ลูกชายก้าวเดินเข้ามาใกล้ให้คุณหญิงสร้อยได้พิจดูเครื่องแต่งกายตามราชนิยม เจ้าของร่างสูงนุ่งโจงกระเบนสีนวลจันทร์ สวมเสื้อตัวในสีขาวและตัวนอกเป็นสูทสีดำผูกหูกระต่ายแบบฝรั่ง ด้วยพ่อศรนั้นเป็นเจ้าพนักงานดนตรีสังกัดกรมมหรสพ การแต่งกายตามราชนิยมในค่ำคืนนี้จึงเป็นการแต่งเต็มยศพร้อมสำหรับหน้าที่
“พ่อศรของแม่ งามจริงลูก”
คุณหญิงสร้อยลูบเนื้อลูบตัวลูกชายอย่างแสนรักและภูมิใจนักหนาที่ลูกชายเป็นที่รักของเจ้านายหลายพระองค์ จนได้บรรดาศักดิ์คุณพระตั้งแต่ยังหนุ่ม พ่อศรสร้างแต่ความภูมิใจให้กับแม่ ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
‘พระวิจิตรดุริยางค์’ หรือ ‘พ่อศร’ ตามคำเรียกของคุณหญิงสร้อย ยิ้มน้อยๆ อย่างเสียไม่ได้ เพราะเครื่องแต่งกายของแม่ในค่ำคืนนี้ แม่นุ่งซิ่นตามราชนิยม สวมเสื้อตัดเย็บจากผ้าแพรบาง แต่งผมตีโป่งด้านบน ก็นึกรู้ว่าคุณหญิงแม่คงไม่พ้นจะพาแม่สื่อแม่ชักมาดูตัวเขาอีกครา
“คุณแม่จะไปพร้อมกับผมรึไม่ครับ”
ศรเอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพ ด้วยถูกอบรมในเฉกสุภาพบุรุษ แม้นจะขุ่นใจเยี่ยงไรก็ต้องข่มไว้ให้จงมั่น ทั้งผู้ที่ทำให้ขุ่นใจนั้นเป็นมารดาบังเกิดเกล้า เขายิ่งต้องรักษาทั้งกิริยาและน้ำเสียงให้มากที่สุด
“พ่อศรไปก่อนเถอะ แม่แค่แวะมาดูว่าพ่อศรพร้อมแล้วหรือยังเท่านั้น ประเดี๋ยวแม่จะแวะไปเรือนแม่ส้มจีนเขาสักหน่อย แล้วไปเจอกันที่งานเลยนะ”
“แค่แวะไปเยี่ยมเยียน หรือคุณแม่จะไปปรึกษาคุณป้าส้มจีนเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” ศรพูดดักคอเพราะคุณป้าส้มจีนนั้นเป็นหนึ่งในแม่สื่อแม่ชักเลื่องชื่อในพระนคร
คุณหญิงสร้อยทำหน้าง้ำตวัดสายตาส่งค้อนวงใหญ่ให้ลูกชาย เมื่อพ่อศรช่างรู้ทัน น้ำเสียงน้อยใจจึงส่งออกไป
“พ่อศรก็รู้ว่าแม่น่ะอยากอุ้มหลาน เรือนไหนๆ เขาก็มีหลานกันหมดแล้ว แต่แม่ล่ะ จะได้เห็นหลานก่อนตายรึเปล่าก็ยังไม่รู้ พ่อศรก็ไม่คิดจะเมียงมองใครเลย ถ้าแม่ไม่หาให้ ชาตินี้จะได้มีเมียไหมล่ะลูก”
“โธ่... คุณแม่ครับ ขอเวลาผมอีกหน่อยนะครับ”
ศรเข้าไปโอบประคองมารดา สีหน้าเป็นทุกข์ของท่านนั้นทำให้เขาปวดใจไม่แพ้กัน แต่เขาก็ยังต้องฝืนยิ้มเอาไว้ ด้วยเรื่องคู่ครองเป็นเรื่องของพรหมลิขิตและพระพรหมท่านก็ขีดชะตาให้เขาไม่มีหัวใจให้ใครอีกแล้ว จึงจำรับสุภาพสตรีที่แม่แนะนำมาไม่ได้ ถึงจะผิดกับแม่และบรรพบุรุษเต็มประตู เขาก็ไม่อาจฝืนหัวใจตัวเอง
“อีกหน่อย อีกหน่อย พ่อศรก็พูดเยี่ยงนี้ตลอด ปีนี้พ่อศรอายุสามสิบหกแล้วนะลูก สามรอบเข้าไปแล้ว ดูพ่อไกรเกลอของพ่อศรสิ เขาจะได้อุ้มหลานกันแล้ว แต่นี่พ่อศรของแม่ เมียสักคนก็ยังไม่มี แม่ต้องช้ำใจแค่ไหนกันลูก ลูกถึงจะรู้หัวอกของแม่บ้าง แม่เหงา พ่อศรไม่รู้ดอกเรอะ”
ใบหน้าหล่อยิ่งสลดลงเมื่อได้ยินแม่พูดแบบนั้น แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ใจเขา ไยเขาไม่อยากมีครอบครัว ไยไม่อยากมีเมียมีลูก แต่เพราะแม่เรือนไม่ได้สมดังใจหมาย แล้วเขาจะมีความสุขได้อย่างไร
“แล้วตึกนี้อีกเล่า สร้างเสียใหญ่โต แต่ไร้แม่เรือน”
คุณหญิงสร้อยพานพาไปหาตึกฝรั่งที่สร้างไว้ใหญ่โต สาเหตุที่ไม่อยากมาเยือนตึกนี้ก็เพราะพ่อศรตั้งใจสร้างตึกขาวไว้เป็นเรือนหอ ทว่าว่าที่แม่เรือนกลับตกลงปลงใจไปแต่งงานกับผู้สูงศักดิ์ ทำให้พ่อศรเจ็บปวดจนไม่คิดมองหญิงใดอีก
แต่เมื่อเห็นสีหน้าของลูกชายที่หมองลง ผู้เป็นแม่ก็ได้แต่สงสาร เพราะจะโทษว่าทางนั้นผิดก็ไม่ได้ หรือจะโทษว่าพ่อศรผิด ก็กล่าวโทษได้ไม่เต็มปาก โทษใครไม่ได้เลย เพราะพ่อแม่ย่อมเลือกสิ่งที่ดีสุดให้กับลูก
ชายสูงศักดิ์กับขุนนางบรรดาศักดิ์คุณพระ แม้นเป็นหล่อนเอง หล่อนก็ต้องเลือกชายสูงศักดิ์ให้กับธิดา ด้วยสวยสมกันทุกอย่าง
“พ่อศร แม่ขอโทษนะลูก ลูกกำลังจะไปทำหน้าที่สำคัญแท้ๆ แต่แม่กลับมาพูดให้พ่อศรต้องช้ำอีก”
“ผมไม่เป็นอันใดดอกครับคุณแม่ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ผมไม่ได้ติดใจอะไรแล้วครับ ส่วนเรื่องเมียเรื่องหลานคุณแม่วางใจได้ หากผมพบคนที่ถูกใจ ผมจะรีบบอกให้คุณแม่ไปจัดการสู่ขอหล่อนในทันที”
“ให้มันจริงเถอะลูก พ่อศรก็หลอกให้แม่ดีใจทุกครั้ง ถ้าเดือนยี่นี้ยังไม่แต่ง แม่จะหาลูกสะใภ้เอง แล้วพ่อศรจะมาต่อว่าแม่ไม่ได้นะ”
“ครับคุณแม่ ถ้าเดือนยี่นี้ผมยังไม่ถูกใจใคร ผมจะยอมตามใจคุณแม่ แต่ตอนนี้ผมต้องไปแล้วนะครับ ประเดี๋ยวจะไม่ทัน”
ศรกระชับอ้อมแขนกอดรัดมารดา หอมฟอดใหญ่ที่ข้างแก้ม ก่อนจะเดินตรงไปขึ้นรถยนต์ที่เจ้าเข้มเตรียมไว้รอท่า
คุณหญิงสร้อยมองตามรถยนต์ของบุตรชายที่เคลื่อนออกไป ใบหน้าโศกเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างมาดหมายเพราะงาน ‘ซิมโฟนี คอนเสิร์ต’ ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดการแสดงในค่ำคืนนี้ ณ โรงละครหลวงสวนมิสกวัน ล้วนแต่มีกุลธิดาจากมากสกุลมารวมกัน แน่นอนว่าต้องมีสักคนที่ถูกใจหล่อนพร้อมทั้งถูกใจบุตรชายเป็นแน่
“พ่อศร แม่จะไม่ยอมให้เรือนรักของลูกเป็นเรือนรอ แม่จะทำให้พ่อศรคนเดิมของแม่กลับคืนมา ตึกขาวนี้จะต้องเป็นเรือนหอที่สร้างความสุขให้กับพ่อศรที่สุด”
คุณหญิงสร้อยพูดอย่างมาดหมาย พลางกวาดสายตามองตึกขาว หล่อนจะทำทุกทางให้วันเวลาอมทุกข์ของลูกชายจบลงสักที เพราะหล่อนอยากเห็นหลานน้อยๆ ทั้งชายและหญิงวิ่งเล่นอยู่รายรอบ
เสียงดนตรีที่ดังออกมาจากตัวตึกด้านข้าง ส่งผลให้เจ้าของร่างแน่งน้อยชะงักเท้าก้าวเดิน ดวงตาสวยเบิกกว้างด้วยความฉงน ด้วยนี่คือสิ่งใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าเสียงนั้นกลับบาดลึกสู่กลางอกจนไม่อาจทำเฉยแล้วเดินผ่านไปได้ ใบหน้างามสมวัยดรุณีผินตามทิศทางของเสียง ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงหลับพริ้ม ดั่งจะซึมซับทุกท่วงจังหวะกังวาน ทุ้ม ต่ำ ลุ่มลึก มีอำนาจ แลบางครั้งกลับแหลมขึ้น คล้ายผู้เล่นจงใจให้เป็นเช่นนั้น ทุกสรรพเสียงที่ก่อเกิดเป็นท่วงทำนองช่างแปลกไม่คุ้นหู แต่กลับน่าหลงใหล “ไม่ใช่เสียงซอ หรือว่าจะใช่ แต่ก็ไม่นะ... เสียงซอไม่ใช่แบบนี้...” ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อขยับพึมพำกับตนเอง ก่อนจะเม้มเข้าหากันเพียงนิดอย่างครุ่นคิด ดวงตาสวยงามชวนฝันเปิดขึ้นและมองตรงไป เจ้าของร่างอรชรบอกตนเองว่าจะต้องเห็นเครื่องดนตรีชนิดนี้ให้ได้ หล่อนมั่นใจว่าต้องเป็น ‘เครื่องสาย’ อย่างแน่นอน แต่เครื่องสายชนิดใดกันเล่าที่จะมีเสียงทุ้มลุ่มลึกได้เท่านี้ ร่างแน่งน้อยตัดสินใจก้าวเข้าใกล้จนหยุดอยู่ด้านข้างตัวตึกเพราะเสียงดังฟังชัดนี้ดังออกมาจากห้องด้านในแน่นอน
“แม่บุษ... แม่บุษ!” “อุ้ย! คะคุณพี่ โธ่... อยู่ใกล้กันแค่นี้ ไยต้องเสียงดังเล่าคะ” “ไม่เสียงดังได้อย่างไร ก็พี่เรียกน้องตั้งนานสองนาน น้องก็ไม่ขานรับ ใจลอยไปอยู่ที่ใดเล่า หรือว่าลอยไปหาพ่ออิเหนาคนนั้นอีก” “คุณพี่! น้องไม่พูดด้วยแล้ว” ‘พิกุล’ ทอดสายตาอ่อนโยนมองน้องสาวคนเล็กที่ทำหน้าเง้า ทว่ากลับก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม แก้มนวลนั้นระเรื่อขึ้น ด้วยเรื่อง ‘นางบุษบาหลงพักตร์อิเหนา’ กลายเป็นเรื่องหยอกเย้าของพี่น้อง แม้จะผ่านมากว่า 3 ปี จนดรุณีน้อยวัย 14 ปี ในวันวานกลับกลายเป็นดอกไม้งามแห่งเรือนพระนาฏกรรมวิจิตร บุษบาก็ยังสะเทิ้นอายทุกครั้งหากหล่อนหรือ ‘ประยงค์’ น้องสาวคนรองหยอกเย้าเรื่องนี้ และจากอายมากก็จะกลายเป็นงอนมาก พิกุลส่ายหน้าอมยิ้มก่อนจะหันมองประยงค์ที่กำลังคัดเลือกผ้าอบร่ำหอมกรุ่นออกจากหีบ ส่งยิ้มให้กันเพราะต่างรู้ดีว่าวันนี้บุษบาน่าจะประหม่ามากเป็นพิเศษด้วยค่ำนี้ที่กรมมหรสพมีงาน บุษบาอาจได้พบพักตร์อิเหนารูปงามอีกคราก็ได้ เพราะพิกุลสืบดูจนรู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในเจ้าพนักงานดนตรีที่จะได้ร่วมบรรเลงเพลงในค่ำคืนนี้ด้วย “แม่บุษอย่ามัวแต่
‘คุณอาหมายความว่า... จะให้แม่บุษถวายตัวหรือขอรับ’ ‘อพิโธ่พิถัง! ใครเขาจะทำเยี่ยงนั้นกันเล่าพ่อพุด ดู๊ดู! พ่อพุดก็ช่างคิด พระเจ้าอยู่หัวทรงนิยมผัวเดียวเมียเดียว พ่อพุดก็รู้นี่นา แล้วอาจะไปทำเยี่ยงนั้นได้อย่างไรเล่า หรือจะให้หลานสาวไปเป็นเมียกลางนอกตำหนักไหนเรือนไหน อาก็ไม่นิยมเหมือนกัน ที่อาให้ทำเยี่ยงนั้นก็เพราะว่าแม่บุษมีหน้าที่สำคัญน่ะสิ’ ‘ขอประทานโทษขอรับคุณอา กระผมสงสัยก็เลยถามน่ะขอรับ ได้ยินคุณอาว่าเยี่ยงนี้กระผมก็เบาใจ ว่าแต่หน้าที่สำคัญของแม่บุษคืออันใดขอรับ’ ‘ก็หน้าที่สืบตระกูลของเรายังไงเล่า พ่อพุดมีลูกสาวสามใบเถาก็จริงอยู่ แต่พ่อพุดดูสิ แม่พิกุลกับแม่ประยงค์ก็อยู่นานจนจะเป็นสาวเทื้ออยู่รอมร่อ พ่อพุดคงไม่ใจดำให้แม่บุษเป็นสาวเทื้อเหมือนพี่ๆ ใช่รึไม่ พ่อพุดดูโฉมนางบุษบาสิเล่า นี่ขนาดยังไม่โกนจุก ระเด่นบุษบายังงามเยี่ยงนี้ รอสักประเดี๋ยวเถิด โกนจุกเมื่อใด เห็นทีหัวกระไดบ้านพ่อพุดคงจะไม่แห้งแน่ นี่ถ้าเลี้ยงดี ปั้นแต่งให้เหมาะให้สม เมื่อถึงกาลนางบุษบาเสี่ยงเทียน นางย่อมได้คู่ครองที่เหมาะสม ดีไม่ดีแม่บุษบาอาจได้เป็นเมียพระราชทานของผ
“แหม... ถ้าเห็นดีเห็นงามแต่งกายตามแหม่มเยี่ยงนี้ แล้วทำไมไม่ใส่กระโปรงสุ่มไปด้วยเล่าคะ จะใส่ซิ่นทำไมกัน” ประยงค์ยังอดประชดไม่ได้ แม้จะพินิจแล้วว่าตัวเสื้อตัดเย็บเรียบร้อย ผ้าซิ่นก็ทอลายงดงาม ทว่าเสื้อผ้าที่หล่อนจัดเตรียมไว้เล่าจะทำเยี่ยงไร “โถ... คุณพี่อย่างอนสิคะ เราไม่ได้แต่งกายตามแหม่มทุกอย่างดอกค่ะ คุณครูท่านว่า เรารับความนิยมนำมาปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม แบบเสื้อผ้าของเขาเมื่อนำมาตัดเย็บประยุกต์ก็เหมาะกับผ้าซิ่นของเราค่ะ” บุษบาอธิบายก่อนจะเหลือบมองพิกุลที่พยักหน้าส่งยิ้มเชิงให้หล่อนพูดต่อ เพราะเห็นว่าประยงค์ดูจะอ่อนลงแล้ว “แค่ยามออกนอกเรือนหรือไปยังสถานที่อันควรเท่านั้นแหละค่ะ เราจึงแต่งกายเยี่ยงนี้ แต่อยู่ในเรือนหรือละแวกเรือนเรา เราก็ยังแต่งกายเยี่ยงเดิมค่ะ เคยใส่โจงเยี่ยงไร ก็ยังคงใส่เยี่ยงนั้น” “จริงรึแม่บุษ ไม่ต้องเปลี่ยนไปใส่แบบนั้นทุกวันใช่รึไม่” “จริงค่ะคุณพี่” “เฮ้อ! ค่อยโล่งอกหน่อย พี่รึก็คิดว่าต้องเปลี่ยนทั้งหมด เสียดายอุตส่าห์ตัดเย็บอบร่ำไว้เสียดิบดี” “อย่างนั้นไปลองชุดกันเถอะ เผ
ลูกชายก้าวเดินเข้ามาใกล้ให้คุณหญิงสร้อยได้พิจดูเครื่องแต่งกายตามราชนิยม เจ้าของร่างสูงนุ่งโจงกระเบนสีนวลจันทร์ สวมเสื้อตัวในสีขาวและตัวนอกเป็นสูทสีดำผูกหูกระต่ายแบบฝรั่ง ด้วยพ่อศรนั้นเป็นเจ้าพนักงานดนตรีสังกัดกรมมหรสพ การแต่งกายตามราชนิยมในค่ำคืนนี้จึงเป็นการแต่งเต็มยศพร้อมสำหรับหน้าที่ “พ่อศรของแม่ งามจริงลูก” คุณหญิงสร้อยลูบเนื้อลูบตัวลูกชายอย่างแสนรักและภูมิใจนักหนาที่ลูกชายเป็นที่รักของเจ้านายหลายพระองค์ จนได้บรรดาศักดิ์คุณพระตั้งแต่ยังหนุ่ม พ่อศรสร้างแต่ความภูมิใจให้กับแม่ ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ‘พระวิจิตรดุริยางค์’ หรือ ‘พ่อศร’ ตามคำเรียกของคุณหญิงสร้อย ยิ้มน้อยๆ อย่างเสียไม่ได้ เพราะเครื่องแต่งกายของแม่ในค่ำคืนนี้ แม่นุ่งซิ่นตามราชนิยม สวมเสื้อตัดเย็บจากผ้าแพรบาง แต่งผมตีโป่งด้านบน ก็นึกรู้ว่าคุณหญิงแม่คงไม่พ้นจะพาแม่สื่อแม่ชักมาดูตัวเขาอีกครา “คุณแม่จะไปพร้อมกับผมรึไม่ครับ” ศรเอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพ ด้วยถูกอบรมในเฉกสุภาพบุรุษ แม้นจะขุ่นใจเยี่ยงไรก็ต้องข่มไว้ให้จงมั่น ทั้งผู้ที่ทำให้ขุ่นใจนั้นเป็นมารดาบังเกิดเกล้า เขายิ่งต้
“แหม... ถ้าเห็นดีเห็นงามแต่งกายตามแหม่มเยี่ยงนี้ แล้วทำไมไม่ใส่กระโปรงสุ่มไปด้วยเล่าคะ จะใส่ซิ่นทำไมกัน” ประยงค์ยังอดประชดไม่ได้ แม้จะพินิจแล้วว่าตัวเสื้อตัดเย็บเรียบร้อย ผ้าซิ่นก็ทอลายงดงาม ทว่าเสื้อผ้าที่หล่อนจัดเตรียมไว้เล่าจะทำเยี่ยงไร “โถ... คุณพี่อย่างอนสิคะ เราไม่ได้แต่งกายตามแหม่มทุกอย่างดอกค่ะ คุณครูท่านว่า เรารับความนิยมนำมาปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม แบบเสื้อผ้าของเขาเมื่อนำมาตัดเย็บประยุกต์ก็เหมาะกับผ้าซิ่นของเราค่ะ” บุษบาอธิบายก่อนจะเหลือบมองพิกุลที่พยักหน้าส่งยิ้มเชิงให้หล่อนพูดต่อ เพราะเห็นว่าประยงค์ดูจะอ่อนลงแล้ว “แค่ยามออกนอกเรือนหรือไปยังสถานที่อันควรเท่านั้นแหละค่ะ เราจึงแต่งกายเยี่ยงนี้ แต่อยู่ในเรือนหรือละแวกเรือนเรา เราก็ยังแต่งกายเยี่ยงเดิมค่ะ เคยใส่โจงเยี่ยงไร ก็ยังคงใส่เยี่ยงนั้น” “จริงรึแม่บุษ ไม่ต้องเปลี่ยนไปใส่แบบนั้นทุกวันใช่รึไม่” “จริงค่ะคุณพี่” “เฮ้อ! ค่อยโล่งอกหน่อย พี่รึก็คิดว่าต้องเปลี่ยนทั้งหมด เสียดายอุตส่าห์ตัดเย็บอบร่ำไว้เสียดิบดี” “อย่างนั้นไปลองชุดกันเถอะ เผ
‘คุณอาหมายความว่า... จะให้แม่บุษถวายตัวหรือขอรับ’ ‘อพิโธ่พิถัง! ใครเขาจะทำเยี่ยงนั้นกันเล่าพ่อพุด ดู๊ดู! พ่อพุดก็ช่างคิด พระเจ้าอยู่หัวทรงนิยมผัวเดียวเมียเดียว พ่อพุดก็รู้นี่นา แล้วอาจะไปทำเยี่ยงนั้นได้อย่างไรเล่า หรือจะให้หลานสาวไปเป็นเมียกลางนอกตำหนักไหนเรือนไหน อาก็ไม่นิยมเหมือนกัน ที่อาให้ทำเยี่ยงนั้นก็เพราะว่าแม่บุษมีหน้าที่สำคัญน่ะสิ’ ‘ขอประทานโทษขอรับคุณอา กระผมสงสัยก็เลยถามน่ะขอรับ ได้ยินคุณอาว่าเยี่ยงนี้กระผมก็เบาใจ ว่าแต่หน้าที่สำคัญของแม่บุษคืออันใดขอรับ’ ‘ก็หน้าที่สืบตระกูลของเรายังไงเล่า พ่อพุดมีลูกสาวสามใบเถาก็จริงอยู่ แต่พ่อพุดดูสิ แม่พิกุลกับแม่ประยงค์ก็อยู่นานจนจะเป็นสาวเทื้ออยู่รอมร่อ พ่อพุดคงไม่ใจดำให้แม่บุษเป็นสาวเทื้อเหมือนพี่ๆ ใช่รึไม่ พ่อพุดดูโฉมนางบุษบาสิเล่า นี่ขนาดยังไม่โกนจุก ระเด่นบุษบายังงามเยี่ยงนี้ รอสักประเดี๋ยวเถิด โกนจุกเมื่อใด เห็นทีหัวกระไดบ้านพ่อพุดคงจะไม่แห้งแน่ นี่ถ้าเลี้ยงดี ปั้นแต่งให้เหมาะให้สม เมื่อถึงกาลนางบุษบาเสี่ยงเทียน นางย่อมได้คู่ครองที่เหมาะสม ดีไม่ดีแม่บุษบาอาจได้เป็นเมียพระราชทานของผ
“แม่บุษ... แม่บุษ!” “อุ้ย! คะคุณพี่ โธ่... อยู่ใกล้กันแค่นี้ ไยต้องเสียงดังเล่าคะ” “ไม่เสียงดังได้อย่างไร ก็พี่เรียกน้องตั้งนานสองนาน น้องก็ไม่ขานรับ ใจลอยไปอยู่ที่ใดเล่า หรือว่าลอยไปหาพ่ออิเหนาคนนั้นอีก” “คุณพี่! น้องไม่พูดด้วยแล้ว” ‘พิกุล’ ทอดสายตาอ่อนโยนมองน้องสาวคนเล็กที่ทำหน้าเง้า ทว่ากลับก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม แก้มนวลนั้นระเรื่อขึ้น ด้วยเรื่อง ‘นางบุษบาหลงพักตร์อิเหนา’ กลายเป็นเรื่องหยอกเย้าของพี่น้อง แม้จะผ่านมากว่า 3 ปี จนดรุณีน้อยวัย 14 ปี ในวันวานกลับกลายเป็นดอกไม้งามแห่งเรือนพระนาฏกรรมวิจิตร บุษบาก็ยังสะเทิ้นอายทุกครั้งหากหล่อนหรือ ‘ประยงค์’ น้องสาวคนรองหยอกเย้าเรื่องนี้ และจากอายมากก็จะกลายเป็นงอนมาก พิกุลส่ายหน้าอมยิ้มก่อนจะหันมองประยงค์ที่กำลังคัดเลือกผ้าอบร่ำหอมกรุ่นออกจากหีบ ส่งยิ้มให้กันเพราะต่างรู้ดีว่าวันนี้บุษบาน่าจะประหม่ามากเป็นพิเศษด้วยค่ำนี้ที่กรมมหรสพมีงาน บุษบาอาจได้พบพักตร์อิเหนารูปงามอีกคราก็ได้ เพราะพิกุลสืบดูจนรู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในเจ้าพนักงานดนตรีที่จะได้ร่วมบรรเลงเพลงในค่ำคืนนี้ด้วย “แม่บุษอย่ามัวแต่
เสียงดนตรีที่ดังออกมาจากตัวตึกด้านข้าง ส่งผลให้เจ้าของร่างแน่งน้อยชะงักเท้าก้าวเดิน ดวงตาสวยเบิกกว้างด้วยความฉงน ด้วยนี่คือสิ่งใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าเสียงนั้นกลับบาดลึกสู่กลางอกจนไม่อาจทำเฉยแล้วเดินผ่านไปได้ ใบหน้างามสมวัยดรุณีผินตามทิศทางของเสียง ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงหลับพริ้ม ดั่งจะซึมซับทุกท่วงจังหวะกังวาน ทุ้ม ต่ำ ลุ่มลึก มีอำนาจ แลบางครั้งกลับแหลมขึ้น คล้ายผู้เล่นจงใจให้เป็นเช่นนั้น ทุกสรรพเสียงที่ก่อเกิดเป็นท่วงทำนองช่างแปลกไม่คุ้นหู แต่กลับน่าหลงใหล “ไม่ใช่เสียงซอ หรือว่าจะใช่ แต่ก็ไม่นะ... เสียงซอไม่ใช่แบบนี้...” ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อขยับพึมพำกับตนเอง ก่อนจะเม้มเข้าหากันเพียงนิดอย่างครุ่นคิด ดวงตาสวยงามชวนฝันเปิดขึ้นและมองตรงไป เจ้าของร่างอรชรบอกตนเองว่าจะต้องเห็นเครื่องดนตรีชนิดนี้ให้ได้ หล่อนมั่นใจว่าต้องเป็น ‘เครื่องสาย’ อย่างแน่นอน แต่เครื่องสายชนิดใดกันเล่าที่จะมีเสียงทุ้มลุ่มลึกได้เท่านี้ ร่างแน่งน้อยตัดสินใจก้าวเข้าใกล้จนหยุดอยู่ด้านข้างตัวตึกเพราะเสียงดังฟังชัดนี้ดังออกมาจากห้องด้านในแน่นอน