แชร์

บทที่6

ผู้แต่ง: Owen Jones
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-10-29 19:42:56
6 เพื่อนของเมแกน

ครั้งนี้ สัมผัสบนต้นขาของเมแกนหนักหน่วงกว่าเดิมและเธอก็ยิ้มอยู่ข้างในเสื้อ เธอปล่อยมือจากน่องข้างซ้ายแล้วลูบเจ้าสัตว์ที่อยู่ข้างกาย ไม่มีความรู้สึกทางกายภาพว่าเธอได้สัมผัสขน แต่ความรู้สึกของการได้หลอมรวมกับเพื่อนนั้นแท้จริงอย่างยิ่ง เสียงครางที่ดังอยู่ตอนนี้ก็จริงแท้เช่นกัน เสียงครางทุ้มต่ำที่ดังลั่นของเสือตัวหนึ่ง

“โฮก” เมแกนพูด ฉันรู้ว่าเธอต้องมา” เจ้าเสือร่างใหญ่ทิ้งตัวลงบนขาของเมแกนแล้วบดเบียดเธอกับผนัง

“เจ้าขนนุ่มตัวโต ขอบคุณนะ เพื่อนที่แสนพิเศษของฉัน” เสียงครางดังกว่าเดิมและเธอรู้สึกได้ว่าเจ้าเสือนอนหงายท้องกลิ้งตัวไปมา เมแกนลูบอกของมันและตบเบา ๆ เธอมองลอดเสื้อกันหนาวและมองเห็นลายสีดำ เหลือง และขาวบนตัวเพื่อนร่างใหญ่โตที่มีอายุมากที่สุดของเธอได้อย่างชัดเจน

“เป็นยังไงบ้าง สาวน้อย สนุกไหม ที่นี่มีเด็กดี เด็กดี เธอเป็นเด็กดีไม่ใช่รึไง” โฮกครางแล้วก็ครางอีก

เมแกนมองเห็นแสงที่เคยเป็นเพื่อนของเธอได้ แต่มันเป็นเหมือนแสงที่ออกมาจากไฟสำหรับติดในห้องนอนตอนกลางคืนมากกว่าแสงจากโคมไฟ เมแกนดีใจมากที่โฮกมา แต่โฮกไม่สามารถปกป้องเธอจากแมงมุมและแมลงอื่นๆ ได้ เธอจึงปกคลุมผิวหนังไว้ตลอดเวลายกเว้นที่มือซึ่งกำลังลูบไล้เพื่อน แต่เธอรู้สึกดีขึ้นมากเหมือนเช่นทุกครั้งที่โฮกมาหาเธอ

โฮกไม่เคยทำให้เธอผิดหวังเวลาที่เธอถูกขังอยู่ในห้องเก็บถ่านหินใต้ดิน

ในช่วงเวลาเหล่านั้น เธอชอบคิดทบทวนว่าเพื่อนชาวอเมริกันพื้นเมืองบอกอะไรเธอบ้าง การฝึกฝนล่าสุดอย่างหนึ่งของเธอคือการพยายามมองเห็นโดยไม่ใช้ดวงตา วาซินฮินชาเคยบอกเธอว่าเขาเพียงแค่ปรากฏกายในร่างมนุษย์และเขาไม่จำเป็นต้องใช้ตาในการมองเห็น เขายังบอกด้วยว่าผู้ชายและผู้หญิงทุกคนได้รับการสร้างขึ้นมาให้เหมือนกัน แต่ผู้คนบนโลกสามารถบรรลุสิ่งต่างๆ ได้ในขีดจำกัด เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าชีวิตยังมีอะไรมากกว่านี้ เพราะพวกเขาไม่ได้ฝึกฝน และเพราะร่างกายมนุษย์มีขีดจำกัดทางกายภาพ

ด้วยเหตุนี้ มันจึงดูชัดเจนสำหรับเมแกน ว่าเธอควรจะสามารถมองเห็นโดยไม่ใช้ดวงตาภายนอก อย่างที่วาซินฮินชาและเพื่อนพ้องของเขาทำ ดังนั้น เมื่อเธออยู่เพียงลำพังและนอนไม่หลับ หรือเมื่อเ ธอถูกขัง วิธีใหม่อย่างหนึ่งในการฆ่าเวลาของเธอก็คือการพยายามมองทะลุผ่านเปลือกตา เมแกนไม่รู้เลยว่านี่คือวิธีที่ถูกต้องในการฝึก ‘มองเห็นโดยไม่ใช้ตา’ หรือเปล่า แต่เท่าที่เธอหาคำตอบได้ นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด

เธอกลอกตาขึ้นอยู่ในเบ้าตาเพราะหัวของเธอยังคงมุดอยู่ในเสื้อกันหนาวแล้วมองไปรอบ ๆ เธอรู้อยู่แล้วว่าห้องใต้ดินดูเป็นอย่างไร เธอรู้อยู่แล้วว่าอะไรอยู่บนผนังที่อยู่ตรงหน้า แต่เธออยากจะมองเห็นมัน ในความมืดมิดและด้วยดวงตาที่ปิดสนิท

ราวกับนักล่าแห่งพงไพรหลังพลบค่ำ

เธอยังไม่ได้ขัดเกลาพรสวรรค์นี้จนสมบูรณ์แบบ แต่บางครั้งเธอคิดว่าเธอเห็นอะไรบางอย่าง เพียงแต่ดูไม่ออกว่ารูปร่างเหล่านั้นคืออะไร เธอมองไม่เห็นสิ่งที่เธอรู้อยู่แล้วว่าอยู่ที่นั่น ซึ่งก็คือชั้นวางของทำจากไม้กระดานเก่า ๆ สามชั้นซึ่งมีถังสีสองสามถังและกระป๋องกับเหยือกต่าง ๆ วางอยู่

เมแกนมองไปตรงจุดที่เธอรู้โฮกนอนอยู่และเธอแน่ใจว่ามองเห็นแสงสลัว แต่เปล่า เธอไม่ได้แน่ใจจริง ๆ หรอก มันเป็นเหมือนหมอกสีฟ้าเฉดต่าง ๆ แต่จางมากเสียมากกว่า มันจางเสียจนอาจจะเป็นเล่ห์กลของจินตนาการของเธอเอง

และแล้วเธอก็เข้าใจถึงสิ่งที่วาซินฮินชาพร่ำบอกเธอมาตลอด เขาไม่สามารถคุยกับเธอเรื่องสีต่าง ๆ เพราะการรับรู้สีผ่านดวงตามนุษย์ไม่เหมือนกับการรับรู้ของเขา บางทีเขาอาจจะ ‘เห็น’ โฮกอย่างที่เธอกำลังเห็นอยู่ในตอนนี้ ไม่ใช่อย่างที่เธอเห็นเป็นสีขาว เหลือง และดำตามปกติ บางที เมื่อวาซินฮินชามองที่ผนังและชั้นที่อยู่บนผนัง เขาอาจจะมองไม่เห็นอะไรสักอย่างที่สัมผัสได้ เพราะสำหรับเขามันไม่มีอะไรเลย ผนังจะไม่ใช่อุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางสำหรับเขา มันก็แค่ไม่มีอยู่

เขาไม่มีร่างกายที่มีเนื้อหนังมังสา ไมีมีมนุษย์คนใดกักขังเขาได้ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดที่มนุษย์สร้างขึ้นสามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของเขาเหมือนที่แม่และผนังเหล่านี้กำลังจำกัดเธอ เธอคิดว่าเธออาจจะไม่สามารถมองเห็นผนังเหล่านั้นได้โดยไม่ใช้ดวงตาเพราะพวกมันไม่มีชีวิตและดังนั้นจึงไม่แท้จริง

เมแกนชอบที่จะคิดเช่นนั้น มันคือส่วนหนึ่งของงานอดิเรกใหม่ของเธอในการฝึกมองโดยไม่ใช้ดวงตา

เธอคิดต่อไปในทำนองเดียวกันว่า หากผนังและบ้านไม่ใช่อุปสรรคขวางกั้นการเคลื่อนไหว พวกมันก็ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคขวางกั้นการมองเห็น หากเป็นเช่นนั้นและสิ่งมีชีวิตสามารถมองเห็นได้ง่ายกว่าเพราะสว่างกว่า เธอก็คิดว่าเธอน่าจะมองเห็นแม่ลอยไปมารอบ ๆ บ้านขณะทำงานบ้านได้ แม่จะดูเหมือนลอยเพราะว่าพื้นก็ไม่ปรากฏอยู่เช่นกัน

แม่จะลอยไปมาพลางดูดฝุ่นบนสิ่งที่ไม่ปรากฏอยู่ ความคิดนั้นทำให้เธอหัวเราะ

เธอมองแล้วก็มองอีกไปยังทุกทิศทางแต่ก็มองไม่เห็นแม่ แต่เธอแน่ใจว่าแม่อยู่ที่ไหนสักแห่งในบ้าน เมแกนคิดว่าทฤษฎีของเธออาจจะผิดก็ได้ เธอจดจำไว้ในใจว่าจะต้องถามวาซินฮินชาในสักวัน เธอไม่รู้ตัวว่าการที่เธอคิดเช่นนั้นทำให้เธอถามคำถามนั้นไปแล้ว

เธอรับรู้ถึงความคิดได้ในจิตใจมากกว่าได้ยินทางหู ณ ขณะนั้น เธอสงสัยว่ามันเหมือนกับการมองเห็นโดยไม่ใช้ดวงตาหรือเปล่า เธอเงยหน้าขึ้นแต่มองไม่เห็นอะไรที่ชัดเจน เธอจึงดึงเสื้อกันหนาวออกจากดวงตาแล้วลืมตาขึ้น

“สวัสดีค่ะคุณตา” เธอพูด เธอยังไม่ตระหนักอย่างถ่องแท้ว่าไม่จำเป็นต้องพูดออกเสียง

“ลงมาอยู่ที่ข้างล่างนี่อีกแล้วรึ ตาจะไม่บอกหรอกนะว่าหลานต้องทำอะไร นั่นเป็นสิ่งที่หลานต้องค้นหา แต่การที่หลานไม่พูดถึงสิ่งที่ตัวเองรู้ให้คนที่ยังไม่รู้ความจริงอาจจะเป็นเรื่องดี พ่อกับแม่ของหลานอาจจะถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของคนเหล่านั้น ถึงแม้ว่าพ่อของหลานอาจจะตื่นรู้มากกว่าที่คนอื่นคิดก็ตาม

“ทวดทั้งสองคนของหลานเป็นคนเงียบ ๆ และพ่อของหลานก็รับนิสัยนี้มา แต่เขาสงสัยอยู่ภายในใจว่าสิ่งที่เขาคิดว่าตัวเองรู้คือความจริงที่หนักแน่น ลบล้างไม่ได้หรือเปล่า ให้เวลาเขาได้อยู่กับตัวเองหน่อย และรอให้เขาเห็นด้วยตนเอง

“หลานเรียนเสร็จหรือยังล่ะ”

“หนูมีคำถามบางอย่าง... ไม่ใช่สิ หนูมีคำถามเยอะแยะเลยค่ะตา ตาช่วยหนูได้ไหมคะ”

“ตากลัวว่าจะไม่ได้น่ะสิ ตัวกลัวว่าตาจะไม่รู้ทุกคำตอบที่หลานอยากรู้ อย่าลืมว่าตาก็ใช้ชีวิตอยู่ในความโง่เขลามาเกือบตลอดชีวิตที่นี่เหมือนกัน ก็เหมือนกับยายและแม่ของหลานนั่นแหละ จะเรียกตาว่า ‘คนพัฒนาช้า’ ก็ได้ เพราะฉะนั้นตาอยากให้หลานถามคำถามแล้วรอคำตอบจากคนอื่นมากกว่า...”

“อย่างเช่น วาซินฮินชาเหรอคะ”

“ใช่แล้ว เขาก็เป็นคนหนึ่ง เขามีความรู้มากมายและก็อดทนมาก ตารู้ว่าเขากระตือรือร้นสนใจพัฒนาการของหลานมากและเขาก็จะช่วยทุกอย่างเท่าที่ทำได้ แต่ตาคิดว่าหลานจะเจอครูคนอื่น ๆ อีกระหว่างทาง เหมือนอย่างที่ตาเจอ ตาเกรงว่าครูหนึ่งคนคงจะตอบโจทย์ไม่ได้ทุกอย่างหรอก ก็เหมือนที่เด็กต้องมีครูหลายคนระหว่างเข้าเรียนอนุบาลไปจนถึงจบมหาวิทยาลัย

“เพราะว่าสถานที่แห่งนี้...โลกใบนี้...คือมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจำนวนนับไม่ถ้วนในความก้าวหน้าสูงขึ้นอย่างไม่รู้จบ

“ไปข้างหน้าและขึ้นข้างบน! ดูเหมือนตาจะจำได้จากชาติที่แล้ว... ใช่แล้วล่ะ ไปข้างหน้าและขึ้นข้างบน นี่เป็นคำพูดที่เหมาะกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก เป็นคำพูดเพียงไม่กี่คำที่เหมาะกับทุกสิ่ง

“ตาช่วยตอบคำถามของหลานไม่ได้ แต่ตาช่วยฆ่าเวลาได้ และบางทีตาก็อาจจะแสดงให้หลานเห็นอะไรบางอย่างได้ด้วย อยากไปเดินเล่นไหมล่ะ”

“อยากสิคะ...แต่จะไปยังไงล่ะคะตา”

“ให้ตานั่งข้าง ๆ หลานก่อนนะ”

เขาโอบไหล่เธอ ถ้าเมแกนฉุกคิดถึงเรื่องนั้น เธอก็จะตระหนักว่าข้อศอกของเขาจะต้องอยู่ในผนัง แต่เธอไม่ได้ฉุกคิด

“เอาล่ะ เมแกน เราจะไปเดินเล่นบนชายหาดกัน มากับตานะ...อย่างงั้นแหละ เยี่ยม! มองเห็นทะเลไหม?

เมแกนพยักหน้าแล้วมองตัวเองและตาของเธอ เขาดูเหมือนอย่างที่เป็นตอนอยู่ในห้องใต้ดินและตอนอื่น ๆ ที่เธอพบเขาไม่ผิดเพี้ยนแต่เธอรู้สึกรู้สึกต่างจากเดิม เธอจินตนาการว่าเธอดูต่างไปด้วยซ้ำ เธอรู้สึกว่าตัวเบาขึ้น มีความสุขและเป็นอิสระมากขึ้น และไม่มีฝุ่นผงถ่านหินบนร่างกายเธอ

“ตาทำได้ยังไงคะ แล้วเราอยู่ที่ไหน”

“ตาทำอะไรรึ เมแกน ตาไม่ได้ทำอะไรกับหลานเลยนะ ตาพาตัวเองมาที่นี่และหลานก็พาตัวเองมาที่นี่ หลานมาด้วยตัวเองโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครทำให้หลานไป มา หรืออยู่ที่ไหนได้เวลาที่อยู่ในสภาพนี้ เอ่อ...เป็นแบบนี้

“ตอนนี้หนูเหมือนตาหรือยังคะ หนูตายหรือหมดลมหายใจหรือเปล่า”

“เปล่าหรอก หลานยังมีร่างกายอยู่ และหลานก็เชื่อมโยงกับร่างนั้นด้วยเส้นบาง ๆ นี้ เห็นไหม ดูสิ ตาไม่มีเส้นแบบนั้นเลย เพราะว่าร่างสุดท้ายของตาตายไปแล้ว... ตาจำไม่ได้ว่าผ่านมานานขนาดไหนแล้ว แต่ก็สักระยะแล้วล่ะ ร่างของหลานยังนั่งอยู่ในห้องใต้ดิน รอให้หลานกลับเข้าไปอยู่ หลังจากนั้นมันก็จะกลับมาเคลื่อนไหวเหมือนเดิมเหมือนหุ่นมือ”

“ตกลงเราอยู่ที่ไหนคะ”

“ที่นี่คือชายหาดที่ตาเคยมาเล่นตอนเป็นเด็ก และตายังมาที่นี่เป็นครั้งคราวเพื่อมองไปรอบ ๆ หรือคิดโน่นคิดนี่ ถ้าหลานต้องการ เราเรียกที่นี่ว่าชายหาดของเราก็ได้นะ และเมื่อไหร่ที่หลานอยากมาที่นี่ หลานก็แค่ต้องคิดถึงชายหาดของเรา หลานอาจจะรู้สึกว่าการถอดวิญญาณและออกจากร่างเป็นเรื่องที่ซับซ้อนในครั้งแรก ๆ แต่หลานก็จะเรียนรู้ อันที่จริงทุกคนทำแบบนั้นอยู่บ่อย ๆ แต่พอตื่นขึ้นมาแล้วก็จำไม่ได้ หลานเองก็เคยเดินทางมาก่อน แต่ตาอยากให้หลานฝึกให้ทำได้อย่างที่ใจต้องการ”

“ถ้าหลานเรียกให้ตามาหา ตาก็จะพยายามมาเจอหลานที่นี่ ดีใช่ไหมล่ะ”

“ดีแน่นอนค่ะ นี่คือเวทมนตร์!”

“ไม่ใช่หรอกเมแกน นี่ไม่ใช่เวทมนตร์ อย่าพูดแบบนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดา แค่น่าเสียดายที่ผู้คน หรือเรียกว่าผู้คนส่วนใหญ่ก็ว่าได้ ไม่รู้ตัวว่าพวกเขาทำแบบนี้ได้ น่าเศร้ามากจริง ๆ เพราะถึงยังไงทุกคนก็ทำอยู่แล้ว”

“หนูจะกลับบ้านได้ยังไงคะ เอ่อ หนูหมายถึงร่างของหนูน่ะค่ะ ถ้าเกิดแม่ลงไปที่ห้องใต้ดินแล้วเจอหนูล่ะคะ”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องพวกนั้นเลย ถ้ามีคนพยายามจะพูดด้วย หลานก็จะไม่ได้ยินพวกเขา แต่พวกเขาจะแค่คิดว่าหลานหลับ ถ้าพวกเขาเขย่าตัวหลาน หลานจะรับรู้ได้ผ่านทางเส้นสีเงินเส้นนี้ และปฏิกิริยาตอบสนองแรกของหลานก็คือการบินกลับ ‘บ้าน’ ในพริบตา เมื่อหลานเก่งขึ้น หลานอาจจะต่อต้านความรู้สึกอยากรีบกลับ ‘บ้าน’ แต่เขาว่ากันว่ามันยากมาก ตาเกรงว่าจะจำไม่ได้ซะแล้วล่ะ

“ยังไงก็ตาม เวลาจะผ่านไปในรูปแบบที่ต่างออกไปเวลาที่หลานอยู่ในสภาพนี้ เอ่อ พูดตามตรงก็คือไม่มีเวลาอยู่จริง มันก็เลยยากที่จะรู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนยกเว้นว่าเราจะรับรู้ถึงปัญหา ถ้าหลานยังอยู่บนโลก หลานก็จับตาดูพระอาทิตย์ได้ แต่ถ้าหลานไปไกลกว่านั้น หลานอาจจะต้องใช้มาตรการป้องกันอื่น ๆ แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต

“เราควรจะกลับกันได้แล้วล่ะ แม่ของหลานอาจจะมาปล่อยตัวหลานเร็ว ๆ นี้ เธอคงไม่สงสัยหรอกว่าหลานมาเดินเล่นบนชายหาดกับพ่อของตัวเอง เนอะ” ทั้งสองคนต่างก็หัวเราะกับความคิดนั้น

เมแกนรู้สึกเย็นชื้นเหมือนสวมเสื้อผ้าเปียกชื้นที่หดลงเล็กน้อยจากการซัก เธอโผล่ศีรษะออกมาจากเสื้อกันหนาวและรู้ตัวว่าเธอกลับมาที่ห้องใต้ดินแล้ว โฮกยังอยู่ที่นั่น แต่ตาของเธอไม่อยู่ เธอไม่รู้ว่าตอนนั้นกี่โมงแล้ว แต่เธอได้ยินเสียงกริ่งประตูและได้ยินแม่รีบเดินไปตามโถงทางเดินเพื่อเปิดประตู

“โรเบิร์ต! ทำไมถึงกลับมาบ้านเร็วนักล่ะคะ แล้วกุญแจของคุณไปไหน”

“ไม่ได้เร็วขนาดนั้นเสียหน่อยซูซี่ แค่ชั่วโมงเดียวเอง ผมต้องไปหาลูกค้าที่ออฟฟิศของเขา แต่ว่าเขาต้องยกเลิกน่ะ เลขาฯ ของเขาลืมบอกเรา ผมก็เลยกลับบ้าน... ทีนี้จะให้ผมเขาบ้านได้หรือยัง”

“ได้สิคะ” เธอพูดพลางหลบไปยืนด้านข้างด้วยความรู้สึกค่อนข้างตกใจ “แต่ทำไมคุณไม่เปิดประตูเข้ามาเองล่ะคะ ทำกุญแจหายเหรอ คุณไม่ใช่คนแบบนั้นนี่

“เปล่า ไม่มีทางอยู่แล้ว! คุณก็รู้จักผมดี” เขาพูดพลางแขวนเสื้อโค้ตบนตะขอ “ผมไม่เคยทำอะไรหายเลย... ผมแค่อยากเซอร์ไพรส์คุณ... จับได้ว่าคุณนอนอยู่บนเตียงกับเพื่อนบ้านสักคน...”

“อย่าติงต๊องน่าโรเบิร์ต...” เธอหน้าแดงเพราะที่จริงแล้วนั่นเป็นเหตุการณ์ที่คิดไม่ถึงสำหรับทั้งสองคนจริง ๆ “ไปที่ห้องครัวนะคะ แล้วฉันจะชงชาให้ เราคุยกันระหว่างที่ฉันชงชาก็ได้”

โรเบิร์ตทำตามที่เธอบอก แล้วซูซานก็แกล้งทำเป็นปาดเสื้อโค้ตของเขาที่แขวนอยู่บนตะขอให้เรียบ เมื่อเขาลับตาไปเธอก็เปิดประตูห้องใต้ดิน

“เมแกน” เธอพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ออกมาได้แล้ว ไปล้างหน้าล้างตาแล้วก็เปลี่ยนชุดยูนิฟอร์มออกซะ” เธอเปิดประตูค้างไว้อย่างวิตกกังวลขณะที่เมแกนเดินขึ้นบันได “ทีนี้ก็ทำตัวดี ๆ ล่ะ” เธอกระซิบ

ณ ขณะนั้น โรเบิร์ตกลับมาที่ห้องโถงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าเสื้อโค้ตและเห็นสภาพของเมแกน

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เมแกน ทำไมเนื้อตัวลูกถึงเลอะผงถ่านหิน ลูกลงไปทำบ้าอะไรในห้องใต้ดินฮึ”

เมแกนจ้องมองตรงเข้าไปในดวงตาของแม่ครู่หนึ่งจากนั้นก็มองพ่อ “งานของโรงเรียนค่ะพ่อ หนูจำใจต้องค้นคว้าเรื่องถ่านหิน...”

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง เอาล่ะ งั้นก็ไม่เป็นไร แต่ดูสภาพลูกสิ... ลูกควรจะช่วยแม่ต่างหาก แต่ตอนนี้แม่จะต้องแปรงชุดนักเรียนของลูกเพื่อให้มันสะอาด ไปเถอะ ไปอาบน้ำแล้วใส่เสื้อผ้าสะอาด ๆ ซะ อีกไม่นานน้ำชาก็เสร็จแล้ว...”

“ค่ะพ่อ”

เมแกนเริ่มเดินขึ้นบันไดโดยที่โฮกกระโจนนำขึ้นไปก่อน

จบ

(พบกันตอนต่อไป)

บทที่เกี่ยวข้อง

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่1

    1 ทางเลือกของฮ็อบสัน เมแกนถูกขังอยู่ในห้องเก็บถ่านหินใต้ดินอีกครั้งพร้อมทั้งน้ำตาที่ปริ่มจวนเจียนจะไหล เธออายุแค่สิบสองปีและเธอไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงทำสิ่งที่เลวร้ายเช่นนี้กับเธอ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้วหกครั้ง แต่เธอคิดว่ามันเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นเลย พ่อของเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย เธอไม่เคยบอกเขา และเธอแน่ใจว่าแม่ก็ไม่เคยพูดอะไรเช่นกัน เธอกับแม่มีข้อตกลงที่รู้กันอยู่ในใจว่าต่างคนต่างจะไม่ทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง แต่เธอกลับมาที่นี่อีกครั้ง นั่งอยู่ในห้องใต้ดินท่ามกลางความสกปรกและฝุ่นผงกับสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวที่ไม่มีใครรู้ว่าคืออะไรที่กำลังจ้องมองเธออยู่ เธอไม่รู้ตัวหรอก ในนั้นมืดสนิทและเธอต้องใช้ความเข้มแข็งทั้งหมดที่มีเพื่อกลั้นน้ำตาและไม่ขอร้องให้แม่ปล่อยเธอออกไป แต่เธอเคยลองทำเช่นนั้นในโอกาสอื่น ๆ และแม่ของเธอก็เรียกร้องให้เธอทำสิ่งที่ไม่มีเหตุผลเพื่อเป็นเงื่อนไขในการปล่อยตัวเธอ เงื่อนไขที่เธอรู้ว่าไม่สามารถทำได้แม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถ บางครั้งดูเหมือนว่าเธอเป็นคนเดียวที่จริงจังกับข้อตกลง แม้เธอจะไม่อยากร้องไห้ แต่น้ำตาก็เริ่มไหลอาบแ

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่2

    2 การตื่นรู้ ทุกอย่างเริ่มต้นตอนที่เธอยังอยู่ในวัยเตาะแตะ เธอถูกทิ้งให้อยู่กับยายในตอนกลางวันเพราะทั้งพ่อและแม่ของเธอทำงาน ตาและยายของเธอมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม คือสามีออกไปทำงานส่วนภรรยาอยู่บ้านและทำทุกอย่างที่สรรหามาทำได้ในบ้านที่ลูก ๆ แต่งงานและออกจากบ้านไปแล้ว คุณนายไวท์ไม่เคยมีเพื่อนของตัวเอง ทุกคนที่เธอรู้จักเป็นเพื่อนของสามี หรือไม่ก็ภรรยาของเพื่อนสามี ดังนั้นเมื่อเขาเสียชีวิต คุณนายไวท์จึงไม่มีเพื่อนเลยสักคน มีอยู่หลายครั้งที่คุณนายไวท์คิดว่าเธอรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้าเพราะความเบื่อและความอ้างว้างเดียวดาย การได้ดูแลเมแกนในช่วงกลางวันและในช่วงกลางคืนบ้างเป็นบางครั้งจึงเปรียบเสมือนของขวัญจากพระเจ้า คุณนายไวท์อยากจะบอกใครต่อใครว่ามันทำให้เธอไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แต่หลายปีต่อมาเมแกนมักจะสงสัยว่ายายของเธอมาช้าไปหรือเปล่าที่จะหยุดยั้งไม่ให้กระบวนการเริ่มขึ้น สิ่งแรกที่บ่งชี้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นตอนที่เมแกนเป็นเด็กทารก เมแกนเริ่มหยิบของเล่นและสิ่งต่าง ๆ ด้วยมือซ้ายซึ่งเป็นลางร้ายสำหรับคุณนายไวท์ ตอนแรกคุณนายไวท์เพียงแค่ย้ายของมาใส่มือขวาของเมแกนแล้วพูดว่

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่3

    3 ผู้ช่วยตัวน้อยของแม่ เมื่อเมแกนอายุห้าขวบ เธอเริ่มไปโรงเรียนอนุบาลและได้พบเจอยายของเธอน้อยลงมาก หลายคนพูดว่านั่นส่งผลดีต่อเมแกน แต่ยายของเธอไม่มีความสุขนัก เธอเสียสติและเสียชีวิตหกเดือนต่อมา บรรดาแพทย์ไม่รู้สาเหตุที่คุณนายไวท์เสียชีวิต แต่เชื่อกันว้าเธอเสียชีวิตเพราะความอ้างว้าง แน่นอน เมแกนรู้แค่ว่ายายของเธอ ‘จากไป’ แต่เหตุการณ์นั้นไม่ได้มีความสำคัญมากมายสำหรับเธอ ไม่ใช่เพราะเธอ ‘ยังเด็ก’ หรือไม่แคร์ ก็แค่มันไม่ได้อยู่ในขอบเขตในการรับรู้โลกของเมแกนเท่านั้น...โลกที่เธออาศัยอยู่ มันไม่ยุติธรรมที่จะบอกว่าโลกของเมแกนไม่ใช่โลกที่คนส่วนใหญ่รู้จัก ตลอดหกปีหรือราว ๆ นั้นเท่าที่เธอจำได้ เธอไม่เคยเชื่อว่าผู้คนเสียชีวิต เธอรู้ว่าร่างกายน่ะตาย...แหงอยู่แล้ว! แมวและนกของเธอตายและครอบครัวของเธอก็ฝังพวกมันไว้ในกล่องในสวน แม้กระทั่งตอนนั้น เธอก็รู้ว่าพ่อแม่ของเธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตและความตาย เพราะสำหรับเมแกนแล้วมันไม่มีความแตกต่างที่แท้จริง เอาล่ะ จริงอยู่ที่เธอไม่ได้เห็นสัตว์เลี้ยงทุกตัว อีกหลังจากที่พวกมันตาย เธอไม่ได้เห็นเจ้ากระต่ายลอปปี้ลักส์ หรือเจ้าโกลดี้ นก

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่4

    4 แรงบันดาลใจ เมื่อเมแกนเริ่มไปโรงเรียนและพ้นจากการดูแลที่น่าคลางแคลงใจของยาย เธอก็รวมตัวกับเด็กคนอื่น ๆ ประมาณสิบกว่าคนที่สถานรับเลี้ยงเด็กที่เธอรัก เธอชื่นชอบมิสซิสวิลเลียมส์ซึ่งเป็นครูประชั้นของเธอเป็นพิเศษ มิสซิสวิลเลียมส์ช่างแสนดี เธอเป็นเหมือนอากาศสดชื่นรองมาจากยายของเธอ มิสซิสวิลเลียมส์นั้นอาวุโสพอที่จะเป็นย่าหรือยายได้แล้ว เมแกนคิดและเธอก็ท้วมอวบและร่าเริง เธอชอบร้องเพลงขณะทำสิ่งที่เธอหลงใหล ซึ่งก็คือการดูแลเด็กเล็ก ๆ ทุกสิ่งเรียบร้อยดีสำหรับมิสซิสวิลเลียมส์ตราบใดที่ไม่มีความรุนแรง ปัญหาคือบางครั้งก็มีความรุนแรงเกิดขึ้น มันผ่านมาไม่นานมากนัก ครึ่งหนึ่งของชีวิตเธอซึ่งก็แค่หกปีเท่านั้น ตอนนั้นเธอมองเห็นสีของผู้คนได้ไม่ชัดเจน แต่บางครั้งเธอก็มองเห็นแสงสีแดงและเทาวาบขึ้นและไม่กี่วินาทีต่อมาก็จะมีคนโดนเด็กที่โกรธตบตี ในปีแรกนั้นเอง เธอได้เรียนรู้ที่จะอยู่ห่างจาก เด็ก ๆ ที่มีแนวโน้มที่จะมีอารมณ์รุนแรงแปรปรวน แสงของมิสซิสวิลเลียมส์เป็นสีเหลืองทองและอบอุ่นเสมอ เมแกนคิดว่าเธอชอบเข้าไปใกล้ชิดมิสซิสวิลเลียมส์เพื่อผสานรวมสีกับเธอ มิสซิสวิลเลียมส์และพ่อของเธอคือคน

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่5

    5 เพื่อนบ้าน เด็ก ๆ ในถนนเดียวกันเข้ากันได้ดีกับเมแกนและเมแกนก็เข้ากับพวกเขาได้ดีเช่นกัน เธอเล่นตั้งเตและวิ่งไล่จับกับเด็กผู้หญิงสองสามคน เธอชอบนอนค้างที่บ้านเพื่อนและแม้กระทั่งให้คนอื่นมานอนค้างที่บ้านในบางครั้งเวลาที่แม่อารมณ์ดี เธอชอบใช้คอมพิวเตอร์และชอบเล่นเฟซบุ๊กเป็นพิเศษ ในความคิดของคนส่วนใหญ่ เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงวัยสิบสองปีธรรมดา ๆ อันที่จริง คนส่วนใหญ่คิดว่าเธอขี้หงุดหงิดน้อยกว่าเด็กส่วนใหญ่ในวัยเดียวกัน เด็กส่วนใหญ่จำไม่ได้ว่าเธอเคยถามว่าพวกเขามองเห็นแสงรอบตัวผู้คนหรือได้ยินเสียงพูดต่าง ๆ บ้างหรือไม่ เพราะเธอเฉลียวฉลาดในการกลบเกลื่อนด้วยการพูดว่า “เธอเห็นแสงรอบ ๆ หัวของคนอื่นไหมจิล อย่างเวลาที่เธอมองฉัน เธอเห็นแสงรอบ ๆ หัวฉันไหม” “ไม่เห็นหรอก... เธอพูดเรื่องอะไรของเธอเนี่ย” “ไม่รู้สิ... อาจจะเป็นแสงแดดเข้าตาฉัน หรือไม่ก็เป็นเพราะฉันปวดหัว...” อย่างไรก็ดี บางคนก็จับได้และคลางแคลงสงสัยว่าเธอมีอิทธิพลต่อลูกหลานของพวกเขา ปกติแล้วบทสนทนาจะไม่ไปไกลกว่านั้น และเมแกนจะระวังตัวเป็นพิเศษเวลาอยู่ใกล้พ่อแม่เหล่านั้นเพื่อให้พวกเขาสงสัยน้อยลง ทว่าเธอพูดกับคุณนาย

บทล่าสุด

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่6

    6 เพื่อนของเมแกน ครั้งนี้ สัมผัสบนต้นขาของเมแกนหนักหน่วงกว่าเดิมและเธอก็ยิ้มอยู่ข้างในเสื้อ เธอปล่อยมือจากน่องข้างซ้ายแล้วลูบเจ้าสัตว์ที่อยู่ข้างกาย ไม่มีความรู้สึกทางกายภาพว่าเธอได้สัมผัสขน แต่ความรู้สึกของการได้หลอมรวมกับเพื่อนนั้นแท้จริงอย่างยิ่ง เสียงครางที่ดังอยู่ตอนนี้ก็จริงแท้เช่นกัน เสียงครางทุ้มต่ำที่ดังลั่นของเสือตัวหนึ่ง “โฮก” เมแกนพูด ฉันรู้ว่าเธอต้องมา” เจ้าเสือร่างใหญ่ทิ้งตัวลงบนขาของเมแกนแล้วบดเบียดเธอกับผนัง “เจ้าขนนุ่มตัวโต ขอบคุณนะ เพื่อนที่แสนพิเศษของฉัน” เสียงครางดังกว่าเดิมและเธอรู้สึกได้ว่าเจ้าเสือนอนหงายท้องกลิ้งตัวไปมา เมแกนลูบอกของมันและตบเบา ๆ เธอมองลอดเสื้อกันหนาวและมองเห็นลายสีดำ เหลือง และขาวบนตัวเพื่อนร่างใหญ่โตที่มีอายุมากที่สุดของเธอได้อย่างชัดเจน “เป็นยังไงบ้าง สาวน้อย สนุกไหม ที่นี่มีเด็กดี เด็กดี เธอเป็นเด็กดีไม่ใช่รึไง” โฮกครางแล้วก็ครางอีก เมแกนมองเห็นแสงที่เคยเป็นเพื่อนของเธอได้ แต่มันเป็นเหมือนแสงที่ออกมาจากไฟสำหรับติดในห้องนอนตอนกลางคืนมากกว่าแสงจากโคมไฟ เมแกนดีใจมากที่โฮกมา แต่โฮกไม่สามารถปกป้องเธอจากแมงมุมและแมลงอื่นๆ ได้

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่5

    5 เพื่อนบ้าน เด็ก ๆ ในถนนเดียวกันเข้ากันได้ดีกับเมแกนและเมแกนก็เข้ากับพวกเขาได้ดีเช่นกัน เธอเล่นตั้งเตและวิ่งไล่จับกับเด็กผู้หญิงสองสามคน เธอชอบนอนค้างที่บ้านเพื่อนและแม้กระทั่งให้คนอื่นมานอนค้างที่บ้านในบางครั้งเวลาที่แม่อารมณ์ดี เธอชอบใช้คอมพิวเตอร์และชอบเล่นเฟซบุ๊กเป็นพิเศษ ในความคิดของคนส่วนใหญ่ เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงวัยสิบสองปีธรรมดา ๆ อันที่จริง คนส่วนใหญ่คิดว่าเธอขี้หงุดหงิดน้อยกว่าเด็กส่วนใหญ่ในวัยเดียวกัน เด็กส่วนใหญ่จำไม่ได้ว่าเธอเคยถามว่าพวกเขามองเห็นแสงรอบตัวผู้คนหรือได้ยินเสียงพูดต่าง ๆ บ้างหรือไม่ เพราะเธอเฉลียวฉลาดในการกลบเกลื่อนด้วยการพูดว่า “เธอเห็นแสงรอบ ๆ หัวของคนอื่นไหมจิล อย่างเวลาที่เธอมองฉัน เธอเห็นแสงรอบ ๆ หัวฉันไหม” “ไม่เห็นหรอก... เธอพูดเรื่องอะไรของเธอเนี่ย” “ไม่รู้สิ... อาจจะเป็นแสงแดดเข้าตาฉัน หรือไม่ก็เป็นเพราะฉันปวดหัว...” อย่างไรก็ดี บางคนก็จับได้และคลางแคลงสงสัยว่าเธอมีอิทธิพลต่อลูกหลานของพวกเขา ปกติแล้วบทสนทนาจะไม่ไปไกลกว่านั้น และเมแกนจะระวังตัวเป็นพิเศษเวลาอยู่ใกล้พ่อแม่เหล่านั้นเพื่อให้พวกเขาสงสัยน้อยลง ทว่าเธอพูดกับคุณนาย

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่4

    4 แรงบันดาลใจ เมื่อเมแกนเริ่มไปโรงเรียนและพ้นจากการดูแลที่น่าคลางแคลงใจของยาย เธอก็รวมตัวกับเด็กคนอื่น ๆ ประมาณสิบกว่าคนที่สถานรับเลี้ยงเด็กที่เธอรัก เธอชื่นชอบมิสซิสวิลเลียมส์ซึ่งเป็นครูประชั้นของเธอเป็นพิเศษ มิสซิสวิลเลียมส์ช่างแสนดี เธอเป็นเหมือนอากาศสดชื่นรองมาจากยายของเธอ มิสซิสวิลเลียมส์นั้นอาวุโสพอที่จะเป็นย่าหรือยายได้แล้ว เมแกนคิดและเธอก็ท้วมอวบและร่าเริง เธอชอบร้องเพลงขณะทำสิ่งที่เธอหลงใหล ซึ่งก็คือการดูแลเด็กเล็ก ๆ ทุกสิ่งเรียบร้อยดีสำหรับมิสซิสวิลเลียมส์ตราบใดที่ไม่มีความรุนแรง ปัญหาคือบางครั้งก็มีความรุนแรงเกิดขึ้น มันผ่านมาไม่นานมากนัก ครึ่งหนึ่งของชีวิตเธอซึ่งก็แค่หกปีเท่านั้น ตอนนั้นเธอมองเห็นสีของผู้คนได้ไม่ชัดเจน แต่บางครั้งเธอก็มองเห็นแสงสีแดงและเทาวาบขึ้นและไม่กี่วินาทีต่อมาก็จะมีคนโดนเด็กที่โกรธตบตี ในปีแรกนั้นเอง เธอได้เรียนรู้ที่จะอยู่ห่างจาก เด็ก ๆ ที่มีแนวโน้มที่จะมีอารมณ์รุนแรงแปรปรวน แสงของมิสซิสวิลเลียมส์เป็นสีเหลืองทองและอบอุ่นเสมอ เมแกนคิดว่าเธอชอบเข้าไปใกล้ชิดมิสซิสวิลเลียมส์เพื่อผสานรวมสีกับเธอ มิสซิสวิลเลียมส์และพ่อของเธอคือคน

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่3

    3 ผู้ช่วยตัวน้อยของแม่ เมื่อเมแกนอายุห้าขวบ เธอเริ่มไปโรงเรียนอนุบาลและได้พบเจอยายของเธอน้อยลงมาก หลายคนพูดว่านั่นส่งผลดีต่อเมแกน แต่ยายของเธอไม่มีความสุขนัก เธอเสียสติและเสียชีวิตหกเดือนต่อมา บรรดาแพทย์ไม่รู้สาเหตุที่คุณนายไวท์เสียชีวิต แต่เชื่อกันว้าเธอเสียชีวิตเพราะความอ้างว้าง แน่นอน เมแกนรู้แค่ว่ายายของเธอ ‘จากไป’ แต่เหตุการณ์นั้นไม่ได้มีความสำคัญมากมายสำหรับเธอ ไม่ใช่เพราะเธอ ‘ยังเด็ก’ หรือไม่แคร์ ก็แค่มันไม่ได้อยู่ในขอบเขตในการรับรู้โลกของเมแกนเท่านั้น...โลกที่เธออาศัยอยู่ มันไม่ยุติธรรมที่จะบอกว่าโลกของเมแกนไม่ใช่โลกที่คนส่วนใหญ่รู้จัก ตลอดหกปีหรือราว ๆ นั้นเท่าที่เธอจำได้ เธอไม่เคยเชื่อว่าผู้คนเสียชีวิต เธอรู้ว่าร่างกายน่ะตาย...แหงอยู่แล้ว! แมวและนกของเธอตายและครอบครัวของเธอก็ฝังพวกมันไว้ในกล่องในสวน แม้กระทั่งตอนนั้น เธอก็รู้ว่าพ่อแม่ของเธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตและความตาย เพราะสำหรับเมแกนแล้วมันไม่มีความแตกต่างที่แท้จริง เอาล่ะ จริงอยู่ที่เธอไม่ได้เห็นสัตว์เลี้ยงทุกตัว อีกหลังจากที่พวกมันตาย เธอไม่ได้เห็นเจ้ากระต่ายลอปปี้ลักส์ หรือเจ้าโกลดี้ นก

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่2

    2 การตื่นรู้ ทุกอย่างเริ่มต้นตอนที่เธอยังอยู่ในวัยเตาะแตะ เธอถูกทิ้งให้อยู่กับยายในตอนกลางวันเพราะทั้งพ่อและแม่ของเธอทำงาน ตาและยายของเธอมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม คือสามีออกไปทำงานส่วนภรรยาอยู่บ้านและทำทุกอย่างที่สรรหามาทำได้ในบ้านที่ลูก ๆ แต่งงานและออกจากบ้านไปแล้ว คุณนายไวท์ไม่เคยมีเพื่อนของตัวเอง ทุกคนที่เธอรู้จักเป็นเพื่อนของสามี หรือไม่ก็ภรรยาของเพื่อนสามี ดังนั้นเมื่อเขาเสียชีวิต คุณนายไวท์จึงไม่มีเพื่อนเลยสักคน มีอยู่หลายครั้งที่คุณนายไวท์คิดว่าเธอรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้าเพราะความเบื่อและความอ้างว้างเดียวดาย การได้ดูแลเมแกนในช่วงกลางวันและในช่วงกลางคืนบ้างเป็นบางครั้งจึงเปรียบเสมือนของขวัญจากพระเจ้า คุณนายไวท์อยากจะบอกใครต่อใครว่ามันทำให้เธอไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แต่หลายปีต่อมาเมแกนมักจะสงสัยว่ายายของเธอมาช้าไปหรือเปล่าที่จะหยุดยั้งไม่ให้กระบวนการเริ่มขึ้น สิ่งแรกที่บ่งชี้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นตอนที่เมแกนเป็นเด็กทารก เมแกนเริ่มหยิบของเล่นและสิ่งต่าง ๆ ด้วยมือซ้ายซึ่งเป็นลางร้ายสำหรับคุณนายไวท์ ตอนแรกคุณนายไวท์เพียงแค่ย้ายของมาใส่มือขวาของเมแกนแล้วพูดว่

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่1

    1 ทางเลือกของฮ็อบสัน เมแกนถูกขังอยู่ในห้องเก็บถ่านหินใต้ดินอีกครั้งพร้อมทั้งน้ำตาที่ปริ่มจวนเจียนจะไหล เธออายุแค่สิบสองปีและเธอไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงทำสิ่งที่เลวร้ายเช่นนี้กับเธอ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้วหกครั้ง แต่เธอคิดว่ามันเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นเลย พ่อของเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย เธอไม่เคยบอกเขา และเธอแน่ใจว่าแม่ก็ไม่เคยพูดอะไรเช่นกัน เธอกับแม่มีข้อตกลงที่รู้กันอยู่ในใจว่าต่างคนต่างจะไม่ทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง แต่เธอกลับมาที่นี่อีกครั้ง นั่งอยู่ในห้องใต้ดินท่ามกลางความสกปรกและฝุ่นผงกับสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวที่ไม่มีใครรู้ว่าคืออะไรที่กำลังจ้องมองเธออยู่ เธอไม่รู้ตัวหรอก ในนั้นมืดสนิทและเธอต้องใช้ความเข้มแข็งทั้งหมดที่มีเพื่อกลั้นน้ำตาและไม่ขอร้องให้แม่ปล่อยเธอออกไป แต่เธอเคยลองทำเช่นนั้นในโอกาสอื่น ๆ และแม่ของเธอก็เรียกร้องให้เธอทำสิ่งที่ไม่มีเหตุผลเพื่อเป็นเงื่อนไขในการปล่อยตัวเธอ เงื่อนไขที่เธอรู้ว่าไม่สามารถทำได้แม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถ บางครั้งดูเหมือนว่าเธอเป็นคนเดียวที่จริงจังกับข้อตกลง แม้เธอจะไม่อยากร้องไห้ แต่น้ำตาก็เริ่มไหลอาบแ

DMCA.com Protection Status