“แหม... ถ้าเห็นดีเห็นงามแต่งกายตามแหม่มเยี่ยงนี้ แล้วทำไมไม่ใส่กระโปรงสุ่มไปด้วยเล่าคะ จะใส่ซิ่นทำไมกัน”
ประยงค์ยังอดประชดไม่ได้ แม้จะพินิจแล้วว่าตัวเสื้อตัดเย็บเรียบร้อย ผ้าซิ่นก็ทอลายงดงาม ทว่าเสื้อผ้าที่หล่อนจัดเตรียมไว้เล่าจะทำเยี่ยงไร
“โถ... คุณพี่อย่างอนสิคะ เราไม่ได้แต่งกายตามแหม่มทุกอย่างดอกค่ะ คุณครูท่านว่า เรารับความนิยมนำมาปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม แบบเสื้อผ้าของเขาเมื่อนำมาตัดเย็บประยุกต์ก็เหมาะกับผ้าซิ่นของเราค่ะ”
บุษบาอธิบายก่อนจะเหลือบมองพิกุลที่พยักหน้าส่งยิ้มเชิงให้หล่อนพูดต่อ เพราะเห็นว่าประยงค์ดูจะอ่อนลงแล้ว
“แค่ยามออกนอกเรือนหรือไปยังสถานที่อันควรเท่านั้นแหละค่ะ เราจึงแต่งกายเยี่ยงนี้ แต่อยู่ในเรือนหรือละแวกเรือนเรา เราก็ยังแต่งกายเยี่ยงเดิมค่ะ เคยใส่โจงเยี่ยงไร ก็ยังคงใส่เยี่ยงนั้น”
“จริงรึแม่บุษ ไม่ต้องเปลี่ยนไปใส่แบบนั้นทุกวันใช่รึไม่”
“จริงค่ะคุณพี่”
“เฮ้อ! ค่อยโล่งอกหน่อย พี่รึก็คิดว่าต้องเปลี่ยนทั้งหมด เสียดายอุตส่าห์ตัดเย็บอบร่ำไว้เสียดิบดี”
“อย่างนั้นไปลองชุดกันเถอะ เผื่อตรงไหนหลวมไป แม่ประยงค์จะได้เก็บเนาได้ทัน เพราะแม่ประยงค์ต้องไม่ลืมนะว่า ค่ำนี้นางบุษบาของเรา อาจได้พบพักตร์อิเหนาอีกครา”
“คุณพี่! ล้อน้องเล่นอีกแล้ว น้องไม่คุยด้วยแล้วค่ะ ไปลองชุดดีกว่า”
บุษบาเขินอายเกินทนฉวยถุงผ้าแล้วรีบหลบเข้าห้องปล่อยให้พิกุลกับประยงค์หันมองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มขันกับท่าทีเอียงอายของน้องสาว
“คุณพี่มั่นใจหรือคะ ว่าค่ำนี้นางบุษบาของเราจะได้พบพักตร์อิเหนา”
“มั่นใจสิแม่ประยงค์ เพราะอิเหนารูปงามน่ะร่วมแสดงด้วยนะค่ำนี้ เพียงแต่อิเหนาจะเห็นแม่บุษบาของเรารึเปล่าก็เท่านั้น”
“อ้าว... เหตุใดจะไม่เห็นเล่าคะ”
“โธ่... แม่ประยงค์ ก็ไม่ใช่แค่แม่บุษบาที่หลงพักตร์อิเหนาน่ะสิ แต่สาวๆ แทบทั่วพระนครก็ต่างหลงพักตร์อิเหนากันทั้งนั้น ติดแค่ว่าพ่ออิเหนาไม่เคยมองหญิงใด แม่สื่อแม่ชักถึงได้ทำงานกันให้วุ่น ทั้งชักทั้งพา อิเหนาก็ยังเฉย...”
ประยงค์ยิ้มกับเสียง ‘เฉย’ ที่พิกุลลากยาว “แหม... คุณพี่พูดเยี่ยงนี้ น้องใคร่ยลโฉมพ่ออิเหนาเสียเร็วๆ อยากจะรู้นักว่าจะงามสมกับแม่บุษบาของเรา ดั่งที่คุณพี่เปรียบเปรยว่าเป็นระเด่นมนตรีรึเปล่า”
“เชื่อสายตาพี่สิแม่ประยงค์ รูปงามนามเพราะ อนาคตไกลเยี่ยงนั้น สมกับแม่บุษบาของเราที่สุด”
พี่สาวทั้งสองคนที่พูดคุยกันกระหนุงกระหนิงแม้จะเบา แต่คนที่ลอบฟังอยู่ด้านหลังบานประตูก็ได้ยินชัด จนไม่อาจสั่งใบหน้าให้หยุดยิ้มได้
บุษบาเดินมานั่งบนตั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ทาบฝ่ามือกุมแก้มที่ร้อนผ่าวของตนเอง ด้วยเหตุครั้งแรกที่ได้พบหน้ายังชัดเจนในใจ บุรุษเรือนกายสูงใหญ่มีใบหน้าละม้ายชายยุโรป ทว่าก็ไม่ชัดเสียจนจะบ่งชี้ว่าเป็นยุโรปชาติใดได้
ผิวละเอียดขาวราวหยวก ผมตัดสั้น ใบหน้ารูปไข่ คิ้วเข้ม ดวงตาคม จมูกโด่ง ริมฝีปากสีแดงสด โดยเฉพาะรอยยิ้มใจดีบนใบหน้าหล่อเหลานั้นหล่อนยังจำได้ หากให้คิดหวังตามใจตน หล่อนก็หวังว่าค่ำคืนนี้จะได้พบพักตร์อิเหนาสักครา
แม้พิกุลจะบอกว่ารู้จักบุรุษนั้นแล้วเพราะอยู่ในสังกัดกรมเดียวกัน แต่หล่อนกลับไม่กล้าสอบถามหรือแสดงตนว่าอยากรู้เรื่องราวของเขา คิดเพียงว่าหากมีวาสนาคงได้พบกันอีก และค่ำคืนนี้เมื่อพิกุลบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในเจ้าพนักงานดนตรี หัวใจหล่อนก็สั่นไหวนัก หล่อนอยากรู้ว่า 3 ปีที่ผ่านมา เขาเปลี่ยนไปเช่นไรบ้าง
ดวงตาสวยหวานเพ่งพิศใบหน้าตนเองที่สะท้อนจากกระจกเงา หากเขาเห็นหล่อนในค่ำคืนนี้ รอยยิ้มนั้น... หล่อนยังจะได้รับอีกหรือไม่
.
.
ตึกฝรั่ง 2 ชั้นสีขาวที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าสร้างความไม่ชอบใจให้กับ ‘คุณหญิงสร้อย’ ทุกครั้งที่มาเยือน แม้ตึกฝรั่งนี้จะสร้างอยู่ในที่ดินผืนเดียวกับเรือนปั้นหยาของหล่อน ทว่าหล่อนกลับไม่อยากมาเยือนหากไม่จำเป็น เพราะตึกนี้บุตรชายสร้างขึ้นเพื่อเป็นเรือนหอ ทว่าเรือนหอนี้กลับกลายเป็นเรือนรอ เมื่อหญิงคนรักของลูกชายจำต้องวิวาห์กับคนอื่นไป
“คุณพระลงมารึยังเจ้าเข้ม”
คุณหญิงหันไปถาม เมื่อเจ้าเข้มคนสนิทของลูกชายเดินเข้ามาหาในทันทีที่เห็นหล่อนก้าวเข้ามาในตัวตึก แต่ก่อนเจ้าเข้มจะเปิดปากพูด เสียงร้องทักจากลูกชายก็ดังขึ้น
“ผมอยู่นี่ครับคุณแม่”
คุณหญิงสร้อยแหงนหน้ามองที่มาของเสียงและก็เห็นลูกชายที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยกำลังก้าวลงบันไดมา รอยยิ้มระบายบนใบหน้าผู้เป็นแม่ ด้วยเจ้าของร่างสูงใหญ่นั้นละม้ายคล้ายสามีผู้ล่วงลับ ทว่าลูกชายนั้นงามกว่าผู้เป็นพ่อนัก เพราะได้เชื้อสายแขกขาวจากพ่อและได้เชื้อจีนจากหล่อน บุตรชายของหล่อนจึงดูคมเข้มทว่าผิวขาวงามราวเทวดา จนคุณท้าวฝ่ายในที่เคยคุ้นกับหล่อนยังเคยเปรียบว่า ‘พ่อศรนั้นงามปานอิเหนา’ ทว่าอิเหนาของแม่นี้กลับยังไม่มีนางบุษบามาเป็นคู่ตุนาหงัน
ลูกชายก้าวเดินเข้ามาใกล้ให้คุณหญิงสร้อยได้พิจดูเครื่องแต่งกายตามราชนิยม เจ้าของร่างสูงนุ่งโจงกระเบนสีนวลจันทร์ สวมเสื้อตัวในสีขาวและตัวนอกเป็นสูทสีดำผูกหูกระต่ายแบบฝรั่ง ด้วยพ่อศรนั้นเป็นเจ้าพนักงานดนตรีสังกัดกรมมหรสพ การแต่งกายตามราชนิยมในค่ำคืนนี้จึงเป็นการแต่งเต็มยศพร้อมสำหรับหน้าที่ “พ่อศรของแม่ งามจริงลูก” คุณหญิงสร้อยลูบเนื้อลูบตัวลูกชายอย่างแสนรักและภูมิใจนักหนาที่ลูกชายเป็นที่รักของเจ้านายหลายพระองค์ จนได้บรรดาศักดิ์คุณพระตั้งแต่ยังหนุ่ม พ่อศรสร้างแต่ความภูมิใจให้กับแม่ ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ‘พระวิจิตรดุริยางค์’ หรือ ‘พ่อศร’ ตามคำเรียกของคุณหญิงสร้อย ยิ้มน้อยๆ อย่างเสียไม่ได้ เพราะเครื่องแต่งกายของแม่ในค่ำคืนนี้ แม่นุ่งซิ่นตามราชนิยม สวมเสื้อตัดเย็บจากผ้าแพรบาง แต่งผมตีโป่งด้านบน ก็นึกรู้ว่าคุณหญิงแม่คงไม่พ้นจะพาแม่สื่อแม่ชักมาดูตัวเขาอีกครา “คุณแม่จะไปพร้อมกับผมรึไม่ครับ” ศรเอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพ ด้วยถูกอบรมในเฉกสุภาพบุรุษ แม้นจะขุ่นใจเยี่ยงไรก็ต้องข่มไว้ให้จงมั่น ทั้งผู้ที่ทำให้ขุ่นใจนั้นเป็นมารดาบังเกิดเกล้า เขายิ่งต้
เสียงดนตรีที่ดังออกมาจากตัวตึกด้านข้าง ส่งผลให้เจ้าของร่างแน่งน้อยชะงักเท้าก้าวเดิน ดวงตาสวยเบิกกว้างด้วยความฉงน ด้วยนี่คือสิ่งใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าเสียงนั้นกลับบาดลึกสู่กลางอกจนไม่อาจทำเฉยแล้วเดินผ่านไปได้ ใบหน้างามสมวัยดรุณีผินตามทิศทางของเสียง ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงหลับพริ้ม ดั่งจะซึมซับทุกท่วงจังหวะกังวาน ทุ้ม ต่ำ ลุ่มลึก มีอำนาจ แลบางครั้งกลับแหลมขึ้น คล้ายผู้เล่นจงใจให้เป็นเช่นนั้น ทุกสรรพเสียงที่ก่อเกิดเป็นท่วงทำนองช่างแปลกไม่คุ้นหู แต่กลับน่าหลงใหล “ไม่ใช่เสียงซอ หรือว่าจะใช่ แต่ก็ไม่นะ... เสียงซอไม่ใช่แบบนี้...” ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อขยับพึมพำกับตนเอง ก่อนจะเม้มเข้าหากันเพียงนิดอย่างครุ่นคิด ดวงตาสวยงามชวนฝันเปิดขึ้นและมองตรงไป เจ้าของร่างอรชรบอกตนเองว่าจะต้องเห็นเครื่องดนตรีชนิดนี้ให้ได้ หล่อนมั่นใจว่าต้องเป็น ‘เครื่องสาย’ อย่างแน่นอน แต่เครื่องสายชนิดใดกันเล่าที่จะมีเสียงทุ้มลุ่มลึกได้เท่านี้ ร่างแน่งน้อยตัดสินใจก้าวเข้าใกล้จนหยุดอยู่ด้านข้างตัวตึกเพราะเสียงดังฟังชัดนี้ดังออกมาจากห้องด้านในแน่นอน
“แม่บุษ... แม่บุษ!” “อุ้ย! คะคุณพี่ โธ่... อยู่ใกล้กันแค่นี้ ไยต้องเสียงดังเล่าคะ” “ไม่เสียงดังได้อย่างไร ก็พี่เรียกน้องตั้งนานสองนาน น้องก็ไม่ขานรับ ใจลอยไปอยู่ที่ใดเล่า หรือว่าลอยไปหาพ่ออิเหนาคนนั้นอีก” “คุณพี่! น้องไม่พูดด้วยแล้ว” ‘พิกุล’ ทอดสายตาอ่อนโยนมองน้องสาวคนเล็กที่ทำหน้าเง้า ทว่ากลับก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม แก้มนวลนั้นระเรื่อขึ้น ด้วยเรื่อง ‘นางบุษบาหลงพักตร์อิเหนา’ กลายเป็นเรื่องหยอกเย้าของพี่น้อง แม้จะผ่านมากว่า 3 ปี จนดรุณีน้อยวัย 14 ปี ในวันวานกลับกลายเป็นดอกไม้งามแห่งเรือนพระนาฏกรรมวิจิตร บุษบาก็ยังสะเทิ้นอายทุกครั้งหากหล่อนหรือ ‘ประยงค์’ น้องสาวคนรองหยอกเย้าเรื่องนี้ และจากอายมากก็จะกลายเป็นงอนมาก พิกุลส่ายหน้าอมยิ้มก่อนจะหันมองประยงค์ที่กำลังคัดเลือกผ้าอบร่ำหอมกรุ่นออกจากหีบ ส่งยิ้มให้กันเพราะต่างรู้ดีว่าวันนี้บุษบาน่าจะประหม่ามากเป็นพิเศษด้วยค่ำนี้ที่กรมมหรสพมีงาน บุษบาอาจได้พบพักตร์อิเหนารูปงามอีกคราก็ได้ เพราะพิกุลสืบดูจนรู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในเจ้าพนักงานดนตรีที่จะได้ร่วมบรรเลงเพลงในค่ำคืนนี้ด้วย “แม่บุษอย่ามัวแต่
‘คุณอาหมายความว่า... จะให้แม่บุษถวายตัวหรือขอรับ’ ‘อพิโธ่พิถัง! ใครเขาจะทำเยี่ยงนั้นกันเล่าพ่อพุด ดู๊ดู! พ่อพุดก็ช่างคิด พระเจ้าอยู่หัวทรงนิยมผัวเดียวเมียเดียว พ่อพุดก็รู้นี่นา แล้วอาจะไปทำเยี่ยงนั้นได้อย่างไรเล่า หรือจะให้หลานสาวไปเป็นเมียกลางนอกตำหนักไหนเรือนไหน อาก็ไม่นิยมเหมือนกัน ที่อาให้ทำเยี่ยงนั้นก็เพราะว่าแม่บุษมีหน้าที่สำคัญน่ะสิ’ ‘ขอประทานโทษขอรับคุณอา กระผมสงสัยก็เลยถามน่ะขอรับ ได้ยินคุณอาว่าเยี่ยงนี้กระผมก็เบาใจ ว่าแต่หน้าที่สำคัญของแม่บุษคืออันใดขอรับ’ ‘ก็หน้าที่สืบตระกูลของเรายังไงเล่า พ่อพุดมีลูกสาวสามใบเถาก็จริงอยู่ แต่พ่อพุดดูสิ แม่พิกุลกับแม่ประยงค์ก็อยู่นานจนจะเป็นสาวเทื้ออยู่รอมร่อ พ่อพุดคงไม่ใจดำให้แม่บุษเป็นสาวเทื้อเหมือนพี่ๆ ใช่รึไม่ พ่อพุดดูโฉมนางบุษบาสิเล่า นี่ขนาดยังไม่โกนจุก ระเด่นบุษบายังงามเยี่ยงนี้ รอสักประเดี๋ยวเถิด โกนจุกเมื่อใด เห็นทีหัวกระไดบ้านพ่อพุดคงจะไม่แห้งแน่ นี่ถ้าเลี้ยงดี ปั้นแต่งให้เหมาะให้สม เมื่อถึงกาลนางบุษบาเสี่ยงเทียน นางย่อมได้คู่ครองที่เหมาะสม ดีไม่ดีแม่บุษบาอาจได้เป็นเมียพระราชทานของผ
ลูกชายก้าวเดินเข้ามาใกล้ให้คุณหญิงสร้อยได้พิจดูเครื่องแต่งกายตามราชนิยม เจ้าของร่างสูงนุ่งโจงกระเบนสีนวลจันทร์ สวมเสื้อตัวในสีขาวและตัวนอกเป็นสูทสีดำผูกหูกระต่ายแบบฝรั่ง ด้วยพ่อศรนั้นเป็นเจ้าพนักงานดนตรีสังกัดกรมมหรสพ การแต่งกายตามราชนิยมในค่ำคืนนี้จึงเป็นการแต่งเต็มยศพร้อมสำหรับหน้าที่ “พ่อศรของแม่ งามจริงลูก” คุณหญิงสร้อยลูบเนื้อลูบตัวลูกชายอย่างแสนรักและภูมิใจนักหนาที่ลูกชายเป็นที่รักของเจ้านายหลายพระองค์ จนได้บรรดาศักดิ์คุณพระตั้งแต่ยังหนุ่ม พ่อศรสร้างแต่ความภูมิใจให้กับแม่ ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ‘พระวิจิตรดุริยางค์’ หรือ ‘พ่อศร’ ตามคำเรียกของคุณหญิงสร้อย ยิ้มน้อยๆ อย่างเสียไม่ได้ เพราะเครื่องแต่งกายของแม่ในค่ำคืนนี้ แม่นุ่งซิ่นตามราชนิยม สวมเสื้อตัดเย็บจากผ้าแพรบาง แต่งผมตีโป่งด้านบน ก็นึกรู้ว่าคุณหญิงแม่คงไม่พ้นจะพาแม่สื่อแม่ชักมาดูตัวเขาอีกครา “คุณแม่จะไปพร้อมกับผมรึไม่ครับ” ศรเอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพ ด้วยถูกอบรมในเฉกสุภาพบุรุษ แม้นจะขุ่นใจเยี่ยงไรก็ต้องข่มไว้ให้จงมั่น ทั้งผู้ที่ทำให้ขุ่นใจนั้นเป็นมารดาบังเกิดเกล้า เขายิ่งต้
“แหม... ถ้าเห็นดีเห็นงามแต่งกายตามแหม่มเยี่ยงนี้ แล้วทำไมไม่ใส่กระโปรงสุ่มไปด้วยเล่าคะ จะใส่ซิ่นทำไมกัน” ประยงค์ยังอดประชดไม่ได้ แม้จะพินิจแล้วว่าตัวเสื้อตัดเย็บเรียบร้อย ผ้าซิ่นก็ทอลายงดงาม ทว่าเสื้อผ้าที่หล่อนจัดเตรียมไว้เล่าจะทำเยี่ยงไร “โถ... คุณพี่อย่างอนสิคะ เราไม่ได้แต่งกายตามแหม่มทุกอย่างดอกค่ะ คุณครูท่านว่า เรารับความนิยมนำมาปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม แบบเสื้อผ้าของเขาเมื่อนำมาตัดเย็บประยุกต์ก็เหมาะกับผ้าซิ่นของเราค่ะ” บุษบาอธิบายก่อนจะเหลือบมองพิกุลที่พยักหน้าส่งยิ้มเชิงให้หล่อนพูดต่อ เพราะเห็นว่าประยงค์ดูจะอ่อนลงแล้ว “แค่ยามออกนอกเรือนหรือไปยังสถานที่อันควรเท่านั้นแหละค่ะ เราจึงแต่งกายเยี่ยงนี้ แต่อยู่ในเรือนหรือละแวกเรือนเรา เราก็ยังแต่งกายเยี่ยงเดิมค่ะ เคยใส่โจงเยี่ยงไร ก็ยังคงใส่เยี่ยงนั้น” “จริงรึแม่บุษ ไม่ต้องเปลี่ยนไปใส่แบบนั้นทุกวันใช่รึไม่” “จริงค่ะคุณพี่” “เฮ้อ! ค่อยโล่งอกหน่อย พี่รึก็คิดว่าต้องเปลี่ยนทั้งหมด เสียดายอุตส่าห์ตัดเย็บอบร่ำไว้เสียดิบดี” “อย่างนั้นไปลองชุดกันเถอะ เผ
‘คุณอาหมายความว่า... จะให้แม่บุษถวายตัวหรือขอรับ’ ‘อพิโธ่พิถัง! ใครเขาจะทำเยี่ยงนั้นกันเล่าพ่อพุด ดู๊ดู! พ่อพุดก็ช่างคิด พระเจ้าอยู่หัวทรงนิยมผัวเดียวเมียเดียว พ่อพุดก็รู้นี่นา แล้วอาจะไปทำเยี่ยงนั้นได้อย่างไรเล่า หรือจะให้หลานสาวไปเป็นเมียกลางนอกตำหนักไหนเรือนไหน อาก็ไม่นิยมเหมือนกัน ที่อาให้ทำเยี่ยงนั้นก็เพราะว่าแม่บุษมีหน้าที่สำคัญน่ะสิ’ ‘ขอประทานโทษขอรับคุณอา กระผมสงสัยก็เลยถามน่ะขอรับ ได้ยินคุณอาว่าเยี่ยงนี้กระผมก็เบาใจ ว่าแต่หน้าที่สำคัญของแม่บุษคืออันใดขอรับ’ ‘ก็หน้าที่สืบตระกูลของเรายังไงเล่า พ่อพุดมีลูกสาวสามใบเถาก็จริงอยู่ แต่พ่อพุดดูสิ แม่พิกุลกับแม่ประยงค์ก็อยู่นานจนจะเป็นสาวเทื้ออยู่รอมร่อ พ่อพุดคงไม่ใจดำให้แม่บุษเป็นสาวเทื้อเหมือนพี่ๆ ใช่รึไม่ พ่อพุดดูโฉมนางบุษบาสิเล่า นี่ขนาดยังไม่โกนจุก ระเด่นบุษบายังงามเยี่ยงนี้ รอสักประเดี๋ยวเถิด โกนจุกเมื่อใด เห็นทีหัวกระไดบ้านพ่อพุดคงจะไม่แห้งแน่ นี่ถ้าเลี้ยงดี ปั้นแต่งให้เหมาะให้สม เมื่อถึงกาลนางบุษบาเสี่ยงเทียน นางย่อมได้คู่ครองที่เหมาะสม ดีไม่ดีแม่บุษบาอาจได้เป็นเมียพระราชทานของผ
“แม่บุษ... แม่บุษ!” “อุ้ย! คะคุณพี่ โธ่... อยู่ใกล้กันแค่นี้ ไยต้องเสียงดังเล่าคะ” “ไม่เสียงดังได้อย่างไร ก็พี่เรียกน้องตั้งนานสองนาน น้องก็ไม่ขานรับ ใจลอยไปอยู่ที่ใดเล่า หรือว่าลอยไปหาพ่ออิเหนาคนนั้นอีก” “คุณพี่! น้องไม่พูดด้วยแล้ว” ‘พิกุล’ ทอดสายตาอ่อนโยนมองน้องสาวคนเล็กที่ทำหน้าเง้า ทว่ากลับก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม แก้มนวลนั้นระเรื่อขึ้น ด้วยเรื่อง ‘นางบุษบาหลงพักตร์อิเหนา’ กลายเป็นเรื่องหยอกเย้าของพี่น้อง แม้จะผ่านมากว่า 3 ปี จนดรุณีน้อยวัย 14 ปี ในวันวานกลับกลายเป็นดอกไม้งามแห่งเรือนพระนาฏกรรมวิจิตร บุษบาก็ยังสะเทิ้นอายทุกครั้งหากหล่อนหรือ ‘ประยงค์’ น้องสาวคนรองหยอกเย้าเรื่องนี้ และจากอายมากก็จะกลายเป็นงอนมาก พิกุลส่ายหน้าอมยิ้มก่อนจะหันมองประยงค์ที่กำลังคัดเลือกผ้าอบร่ำหอมกรุ่นออกจากหีบ ส่งยิ้มให้กันเพราะต่างรู้ดีว่าวันนี้บุษบาน่าจะประหม่ามากเป็นพิเศษด้วยค่ำนี้ที่กรมมหรสพมีงาน บุษบาอาจได้พบพักตร์อิเหนารูปงามอีกคราก็ได้ เพราะพิกุลสืบดูจนรู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในเจ้าพนักงานดนตรีที่จะได้ร่วมบรรเลงเพลงในค่ำคืนนี้ด้วย “แม่บุษอย่ามัวแต่
เสียงดนตรีที่ดังออกมาจากตัวตึกด้านข้าง ส่งผลให้เจ้าของร่างแน่งน้อยชะงักเท้าก้าวเดิน ดวงตาสวยเบิกกว้างด้วยความฉงน ด้วยนี่คือสิ่งใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าเสียงนั้นกลับบาดลึกสู่กลางอกจนไม่อาจทำเฉยแล้วเดินผ่านไปได้ ใบหน้างามสมวัยดรุณีผินตามทิศทางของเสียง ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงหลับพริ้ม ดั่งจะซึมซับทุกท่วงจังหวะกังวาน ทุ้ม ต่ำ ลุ่มลึก มีอำนาจ แลบางครั้งกลับแหลมขึ้น คล้ายผู้เล่นจงใจให้เป็นเช่นนั้น ทุกสรรพเสียงที่ก่อเกิดเป็นท่วงทำนองช่างแปลกไม่คุ้นหู แต่กลับน่าหลงใหล “ไม่ใช่เสียงซอ หรือว่าจะใช่ แต่ก็ไม่นะ... เสียงซอไม่ใช่แบบนี้...” ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อขยับพึมพำกับตนเอง ก่อนจะเม้มเข้าหากันเพียงนิดอย่างครุ่นคิด ดวงตาสวยงามชวนฝันเปิดขึ้นและมองตรงไป เจ้าของร่างอรชรบอกตนเองว่าจะต้องเห็นเครื่องดนตรีชนิดนี้ให้ได้ หล่อนมั่นใจว่าต้องเป็น ‘เครื่องสาย’ อย่างแน่นอน แต่เครื่องสายชนิดใดกันเล่าที่จะมีเสียงทุ้มลุ่มลึกได้เท่านี้ ร่างแน่งน้อยตัดสินใจก้าวเข้าใกล้จนหยุดอยู่ด้านข้างตัวตึกเพราะเสียงดังฟังชัดนี้ดังออกมาจากห้องด้านในแน่นอน