่าง่าย และเฝ้าดูคุณหนูชนชั้นสูงจากแคว้นหนานดำเนินแผนการต่อไปนั้นแม่ทัพเว่ยซือซานไม่ได้รีบร้อนออกไปช่วยอีกฝ่ายนัก ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว รอจนกระทั่งคุณหนูฮุ่ยหลิงและคนของนางพาชินอ๋องหนุ่มเข้าไปพักยังห้องพักเขาจึงปรากฏตัว“สนุกหรือไม่คุณหนู ข้าเพิ่งรู้ว่าสตรีแคว้นหนานมากเล่ห์ถึงเพียงนี้”“พะ พวกท่าน พวกท่านเข้ามาได้อย่างไร”“เหตุใดจะเข้ามาไม่ได้ ในเมื่อที่นี่คือโรงเตี๊ยมตระกูลพ่อตาข้า” เว่ยซือซานเอ่ยตอบอย่างใจเย็น“ไม่ ต้องไม่ใช่แบบนี้”“แล้วต้องเป็นแบบไหน ต้องเป็นไปตามแผนการของพวกเจ้าแคว้นหนานใช่หรือไม่ถึงจะถูกต้อง”“ท่านอ๋อง!” สาวงามตกใจมองคนที่มั่นใจว่าหลับไปด้วยฤทธิ์ยาสลบแล้วตาแทบถลน“ตกใจหรือ คนที่ตกใจสมควรเป็นเปิ่นหวางมากกว่า ที่คุณหนูชนชั้นสูงวางแผนร้ายจับผู้ชาย”“มะ ไม่ใช่นะเพคะ”“เหตุใดจะไม่ใช่! ในเมื่อเห็นกันอยู่ทนโท่” สายตาเย็นชากับเสียงแข็ง ๆ ของโจวเฟยหมิงสร้างความกดดันให้ฮุ่ยหลิงอย่างมากหญิงงามส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ยอมรับ หากถูกจับได้ตอนแผ
เพล้ง! “ไม่ได้เรื่อง! เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ก็ยังทำไม่สำเร็จ ข้าน่าจะเลือกคนอื่นมาทำหน้าที่นี้ตั้งแต่แรก ไม่น่าเชื่อใจเจ้า” หนานอี้เฉินโกรธเกรี้ยวเมื่อแผนการที่วางไว้ตั้งแต่อยู่แคว้นหนานผิดพลาด ดวงตาคมดุตวัดมองร่างแน่งน้อยที่นั่งคุดคู้อยู่ที่พื้นข้างบิดาของนางด้วยแววตาเย็นเยียบ“ขอท่านอ๋องทรงพระทัยเย็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านจะให้ข้าใจเย็นทั้งที่บุตรสาวท่านทำแผนข้าพังเนี่ยนะท่านเสนาบดี ท่านใช้อะไรคิด!”ฮุ่ยหวงเสนาบดีกรมพิธีการแคว้นหนานสะอึก มือทั้งสองข้างกำแน่น อยากโต้กลับด้วยถ้อยคำรุนแรง หากติดที่ว่าเขาเป็นผู้น้อย พูดสิ่งใดไปย่อมไร้น้ำหนักในใจอ๋องหนาน มิสู้อยู่เงียบ ๆ ให้พระองค์ทรงพระทัยเย็นด้วยตนเอง ค่อยเสนอความคิดของเขาให้พระองค์ฟังอีกสักครั้ง เผื่อว่าท่านอ๋องจะเปลี่ยนใจยกเลิกแผนการต่าง ๆ ที่ทรงวางไว้หากมันสำเร็จคงเป็นประโยชน์ต่อแคว้นหนาน แต่ถ้าไม่สำเร็จเล่า แคว้นหนานของตนจะไม่เสียผลประโยชน์หรือ ไหนจะชาวเมืองที่ยังรอคอยการช่วยเหลืออีกพระองค์ทรงมองเพียงด้านเดียว ใช้ความโกรธครอบงำสติยั้งคิด ด้อยค่าแคว้นโจวเพราะแคว้นหนานแข็งแกร่งกว่า ทว่าในสายตาคนผ่านโลกมามากเช่นเขา ไหนเลยแคว้นที่เพาะปลูก
โทสะของหนานอี้เฉินยังคงคุกรุ่น แม้ว่าสองพ่อลูกจะออกจากห้องไปแล้วก็ตาม เดี๋ยวค่อยกลับไปชำระความกับพ่อลูกตระกูลฮุ่ยทีหลัง ยามนี้เมื่อแผนสาวงามไม่ได้ผล เช่นนั้นเขาก็จะทำสิ่งที่คิดตั้งแต่แรกกลางดึกคืนนั้นนับว่าสวรรค์เข้าข้างหนานอี้เฉิน เพราะราตรีนี้เป็นคืนเดือนมืด เหมาะแก่การลงมือขโมยสูตรปุ๋ยหมักตระกูลเว่ยยิ่งนักด้วยวรยุทธิ์ที่มี ไม่นานหนานอี้เฉินก็ถึงไร่ตระกูลเว่ย เขาเพ่งพิศกำแพงตรงหน้าที่ประเดี๋ยวก็ฉายภาพสัตว์อสูร อีกเดี๋ยวก็ฉายภาพหมอกพิษออกมาเป็นระยะด้วยรอยยิ้มชอบใจ“ภาพลวงตา”ถึงจะไม่ได้เรียนอักขระ แต่เขาครอบครองพลังธาตุมืดที่ไวต่ออักขระไหนเลยจะสัมผัสไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นเป็นภาพจริงหรือภาพลวง“แค่นี้ขวางข้าไม่ได้หรอก”หนานอี้เฉินกระโดดข้ามกำแพงเข้ามาภายในไร่ตระกูลเว่ยอย่างรวดเร็ว มุมปากของอ๋องหนุ่มยกสูง ก่อนตรงไปยังเรือนปุ๋ยหมักที่เล็งไว้ตั้งแต่แรกทันทีชายหนุ่มดีใจจนไม่สังเกตความผิดปกติของไร่ตระกูลเว่ย ลืมคิดไปว่าสถานที่ที่สามารถเพาะปลูกผักและผลิตปุ๋ยหมักรวมถึงหัวเชื้อเห็ดได้เช่นนี้ จะไม่มีเวรยามได้อย่างไรเพราะความมั่นใจในพลังที่ตนเองมี ทำให้หนานอี้เฉินชะล่าใจจนลืมคว
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“
แม้มื้ออาหารจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่คนตระกูลเว่ยก็ยังไม่ได้แยกย้าย พวกเขายังคงต้องการพูดคุยกับเว่ยซือหงให้มากอีกหน่อย ความคิดถึงที่มีมาตลอดหนึ่งเดือนก็ยังไม่เบาบางลงเลย จะให้รีบไปไหนเล่าเว่ยซือเองก็พูดคุยกับครอบครัวด้วยความสนุกสนาน ทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องราวที่ตนเองเผชิญมาให้เว่ยซือหงฟัง เจ้าตัวเล็กก็มีอารมณ์ร่วมไปเสียหมด พาลให้คนเล่ามีใจอยากยิ่งอยากเล่าเพิ่ม ความสุขเรียบง่ายที่มีคุณค่าทางใจยิ่งกว่าของหายากราคาแพงเช่นนี้ คนตระกูลเว่ยหวงแหนมันมาก ครั้นทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องจนครบแล้วพลันถึงตาเจ้าตัวน้อยบ้าง“แล้วเจ้าเล่าน้องเล็ก เก็บตัวฝึกฝนเสียนาน มีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง” เว่ยซือเหลียงเป็นฝ่ายถามน้องสาวเว่ยซือหงเห็นสายตาทุกคนมองมาอย่างรอคอยและคาดหวังได้แต่ระบายยิ้มกว้างก่อนจะยอมเปิดเผยระดับพลังปัจจุบันของตนทันที ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนในครอบครัวต่างแตกตื่นตกใจ โดยเฉพาะพี่ชายคนรองอย่างเว่ยซือเหลียง“พลังปราณระดับนักรบขั้นสูง!”“เจ้าค่ะ” เห็นน้องสาวรับคำยิ้ม ๆ เช่นนี้พี่ชายอย่างเขารู้สึกปวดใจจริง ๆ ให้ตายเถอะน้องเล็กมีระดับเดียวกันกับเขาเลย!“ระดับเท่าพี่เลยน้องเล็ก นี่คือความแตกต่างของคนธรรมด
วันเวลาภายในมิติผ่านไปแล้วสิบปี โลกภายนอกก็ผ่านไปนานนับเดือนเช่นกัน ความคิดถึงและความห่วงใยที่มีต่อบุตรหลานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นานแล้วที่เว่ยซือหงเก็บตัวฝึกฝน หากไม่รู้ว่านางเข้าไปในมิติจิตวิญญาณพวกตนคงจะเป็นกังวลและไม่เป็นอันกินอันนอนมากกว่านี้อย่างไรก็ตาม พวกเขาอยู่กับเว่ยซือหงทุกวันตั้งแต่นางเกิดจวบจนอายุใกล้จะแปดขวบแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่ต้องห่างกันนานถึงเพียงนี้สักครั้ง ความอดทนที่เคยมีชักจะมอดลงไปทุกทีถึงคนตระกูลเว่ยยังใช้ชีวิตเช่นเดิม ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำสิ่งนั้น แต่มันขาดความมีชีวิตชีวาและสีสันในชีวิต เสียงเจื้อยแจ้วที่เคยทำให้จวนสดใส เสียงหัวเราะของนางที่เคยทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาผ่อนคลายความเครียดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยามไม่มีจึงรู้สึกขาดหายและกระหายถึงสิ่งนั้นมากขึ้นร่วมเดือนที่จวนตระกูลเว่ยเงียบเหงา ยิ่งช่วงสองสามวันที่ผ่านมาถึงกับขาดความมีชีวิตชีวาจนแม้แต่บ่าวรับใช้ยังรู้สึกได้ พวกตนก็คิดถึงคุณหนูน้อยเช่นกัน อยากให้นางมาสร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศแสนสดใสให้จวนตระกูลเว่ยโดยเร็ว เจ้านายในจวนจะได้แช่มชื่นขึ้นมาบ้างความกังวลของบ่าวรับใช้นั้นค่อนข้างมาก ถึงขั้นรวมตัวกันนำเรื
เว่ยซือหงเริ่มเดินพลังในร่างกายอีกครั้ง แต่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความติดขัดที่ตนไม่เคยเจอ ภายนอกคิ้วได้รูปของนางขมวดแน่น หากภายในจิตวิญญาณกลับสงบนิ่งมั่นคงอย่างมากเมื่อระดับการบ่มเพาะถูกทำลาย เส้นชีพจรต่าง ๆ จะอุดตันเต็มไปด้วยความสกปรกจากการดูดซับลมปราณ แม้แต่เว่ยซือหงที่ดูดซับลมปราณภายในมิติที่มีความบริสุทธิ์มาตลอดก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ด้วยเคล็ดวิชาหยินหยางลมปราณสวรรค์ ปัญหาดังกล่าวจึงถูกจัดการได้อย่างไร้ที่ติเว่ยซือหงเดินพลังด้วยเส้นลมปราณสีทอง ซึ่งมีชื่อว่าเส้นลมปราณสวรรค์ ชักนำมันไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ด้วยความวิเศษของตัวเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ ร่วมกับเส้นลมปราณสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมนาง สิ่งต่าง ๆ ที่อุดตันในร่างกายจึงถูกกำจัด ทั้งเส้นเลือดและเส้นชีพจรยังถุกกรุยทางจนโล่ง ความสกปรกถูกชะล้างครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งการเดินพลังไร้การติดขัด เด็กน้อยจึงเริ่มการฝึกในลำดับต่อไปเว่ยซือหงค่อย ๆ ชักนำเส้นลมปราณสวรรค์ไปตามเส้นชีพจรต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ตามความรู้ที่ได้รับจากเคล็ดวิชา ความอุ่นร้อนจนเกือบร้อนลวกอยู่กึ่งกลางหน้าท้อง ตันเถียนที่ถูกทำลายไปเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ซึ่งมาพร้อมความเจ็บปวดเกินหยั่