"นี่คือของที่ท่านพ่อให้ข้านำมาให้ท่าน"
เยว่ฉินจื่อหยิบกล่องไม้สลักลายสวยงามขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่เยว่จิ้นกงสั่งไว้ในจดหมายมอบให้เฉินปู้เกา
"ขอบคุณคุณชายใหญ่ มะรืนวันมงคลของท่าน แต่ข้าน้อยกลับเสียมารยาทมิได้มาร่วมงานเพราะต้องเดินทางตามคำสั่งแม่ทัพใหญ่ หวังว่าคุณชายใหญ่จะไม่ถือสา"
"ธุระที่ท่านพ่อไหว้วานย่อมเป็นเรื่องสำคัญ ท่านเฉินอย่าได้เกรงใจ ไว้กลับจากงานค่อยมาดื่มเหล้าฉลองให้ข้าทีหลังย่อมได้"
"คุณชายใหญ่ใจกว้างและเข้าใจผู้อื่นยิ่งนัก ข้าน้อยขอให้ท่านกับว่าที่ฮูหยินครองรักยาวนาน มีลูกหลานสืบสกุลเร็ว ๆ"
"ฮ่า ๆ ขอบคุณท่านเฉิน เร่งเดินทางเถิด กว่าจะเดินทางถึงเมืองตู้คงกินเวลาค่อนวัน"
"เช่นนั้นข้าน้อยกับบุตรชายขอลา"
"เดินทางปลอดภัย"
เมื่อทั้งสองพ่อลูกสกุลเฉินกลับออกไปแล้ว เยว่ฉินจื่อหยิบจดหมายฉบับเดิมออกมาอ่านทวนอีกรอบ
จู่ ๆ เขากลับรู้สึกว่าในกล่องใบนั้นที่เฉินปู้เการับไปจะต้องเป็นของที่สำคัญและอาจนำพามาถึงความวุ่นวายในภายภาคหน้า
"ท่านพ่อ หรือว่าท่านกำลังปิดบังอันใดกับพวกเรา"
คนอย่างเยว่จิ้นกงมิเคยติดต่อผ่านจดหมายเช่นนี้ ของทุกชิ้นในห้องเขาหากจะมอบให้ใครเขาจะเป็นคนหยิบจับมันเอง หากแต่ครานี้เหมือนเจ้าของห้องมิต้องการให้ใครรับรู้ว่าได้มอบของบางสิ่งให้กับผู้อื่นจึงได้จัดการมากเรื่องเช่นนี้
"พี่ใหญ่ ข้าจัดการน้องเล็กให้กลับห้องได้แล้วขอรับ"
หลังหลอกล่อให้เยว่อันหนิงกลับห้องพักตนเองสำเร็จ เยว่อินกวานเลยรีบตามพี่ชายมาถึงที่นี่
"อืม ทำดีแล้ว"
เยว่อินกวานได้ยินสุ้มเสียงพี่ใหญ่รู้สึกถึงความผิดปรกติจึงเอ่ยถาม
"พี่ใหญ่มีเรื่องอันใดไม่สบายใจหรือขอรับ"
เป็นพี่น้องที่ห่างกันเพียงหัวปีท้ายปี อยู่ด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน ออกศึกรบด้วยกันมาตั้งหลายหนจึงจับพิรุธของอีกคนได้อย่างไม่ต้องรอให้เจ้าตัวเอ่ยปรึกษา
"จู่ ๆ จิตใจข้าก็ไม่สงบ คล้ายกับอาจจะมีเรื่องใหญ่ตามมาไม่ช้าก็เร็วนี้"
ลางสังหรณ์ของเยว่ฉินจื่อแม่นแทบจะทุกครั้ง ทำให้เขามักได้นำทัพหน้าออกไปหยั่งเชิงศัตรูก่อนทุกหน
"เมื่อครู่ เฉินปู้เกานำของสิ่งใดไปหรือขอรับ"
เยว่อินกวานเดินมาทันได้เห็นตอนพี่ใหญ่เขายื่นกล่องไม้ให้เฉินปู้เกาพอดีจึงใคร่อยากรู้
เยว่ฉินจื่นได้แต่ส่ายหัวเล็กน้อยเพราะเขาไม่ได้เปิดดูของสิ่งนั้นว่ามีอะไรอยู่ด้านใน
จังหวะที่บุรุษทั้งสองกำลังจะสนทนากันต่อ เสียงโวยวายจากลานหน้าจวนจึงดังขัดจังหวะขึ้นพอดิบพอดี
"จับกุมคนในจวนเยว่ให้หมดทุกคน!"
เสียงทรงอำนาจดังก้องกังวาลไปทั้งจวนเยว่
เหล่าทหารแต่งชุดเกราะเต็มยศราวกำลังจะออกศึกวิ่งกรูเรียงแถวเข้ามาคุมตัวบ่าวสาวรับใช้ในเรือนราวนักโทษฉกรรจ์
"นี่มันเรื่องอันใด"
เยว่ฉินจื่อที่ได้ยินเสียงโวยวายของข้ารับใช้ในเรือนรีบวิ่งออกมาดู
ภาพตรงหน้าทำให้กระบี่ในมือเขาสั่นแทบจะออกจากฝัก เหล่าบ่าวสาวรับใช้ ไม่ว่าจะเด็ก คนแก่ สตรีหรือบุรุษต่างถูกกระบี่แสนแหลมคมจ่อไปที่บ่าหนึ่งต่อหนึ่งเยี่ยงนักโทษต้องประหาร
"จับกุมตัว!"
หากแต่ผู้มาเยือนในชุดว่าราชการเต็มยศสีแดงเลือดหมูกลับมิสนใจตอบคำถามของบุตรชายเจ้าบ้าน เปล่งคำสั่งเด็ดขาดจบ ทั้งคุณชายใหญ่และคุณชายรองสกุลเยว่ต่างถูกจับกุมตัวให้นั่งคุกเข่าลงพื้นเฉกเช่นคนอื่น ๆ อย่างไม่ทันจะได้ขัดขืน
"ปล่อยข้า ปล่อยข้านะ!"
"โอ้ย! เจ้ากล้ากัดข้าหรือ นางเด็กนี่!"
"อย่าทำร้ายหนิงเอ๋อร์"
เสียงโวยวายของสตรีมากกว่าสามคนดังขึ้นทางด้านหลัง ครั้นหันไปมองจึงเห็นทหารสี่ห้าคนจับกุมตัวฮูหยินใหญ่ของจวนเยว่พร้อมกับบุตรีอีกสามคน
หากแต่เยว่อันหนิงน้องเล็กของบ้านกลับดื้อรั้น นางไม่ยอมให้ทหารจับกุมตัวอย่างไร้เหตุผล พยายามหนีการจับกุมและทำร้ายคนที่ตามจับนางอย่างไม่เกรงกลัว
ปลายกระบี่คมวับง้างขึ้นเตรียมฟาดฟันเด็กน้อยหากแต่ถูกเยว่ฮูหยินวิ่งเข้ามารั้งไว้เสียก่อน
"หนิงเอ๋อร์!"
"ท่านแม่!"
เสียงเยว่ฉินจื่อกับเยว่อินกวานตะโกนอย่างเสียวไส้เมื่อเห็นเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อครู่
"ใต้เท้า ได้โปรดไว้ชีวิตลูกสาวข้าด้วยเถิด นางยังเด็กนักไม่รู้ประสาที่ล่วงเกินลูกน้องท่าน"
เยว่ฮูหยินยอมลดศักดิ์ศรีของภรรยาแม่ทัพใหญ่ที่สร้างชื่อเสียงและความดีความชอบให้เมืองเทียนติ่งมานับไม่ถ้วน โขกศีรษะลงกับพื้นวอนขอความเมตตาจากมือกระบี่ที่หมายคร่าชีวิตบุตรสาวนางอย่างไร้ปรานี
"เลิกเสียเวลาได้แล้ว ทุกคนในจวนเยว่รับราชโองการ"
เสียงดุดันตะเบ็งจนดังสะท้อนทั่วลานกว้างของจวนเยว่ ม้วนหนังสือสีทองอร่ามถูกหยิบออกมาจากกล่องอันหรูหรา
มู่ตงหยวนเจ้ากรมตุลาการแห่งศาลเทียนอวี่ค่อย ๆ คลี่ราชโองการพร้อมอ่านอย่างชัดถ้อยชัดคำ
"แม่ทัพใหญ่เยว่จิ้นกงมักใหญ่ใฝ่สูงหวังยึดอำนาจ แอบลักลอบซ่อนสุมกำลังลับเอาไว้ห้าหมื่นนายหมายสั่นคลอนความสงบสุขของราชบัลลังก์ ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ลงโทษสถานหนัก ปลดตำแหน่งแม่ทัพใหญ่และลงโทษประหารชีวิตพร้อมบุตรชายทั้งสอง เยว่ฉินจื่อและเยว่อินกวาน จากนั้นนำหัวเสียบประจานหน้าประตูเมือง ฮูหยินใหญ่ไฉอันปิงและอนุถูกส่งไปเป็นทาสให้แคว้นพันธมิตร บุตรสาวทั้งสาม เยว่จินจิน เยว่อิงเถา เยว่อันหนิง ถูกส่งเป็นเครื่องบรรณาการแก่แคว้นเสียนหย่ง บ่าวไพร่ที่เหลือถูกเนรเทศออกนอกเมืองห้าพันลี้ตลอดชีวิต จบราชโองการ"
"ไม่จริง! ท่านพ่อไม่เคยซ่อนสุมกำลังทหารอย่างลับ ๆ ต้องมีคนใส่ร้ายท่านแน่""ฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมแก่สกุลเยว่พวกเราด้วยเพคะ สามีข้าหายใจเข้าออกมีแต่บ้านเมือง ไหนเลยจะกล้าคิดการใหญ่ก่อกบฎเช่นนี้"ทั้งเยว่ฉินจื่อและเยว่ฮูหยินต่างพากันคัดค้านราชโองการอย่างเด็ดเดี่ยว หากแต่เสียงของพวกเขาคงดังได้เพียงในจวนสกุลเยว่แห่งนี้ เมื่อทุกอย่างถูกตัดสินมาแล้ว"เยว่ฮูหยิน รับราชโองการ"สายตาของเจ้ากรมตุลาการมู่ตงหยวนมิได้มีความเคลือบแคลงหรือสงสารคนตรงหน้าสักนิด คำสั่งเด็ดขาดบังคับให้ผู้มีอำนาจรองจากเจ้าของจวนให้มารับม้วนราชโองการเหมือนมีดที่กรีดลมหายใจคนทั้งจวน"ห...หม่อมฉัน...รับราชโองการ"เสียงอันสั่นเครือของเยว่ฮูหยินดังบาดหัวใจบุตรชายและบุตรสาวรวมถึงข้ารับใช้ แม้ในใจพวกเขามีหมื่นล้านคำอยากแก้ข้อครหาให้ผู้เป็นนายท่านแต่พวกเขาเป็นเหมือนมดปลวกใครจะให้ค่า โทษทัณฑ์จากเนรเทศหากกล้างัดข้อกับท่อนซุงใหญ่คงเปลี่ยนเป็นโทษตายอย่างมิต้องสงสัยตุบ!ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดกลับเกิดขึ้นเมื่อเยว่อันหนิงใจกล้าบ้าบิ่นปัดราชโองการที่มารดากำลังเอื้อมมือไปรับลงพื้นจนกลิ้งหลุน ๆ หยุดที่ปลายเท้าของเจ้ากรมตุลาการมู่ตงหยวน
"เข้าไป!""โอ้ย!""ท่านแม่ น้องสามระวังด้วย" เยว่ฉินจื่อกล่าวบัดนี้ทหารของมู่ตงหยวนได้ควบคุมตัวเยว่ฮูหยินกับเหล่าคุณชายคุณหนูทั้งห้ามาที่คุกใต้ดินของศาลเทียนอวี่ตามคำสั่งเจ้ากรมตุลาการมู่"ข้าไม่เป็นอะไร พี่ใหญ่น้องห้าเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ"เสียงคุณหนูสามเยว่จินจินเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของเยว่ฉินจื่อ"น้องห้าแค่สลบ เดี๋ยวผ่านไปสักประเดี๋ยวนางก็ฟื้น"ได้ยินบุตรชายคนโตบอกเช่นนี้ทุกคนจึงเบาใจลง"จื่อเอ๋อร์ นั่นเจ้าหรือ"หากแต่เสียงที่แหบแห้งแต่แสนคุ้นหูกลับดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อนทุกคนจึงมองหาต้นทางของเสียงจนพบเข้ากับห้องขังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแม้สภาพของคนที่ถูกล่ามข้อมือทั้งสองขึงไว้กลางห้องจะไม่น่าชม ทว่าพวกเขากลับจำได้ดีว่าคนผู้นั้นคือใคร"ท่านพี่!"เยว่ฮูหยินรีบถลาเข้ามาเกาะไม้ท่อนใหญ่สอดใบหน้าตรงช่องว่างที่พอให้มองเห็นภายนอกเพื่อพูดคุยกับคนที่อยู่ห้องขังตรงข้ามได้ในใจนางเจ็บปวดรวดร้าวแทบลืมหายใจเมื่อเห็นสภาพสามีที่ไม่เหลือความสง่าของแม่ทัพใหญ่ที่น่าเกรงขาม"ฮูหยิน ครั้งนี้ข้าทำพวกเจ้าลำบากด้วยแล้ว"ใช่ว่าเยว่ฮูหยินจะเจ็บปวดเพียงคนเดียว คนที่ถูกหมายหัวและเป็นต้
"ชาตินี้วาสนาพวกข้าน้อยนัก พวกเจ้าจงใช้ชีวิตที่เหลือเผื่อพวกเราด้วย เข้าใจหรือไม่"เสียงสั่งลาของเยว่ฉินจื่อไร้การสั่นเครือใด ๆ เขากล่าวต่อน้องสาวทั้งสองที่มีสติด้วยเสียงเรียบเฉยราวการก้าวออกจากประตูคุกไปแล้วจะไม่มีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้น"พี่ใหญ่ พี่รอง"เยว่อันหนิงที่ค่อย ๆ ฟื้นขยับริมฝีปากเรียกพี่ชายทั้งสองที่นางมองเห็นเป็นอันดับแรก หากแต่น้องเล็กสุดที่เพิ่งลืมตาได้ยังไม่ทันหายใจหายคอทั่วท้องก็ถูกเยว่ฉินจื่อจับยาลูกกลอนยัดเข้าปากเพื่อให้นางสลบอีกหน"พี่ใหญ่นั่นยาอันใดหรือเจ้าคะ"เยว่อิงเถาตกใจที่จู่ ๆ น้องเล็กก็ถูกจับกรอกยาแล้วสลบไร้สติต่อ"มิต้องห่วง นี่คือยาสงบใจ จะช่วยให้หนิงเอ๋อร์หลับสบายยาวขึ้นจนถึงรุ่งสาง"พอได้ยินเช่นนี้สตรีทั้งสองนางก็โล่งอกเป็นเช่นนี้ดีแล้วเพราะพวกนางก็ไม่รู้จะรับมือกับน้องเล็กผู้นี้เพียงลำพังสองคนได้เช่นไร"ร่ำลากันพอหรือยังใกล้จะเลยฤกษ์แล้ว!"เสียงดุดันของหัวหน้าทหารที่ด้านนอกประตูคุมขังดังขึ้นแววตาพวกเขาไร้อารมณ์สงสารกับภาพครอบครัวที่ต้องลาจากกันชั่วชีวิตสักนิดเยว่จินจินกับเยว่อิงเถานั่งลงกับพื้น สองมือประสานทับกันก้มศีรษะโขกพื้นเพื่อเป็นการร่ำลาพี่ชายท
ตอนนี้เป็นเวลารุ่งสางของเช้าวันใหม่ ขบวนรถม้ากำลังนำทางพาคุณหนูทั้งสามของสกุลเยว่ไปส่งยังแคว้นเสียนหย่งเมื่อหนึ่งก้านธูปที่ผ่านมา รถม้าได้ผ่านประตูเมืองเทียนติ่ง ทำให้คุณหนูสามและคุณหนูสี่ได้เห็นภาพชวนสยองแสนจะหดหู่หัวใจศีรษะของบิดาและพี่ชายถูกเสียบประจานที่หน้าประตูเมืองตามราชโองการเลือดที่ได้รับ สตรีทั้งสองเป็นลมล้มพับทันทีที่สายตาต้องเข้ากับใบหน้าซีดเผือดที่ไร้วิญญาณของทั้งสามคน เพิ่งจะฟื้นได้ไม่ถึงสิบเค่อก็ต้องรับมือกับเยว่อันหนิงที่ฤทธิ์ยาสงบใจเพิ่งหมดลง"ดื่มน้ำก่อนเถิด"เยว่จินจินเก็บทุกอย่างที่เจอมาทั้งคืนเอาไว้ในอก นางต้องเป็นเสาหลักให้น้อง ๆ ทั้งสอง ยื่นถุงน้ำทำจากหนังสัตว์ให้กับน้องเล็กสุดดื่ม"พวกเราออกเดินทางกันตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ"เยว่อันหนิงฟื้นมาก็อยู่บนเกวียนรถม้าที่ไร้ที่กำบังลมและแดด ทิวทัศน์ทั้งสองข้างทางมีแต่ต้นหญ้าสูงท่วมหัว มองไกลออกไปเห็นสันเขาไกลลูกหูลูกตา พื้นดินแห้งเกรอะกรังบ่งบอกว่าออกสู่ชนบทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"สามชั่วยามได้"นี่นางหลับนานขนาดนี้เลยหรือ แม้อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่นางไม่ได้สติแต่หากถามไปพี่สามพี่สี่นางคงไม่บอกให้กระจ่างเพราะมองว่านา
"เจ้าฉลาดมากเด็กน้อย แต่รู้ไปแล้วช่วยอะไรได้ ในเมื่อสายเลือดตระกูลเยว่ทุกคนจะต้องตายตามบิดากับพี่ชายไปเช่นกัน!"โจรผู้นั้นกล่าวจบก็เงื้อกระบี่หมายฟาดฟันลงกลางร่างของเยว่อันหนิง หากแต่ด้วยความรู้ที่เคยร่ำเรียนวิชากระบี่จากพี่ชายทั้งสองมาทำให้นางหลบพ้นคมกระบี่นั้นได้หวุดหวิด"หนิงเอ๋อร์ หนีไป!"ยังไม่ทันได้หันไปตอบกลับพี่หญิงสามคมกระบี่อ่อนของโจรผู้หนึ่งพุ่งมาจากด้านหลังนาง ปักเข้าขั้วหัวใจเยว่จินจินอย่างแม่นยำ"พี่สาม! อึก!"เยว่อันหนิงไม่ทันระวังตัวจึงถูกฟันเข้าที่แผ่นหลังน้อยล้มหน้าคมำลงกับพื้นที่บัดนี้ชุ่มไปด้วยสีแดงของเลือดผู้บริสุทธิ์นับสิบชีวิตความเจ็บแปลบจากบาดแผลเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความชาไปทั้งร่างกายเมื่อกระบี่นี้อาบไปด้วยยาพิษโจรชุดดำเจ้าของคมกระบี่เมื่อครู่ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาหมายจะลงกระบี่อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าร่างน้อย ๆ นี้สิ้นลมหายใจแน่แท้ หากแต่เสียงฝีเท้าม้าเร็วกลับดังมาแต่ไกลทำให้โจรกลุ่มนี้ต้องล่าถอยก่อนที่จะถูกพบเข้าท้องฟ้าที่เคยสว่างปลอดโปร่ง บัดนี้กลับถูกปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้มของพายุ เพียงไม่นานเม็ดฝนบนฟากฟ้าก็ค่อย ๆ ตกลงสู้พื้นดินราวกำลังชะล้
ระดับเหลืองกำจัดขุนนางชั้นกลาง งานค่อนข้างยากมีอันตรายแต่มีโอกาสสำเร็จเกินครึ่ง จ่ายห้าร้อยตำลึงทองต่อหนึ่งหัวและระดับสุดท้าย ระดับแดง งานอันตรายความเสี่ยงสูง ผลสำเร็จไม่อาจคาดเดา ส่วนมากจะเป็นการว่าจ้างให้ลอบสังหารขุนนางในรั้วในวังหรือระดับแม่ทัพใหญ่ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังให้เกียรติ ค่าว่าจ้างค่อนข้างสูงมากกว่าห้าพันตำลึงเห็นจะได้ ตั้งแต่ประมุขกู่เหนียงก่อตั้งหุบเขานักฆ่ามาเกือบยี่สิบปี มีผู้ว่าจ้างระดับแดงมาเพียงสองคนเท่านั้นส่วนการเปิดรับจดหมายจ้างวานก็ง่าย ๆ เพียงแค่ติดต่อคนของหุบเขานักฆ่าในตลาดมืด ส่งจดหมายพร้อมตั๋วเงินแนบมาในชื่อว่า 'สาส์นจากปรโลก' คนของหุบเขาไร้เงาที่อยู่ด้านนอกก็จะส่งมาที่หุบเขาเพื่อพิจารณาหาคนที่เหมาะสมทำงานนั้น ๆ"ท่านประมุขก็รู้กฎของข้าดี""สืบสาวความจริงกระจ่างก่อนค่อยลงมือ"เสียนต้วนอี้กล่าวตัดหน้าสตรีข้างกายอย่างรู้ใจ"ที่ข้าถามเพราะจวนสกุลซุยเป็นขุนนางที่ปรึกษาของศาลเทียนอวี่"เพียงได้ยินคำว่า 'ศาลเทียนอวี่' สตรีชุดแดงนางนี้ถึงกับกำหมัดแน่น ร่างเกร็งดวงตาแข็งกร้าวอย่างมิอาจปกปิดสายตาผู้อื่นได้ว่าตอนนี้นางมีความรู้สึกเช่นไรหวาดกลัวหรือ? ก็คงแค่ครึ่งส่วนเ
"เจ้ามาเพื่อเตือนข้า"เยว่อันหนิงมองสบตายี่ซูผ่านกระจกตรงหน้า ทั้งสองสบตากันเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินคำตอบต่อมา"ข้ารู้ว่านักฆ่าบุปผาเบญจมาศไม่เคยทิ้งร่องรอยและไม่เคยมีใครเห็นใบหน้าจนสาวมาถึงตัวได้ แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าทิ้งดอกจวี๋ฮวาไว้ในที่เกิดเหตุทุกครั้ง ไม่กลัวคนของกองทัพเขี้ยวหมาป่าจะสืบตัวตนเจ้าผ่านดอกไม้นั่นหรือไร"น้ำเสียงยี่ซูจริงจังฟังดูห่วงใยสหายตรงหน้าเป็นอย่างมาก ผิดกับคนที่เป็นต้นเหตุให้ผู้อื่นเป็นห่วงที่ค่อย ๆ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพร้อมมุมปากสีสดที่ยกสูงนางมิได้ยิ้มหวาน ต้องเรียกว่าแสยะยิ้มแบบมีเล่ห์เหลี่ยมถึงจะถูก"หากจะสืบจากดอกไม้แห้งเหี่ยวนั่น ต่อให้พวกเขาพลิกแผ่นดินหาคงมิเจอ"ที่เยว่อันหนิงมั่นใจถึงเพียงนี้เพราะดอกจวี๋ฮวา(ดอกเบญจมาศ) ที่นางใช้ทิ้งไว้บนศพแตกต่างจากดอกจวี๋ฮวาที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปนางลงมือปลูกดอกไม้ชนิดนี้ตั้งแต่อายุเก้าขวบ เพราะวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะต้องแก้แค้นให้สกุลเยว่ในสักวัน และที่นางเลือกใช้ดอกจวี๋ฮวาเพราะเป็นดอกไม้ที่มารดานางโปรดปรานที่สุด อีกทั้งผู้คนต่างบอกว่าดอกจวี๋ฮวาคือดอกไม้แทนสัจจะ ความซื่อสัตย์และความตายเยว่อันหนิงจึงคิ
โฉมสครวญเดินหันหลังลงจากเขาหลังจากร่ำลาผู้คนเสร็จวันนี้นางแต่งตัวด้วยชุดรัดกุมเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทาง หากแต่สีของอาภรณ์ก็มิเคยเป็นสีอื่นใดนางจากสีแดงไม่แดงสดก็แดงเลือดหมู มีเพียงแค่สีเหล่านี้ที่เยว่อันหนิงสวมใส่แล้วรู้สึกมีพลัง แม้จะเป็นตอนทำภารกิจ นางยังสวมใส่สีแดงไว้ด้านในและทับด้วยชุดคลุมสีดำด้านนอกการเดินทางลงจากเขาแห่งนี้ค่อนข้างลำบาก คนในเท่านั้นถึงจะหลีกเลี่ยงกับดักที่หุบเขาไร้เงาทำเอาไว้ได้ แต่ก็มักจะมีสมาชิกบางคนเผลอเรอลืมจุดตั้งกับดักจนพลาดท่าถูกทำร้ายมาแล้วก็มีมากเช่นกันเยว่อันหนิงใช้วิชาตัวเบากระโดดไปตากิ่งก้านของต้นไม้จากกิ่งนี้ไปต้นนั้น จวบจนนางผ่านกับดักทุกด่านและลงเขาได้อย่างปลอดภัย"เสียงฝีเท้าม้า?"ครั้นลงจากเขามาได้แค่ครึ่งลี้ หูที่สามารถรับเสียงได้ไกลของเยว่อันหนิงได้ยินเสียงเท้าม้าห่างจากจุดที่นางอยู่ราว ๆ ครึ่งลี้หญิงสาวจึงเร่งรุดเดินทางไปดักด้านหน้า แอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้รกจึงเห็นขบวนม้าเร็วสี่ห้าตัว คนที่คุมบังเหียนบนหลังม้าเหล่านั้นคล้ายทหารหน่วยลาดตระเวนของสักกองทัพ ครั้นพอสายตาแหลมคมเห็นที่ห้อยเอวตัวอักษร 'หลาง' นางก็รู้ในทันทีว่าเป็นของกองทัพเขี้ยวห
เฉินเจียนหลางยืนเฝ้าท่านหมอหลวงปี่กงและเยว่อันหนิงอยู่หน้าห้องพักนางอย่างไม่ละไปไหนนี่ก็ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้ว เหตุใดท่านหมอหลวงมากฝีมือผู้นั้นยังไม่ออกมาอีก ยิ่งรอนานเข้าหัวใจเขายิ่งร้อนลุ่มมิอาจสงบได้"เจียนหลาง เกิดอะไรขึ้น"เสียงสหายสนิทดังขึ้นทางด้านหลัง คนอ้างว้างรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเปราะหนึ่งเมื่อมีคนสนิทมาให้พูดคุย"ท่านหมอหลวงปี่กำลังรักษานางอยู่ด้านใน""นาง?"นี่เขามิได้ฟังผิดใช่หรือไม่ สหายรักเพิ่งเอ่ยคำว่านางออกมา"แม่นางจวี๋จื่อ""นางรำผู้นั้นเหตุใดถึงมาอยู่ที่เรือนเจ้าได้ แล้วนางเป็นอันใดถึงต้องขนาดเชิญหมอหลวงในวังมารักษาเช่นนี้"ซ่างฮ้วนที่เพิ่งได้รับพิราบแจ้งข่าวเมื่อเช้าให้กลับมาที่จวนสกุลเฉินถามอย่างรัวไม่มีจังหวะให้คนถูกถามได้เอ่ยปากสอด"เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง ข้ามีเรื่องให้เจ้าไปสืบ เรื่องนี้คงต้องวานเจ้าลงมือด้วยตนเอง"เพียงแค่มองตาอีกคนซ่างฮ้วนก็รู้ในทันทีแล้วว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญถึงขั้นคอคาดบาดตายเป็นแน่ มิเช่นนั้นเฉินเจียนหลางคงไม่ย้ำคำว่าให้เขาลงมือเองเช่นนี้"เจ้าสั่งการมาเถิด"สิ้นสุดคำพูดนั้น เฉินเจียนหลางจึงรีบเดินเข้าไปใกล้สหายสนิท ก้มลงไปกระซิบคำส
"หากเป็นเรื่องภายในครอบครัวควรจัดการในเขตเรือนตนมิใช่อีกไม่กี่ก้าวก็เป็นเขตเมืองเทียนติ่งเช่นนี้ แบบนี้ข้าจึงยื่นมือเข้าสอดได้"เยว่อันหนิงรอจนสบโอกาส ค่อย ๆ ใช้เรี่ยวแรงที่กำลังจะหมดเพราะฤทธิ์ยาเงยมองผู้ต่อปากต่อคำกับคนของนางเพียงแค่เห็นเสี้ยวหน้าคนที่นอนอยู่กลางถนน เฉินเจียนหลางก็กระโดดลงจากหลังม้าปรี่เข้ามาหานางทันที"แม่นางจวี๋! เป็นเจ้าใช่หรือไม่"แม้นี่จะเป็นสิ่งที่เยว่อันหนิงอยากให้เกิดขึ้นตามแผนการ ทว่าเหตุใดหัวใจนางถึงได้เต้นแรงกับท่าทีการแสดงออกของคนผู้นี้ราวกับเป็นความรู้สึกจริง ๆ มิใช่แสร้งกระทำกลับ"ทะ...ท่านแม่ทัพ... อั่ก!"นึกไม่ถึงว่าฤทธิ์ยาของยี่ซูจะออกฤทธิ์ร้ายแรงได้ไวปานนี้ แถมยังได้จังหวะพอดิบพอดีเยว่อันหนิงกระอักโลหิตออกจากปากทำผู้คนที่มุงดูแตกตื่นตกใจ ผู้ร่วมกระบวนการสามคนของเยว่อันหนิงรีบเผ่นหนีตามแผนที่วางไว้เพื่อไม่ให้ถูกจับได้"แม่นางจวี๋ แม่นางจวี๋!"เฉินเจียนหลางไม่มีเวลาตามสามคนนั้น เขารีบอุ้มเยว่อันหนิงขึ้นบนหลังม้าควบกลับเข้าเมืองเทียนติ่ง มุ่งหน้าสู่จวนสกุลเฉินทันทีจวนสกุลเฉิน...ภายในจวนสกุลเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้นหนึ่งชั่วยามเห็นจะได้ บรรดาหมอทั้งผม
เยว่อันหนิงเดินออกมาจากห้องก็เจอกับเสียนต้วนอี้อย่างที่ยี่ซูบอกกล่าวไว้ ร่างอรชรสวมชุดชาวบ้านขาดวิ่นสะพายห่อผ้าเก่า ๆ เดินเข้าไปหาคนที่ยืนหันหลังรอทันที"นี่คือสิ่งที่เจ้าเลือก"ทันทีที่โฉมสครวญเดินมาเคียงข้าง คนที่ยืนรออยู่ก่อนหน้าจึงเอ่ยปากถามอย่างไม่รีรอเยว่อันหนิงมิได้ตกใจกับคำถามนั้น นางรู้ดีว่าคนที่แอบฟังพวกนางคุยกันที่กระโจมของประมุขกู่เหนียงนอกจากยี่ซูแล้วก็เป็นสหายผู้นี้อีกคน"หากข้าไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยงจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องชั่วช้าที่ทำกับตระกูลข้า"ครานี้เยว่อันหนิงมิได้กล่าวใส่อารมณ์อย่างคราวก่อน นางเพียงชี้แจงให้อีกคนฟังด้วยเหตุผล"เพียงแค่เจ้าเอ่ยปาก ข้ายอมแลกด้วยชีวิตเพื่อช่วยเจ้าตามสืบเรื่องนี้""ต้วนอี้ ข้าซึ้งในน้ำใจของท่าน เพียงแต่ข้าสูญเสียคนข้างกายมามากพอแล้ว หากต้องแลกด้วยชีวิตใครอีก ขอให้เป็นชีวิตของข้าคนสุดท้าย"ดวงตาสุกประกายจ้องสบบุรุษรูปงามอย่างมาดมั่นในคำตอบ"เจ้าทำเช่นนี้คงมิได้ทำเพื่อตระกูลเจ้าอย่างเดียว"ในคำถามนี้มีความน้อยเนื้อต่ำใจและเหน็บแนมคนฟังอยู่หลายส่วน"ต้วนอี้..."เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยเรียกรีบยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เยว่อันหนิง
"เจ้าจะรีบร้อนไปไย"ยี่ซูกระฟัดกระเฟียดนั่งทิ้งตัวลงปลายเตียงอย่างแง่งอน"ข้าปล่อยเวลาสูญเปล่านานแล้ว"ยี่ซูรีบหันมองเสี้ยวหน้าของสหายรักนางเข้าใจความหมายของประโยคนั้นดี ผ่านมาแล้วเก้าปี เยว่อันหนิงยังล้างแค้นให้ตระกูลนางไม่สำเร็จ ใจคงทุกร์มากจึงกล้าที่จะให้สหายเช่นนางปรุงยาพิษเพื่อทำร้ายตัวเองเพื่อการใหญ่ในครั้งนี้ใจ"เจ้าเพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นไม่กี่ปี นี่ไม่นับว่าล่าช้า"ปีนี้เยว่อันหนิงสิบเก้า ถือว่าแตกเนื้อสาวเต็มตัว เวลาที่ผ่านมาก็มิได้ปล่อยทิ้ง ตามสืบหาความจริงคืนเลือดสาดอยู่แทบทุกทางที่นางกระทำได้ ยี่ซูจึงหยิบยกเรื่องนี้มาปลอบใจและเตือนความจำให้สหายเยว่อันหนิงเข้าใจสิ่งที่ยี่ซูให้กำลังใจนาง ทว่าหลังจากพบมือสังหารตาเดียวในครั้งนั้นหัวใจนางก็ไม่เคยสงบสุขได้อีก ความร้อนเนื้อร้อนใจคลุ้มคลั่งหนักกว่าการแบกรับการแก้แค้นหลายสิบเท่า"ได้ ๆ ข้าไม่ยืดเยื้อเจ้าก็ได้"มือแน่งน้อยของยี่ซูล้วงเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อหยิบขวดยาสีขุ่นออกมาถือไว้ในมือ"ยาพิษที่เจ้าอยากได้"เยว่อันหนิงเอื้อมมือออกไปรับขวดยานั้น ทว่ายี่ซูกลับไม่ยอมมอบมันให้คนที่ต้องการสักที เอาแต่จ้องหน้าสหายรักด้วยความกลัดกลุ้มและคำ
"ท่านพ่อวางใจ ข้าจะเก็บรักษาของสิ่งนี้ไว้ยิ่งชีพ"ไม่มีคำไหนที่บุตรชายเขารับปากแล้วทำไม่ได้ เฉินปู้เกาจึงได้เพียงยิ้มรับก่อนจะนั่งลงเพื่อหารือเรื่องอื่นต่อ"ข้าเห็นศาลเทียนอวี่ประกาศจับโจรนางหนึ่งที่สวมหน้ากากลายดอกจวี๋ฮวา เรื่องมันเป็นมาอย่างไร"สิ่งที่เฉินปู้เกาเอ่ยเมื่อครู่ ทำให้จู่ ๆ เฉินเจียนหลางก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแวบเข้ามาในหัวหากแต่เป็นเพียงภาพที่เหมือนเมฆหมอก ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ว่าเป็นรูปร่างเช่นใด"เจียนหลาง เจ้าไม่สบายหรือ"เป็นอีกครั้งที่ผู้เป็นบิดาเห็นความผิดปกติของบุตรชาย"เมื่อคืนข้าคงร่ำสุรากับองค์รัชทายาทหนักเกินไป"ความทรงจำของเขามีเพียงเรื่องที่เข้าวังไปปรับทุกข์กับองค์รัชทายาท หลังจากนั้นก็คล้ายภาพทุกอย่างถูกลบหาย เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับมายังเรือนต้นสนได้อย่างไร เคยถามเวรยามที่เฝ้าหน้าจวนคืนนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็นว่าเขาเข้ามาทางประตูยามไหนพอนึก ๆ ดูแล้ว เรื่องคืนก่อนนั้นช่างเหมือนตัวเขาถูกวิญญาณผู้อื่นควบคุมร่างกายจนไร้ความทรงจำไปครู่หนึ่ง"ซ่างฮ้วน เจ้าเคยรู้จักหมอที่เก่งด้านสมุนไพรพิษท่านหนึ่งใช่หรือไม่"คนถูกตั้งคำถามอย่างไม่มีปี่ขลุ่ยถึงกับเบิกตาตกใจกับคำถ
เมื่อวันก่อนเฉินเจียนหลางตื่นขึ้นมาในเรือนต้นสนของตนเองด้วยความประหลาดใจ บนเตียงที่เคยนอนยับย่นราวกับผ่านศึกหนักกับผู้ใดมา คราแรกเขาคิดว่าตนเองนอนละเมอ หากแต่นั่นมิใช่วิสัยนักรบเช่นตน แถมยังมีหลักฐานชิ้นดีรอยคราบเลือดหนึ่งจุดยืนยันว่ามีคนร่วมเตียงกับเขา ทว่านึกย้อนจนหัวแทบแตกกลับไม่มีภาพความทรงจำของสตรีที่เป็นเจ้าของเลือดหยดนี้"มีเรื่องหนักใจหรือ"เสียงยานคางของเฉินปู้เกา แม่ทัพใหญ่ของสกุลเฉินหรือบิดาแท้ ๆ ของเฉินเจียนหลางเอ่ยถามเมื่อสังเกตสีหน้ามิสู้ดีของบุตรชายได้"มิใช่เรื่องสำคัญอันใด ท่านพ่อว่าธุระต่อเถิด"วันนี้เฉินปู้เกาเรียกบุตรชายรวมถึงลูกน้องเก่าแก่คนสนิทของเยว่จิ้นกงผู้ล่วงลับมาหารือเกี่ยวกับสิ่งของที่อดีตแม่ทัพใหญ่เยว่ทิ้งเอาไว้ให้เมื่อเก้าปีก่อนกล่องไม้ที่เฉินปู้เกาเคยหยิบออกมาถกเถียงหาความหมายถูกหยิบออกมาวางตรงหน้าทั้งสี่คนอีกครั้งม้วนภาพวาดค่อย ๆ ถูกคลี่ออกเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั้งห้าเป็นหนที่เท่าไรมิอาจนับได้ภาพวาดของเด็กน้อยนั่งบนตักแกร่งของบิดาภายใต้ต้นไห่ถังพร้อมข้อความสั้น ๆ'เพียงคิดถึง แม้ไกลพันลี้ จักส่งถึงกันได้'"ขนาดท่านพ่อติดตามอดีตแม่ทัพเยว่มาหลายปี
"เจ้าต้องการใช้เลือดกลั่นตัวนำยาออกมาแล้วทำยาแก้ทีหลัง""ถูกแล้วเจ้าค่ะ"ยี่ซูยิ้มอย่างผู้ชนะออกมา ทำเอาประมุขกู่เหนียงถึงกับหัวเราะเบา ๆ ในท่าทีไม่เก็บความถ่อมตนนี้ของนางพลางเอ่ยชื่นชม"สมแล้วที่เป็นคนร่วมสร้างยาลืมเลือนกับท่านหมอฝู""แฮ่ ๆ"ยี่ซูค้อมศีรษะรับคำชมนั้นพร้อมฉีกยิ้มกว้าง"ต่อไปคงเป็นหน้าที่เจ้าแล้ว"ประมุขกู่เหนียงหันมาพูดคุยกับเยว่อันหนิงที่มองสหายรักด้วยความชื่นชม"แต่เจ้ากลับเมืองเทียนติ่งด้วยฉายานักฆ่าบุปผาเบญจมาศไม่ได้แล้ว"ยี่ซูกล่าวราวหมดหวังแทนสหายรัก"ข้ามีแค่ตัวตนเดียวเสียเมื่อไร"รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นอย่างคนเหนือกว่า"เจ้าหมายถึงในฐานะนางรำจวี๋จื่อ?"ประมุขกู่เหนียงแสร้งถามออกไป"มีคนติดค้างหนี้ชีวิตข้าอยู่เจ้าค่ะ"เยว่อันหนิงกล่าวออกไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า แววตาของนางมีประกายบางอย่างยามนึกถึงคนที่ติดค้างหนี้ชีวิตหนนั้น"แล้วเจ้าจะกลับไปอย่างไร"ยี่ซูถามได้รวบรัดตรงกับความอยากรู้ของคนอื่น ๆ"เรื่องนี้ต้องขอความร่วมมือจากเจ้าและท่านประมุข"คนที่ถูกเอ่ยขอความช่วยเหลือหันมองหน้ากันครู่หนึ่ง เยว่อันหนิงจึงเป็นฝ่ายเสริมต่อ"ข้าอยากขอยืมคนของหุบเขาสักสามสี่คนจากท่
หลังจากกลับมาจากผาลืมทุกข์ เยว่อันหนิงก็รีบมาพบประมุขกู่เหนียงเพื่อปรึกษาถึงแผนการของนางทันที"ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องถลกหนังคนตายมาสวมให้คนเป็น มือสังหารที่เจ้าเล่าไม่แน่อาจเป็นพี่ชายเจ้าตัวจริง"กู่เหนียงฟังสิ่งที่เยว่อันหนิงเล่าให้ฟังถึงมือสังหารตาเดียวที่หน้าตาคล้ายพี่รองของนางจบจึงแสดงความเห็นไปทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่นางคิด"ในโลกนี้มียาขนานใดสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนได้หรือไม่เจ้าคะ"เสียงราบเรียบหันไปถามผู้เฒ่าฝูหนานที่ครั้งนี้นางเรียกเขามาพบประมุขกู่เหนียงด้วยกัน"ตั้งแต่ข้าศึกษาตำราแพทย์มา โอสถที่ร้ายกาจที่สุดมิใช่โอสถคืนชีพ"สิ่งที่ผู้เฒ่าฝูหนานเกริ่นออกมาทำเอาสตรีทั้งสองในห้องพักส่วนตัวแห่งนี้มองหน้ากันด้วยความใคร่อยากรู้"ยาอันใดหรือเจ้าคะที่ท่านหมอดูหวาดกลัวแกมสะอิดสะเอียนเช่นนั้น"เพราะใบหน้าเหี่ยวย่นของผู้เฒ่าฝูหนานแสดงอาการออกมาเช่นนั้นจริงทำให้เยว่อันหนิงต้องถามออกไปตรง ๆ"ควบคุมหุ่นเชิด""ควบคุมหุ่นเชิด?"ครั้งนี้เป็นประมุขกู่เหนียงเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ"ข้าเคยได้ยินมาก่อนสมัยยังเป็นดรุณีน้อยเช่นพวกเจ้า ตอนนั้นเพียงแต่ได้ยินถึงความร้ายกาจของยาตัวนื้ อาการข้าเองก็มิ
"ต้วนอี้ ท่านมีเรื่องในใจ"มองเพียงตาเยว่อันหนิงก็ดูออกว่าสหายผู้นี้มีเรื่องค้างคาในใจให้คิดไม่ตก และเรื่องนั้นต้องเกี่ยวข้องกับนาง"เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าที่มายืนอยู่ตรงนี้เพราะสามารถมองเห็นเมืองเทียนติ่ง มองเห็นความทรงจำของเจ้ากับครอบครัวได้ชัดเจนที่สุด"หากแต่เสียนต้วนอี้กลับไม่สนใจสิ่งที่เยว่อันหนิงถาม เขายังคงยืนไขว้หลังทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าอย่างสง่างามในเมื่อสหายผู้นี้ไม่ต้องการตอบคำถามของนาง เยว่อันหนิงจึงไม่ซักไซ้และคาดคั้นให้เขารีบเล่าเรื่องทั้งหมด ทำเพียงยืนข้าง ๆ บุรุษกายกำยำเงียบ ๆ รอให้คนอยากพูดบอกทุกอย่างออกมาเอง"เจ้าไม่เคยปล่อยวางความแค้น เจ้าไม่เคยคิดที่จะมองบุรุษอื่นในเชิงชู้สาว"สิ่งที่เสียนต้วนอี้เอ่ยครั้งนี้ทำเอาเยว่อันหนิงขมวดคิ้วมุ่น เบนสายตามองบุรุษข้าง ๆ ด้วยความใคร่สงสัย"หากมีเรื่องคาใจท่านรีบถามออกมาเถิด"คราแรกว่าจะไม่เซ้าซี้ซักถามเขาแล้ว แต่เสียนต้วนอี้กลับเปิดประเด็นออกมาเช่นนี้คงต้องการประโยคนี้จากนาง"เมื่อคืนข้ามิได้พักอยู่ที่นี่"หัวใจเยว่อันหนิงไหววูบครู่หนึ่ง แววตานางสั่นไหวเล็กน้อยราวกระต่ายหวาดระแวง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวทุกอย่างก็กลับสู่ปก