‘คุณอาหมายความว่า... จะให้แม่บุษถวายตัวหรือขอรับ’
‘อพิโธ่พิถัง! ใครเขาจะทำเยี่ยงนั้นกันเล่าพ่อพุด ดู๊ดู! พ่อพุดก็ช่างคิด พระเจ้าอยู่หัวทรงนิยมผัวเดียวเมียเดียว พ่อพุดก็รู้นี่นา แล้วอาจะไปทำเยี่ยงนั้นได้อย่างไรเล่า หรือจะให้หลานสาวไปเป็นเมียกลางนอกตำหนักไหนเรือนไหน อาก็ไม่นิยมเหมือนกัน ที่อาให้ทำเยี่ยงนั้นก็เพราะว่าแม่บุษมีหน้าที่สำคัญน่ะสิ’
‘ขอประทานโทษขอรับคุณอา กระผมสงสัยก็เลยถามน่ะขอรับ ได้ยินคุณอาว่าเยี่ยงนี้กระผมก็เบาใจ ว่าแต่หน้าที่สำคัญของแม่บุษคืออันใดขอรับ’
‘ก็หน้าที่สืบตระกูลของเรายังไงเล่า พ่อพุดมีลูกสาวสามใบเถาก็จริงอยู่ แต่พ่อพุดดูสิ แม่พิกุลกับแม่ประยงค์ก็อยู่นานจนจะเป็นสาวเทื้ออยู่รอมร่อ พ่อพุดคงไม่ใจดำให้แม่บุษเป็นสาวเทื้อเหมือนพี่ๆ ใช่รึไม่
พ่อพุดดูโฉมนางบุษบาสิเล่า นี่ขนาดยังไม่โกนจุก ระเด่นบุษบายังงามเยี่ยงนี้ รอสักประเดี๋ยวเถิด โกนจุกเมื่อใด เห็นทีหัวกระไดบ้านพ่อพุดคงจะไม่แห้งแน่ นี่ถ้าเลี้ยงดี ปั้นแต่งให้เหมาะให้สม เมื่อถึงกาลนางบุษบาเสี่ยงเทียน นางย่อมได้คู่ครองที่เหมาะสม ดีไม่ดีแม่บุษบาอาจได้เป็นเมียพระราชทานของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ก็เป็นได้’
นั่นคือเหตุและผลที่คุณพ่อเห็นควรตามที่คุณย่าน้อยต้องการ เพราะคุณย่าน้อยท่านมีหูตากว้างไกล เห็นความเปลี่ยนแปลงในหลายยุคสมัย ท่านย่อมมองโลกขาด ในยามนั้นแม้หล่อนจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ทั้งหมด เพราะหากหนทางนั้นจักทำให้บุษบางามพร้อม หล่อนก็แสนจะยินดี
ทว่าที่หล่อนและพิกุลหนักใจก็คือ บุษบาที่พบพักตร์อิเหนาแล้วนั้นจะพึงใจบุรุษใดได้อีกเล่า เมื่อตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เจ้าบุษบายังมิเคยลืมเลือนชายรูปงามราวอิเหนาผู้นั้น
และในค่ำคืนนี้ หล่อนก็คาดหวังว่าจะแต่งกายให้บุษบางามพร้อมจนอิเหนาต้องตามหา ทว่าเหตุใดเสื้อผ้าของหล่อนจึงทำให้คุณพ่อต้องเสียหน้ากันเล่า
“คุณพี่คะบอกน้องเถิด น้องควรตัดชุดเยี่ยงไร จะปรับตรงไหนเปลี่ยนตรงไหนบ้าง น้องจะได้เร่งมือ น้องไม่ใคร่ให้คุณพ่อต้องเสียหน้านะคะ และแม่บุษก็ต้องงามพร้อมอย่างที่เราหมายใจไว้ด้วย”
น้ำเสียงของประยงค์อ่อนอกอ่อนใจก็จริงแต่ก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่ พิกุลยิ้มเข้าใจในความคิดของน้องสาว ด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณนี้ประยงค์จัดเตรียมไว้สำหรับหล่อนและบุษบาเป็นอย่างดี หากไม่ได้ใช้ก็คงจะเสียดายแย่ ทว่าเมื่อมีสิ่งเปลี่ยนแปลงก็จำต้องเปลี่ยน
“คุณพ่อไม่เสียหน้าแน่แม่ประยงค์ แม่บุษไปหยิบมาทีสิ”
“ค่ะ คุณพี่”
บุษบารับคำ ยิ้มให้พี่สาวทั้งสอง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนของพิกุล เพียงอึดใจก็ออกมาพร้อมกับถุงกระดาษหลายถุง
“เปิดดูสิแม่ประยงค์” พิกุลบอกน้องสาวคนกลางเมื่อบุษบาวางถุงกระดาษลงตรงหน้า
“ซิ่นและก็เสื้อ...”
“ใช่ ซิ่นกับเสื้อ สามคนสามชุด พี่กับแม่บุษไปซื้อมาจากห้างฝรั่ง”
“โธ่! แล้วคุณพี่ไปซื้อทำไมเล่าคะ แค่บอกน้องว่าต้องการแบบไหน น้องก็ตัดเย็บได้ทุกอย่าง คุณพี่จะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อ ผ้าผืนงามเราก็มีมากมาย”
“ก็พี่ซื้อไว้ให้แม่ประยงค์ดูแบบนั่นแหละ จะให้พี่ขีดเขียนให้ พี่ก็ทำไม่เป็นดอกนะ หรือจะให้แม่ประยงค์ออกไปดูชาวบ้านร้านตลาดเขาสวมใส่กัน ละแวกเรือนเราก็คงไม่มีให้ดู เพราะเสื้อผ้าแบบนี้ที่พี่เห็นก็จะมีแต่คุณหญิงท่านหญิงเท่านั้นที่จะแต่งกัน และค่ำนี้พี่ก็หวังว่าแม่ประยงค์จะได้แบบมากมาย เพราะสุภาพสตรีที่จะไปชมดนตรีในค่ำคืนนี้ ย่อมแต่งกายมาประชันกันเต็มที่”
“แล้วแต่งแบบนี้จะไม่ดูเป็นแหม่มไปหรือคะ”
ประยงค์พินิจดูเสื้อคอกว้าง แขนสั้นประมาณต้นแขน เข้ารูปช่วงเอวและปล่อยชายทิ้งลงคลุมตามแนวสะโพก ตัดเย็บจากลูกไม้ฝรั่งปักลูกปัดเป็นลวดลาย และในถุงกระดาษก็ไม่มีผืนแพรเข้าชุด
“แพรสะพายไม่มีนี่คะ หรือคุณพี่จะให้น้องจัดให้”
“แม่บุษว่าอย่างไร ตอบพี่เชื้อเราหน่อยสิ เพราะเรื่องนี้แม่บุษเขาเป็นคนเจรจา”
พิกุลโบ้ยไปที่บุษบาเพราะหล่อนก็ท้วงแล้วว่าไม่มีแพรสะพาย แต่บุษบาที่สื่อสารกับแหม่มเจ้าของร้าน กลับบอกว่าไม่ต้องใช้
“ไม่ต้องใช้แพรสะพายแล้วค่ะคุณพี่”
“เยี่ยงไรรึแม่บุษ”
“แหม่มมาเรียเจ้าของร้านเสื้อ เธอบอกน้องว่า ตัวเสื้อปักมุกปักลูกปัดมากอยู่แล้ว รวมทั้งเครื่องประดับตามนิยมก็เป็นสร้อยเส้นสั้นติดคอ หรือไม่ก็จะเป็นสร้อยลูกปัดกับสร้อยมุก ถ้ารวมทั้งสร้อยคาดหน้าผากไปอีก หากสะพายแพรทับลงไปที่ตัวเสื้อก็อาจจะดูรุ่มร่ามไม่เข้าชุดน่ะค่ะ และท่านหญิงกับคุณหญิงหลายท่านที่มาสั่งตัดชุดที่ร้านของแหม่ม ก็ไม่มีท่านใดสั่งแพรสะพายเพิ่มนะคะ แหม่มมาเรีย เธอแนะนำว่าเท่านี้ก็งามพอแล้วค่ะ”
“อ้อ... นี่ต้นคิดเสื้อผ้าชุดใหม่มาจากแม่บุษดอกรึ”
บุษบายิ้มแหยพลางซบหน้าลงบนต้นแขนของประยงค์อย่างประจบ เพราะที่ประยงค์พูดนั้นจริงทุกอย่าง ด้วยบรรดาท่านหญิงและคุณหญิงที่เรียนร่วมโรงเรียนกับหล่อน ล้วนเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นลักษณะนี้กันหมดแล้ว ซึ่งหล่อนเองก็เห็นว่างดงามควรที่พิกุลและประยงค์จะแต่งตาม
“ไม่ใช่จากแม่บุษคนเดียวดอก พี่เองก็เห็นควรด้วย เพราะท่านหญิงวิมลกับท่านหญิงติ๋วก็ใส่เยี่ยงนี้แหละ จะออกงานทั้งทีก็ต้องแต่งกายให้ร่วมสมัยหน่อย”
“แหม... ถ้าเห็นดีเห็นงามแต่งกายตามแหม่มเยี่ยงนี้ แล้วทำไมไม่ใส่กระโปรงสุ่มไปด้วยเล่าคะ จะใส่ซิ่นทำไมกัน” ประยงค์ยังอดประชดไม่ได้ แม้จะพินิจแล้วว่าตัวเสื้อตัดเย็บเรียบร้อย ผ้าซิ่นก็ทอลายงดงาม ทว่าเสื้อผ้าที่หล่อนจัดเตรียมไว้เล่าจะทำเยี่ยงไร “โถ... คุณพี่อย่างอนสิคะ เราไม่ได้แต่งกายตามแหม่มทุกอย่างดอกค่ะ คุณครูท่านว่า เรารับความนิยมนำมาปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม แบบเสื้อผ้าของเขาเมื่อนำมาตัดเย็บประยุกต์ก็เหมาะกับผ้าซิ่นของเราค่ะ” บุษบาอธิบายก่อนจะเหลือบมองพิกุลที่พยักหน้าส่งยิ้มเชิงให้หล่อนพูดต่อ เพราะเห็นว่าประยงค์ดูจะอ่อนลงแล้ว “แค่ยามออกนอกเรือนหรือไปยังสถานที่อันควรเท่านั้นแหละค่ะ เราจึงแต่งกายเยี่ยงนี้ แต่อยู่ในเรือนหรือละแวกเรือนเรา เราก็ยังแต่งกายเยี่ยงเดิมค่ะ เคยใส่โจงเยี่ยงไร ก็ยังคงใส่เยี่ยงนั้น” “จริงรึแม่บุษ ไม่ต้องเปลี่ยนไปใส่แบบนั้นทุกวันใช่รึไม่” “จริงค่ะคุณพี่” “เฮ้อ! ค่อยโล่งอกหน่อย พี่รึก็คิดว่าต้องเปลี่ยนทั้งหมด เสียดายอุตส่าห์ตัดเย็บอบร่ำไว้เสียดิบดี” “อย่างนั้นไปลองชุดกันเถอะ เผ
ลูกชายก้าวเดินเข้ามาใกล้ให้คุณหญิงสร้อยได้พิจดูเครื่องแต่งกายตามราชนิยม เจ้าของร่างสูงนุ่งโจงกระเบนสีนวลจันทร์ สวมเสื้อตัวในสีขาวและตัวนอกเป็นสูทสีดำผูกหูกระต่ายแบบฝรั่ง ด้วยพ่อศรนั้นเป็นเจ้าพนักงานดนตรีสังกัดกรมมหรสพ การแต่งกายตามราชนิยมในค่ำคืนนี้จึงเป็นการแต่งเต็มยศพร้อมสำหรับหน้าที่ “พ่อศรของแม่ งามจริงลูก” คุณหญิงสร้อยลูบเนื้อลูบตัวลูกชายอย่างแสนรักและภูมิใจนักหนาที่ลูกชายเป็นที่รักของเจ้านายหลายพระองค์ จนได้บรรดาศักดิ์คุณพระตั้งแต่ยังหนุ่ม พ่อศรสร้างแต่ความภูมิใจให้กับแม่ ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ‘พระวิจิตรดุริยางค์’ หรือ ‘พ่อศร’ ตามคำเรียกของคุณหญิงสร้อย ยิ้มน้อยๆ อย่างเสียไม่ได้ เพราะเครื่องแต่งกายของแม่ในค่ำคืนนี้ แม่นุ่งซิ่นตามราชนิยม สวมเสื้อตัดเย็บจากผ้าแพรบาง แต่งผมตีโป่งด้านบน ก็นึกรู้ว่าคุณหญิงแม่คงไม่พ้นจะพาแม่สื่อแม่ชักมาดูตัวเขาอีกครา “คุณแม่จะไปพร้อมกับผมรึไม่ครับ” ศรเอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพ ด้วยถูกอบรมในเฉกสุภาพบุรุษ แม้นจะขุ่นใจเยี่ยงไรก็ต้องข่มไว้ให้จงมั่น ทั้งผู้ที่ทำให้ขุ่นใจนั้นเป็นมารดาบังเกิดเกล้า เขายิ่งต้
เสียงดนตรีที่ดังออกมาจากตัวตึกด้านข้าง ส่งผลให้เจ้าของร่างแน่งน้อยชะงักเท้าก้าวเดิน ดวงตาสวยเบิกกว้างด้วยความฉงน ด้วยนี่คือสิ่งใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าเสียงนั้นกลับบาดลึกสู่กลางอกจนไม่อาจทำเฉยแล้วเดินผ่านไปได้ ใบหน้างามสมวัยดรุณีผินตามทิศทางของเสียง ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงหลับพริ้ม ดั่งจะซึมซับทุกท่วงจังหวะกังวาน ทุ้ม ต่ำ ลุ่มลึก มีอำนาจ แลบางครั้งกลับแหลมขึ้น คล้ายผู้เล่นจงใจให้เป็นเช่นนั้น ทุกสรรพเสียงที่ก่อเกิดเป็นท่วงทำนองช่างแปลกไม่คุ้นหู แต่กลับน่าหลงใหล “ไม่ใช่เสียงซอ หรือว่าจะใช่ แต่ก็ไม่นะ... เสียงซอไม่ใช่แบบนี้...” ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อขยับพึมพำกับตนเอง ก่อนจะเม้มเข้าหากันเพียงนิดอย่างครุ่นคิด ดวงตาสวยงามชวนฝันเปิดขึ้นและมองตรงไป เจ้าของร่างอรชรบอกตนเองว่าจะต้องเห็นเครื่องดนตรีชนิดนี้ให้ได้ หล่อนมั่นใจว่าต้องเป็น ‘เครื่องสาย’ อย่างแน่นอน แต่เครื่องสายชนิดใดกันเล่าที่จะมีเสียงทุ้มลุ่มลึกได้เท่านี้ ร่างแน่งน้อยตัดสินใจก้าวเข้าใกล้จนหยุดอยู่ด้านข้างตัวตึกเพราะเสียงดังฟังชัดนี้ดังออกมาจากห้องด้านในแน่นอน
“แม่บุษ... แม่บุษ!” “อุ้ย! คะคุณพี่ โธ่... อยู่ใกล้กันแค่นี้ ไยต้องเสียงดังเล่าคะ” “ไม่เสียงดังได้อย่างไร ก็พี่เรียกน้องตั้งนานสองนาน น้องก็ไม่ขานรับ ใจลอยไปอยู่ที่ใดเล่า หรือว่าลอยไปหาพ่ออิเหนาคนนั้นอีก” “คุณพี่! น้องไม่พูดด้วยแล้ว” ‘พิกุล’ ทอดสายตาอ่อนโยนมองน้องสาวคนเล็กที่ทำหน้าเง้า ทว่ากลับก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม แก้มนวลนั้นระเรื่อขึ้น ด้วยเรื่อง ‘นางบุษบาหลงพักตร์อิเหนา’ กลายเป็นเรื่องหยอกเย้าของพี่น้อง แม้จะผ่านมากว่า 3 ปี จนดรุณีน้อยวัย 14 ปี ในวันวานกลับกลายเป็นดอกไม้งามแห่งเรือนพระนาฏกรรมวิจิตร บุษบาก็ยังสะเทิ้นอายทุกครั้งหากหล่อนหรือ ‘ประยงค์’ น้องสาวคนรองหยอกเย้าเรื่องนี้ และจากอายมากก็จะกลายเป็นงอนมาก พิกุลส่ายหน้าอมยิ้มก่อนจะหันมองประยงค์ที่กำลังคัดเลือกผ้าอบร่ำหอมกรุ่นออกจากหีบ ส่งยิ้มให้กันเพราะต่างรู้ดีว่าวันนี้บุษบาน่าจะประหม่ามากเป็นพิเศษด้วยค่ำนี้ที่กรมมหรสพมีงาน บุษบาอาจได้พบพักตร์อิเหนารูปงามอีกคราก็ได้ เพราะพิกุลสืบดูจนรู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในเจ้าพนักงานดนตรีที่จะได้ร่วมบรรเลงเพลงในค่ำคืนนี้ด้วย “แม่บุษอย่ามัวแต่
ลูกชายก้าวเดินเข้ามาใกล้ให้คุณหญิงสร้อยได้พิจดูเครื่องแต่งกายตามราชนิยม เจ้าของร่างสูงนุ่งโจงกระเบนสีนวลจันทร์ สวมเสื้อตัวในสีขาวและตัวนอกเป็นสูทสีดำผูกหูกระต่ายแบบฝรั่ง ด้วยพ่อศรนั้นเป็นเจ้าพนักงานดนตรีสังกัดกรมมหรสพ การแต่งกายตามราชนิยมในค่ำคืนนี้จึงเป็นการแต่งเต็มยศพร้อมสำหรับหน้าที่ “พ่อศรของแม่ งามจริงลูก” คุณหญิงสร้อยลูบเนื้อลูบตัวลูกชายอย่างแสนรักและภูมิใจนักหนาที่ลูกชายเป็นที่รักของเจ้านายหลายพระองค์ จนได้บรรดาศักดิ์คุณพระตั้งแต่ยังหนุ่ม พ่อศรสร้างแต่ความภูมิใจให้กับแม่ ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ‘พระวิจิตรดุริยางค์’ หรือ ‘พ่อศร’ ตามคำเรียกของคุณหญิงสร้อย ยิ้มน้อยๆ อย่างเสียไม่ได้ เพราะเครื่องแต่งกายของแม่ในค่ำคืนนี้ แม่นุ่งซิ่นตามราชนิยม สวมเสื้อตัดเย็บจากผ้าแพรบาง แต่งผมตีโป่งด้านบน ก็นึกรู้ว่าคุณหญิงแม่คงไม่พ้นจะพาแม่สื่อแม่ชักมาดูตัวเขาอีกครา “คุณแม่จะไปพร้อมกับผมรึไม่ครับ” ศรเอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพ ด้วยถูกอบรมในเฉกสุภาพบุรุษ แม้นจะขุ่นใจเยี่ยงไรก็ต้องข่มไว้ให้จงมั่น ทั้งผู้ที่ทำให้ขุ่นใจนั้นเป็นมารดาบังเกิดเกล้า เขายิ่งต้
“แหม... ถ้าเห็นดีเห็นงามแต่งกายตามแหม่มเยี่ยงนี้ แล้วทำไมไม่ใส่กระโปรงสุ่มไปด้วยเล่าคะ จะใส่ซิ่นทำไมกัน” ประยงค์ยังอดประชดไม่ได้ แม้จะพินิจแล้วว่าตัวเสื้อตัดเย็บเรียบร้อย ผ้าซิ่นก็ทอลายงดงาม ทว่าเสื้อผ้าที่หล่อนจัดเตรียมไว้เล่าจะทำเยี่ยงไร “โถ... คุณพี่อย่างอนสิคะ เราไม่ได้แต่งกายตามแหม่มทุกอย่างดอกค่ะ คุณครูท่านว่า เรารับความนิยมนำมาปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม แบบเสื้อผ้าของเขาเมื่อนำมาตัดเย็บประยุกต์ก็เหมาะกับผ้าซิ่นของเราค่ะ” บุษบาอธิบายก่อนจะเหลือบมองพิกุลที่พยักหน้าส่งยิ้มเชิงให้หล่อนพูดต่อ เพราะเห็นว่าประยงค์ดูจะอ่อนลงแล้ว “แค่ยามออกนอกเรือนหรือไปยังสถานที่อันควรเท่านั้นแหละค่ะ เราจึงแต่งกายเยี่ยงนี้ แต่อยู่ในเรือนหรือละแวกเรือนเรา เราก็ยังแต่งกายเยี่ยงเดิมค่ะ เคยใส่โจงเยี่ยงไร ก็ยังคงใส่เยี่ยงนั้น” “จริงรึแม่บุษ ไม่ต้องเปลี่ยนไปใส่แบบนั้นทุกวันใช่รึไม่” “จริงค่ะคุณพี่” “เฮ้อ! ค่อยโล่งอกหน่อย พี่รึก็คิดว่าต้องเปลี่ยนทั้งหมด เสียดายอุตส่าห์ตัดเย็บอบร่ำไว้เสียดิบดี” “อย่างนั้นไปลองชุดกันเถอะ เผ
‘คุณอาหมายความว่า... จะให้แม่บุษถวายตัวหรือขอรับ’ ‘อพิโธ่พิถัง! ใครเขาจะทำเยี่ยงนั้นกันเล่าพ่อพุด ดู๊ดู! พ่อพุดก็ช่างคิด พระเจ้าอยู่หัวทรงนิยมผัวเดียวเมียเดียว พ่อพุดก็รู้นี่นา แล้วอาจะไปทำเยี่ยงนั้นได้อย่างไรเล่า หรือจะให้หลานสาวไปเป็นเมียกลางนอกตำหนักไหนเรือนไหน อาก็ไม่นิยมเหมือนกัน ที่อาให้ทำเยี่ยงนั้นก็เพราะว่าแม่บุษมีหน้าที่สำคัญน่ะสิ’ ‘ขอประทานโทษขอรับคุณอา กระผมสงสัยก็เลยถามน่ะขอรับ ได้ยินคุณอาว่าเยี่ยงนี้กระผมก็เบาใจ ว่าแต่หน้าที่สำคัญของแม่บุษคืออันใดขอรับ’ ‘ก็หน้าที่สืบตระกูลของเรายังไงเล่า พ่อพุดมีลูกสาวสามใบเถาก็จริงอยู่ แต่พ่อพุดดูสิ แม่พิกุลกับแม่ประยงค์ก็อยู่นานจนจะเป็นสาวเทื้ออยู่รอมร่อ พ่อพุดคงไม่ใจดำให้แม่บุษเป็นสาวเทื้อเหมือนพี่ๆ ใช่รึไม่ พ่อพุดดูโฉมนางบุษบาสิเล่า นี่ขนาดยังไม่โกนจุก ระเด่นบุษบายังงามเยี่ยงนี้ รอสักประเดี๋ยวเถิด โกนจุกเมื่อใด เห็นทีหัวกระไดบ้านพ่อพุดคงจะไม่แห้งแน่ นี่ถ้าเลี้ยงดี ปั้นแต่งให้เหมาะให้สม เมื่อถึงกาลนางบุษบาเสี่ยงเทียน นางย่อมได้คู่ครองที่เหมาะสม ดีไม่ดีแม่บุษบาอาจได้เป็นเมียพระราชทานของผ
“แม่บุษ... แม่บุษ!” “อุ้ย! คะคุณพี่ โธ่... อยู่ใกล้กันแค่นี้ ไยต้องเสียงดังเล่าคะ” “ไม่เสียงดังได้อย่างไร ก็พี่เรียกน้องตั้งนานสองนาน น้องก็ไม่ขานรับ ใจลอยไปอยู่ที่ใดเล่า หรือว่าลอยไปหาพ่ออิเหนาคนนั้นอีก” “คุณพี่! น้องไม่พูดด้วยแล้ว” ‘พิกุล’ ทอดสายตาอ่อนโยนมองน้องสาวคนเล็กที่ทำหน้าเง้า ทว่ากลับก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม แก้มนวลนั้นระเรื่อขึ้น ด้วยเรื่อง ‘นางบุษบาหลงพักตร์อิเหนา’ กลายเป็นเรื่องหยอกเย้าของพี่น้อง แม้จะผ่านมากว่า 3 ปี จนดรุณีน้อยวัย 14 ปี ในวันวานกลับกลายเป็นดอกไม้งามแห่งเรือนพระนาฏกรรมวิจิตร บุษบาก็ยังสะเทิ้นอายทุกครั้งหากหล่อนหรือ ‘ประยงค์’ น้องสาวคนรองหยอกเย้าเรื่องนี้ และจากอายมากก็จะกลายเป็นงอนมาก พิกุลส่ายหน้าอมยิ้มก่อนจะหันมองประยงค์ที่กำลังคัดเลือกผ้าอบร่ำหอมกรุ่นออกจากหีบ ส่งยิ้มให้กันเพราะต่างรู้ดีว่าวันนี้บุษบาน่าจะประหม่ามากเป็นพิเศษด้วยค่ำนี้ที่กรมมหรสพมีงาน บุษบาอาจได้พบพักตร์อิเหนารูปงามอีกคราก็ได้ เพราะพิกุลสืบดูจนรู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในเจ้าพนักงานดนตรีที่จะได้ร่วมบรรเลงเพลงในค่ำคืนนี้ด้วย “แม่บุษอย่ามัวแต่
เสียงดนตรีที่ดังออกมาจากตัวตึกด้านข้าง ส่งผลให้เจ้าของร่างแน่งน้อยชะงักเท้าก้าวเดิน ดวงตาสวยเบิกกว้างด้วยความฉงน ด้วยนี่คือสิ่งใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าเสียงนั้นกลับบาดลึกสู่กลางอกจนไม่อาจทำเฉยแล้วเดินผ่านไปได้ ใบหน้างามสมวัยดรุณีผินตามทิศทางของเสียง ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงหลับพริ้ม ดั่งจะซึมซับทุกท่วงจังหวะกังวาน ทุ้ม ต่ำ ลุ่มลึก มีอำนาจ แลบางครั้งกลับแหลมขึ้น คล้ายผู้เล่นจงใจให้เป็นเช่นนั้น ทุกสรรพเสียงที่ก่อเกิดเป็นท่วงทำนองช่างแปลกไม่คุ้นหู แต่กลับน่าหลงใหล “ไม่ใช่เสียงซอ หรือว่าจะใช่ แต่ก็ไม่นะ... เสียงซอไม่ใช่แบบนี้...” ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อขยับพึมพำกับตนเอง ก่อนจะเม้มเข้าหากันเพียงนิดอย่างครุ่นคิด ดวงตาสวยงามชวนฝันเปิดขึ้นและมองตรงไป เจ้าของร่างอรชรบอกตนเองว่าจะต้องเห็นเครื่องดนตรีชนิดนี้ให้ได้ หล่อนมั่นใจว่าต้องเป็น ‘เครื่องสาย’ อย่างแน่นอน แต่เครื่องสายชนิดใดกันเล่าที่จะมีเสียงทุ้มลุ่มลึกได้เท่านี้ ร่างแน่งน้อยตัดสินใจก้าวเข้าใกล้จนหยุดอยู่ด้านข้างตัวตึกเพราะเสียงดังฟังชัดนี้ดังออกมาจากห้องด้านในแน่นอน