เสียงดนตรีที่ดังออกมาจากตัวตึกด้านข้าง ส่งผลให้เจ้าของร่างแน่งน้อยชะงักเท้าก้าวเดิน ดวงตาสวยเบิกกว้างด้วยความฉงน ด้วยนี่คือสิ่งใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าเสียงนั้นกลับบาดลึกสู่กลางอกจนไม่อาจทำเฉยแล้วเดินผ่านไปได้
ใบหน้างามสมวัยดรุณีผินตามทิศทางของเสียง ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงหลับพริ้ม ดั่งจะซึมซับทุกท่วงจังหวะกังวาน ทุ้ม ต่ำ ลุ่มลึก มีอำนาจ แลบางครั้งกลับแหลมขึ้น คล้ายผู้เล่นจงใจให้เป็นเช่นนั้น
ทุกสรรพเสียงที่ก่อเกิดเป็นท่วงทำนองช่างแปลกไม่คุ้นหู แต่กลับน่าหลงใหล
“ไม่ใช่เสียงซอ หรือว่าจะใช่ แต่ก็ไม่นะ... เสียงซอไม่ใช่แบบนี้...”
ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อขยับพึมพำกับตนเอง ก่อนจะเม้มเข้าหากันเพียงนิดอย่างครุ่นคิด ดวงตาสวยงามชวนฝันเปิดขึ้นและมองตรงไป
เจ้าของร่างอรชรบอกตนเองว่าจะต้องเห็นเครื่องดนตรีชนิดนี้ให้ได้ หล่อนมั่นใจว่าต้องเป็น ‘เครื่องสาย’ อย่างแน่นอน แต่เครื่องสายชนิดใดกันเล่าที่จะมีเสียงทุ้มลุ่มลึกได้เท่านี้
ร่างแน่งน้อยตัดสินใจก้าวเข้าใกล้จนหยุดอยู่ด้านข้างตัวตึกเพราะเสียงดังฟังชัดนี้ดังออกมาจากห้องด้านในแน่นอน ท่วงทำนองยังคงขับขานเปล่งออกเป็นเสียงบาดลึกให้ใจได้เต้นตึกตัก จนหล่อนไม่อาจเก็บกั้นความสงสัยใคร่รู้ไว้ได้อีก
ใบหน้าน้อยค่อยๆ เยี่ยมมองผ่านประตูที่เปิดค้างเอาไว้ และนั่นกลับทำให้สาวรุ่นต้องเบิกดวงตากว้างขึ้นอีก เพราะหล่อนเห็นแล้วว่าต้นกำเนิดแห่งเสียงนั้นเป็นเครื่องสายขนาดใหญ่คล้ายซอแต่ไม่ใช่ โดยมีผู้เล่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ ตั้งเครื่องสายไว้ระหว่างต้นขาทั้งสองที่กางออก
มือซ้ายกุมบริเวณคอพร้อมขยับปลายนิ้วกดไปตามเส้นสายก่อกำเนิดเป็นเสียงที่แตกต่าง มือขวาจับคันชักเคลื่อนไหวเสียดสี ไม่ต่างจากยามหล่อนเล่น ‘ซอสามสาย’
หล่อนพินิจเจ้าเครื่องสายขนาดใหญ่ที่คล้ายซอแต่ไม่ใช่ รับรู้ได้ว่าผู้เล่นโอบประคองและบรรเลงบทเพลงอย่างทะนุถนอม เพราะแค่ลักษณะการจับยังคล้ายถูกโอบกอด บ่งบอกว่าผู้เล่นนี้ถนอมเครื่องดนตรีราวกับสิ่งล้ำค่า ด้วยทุกปลายนิ้วของเขาที่ขยับไปมาสลับกับมือที่เคลื่อนคันชักไปบนเส้นสาย สร้างความเพลิดเพลินเสมือนหล่อนถูกดูดเข้าไปมีส่วนร่วมกับอารมณ์แห่งท่วงทำนอง ที่ผู้เล่นยังคงดื่มด่ำกับความสุขดังจะฉายชัดบนใบหน้า
และนั่นกลับทำให้ดวงตาสวยหวานเต้นระริกไม่แพ้หัวใจ เมื่อได้เห็นผู้บรรเลงบทเพลงได้ชัด บุรุษผิวขาวราวหยวก ใบหน้างามราวเทพสลักเสลา เขาหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับท่วงทำนอง
ภาพที่เห็นก่อเกิดความร้อนวูบไปทั่วใบหน้า จนหล่อนต้องหลบเร้นกายเข้าหลังบานประตู ทว่าหัวใจสาวรุ่นที่เต้นระรัวกลับคล้ายเป็นแรงขับให้หล่อนค่อยๆ แย้มหน้าแอบมองเขาอีกครั้ง
เขาใส่เสื้อราชปะแตน นุ่งผ้าม่วง ใส่ถุงเท้าขาวยาวเลยเข้าไปในโจง และสวมรองเท้าหนังสีดำขัดมันเรี่ยมเฉกเช่นบิดาของหล่อน คงเป็นข้าราชสำนัก ณ ที่แห่งนี้ไม่ผิดแน่ เพราะนี่คือ ‘กรมมหรสพ’ และเครื่องสายที่คล้ายอยู่ในอ้อมกอดของเขาก็คงเป็น ‘ซอฝรั่ง’ อย่างที่คุณย่าเคยบอกเล่าว่าพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดเกล้าให้เจ้าพนักงานดนตรีได้ฝึกหัดกัน ซึ่งก็ทำให้หล่อนใคร่รู้และอยากจะเห็นในสักวัน
ทว่าในเวลานี้สิ่งที่น่าจดจำยิ่งกว่าซอฝรั่งก็คือ... บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หลับตาพริ้มด่ำดื่มกับท่วงทำนอง โดยมิรู้เลยว่ามีใครแอบซุ่มมองอยู่ และเขาได้สร้างความหวั่นไหวในใจสาวรุ่นเข้าแล้ว
เรือนผมดำตัดสั้นสะอาดตาและผิวที่ขาวจัด เผยให้เห็นใบหน้าหล่องามเด่นไปด้วยเครื่องหน้าที่ชัดลงตัว ไม่ว่าจะเป็นเรียวคิ้วเข้ม เปลือกตาหลับพริ้มแลเห็นแพขนตางอนหนา จมูกโด่ง ปากเป็นกระจับเม้มสนิท
ทว่าหล่อนใคร่อยากเห็นดวงตาที่หลับพริ้มนั้นเปิดขึ้นมอง อยากเห็นว่าสิ่งที่ถูกปิดบังอยู่นี้จะงามได้มากเท่าไรกัน
“แม่บุษ แอบดูอะไรอยู่รึ”
“อุ้ย! น้องมิได้แอบดูอันใดค่ะ”
‘บุษบา’ ส่ายหน้าพร้อมเอ่ยปฏิเสธ ทว่าผู้เป็นพี่สาวกลับก้าวเข้าใกล้พร้อมทำท่าจะชะเง้อดูว่าภายในห้องนั้นมีใครอยู่ ด้วยเสียงดนตรีที่ขับขานแม้จะแปลกหูแต่ก็ไพเราะน่าฟัง และหล่อนก็เห็นว่าน้องสาวเฝ้าแอบดูอยู่นานแล้ว
“ไหน ไม่ได้ดูอะไรกัน เห็นอยู่ว่าแอบดู ไหนพี่ดูสิว่าแม่บุษดูอะไรอยู่ เจ้าพนักงานดนตรีกำลังซ้อมอยู่รึ เอ... แต่เครื่องดนตรีชนิดใดกันเล่า เสียงนี้พี่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ไหนหลบสิ พี่จะขอดูหน่อย”
บุษบารีบเข้ามากันเมื่อผู้เป็นพี่สาวชะเง้อชะแง้จะเข้ามาดูให้ได้
“น้องไม่ดูแล้วค่ะคุณพี่ น้องว่าเรารีบไปหาคุณย่าน้อยกันดีกว่าค่ะ ป่านนี้คุณย่าท่านคงเตรียมหวายไว้หวดน่องน้องเสียแล้วกระมัง นี่ก็สายแล้วด้วย”
“เอ๊ะ! แม่บุษนี่… น้องมีพิรุธเยี่ยงนี้ พี่ยิ่งต้องดูให้ได้ หลีกทางพี่...”
เสียงเข้มของพี่สาวคนโตทำให้บุษบาหน้าแหยก้มหน้าพลางถอยห่างจากมุมประตู ทว่าเสียงเครื่องสายที่เงียบลงกลับฉุกใจให้บุษบาชะเง้อหน้าเข้าไปดูอีกครั้ง ใคร่รู้ว่าเหตุใดคนด้านในจึงหยุดบรรเลง และภาพที่เห็นก็ทำให้ดรุณีน้อยนิ่งอึ้ง ด้วยดวงตาคมเข้มคู่นั้นที่มองมาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ส่อแววใจดีส่งมาให้ ช่างทำให้ใบหน้างามปานเทพบุตรราวจะยิ่งงดงามมากขึ้น จนริมฝีปากน้อยเผลอแย้มยิ้มตอบรับไม่รู้ตัว
“แม่บุษ... แม่บุษ!” “อุ้ย! คะคุณพี่ โธ่... อยู่ใกล้กันแค่นี้ ไยต้องเสียงดังเล่าคะ” “ไม่เสียงดังได้อย่างไร ก็พี่เรียกน้องตั้งนานสองนาน น้องก็ไม่ขานรับ ใจลอยไปอยู่ที่ใดเล่า หรือว่าลอยไปหาพ่ออิเหนาคนนั้นอีก” “คุณพี่! น้องไม่พูดด้วยแล้ว” ‘พิกุล’ ทอดสายตาอ่อนโยนมองน้องสาวคนเล็กที่ทำหน้าเง้า ทว่ากลับก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม แก้มนวลนั้นระเรื่อขึ้น ด้วยเรื่อง ‘นางบุษบาหลงพักตร์อิเหนา’ กลายเป็นเรื่องหยอกเย้าของพี่น้อง แม้จะผ่านมากว่า 3 ปี จนดรุณีน้อยวัย 14 ปี ในวันวานกลับกลายเป็นดอกไม้งามแห่งเรือนพระนาฏกรรมวิจิตร บุษบาก็ยังสะเทิ้นอายทุกครั้งหากหล่อนหรือ ‘ประยงค์’ น้องสาวคนรองหยอกเย้าเรื่องนี้ และจากอายมากก็จะกลายเป็นงอนมาก พิกุลส่ายหน้าอมยิ้มก่อนจะหันมองประยงค์ที่กำลังคัดเลือกผ้าอบร่ำหอมกรุ่นออกจากหีบ ส่งยิ้มให้กันเพราะต่างรู้ดีว่าวันนี้บุษบาน่าจะประหม่ามากเป็นพิเศษด้วยค่ำนี้ที่กรมมหรสพมีงาน บุษบาอาจได้พบพักตร์อิเหนารูปงามอีกคราก็ได้ เพราะพิกุลสืบดูจนรู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในเจ้าพนักงานดนตรีที่จะได้ร่วมบรรเลงเพลงในค่ำคืนนี้ด้วย “แม่บุษอย่ามัวแต่
‘คุณอาหมายความว่า... จะให้แม่บุษถวายตัวหรือขอรับ’ ‘อพิโธ่พิถัง! ใครเขาจะทำเยี่ยงนั้นกันเล่าพ่อพุด ดู๊ดู! พ่อพุดก็ช่างคิด พระเจ้าอยู่หัวทรงนิยมผัวเดียวเมียเดียว พ่อพุดก็รู้นี่นา แล้วอาจะไปทำเยี่ยงนั้นได้อย่างไรเล่า หรือจะให้หลานสาวไปเป็นเมียกลางนอกตำหนักไหนเรือนไหน อาก็ไม่นิยมเหมือนกัน ที่อาให้ทำเยี่ยงนั้นก็เพราะว่าแม่บุษมีหน้าที่สำคัญน่ะสิ’ ‘ขอประทานโทษขอรับคุณอา กระผมสงสัยก็เลยถามน่ะขอรับ ได้ยินคุณอาว่าเยี่ยงนี้กระผมก็เบาใจ ว่าแต่หน้าที่สำคัญของแม่บุษคืออันใดขอรับ’ ‘ก็หน้าที่สืบตระกูลของเรายังไงเล่า พ่อพุดมีลูกสาวสามใบเถาก็จริงอยู่ แต่พ่อพุดดูสิ แม่พิกุลกับแม่ประยงค์ก็อยู่นานจนจะเป็นสาวเทื้ออยู่รอมร่อ พ่อพุดคงไม่ใจดำให้แม่บุษเป็นสาวเทื้อเหมือนพี่ๆ ใช่รึไม่ พ่อพุดดูโฉมนางบุษบาสิเล่า นี่ขนาดยังไม่โกนจุก ระเด่นบุษบายังงามเยี่ยงนี้ รอสักประเดี๋ยวเถิด โกนจุกเมื่อใด เห็นทีหัวกระไดบ้านพ่อพุดคงจะไม่แห้งแน่ นี่ถ้าเลี้ยงดี ปั้นแต่งให้เหมาะให้สม เมื่อถึงกาลนางบุษบาเสี่ยงเทียน นางย่อมได้คู่ครองที่เหมาะสม ดีไม่ดีแม่บุษบาอาจได้เป็นเมียพระราชทานของผ
“แหม... ถ้าเห็นดีเห็นงามแต่งกายตามแหม่มเยี่ยงนี้ แล้วทำไมไม่ใส่กระโปรงสุ่มไปด้วยเล่าคะ จะใส่ซิ่นทำไมกัน” ประยงค์ยังอดประชดไม่ได้ แม้จะพินิจแล้วว่าตัวเสื้อตัดเย็บเรียบร้อย ผ้าซิ่นก็ทอลายงดงาม ทว่าเสื้อผ้าที่หล่อนจัดเตรียมไว้เล่าจะทำเยี่ยงไร “โถ... คุณพี่อย่างอนสิคะ เราไม่ได้แต่งกายตามแหม่มทุกอย่างดอกค่ะ คุณครูท่านว่า เรารับความนิยมนำมาปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม แบบเสื้อผ้าของเขาเมื่อนำมาตัดเย็บประยุกต์ก็เหมาะกับผ้าซิ่นของเราค่ะ” บุษบาอธิบายก่อนจะเหลือบมองพิกุลที่พยักหน้าส่งยิ้มเชิงให้หล่อนพูดต่อ เพราะเห็นว่าประยงค์ดูจะอ่อนลงแล้ว “แค่ยามออกนอกเรือนหรือไปยังสถานที่อันควรเท่านั้นแหละค่ะ เราจึงแต่งกายเยี่ยงนี้ แต่อยู่ในเรือนหรือละแวกเรือนเรา เราก็ยังแต่งกายเยี่ยงเดิมค่ะ เคยใส่โจงเยี่ยงไร ก็ยังคงใส่เยี่ยงนั้น” “จริงรึแม่บุษ ไม่ต้องเปลี่ยนไปใส่แบบนั้นทุกวันใช่รึไม่” “จริงค่ะคุณพี่” “เฮ้อ! ค่อยโล่งอกหน่อย พี่รึก็คิดว่าต้องเปลี่ยนทั้งหมด เสียดายอุตส่าห์ตัดเย็บอบร่ำไว้เสียดิบดี” “อย่างนั้นไปลองชุดกันเถอะ เผ
ลูกชายก้าวเดินเข้ามาใกล้ให้คุณหญิงสร้อยได้พิจดูเครื่องแต่งกายตามราชนิยม เจ้าของร่างสูงนุ่งโจงกระเบนสีนวลจันทร์ สวมเสื้อตัวในสีขาวและตัวนอกเป็นสูทสีดำผูกหูกระต่ายแบบฝรั่ง ด้วยพ่อศรนั้นเป็นเจ้าพนักงานดนตรีสังกัดกรมมหรสพ การแต่งกายตามราชนิยมในค่ำคืนนี้จึงเป็นการแต่งเต็มยศพร้อมสำหรับหน้าที่ “พ่อศรของแม่ งามจริงลูก” คุณหญิงสร้อยลูบเนื้อลูบตัวลูกชายอย่างแสนรักและภูมิใจนักหนาที่ลูกชายเป็นที่รักของเจ้านายหลายพระองค์ จนได้บรรดาศักดิ์คุณพระตั้งแต่ยังหนุ่ม พ่อศรสร้างแต่ความภูมิใจให้กับแม่ ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ‘พระวิจิตรดุริยางค์’ หรือ ‘พ่อศร’ ตามคำเรียกของคุณหญิงสร้อย ยิ้มน้อยๆ อย่างเสียไม่ได้ เพราะเครื่องแต่งกายของแม่ในค่ำคืนนี้ แม่นุ่งซิ่นตามราชนิยม สวมเสื้อตัดเย็บจากผ้าแพรบาง แต่งผมตีโป่งด้านบน ก็นึกรู้ว่าคุณหญิงแม่คงไม่พ้นจะพาแม่สื่อแม่ชักมาดูตัวเขาอีกครา “คุณแม่จะไปพร้อมกับผมรึไม่ครับ” ศรเอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพ ด้วยถูกอบรมในเฉกสุภาพบุรุษ แม้นจะขุ่นใจเยี่ยงไรก็ต้องข่มไว้ให้จงมั่น ทั้งผู้ที่ทำให้ขุ่นใจนั้นเป็นมารดาบังเกิดเกล้า เขายิ่งต้
ลูกชายก้าวเดินเข้ามาใกล้ให้คุณหญิงสร้อยได้พิจดูเครื่องแต่งกายตามราชนิยม เจ้าของร่างสูงนุ่งโจงกระเบนสีนวลจันทร์ สวมเสื้อตัวในสีขาวและตัวนอกเป็นสูทสีดำผูกหูกระต่ายแบบฝรั่ง ด้วยพ่อศรนั้นเป็นเจ้าพนักงานดนตรีสังกัดกรมมหรสพ การแต่งกายตามราชนิยมในค่ำคืนนี้จึงเป็นการแต่งเต็มยศพร้อมสำหรับหน้าที่ “พ่อศรของแม่ งามจริงลูก” คุณหญิงสร้อยลูบเนื้อลูบตัวลูกชายอย่างแสนรักและภูมิใจนักหนาที่ลูกชายเป็นที่รักของเจ้านายหลายพระองค์ จนได้บรรดาศักดิ์คุณพระตั้งแต่ยังหนุ่ม พ่อศรสร้างแต่ความภูมิใจให้กับแม่ ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ‘พระวิจิตรดุริยางค์’ หรือ ‘พ่อศร’ ตามคำเรียกของคุณหญิงสร้อย ยิ้มน้อยๆ อย่างเสียไม่ได้ เพราะเครื่องแต่งกายของแม่ในค่ำคืนนี้ แม่นุ่งซิ่นตามราชนิยม สวมเสื้อตัดเย็บจากผ้าแพรบาง แต่งผมตีโป่งด้านบน ก็นึกรู้ว่าคุณหญิงแม่คงไม่พ้นจะพาแม่สื่อแม่ชักมาดูตัวเขาอีกครา “คุณแม่จะไปพร้อมกับผมรึไม่ครับ” ศรเอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพ ด้วยถูกอบรมในเฉกสุภาพบุรุษ แม้นจะขุ่นใจเยี่ยงไรก็ต้องข่มไว้ให้จงมั่น ทั้งผู้ที่ทำให้ขุ่นใจนั้นเป็นมารดาบังเกิดเกล้า เขายิ่งต้
“แหม... ถ้าเห็นดีเห็นงามแต่งกายตามแหม่มเยี่ยงนี้ แล้วทำไมไม่ใส่กระโปรงสุ่มไปด้วยเล่าคะ จะใส่ซิ่นทำไมกัน” ประยงค์ยังอดประชดไม่ได้ แม้จะพินิจแล้วว่าตัวเสื้อตัดเย็บเรียบร้อย ผ้าซิ่นก็ทอลายงดงาม ทว่าเสื้อผ้าที่หล่อนจัดเตรียมไว้เล่าจะทำเยี่ยงไร “โถ... คุณพี่อย่างอนสิคะ เราไม่ได้แต่งกายตามแหม่มทุกอย่างดอกค่ะ คุณครูท่านว่า เรารับความนิยมนำมาปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม แบบเสื้อผ้าของเขาเมื่อนำมาตัดเย็บประยุกต์ก็เหมาะกับผ้าซิ่นของเราค่ะ” บุษบาอธิบายก่อนจะเหลือบมองพิกุลที่พยักหน้าส่งยิ้มเชิงให้หล่อนพูดต่อ เพราะเห็นว่าประยงค์ดูจะอ่อนลงแล้ว “แค่ยามออกนอกเรือนหรือไปยังสถานที่อันควรเท่านั้นแหละค่ะ เราจึงแต่งกายเยี่ยงนี้ แต่อยู่ในเรือนหรือละแวกเรือนเรา เราก็ยังแต่งกายเยี่ยงเดิมค่ะ เคยใส่โจงเยี่ยงไร ก็ยังคงใส่เยี่ยงนั้น” “จริงรึแม่บุษ ไม่ต้องเปลี่ยนไปใส่แบบนั้นทุกวันใช่รึไม่” “จริงค่ะคุณพี่” “เฮ้อ! ค่อยโล่งอกหน่อย พี่รึก็คิดว่าต้องเปลี่ยนทั้งหมด เสียดายอุตส่าห์ตัดเย็บอบร่ำไว้เสียดิบดี” “อย่างนั้นไปลองชุดกันเถอะ เผ
‘คุณอาหมายความว่า... จะให้แม่บุษถวายตัวหรือขอรับ’ ‘อพิโธ่พิถัง! ใครเขาจะทำเยี่ยงนั้นกันเล่าพ่อพุด ดู๊ดู! พ่อพุดก็ช่างคิด พระเจ้าอยู่หัวทรงนิยมผัวเดียวเมียเดียว พ่อพุดก็รู้นี่นา แล้วอาจะไปทำเยี่ยงนั้นได้อย่างไรเล่า หรือจะให้หลานสาวไปเป็นเมียกลางนอกตำหนักไหนเรือนไหน อาก็ไม่นิยมเหมือนกัน ที่อาให้ทำเยี่ยงนั้นก็เพราะว่าแม่บุษมีหน้าที่สำคัญน่ะสิ’ ‘ขอประทานโทษขอรับคุณอา กระผมสงสัยก็เลยถามน่ะขอรับ ได้ยินคุณอาว่าเยี่ยงนี้กระผมก็เบาใจ ว่าแต่หน้าที่สำคัญของแม่บุษคืออันใดขอรับ’ ‘ก็หน้าที่สืบตระกูลของเรายังไงเล่า พ่อพุดมีลูกสาวสามใบเถาก็จริงอยู่ แต่พ่อพุดดูสิ แม่พิกุลกับแม่ประยงค์ก็อยู่นานจนจะเป็นสาวเทื้ออยู่รอมร่อ พ่อพุดคงไม่ใจดำให้แม่บุษเป็นสาวเทื้อเหมือนพี่ๆ ใช่รึไม่ พ่อพุดดูโฉมนางบุษบาสิเล่า นี่ขนาดยังไม่โกนจุก ระเด่นบุษบายังงามเยี่ยงนี้ รอสักประเดี๋ยวเถิด โกนจุกเมื่อใด เห็นทีหัวกระไดบ้านพ่อพุดคงจะไม่แห้งแน่ นี่ถ้าเลี้ยงดี ปั้นแต่งให้เหมาะให้สม เมื่อถึงกาลนางบุษบาเสี่ยงเทียน นางย่อมได้คู่ครองที่เหมาะสม ดีไม่ดีแม่บุษบาอาจได้เป็นเมียพระราชทานของผ
“แม่บุษ... แม่บุษ!” “อุ้ย! คะคุณพี่ โธ่... อยู่ใกล้กันแค่นี้ ไยต้องเสียงดังเล่าคะ” “ไม่เสียงดังได้อย่างไร ก็พี่เรียกน้องตั้งนานสองนาน น้องก็ไม่ขานรับ ใจลอยไปอยู่ที่ใดเล่า หรือว่าลอยไปหาพ่ออิเหนาคนนั้นอีก” “คุณพี่! น้องไม่พูดด้วยแล้ว” ‘พิกุล’ ทอดสายตาอ่อนโยนมองน้องสาวคนเล็กที่ทำหน้าเง้า ทว่ากลับก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม แก้มนวลนั้นระเรื่อขึ้น ด้วยเรื่อง ‘นางบุษบาหลงพักตร์อิเหนา’ กลายเป็นเรื่องหยอกเย้าของพี่น้อง แม้จะผ่านมากว่า 3 ปี จนดรุณีน้อยวัย 14 ปี ในวันวานกลับกลายเป็นดอกไม้งามแห่งเรือนพระนาฏกรรมวิจิตร บุษบาก็ยังสะเทิ้นอายทุกครั้งหากหล่อนหรือ ‘ประยงค์’ น้องสาวคนรองหยอกเย้าเรื่องนี้ และจากอายมากก็จะกลายเป็นงอนมาก พิกุลส่ายหน้าอมยิ้มก่อนจะหันมองประยงค์ที่กำลังคัดเลือกผ้าอบร่ำหอมกรุ่นออกจากหีบ ส่งยิ้มให้กันเพราะต่างรู้ดีว่าวันนี้บุษบาน่าจะประหม่ามากเป็นพิเศษด้วยค่ำนี้ที่กรมมหรสพมีงาน บุษบาอาจได้พบพักตร์อิเหนารูปงามอีกคราก็ได้ เพราะพิกุลสืบดูจนรู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในเจ้าพนักงานดนตรีที่จะได้ร่วมบรรเลงเพลงในค่ำคืนนี้ด้วย “แม่บุษอย่ามัวแต่
เสียงดนตรีที่ดังออกมาจากตัวตึกด้านข้าง ส่งผลให้เจ้าของร่างแน่งน้อยชะงักเท้าก้าวเดิน ดวงตาสวยเบิกกว้างด้วยความฉงน ด้วยนี่คือสิ่งใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าเสียงนั้นกลับบาดลึกสู่กลางอกจนไม่อาจทำเฉยแล้วเดินผ่านไปได้ ใบหน้างามสมวัยดรุณีผินตามทิศทางของเสียง ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงหลับพริ้ม ดั่งจะซึมซับทุกท่วงจังหวะกังวาน ทุ้ม ต่ำ ลุ่มลึก มีอำนาจ แลบางครั้งกลับแหลมขึ้น คล้ายผู้เล่นจงใจให้เป็นเช่นนั้น ทุกสรรพเสียงที่ก่อเกิดเป็นท่วงทำนองช่างแปลกไม่คุ้นหู แต่กลับน่าหลงใหล “ไม่ใช่เสียงซอ หรือว่าจะใช่ แต่ก็ไม่นะ... เสียงซอไม่ใช่แบบนี้...” ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อขยับพึมพำกับตนเอง ก่อนจะเม้มเข้าหากันเพียงนิดอย่างครุ่นคิด ดวงตาสวยงามชวนฝันเปิดขึ้นและมองตรงไป เจ้าของร่างอรชรบอกตนเองว่าจะต้องเห็นเครื่องดนตรีชนิดนี้ให้ได้ หล่อนมั่นใจว่าต้องเป็น ‘เครื่องสาย’ อย่างแน่นอน แต่เครื่องสายชนิดใดกันเล่าที่จะมีเสียงทุ้มลุ่มลึกได้เท่านี้ ร่างแน่งน้อยตัดสินใจก้าวเข้าใกล้จนหยุดอยู่ด้านข้างตัวตึกเพราะเสียงดังฟังชัดนี้ดังออกมาจากห้องด้านในแน่นอน