Share

บทที่5

Author: Owen Jones
last update Last Updated: 2024-10-29 19:42:56
5 เพื่อนบ้าน

เด็ก ๆ ในถนนเดียวกันเข้ากันได้ดีกับเมแกนและเมแกนก็เข้ากับพวกเขาได้ดีเช่นกัน เธอเล่นตั้งเตและวิ่งไล่จับกับเด็กผู้หญิงสองสามคน เธอชอบนอนค้างที่บ้านเพื่อนและแม้กระทั่งให้คนอื่นมานอนค้างที่บ้านในบางครั้งเวลาที่แม่อารมณ์ดี เธอชอบใช้คอมพิวเตอร์และชอบเล่นเฟซบุ๊กเป็นพิเศษ ในความคิดของคนส่วนใหญ่ เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงวัยสิบสองปีธรรมดา ๆ อันที่จริง คนส่วนใหญ่คิดว่าเธอขี้หงุดหงิดน้อยกว่าเด็กส่วนใหญ่ในวัยเดียวกัน

เด็กส่วนใหญ่จำไม่ได้ว่าเธอเคยถามว่าพวกเขามองเห็นแสงรอบตัวผู้คนหรือได้ยินเสียงพูดต่าง ๆ บ้างหรือไม่ เพราะเธอเฉลียวฉลาดในการกลบเกลื่อนด้วยการพูดว่า

“เธอเห็นแสงรอบ ๆ หัวของคนอื่นไหมจิล อย่างเวลาที่เธอมองฉัน เธอเห็นแสงรอบ ๆ หัวฉันไหม”

“ไม่เห็นหรอก... เธอพูดเรื่องอะไรของเธอเนี่ย”

“ไม่รู้สิ... อาจจะเป็นแสงแดดเข้าตาฉัน หรือไม่ก็เป็นเพราะฉันปวดหัว...”

อย่างไรก็ดี บางคนก็จับได้และคลางแคลงสงสัยว่าเธอมีอิทธิพลต่อลูกหลานของพวกเขา ปกติแล้วบทสนทนาจะไม่ไปไกลกว่านั้น และเมแกนจะระวังตัวเป็นพิเศษเวลาอยู่ใกล้พ่อแม่เหล่านั้นเพื่อให้พวกเขาสงสัยน้อยลง ทว่าเธอพูดกับคุณนายเจมส์มากเกินไป เมแกนถามเรื่องสุขภาพของเธอและโดยเฉพาะสภาวะหัวใจของเธอทุกวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์

ต่อมา หลังจากที่ได้รับการวินิจฉัยว่าหัวใจส่งเสียงผิดปกติ คุณนายเจมส์ผู้แก่ชราและเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ก็สงสัยว่าเมแกนได้สาปแช่งให้เธอมีปัญหาหัวใจหรือเปล่าและบอกซูซานเช่นนั้น ซูซานแก้ต่างให้ลูกสาวของเธอต่อหน้าหญิงชราติงต๊อง แต่นี่คือสถานการณ์แบบที่เธอต้องการจะหลีกเลี่ยงเป๊ะ ๆ

แต่ปัญหาที่แท้จริงของซูซานก็คือเธอเชื่อในความสามารถของเมแกน เธอยังจำได้ราง ๆ ด้วยซ้ำว่าตัวเธอเองตื่นรู้ แต่มันผ่านมานานหลายปีแล้ว ไม่ใช่สิ หลายสิบปีต่างหาก ที่จริงเธอรู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไร มันเกิดขึ้นตอนที่เธออยู่ในโรงเรียนสำหรับเด็กอ่อน แต่เธอจำไม่ได้แล้วว่าทำไมทุกอย่างจึงหยุดลง เธอสันนิษฐานว่าเธอเพียงแค่ ‘โตขึ้นจนเกินกว่าจะใส่ใจ’ ซูซานไม่เคยฉุกคิดว่าแม่ของเธอฝึกฝนเธอให้ไม่มีความสามารถนั้น และเธอกำลังทำแบบเดียวกันกับลูกสาวของเธอแม้ว่าจะโหดร้ายน้อยกว่าก็ตาม

อย่างไรก็ดี เมแกนดื้อน้อยกว่าที่เธอเคยเป็นเมื่อตอนเด็กมาก ซูซานเชื่อมั่นในตัวพ่อแม่และในศรัทธาของตัวเองอย่างเต็มที่ และเมื่อมีคนบอกว่าเธอกำลังต่อต้านพ่อแม่และความปรารถนาของพระเจ้า เธอก็ยอมแพ้และล้มเลิก เมแกนไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่ซูซานไม่ใช่นักล้างสมองเหมือนที่แม่ของเธอเคยเป็น และเมแกนก็ไม่ใช่เด็กที่ว่านอนสอนง่ายอย่างสิ้นเชิงเหมือนที่ซูซานเคยเป็นด้วย

เมแกนมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าเด็กสิบคนในยุคของซูซาน แต่เธอคิดว่านั่นเป็นเรื่องปกติของ ‘สมัยนี้’ ไม่มีความเคารพต่อ ‘ผู้กุมอำนาจ’ เหมือนที่เคยเป็น เธอคิดว่าเด็ก ๆ ไม่เคารพเชื่อฟัง และจำเป็นต้องมีระเบียบวินัยและได้รับการลงโทษ

หรือไม่เธอก็คิดว่าเธอคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเธอวิเคราะห์ความคิดเหล่านั้น เธอไม่เชื่อมันเลยแม้แต่น้อย มันเหมือนกับว่ามีคนอื่นพูดผ่านปากของเธอ ที่จริงแล้วเธอฟังดูเหมือนแม่ของเธอ แม้ว่าเธอไม่อยากจะเหมือนก็ตาม

ซูซานรักและคิดถึงแม่ผู้ล่วงลับ แต่เธอไม่อยากจะเป็นเหมือนแม่ ไม่มีลูกคนไหนอยากจะเป็นเหมือนพ่อแม่หรอก ไม่ว่าพวกเขาจะรักและเคารพพ่อแม่แค่ไหนก็ตาม อย่างไรก็ดี ซูซานทำมากกว่าที่เธอจำได้ว่าแม่ของเธอทำ บางครั้งเธอก็แผดเสียงใส่เมแกนทะลุผ่านประตูห้องใต้ดินและทำเสียงต่าง ๆ นานาเพื่อให้เธอกลัว แม่ของซูซานก็ทำแบบเดียวกันแต่เธอจำไม่ได้ มันทำให้เธอหวาดกลัวมากเสียจนจิตใจของเธอไม่ยอมให้เธอจดจำ

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันปฏิสนธิแกขึ้นมา! จะต้องมีบางอย่างผิดพลาดตอนที่แกปฏิสนธิแน่...หรือ...หรือไม่ก็ต้องมีการสลับตัวกันที่โรงพยาบาล แกไม่ใช่ลูกของเรา แกมันประหลาด แกไม่ปกติ ได้ยินไหม!” แกไม่ปกติ!” เธอจะตะโกนแบบนี้

สิ่งที่ซูซานไม่ได้ตระหนักก็คือ ถ้าพวกเขาได้ยินครอบครัวเจมส์ถกเถียงกัน ครอบครัวเจมส์ก็ต้องได้ยินพวกเขาเหมือนกัน หรืออย่างน้อยคุณนายเจมส์ก็ได้ยินเเพราะเธอเป็นคนเดียวที่อยู่บ้านในช่วงกลางวัน และคุณนายเจมส์ก็เป็นหญิงชราที่อ้างว้างซึ่งไม่มีเรื่องอะไรให้พูดมากนักนอกจากว่าคนอื่นทำอะไร ดังนั้นเสียงของซูซานและการที่เธอทะเลาะกับเมแกนจึงเป็นเรื่องที่เธอต้องฟัง คุณนายเจมส์ยังรู้ด้วยว่าควรวางแก้วไว้ตรงไหนของผนังถึงจะรีดรายละเอียดที่มันหยดติ๋งออกมาได้ครบทุกหยด

ซูซานไม่รู้ว่าเธอทำลายชื่อเสียงของครอบครัวมากกว่าที่เมแกนจะทำหรือสามารถทำได้เสียอีก เพราะคุณนายเจมส์จะตรงดิ่งไปที่ร้านค้าในท้องถิ่นที่เครสเซนต์ที่อยู่ตรงสุดถนนหลังจากได้ยินมากพอที่จะไปซุบซิบนินทาต่อ เธอจะเล่าให้ภรรยาของพ่อค้าขายผักผลไม้และใครก็ตามที่เธอคุยด้วย ณ เวลานั้นฟัง เธอจะเล่าให้พ่อค้าขายเนื้อและคนทำขนมปังฟัง เธอจะเล่าให้เพื่อนบ้านและใครก็ตามที่เธอพบเจอฟัง

เมื่อเตรียมน้ำชาของสามีเสร็จเรียบร้อย เธอก็จะโทรหาเพื่อน ๆ และเมื่อสามีของเธอรับประทานอาหารเสร็จ เธอก็จะเล่าให้เขาฟังราวกับวิตกกังวลมากที่ต้องอาศัยอยู่ใกล้กับ ‘เพื่อนบ้านประหลาด’ โดยเฉพาะเมื่อเธอต้องอยู่บ้านคนเดียวตลอดทั้งวัน สามีของเธอจะไปที่ผับแถวบ้านตอนหนึ่งทุ่มและอยู่ที่นั่นประมาณหนึ่งชั่วโมง และเขาก็จะเล่าเรื่องราวที่ได้ยินจากภรรยาให้คนอื่นที่อยู่ที่นั่นฟัง

โชคดีของซูซานที่เธอไม่ต้องเสียเกียรติศักดิ์ศรีเนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจเรื่องที่ครอบครัวเจมส์ซุบซิบนินทา แต่บางคนก็คิดว่า ‘ไม่มีมูลหมาไม่ขี้’ ส่วนบางคนก็แนะนำให้ติดต่อหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ หากเมแกนที่น่ารักถูก ‘แม่บ้าๆ‘ ของเธอทำร้าย แต่ก็เหมือนเช่นเคย ไม่มีใครลงมือทำอะไรจริง ๆ เสียที หลังจากที่แก้ไขปัญหาโลกระหว่างดื่มเบียร์ 1.5 ลิตร คนส่วนใหญ่ก็กลับบ้านไปนอนและลืมเรื่องราวของเมแกนและซูซานไปสิ้น

โรเบิร์ตไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้เพราะเขาไม่เคยไปที่ผับของชนชั้นแรงงานที่มุมถนน ถ้าเขาไปที่นั่นก็คงจะประหลาดใจอย่างเต็มที่ เพราะเขาไม่รู้เลยว่าซูซานกำลังทำอะไรอยู่เพื่อ ‘ควบคุมสถานการณ์’ และดูแลสถานภาพของครอบครัวในชุมชนท้องถิ่น

ไม่มีใครคิดถึงเมแกนหรอก แต่ก็ไม่มีใครรู้เช่นกันว่าเธอถูกขังไว้ในห้องใต้ดิน นอกจากซูซาน แม่แต่คุณนายเจมส์ก็ไม่ได้รู้มากขนาดนั้น

เหตุผลที่เมแกนถูกขังครั้งนี้เป็นเพราะเธอได้ยินจากเพื่อนคนหนึ่งที่โรงเรียนซึ่งบ้านอยู่ห่างออกไปไม่กี่หลังบนถนนเดียวกัน ว่าพวกเขาถูกปล้นเมื่อวันก่อน ปรากฏว่ามีผู้ชายสองคนและเป็นไปได้ว่ามีเด็กผู้ชายอีกหนึ่งคนขโมยของมีค่าของพวกเขาไปทั้งหมดในขณะที่คุณนายสมิธออกไปซื้อของ

ดูเหมือนว่าคนขายแปรงสองคนได้กดกริ่งหน้าบ้านแล้วประตูก็เปิดออกและพวกเขาเข้าไปข้างใน เพื่อนบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามยืนยันว่าเห็นผู้ชายสองคนนั้นได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าไปข้างใน อย่างไรก็ดี ระหว่างการสอบปากคำ เพื่อนบ้านคนดังกล่าวไม่สามารถสาบานได้ว่าเห็นใครเป็นคนเปิดประตู แต่ชายสองคนนั้นถอดหมวกและเข้าไปอย่าง ‘เคารพนบนอบ’

ตำรวจค้นพบคำตอบว่าหลังจากกดกริ่งสองสามครั้ง พวกเขาก็โทรหาเด็กผู้ชายที่สมรู้ร่วมคิดกันซึ่งรออยู่ที่หลังบ้านให้ปีนเข้าไปทางหน้าต่างรับแสงทรงครึ่งวงกลมแล้วเปิดประตูหน้าบ้านในขณะที่พยายามหลบให้พ้นสายตาผู้คน เมื่อพวกเขาเสร็จธุระ เด็กชายก็อาจจะเปิดประตูให้พวกเขา จากนั้นก็ออกไปทางประตูหลังบ้านไปที่ถนน

อันที่จริงตำรวจและคนทั่วประเทศรู้จักแก๊งนี้ดีพอสมควรและตอนนี้ก็มีประกาศเตือนทางโทรทัศน์ในรายการไครม์วอตช์ (Crime Watch) มีการแสดงรูปร่างหน้าตาปลอมแปลงหลากหลายแบบที่ชายทั้งสองคนมักใช้ในการหลอกลวงให้ประชาชนได้ทราบ เชื่อกันว่าแก๊งนี้ออกจากพื้นที่ไปแล้ว แต่ทางรายการบอกว่าพวกเขาอาจจะลงมือก่อเหตุอีกครั้งภายในหนึ่งถึงสองเดือน คนขายแปรงที่ซูซานอนุญาตให้เข้าไปในบ้านมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับชายคนหนึ่งในแก๊งนี้ไม่ผิดเพี้ยน

คาดกันว่าอาชญากรกลุ่มนี้ได้ปล้นและหลอกลวงผู้คนในพื้นที่ไปอย่างน้อยสามสิบครอบครัว แต่ว่ากันว่าตัวเลขอาจสูงกว่านี้เพราะบางคนก็รู้สึกอับอายจนเกินกว่าจะแจ้งตำรวจว่าพวกเขาโดนเล่นงาน

ซูซานได้ยินเรื่องนี้แล้ว และเธอก็ได้ยินว่าคนขายแปรงที่เมแกนเตือนเธออาจมีส่วนเกี่ยวข้อง ตอนนั้นเธอคิดว่าความผิดของเมแกนถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติและไร้สาระ เมแกนบอกแม่ด้วยความขุ่นเคืองว่าเธอได้บอกแม่เรื่องนั้นไปแล้ว แม่ของเธอรู้อยู่แล้วและตอบโต้ด้วยการกักขังลูกสาวไว้ในห้องเก็บถ่านหินใต้ดิน จากนั้นจึงโทรไปที่โรงเรียนและรายงานว่าเมแกนกำลังทรมานจากอาการ ‘ปวดท้อง’ ซึ่งเธอก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

Related chapters

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่6

    6 เพื่อนของเมแกน ครั้งนี้ สัมผัสบนต้นขาของเมแกนหนักหน่วงกว่าเดิมและเธอก็ยิ้มอยู่ข้างในเสื้อ เธอปล่อยมือจากน่องข้างซ้ายแล้วลูบเจ้าสัตว์ที่อยู่ข้างกาย ไม่มีความรู้สึกทางกายภาพว่าเธอได้สัมผัสขน แต่ความรู้สึกของการได้หลอมรวมกับเพื่อนนั้นแท้จริงอย่างยิ่ง เสียงครางที่ดังอยู่ตอนนี้ก็จริงแท้เช่นกัน เสียงครางทุ้มต่ำที่ดังลั่นของเสือตัวหนึ่ง “โฮก” เมแกนพูด ฉันรู้ว่าเธอต้องมา” เจ้าเสือร่างใหญ่ทิ้งตัวลงบนขาของเมแกนแล้วบดเบียดเธอกับผนัง “เจ้าขนนุ่มตัวโต ขอบคุณนะ เพื่อนที่แสนพิเศษของฉัน” เสียงครางดังกว่าเดิมและเธอรู้สึกได้ว่าเจ้าเสือนอนหงายท้องกลิ้งตัวไปมา เมแกนลูบอกของมันและตบเบา ๆ เธอมองลอดเสื้อกันหนาวและมองเห็นลายสีดำ เหลือง และขาวบนตัวเพื่อนร่างใหญ่โตที่มีอายุมากที่สุดของเธอได้อย่างชัดเจน “เป็นยังไงบ้าง สาวน้อย สนุกไหม ที่นี่มีเด็กดี เด็กดี เธอเป็นเด็กดีไม่ใช่รึไง” โฮกครางแล้วก็ครางอีก เมแกนมองเห็นแสงที่เคยเป็นเพื่อนของเธอได้ แต่มันเป็นเหมือนแสงที่ออกมาจากไฟสำหรับติดในห้องนอนตอนกลางคืนมากกว่าแสงจากโคมไฟ เมแกนดีใจมากที่โฮกมา แต่โฮกไม่สามารถปกป้องเธอจากแมงมุมและแมลงอื่นๆ ได้

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่1

    1 ทางเลือกของฮ็อบสัน เมแกนถูกขังอยู่ในห้องเก็บถ่านหินใต้ดินอีกครั้งพร้อมทั้งน้ำตาที่ปริ่มจวนเจียนจะไหล เธออายุแค่สิบสองปีและเธอไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงทำสิ่งที่เลวร้ายเช่นนี้กับเธอ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้วหกครั้ง แต่เธอคิดว่ามันเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นเลย พ่อของเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย เธอไม่เคยบอกเขา และเธอแน่ใจว่าแม่ก็ไม่เคยพูดอะไรเช่นกัน เธอกับแม่มีข้อตกลงที่รู้กันอยู่ในใจว่าต่างคนต่างจะไม่ทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง แต่เธอกลับมาที่นี่อีกครั้ง นั่งอยู่ในห้องใต้ดินท่ามกลางความสกปรกและฝุ่นผงกับสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวที่ไม่มีใครรู้ว่าคืออะไรที่กำลังจ้องมองเธออยู่ เธอไม่รู้ตัวหรอก ในนั้นมืดสนิทและเธอต้องใช้ความเข้มแข็งทั้งหมดที่มีเพื่อกลั้นน้ำตาและไม่ขอร้องให้แม่ปล่อยเธอออกไป แต่เธอเคยลองทำเช่นนั้นในโอกาสอื่น ๆ และแม่ของเธอก็เรียกร้องให้เธอทำสิ่งที่ไม่มีเหตุผลเพื่อเป็นเงื่อนไขในการปล่อยตัวเธอ เงื่อนไขที่เธอรู้ว่าไม่สามารถทำได้แม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถ บางครั้งดูเหมือนว่าเธอเป็นคนเดียวที่จริงจังกับข้อตกลง แม้เธอจะไม่อยากร้องไห้ แต่น้ำตาก็เริ่มไหลอาบแ

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่2

    2 การตื่นรู้ ทุกอย่างเริ่มต้นตอนที่เธอยังอยู่ในวัยเตาะแตะ เธอถูกทิ้งให้อยู่กับยายในตอนกลางวันเพราะทั้งพ่อและแม่ของเธอทำงาน ตาและยายของเธอมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม คือสามีออกไปทำงานส่วนภรรยาอยู่บ้านและทำทุกอย่างที่สรรหามาทำได้ในบ้านที่ลูก ๆ แต่งงานและออกจากบ้านไปแล้ว คุณนายไวท์ไม่เคยมีเพื่อนของตัวเอง ทุกคนที่เธอรู้จักเป็นเพื่อนของสามี หรือไม่ก็ภรรยาของเพื่อนสามี ดังนั้นเมื่อเขาเสียชีวิต คุณนายไวท์จึงไม่มีเพื่อนเลยสักคน มีอยู่หลายครั้งที่คุณนายไวท์คิดว่าเธอรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้าเพราะความเบื่อและความอ้างว้างเดียวดาย การได้ดูแลเมแกนในช่วงกลางวันและในช่วงกลางคืนบ้างเป็นบางครั้งจึงเปรียบเสมือนของขวัญจากพระเจ้า คุณนายไวท์อยากจะบอกใครต่อใครว่ามันทำให้เธอไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แต่หลายปีต่อมาเมแกนมักจะสงสัยว่ายายของเธอมาช้าไปหรือเปล่าที่จะหยุดยั้งไม่ให้กระบวนการเริ่มขึ้น สิ่งแรกที่บ่งชี้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นตอนที่เมแกนเป็นเด็กทารก เมแกนเริ่มหยิบของเล่นและสิ่งต่าง ๆ ด้วยมือซ้ายซึ่งเป็นลางร้ายสำหรับคุณนายไวท์ ตอนแรกคุณนายไวท์เพียงแค่ย้ายของมาใส่มือขวาของเมแกนแล้วพูดว่

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่3

    3 ผู้ช่วยตัวน้อยของแม่ เมื่อเมแกนอายุห้าขวบ เธอเริ่มไปโรงเรียนอนุบาลและได้พบเจอยายของเธอน้อยลงมาก หลายคนพูดว่านั่นส่งผลดีต่อเมแกน แต่ยายของเธอไม่มีความสุขนัก เธอเสียสติและเสียชีวิตหกเดือนต่อมา บรรดาแพทย์ไม่รู้สาเหตุที่คุณนายไวท์เสียชีวิต แต่เชื่อกันว้าเธอเสียชีวิตเพราะความอ้างว้าง แน่นอน เมแกนรู้แค่ว่ายายของเธอ ‘จากไป’ แต่เหตุการณ์นั้นไม่ได้มีความสำคัญมากมายสำหรับเธอ ไม่ใช่เพราะเธอ ‘ยังเด็ก’ หรือไม่แคร์ ก็แค่มันไม่ได้อยู่ในขอบเขตในการรับรู้โลกของเมแกนเท่านั้น...โลกที่เธออาศัยอยู่ มันไม่ยุติธรรมที่จะบอกว่าโลกของเมแกนไม่ใช่โลกที่คนส่วนใหญ่รู้จัก ตลอดหกปีหรือราว ๆ นั้นเท่าที่เธอจำได้ เธอไม่เคยเชื่อว่าผู้คนเสียชีวิต เธอรู้ว่าร่างกายน่ะตาย...แหงอยู่แล้ว! แมวและนกของเธอตายและครอบครัวของเธอก็ฝังพวกมันไว้ในกล่องในสวน แม้กระทั่งตอนนั้น เธอก็รู้ว่าพ่อแม่ของเธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตและความตาย เพราะสำหรับเมแกนแล้วมันไม่มีความแตกต่างที่แท้จริง เอาล่ะ จริงอยู่ที่เธอไม่ได้เห็นสัตว์เลี้ยงทุกตัว อีกหลังจากที่พวกมันตาย เธอไม่ได้เห็นเจ้ากระต่ายลอปปี้ลักส์ หรือเจ้าโกลดี้ นก

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่4

    4 แรงบันดาลใจ เมื่อเมแกนเริ่มไปโรงเรียนและพ้นจากการดูแลที่น่าคลางแคลงใจของยาย เธอก็รวมตัวกับเด็กคนอื่น ๆ ประมาณสิบกว่าคนที่สถานรับเลี้ยงเด็กที่เธอรัก เธอชื่นชอบมิสซิสวิลเลียมส์ซึ่งเป็นครูประชั้นของเธอเป็นพิเศษ มิสซิสวิลเลียมส์ช่างแสนดี เธอเป็นเหมือนอากาศสดชื่นรองมาจากยายของเธอ มิสซิสวิลเลียมส์นั้นอาวุโสพอที่จะเป็นย่าหรือยายได้แล้ว เมแกนคิดและเธอก็ท้วมอวบและร่าเริง เธอชอบร้องเพลงขณะทำสิ่งที่เธอหลงใหล ซึ่งก็คือการดูแลเด็กเล็ก ๆ ทุกสิ่งเรียบร้อยดีสำหรับมิสซิสวิลเลียมส์ตราบใดที่ไม่มีความรุนแรง ปัญหาคือบางครั้งก็มีความรุนแรงเกิดขึ้น มันผ่านมาไม่นานมากนัก ครึ่งหนึ่งของชีวิตเธอซึ่งก็แค่หกปีเท่านั้น ตอนนั้นเธอมองเห็นสีของผู้คนได้ไม่ชัดเจน แต่บางครั้งเธอก็มองเห็นแสงสีแดงและเทาวาบขึ้นและไม่กี่วินาทีต่อมาก็จะมีคนโดนเด็กที่โกรธตบตี ในปีแรกนั้นเอง เธอได้เรียนรู้ที่จะอยู่ห่างจาก เด็ก ๆ ที่มีแนวโน้มที่จะมีอารมณ์รุนแรงแปรปรวน แสงของมิสซิสวิลเลียมส์เป็นสีเหลืองทองและอบอุ่นเสมอ เมแกนคิดว่าเธอชอบเข้าไปใกล้ชิดมิสซิสวิลเลียมส์เพื่อผสานรวมสีกับเธอ มิสซิสวิลเลียมส์และพ่อของเธอคือคน

Latest chapter

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่6

    6 เพื่อนของเมแกน ครั้งนี้ สัมผัสบนต้นขาของเมแกนหนักหน่วงกว่าเดิมและเธอก็ยิ้มอยู่ข้างในเสื้อ เธอปล่อยมือจากน่องข้างซ้ายแล้วลูบเจ้าสัตว์ที่อยู่ข้างกาย ไม่มีความรู้สึกทางกายภาพว่าเธอได้สัมผัสขน แต่ความรู้สึกของการได้หลอมรวมกับเพื่อนนั้นแท้จริงอย่างยิ่ง เสียงครางที่ดังอยู่ตอนนี้ก็จริงแท้เช่นกัน เสียงครางทุ้มต่ำที่ดังลั่นของเสือตัวหนึ่ง “โฮก” เมแกนพูด ฉันรู้ว่าเธอต้องมา” เจ้าเสือร่างใหญ่ทิ้งตัวลงบนขาของเมแกนแล้วบดเบียดเธอกับผนัง “เจ้าขนนุ่มตัวโต ขอบคุณนะ เพื่อนที่แสนพิเศษของฉัน” เสียงครางดังกว่าเดิมและเธอรู้สึกได้ว่าเจ้าเสือนอนหงายท้องกลิ้งตัวไปมา เมแกนลูบอกของมันและตบเบา ๆ เธอมองลอดเสื้อกันหนาวและมองเห็นลายสีดำ เหลือง และขาวบนตัวเพื่อนร่างใหญ่โตที่มีอายุมากที่สุดของเธอได้อย่างชัดเจน “เป็นยังไงบ้าง สาวน้อย สนุกไหม ที่นี่มีเด็กดี เด็กดี เธอเป็นเด็กดีไม่ใช่รึไง” โฮกครางแล้วก็ครางอีก เมแกนมองเห็นแสงที่เคยเป็นเพื่อนของเธอได้ แต่มันเป็นเหมือนแสงที่ออกมาจากไฟสำหรับติดในห้องนอนตอนกลางคืนมากกว่าแสงจากโคมไฟ เมแกนดีใจมากที่โฮกมา แต่โฮกไม่สามารถปกป้องเธอจากแมงมุมและแมลงอื่นๆ ได้

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่5

    5 เพื่อนบ้าน เด็ก ๆ ในถนนเดียวกันเข้ากันได้ดีกับเมแกนและเมแกนก็เข้ากับพวกเขาได้ดีเช่นกัน เธอเล่นตั้งเตและวิ่งไล่จับกับเด็กผู้หญิงสองสามคน เธอชอบนอนค้างที่บ้านเพื่อนและแม้กระทั่งให้คนอื่นมานอนค้างที่บ้านในบางครั้งเวลาที่แม่อารมณ์ดี เธอชอบใช้คอมพิวเตอร์และชอบเล่นเฟซบุ๊กเป็นพิเศษ ในความคิดของคนส่วนใหญ่ เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงวัยสิบสองปีธรรมดา ๆ อันที่จริง คนส่วนใหญ่คิดว่าเธอขี้หงุดหงิดน้อยกว่าเด็กส่วนใหญ่ในวัยเดียวกัน เด็กส่วนใหญ่จำไม่ได้ว่าเธอเคยถามว่าพวกเขามองเห็นแสงรอบตัวผู้คนหรือได้ยินเสียงพูดต่าง ๆ บ้างหรือไม่ เพราะเธอเฉลียวฉลาดในการกลบเกลื่อนด้วยการพูดว่า “เธอเห็นแสงรอบ ๆ หัวของคนอื่นไหมจิล อย่างเวลาที่เธอมองฉัน เธอเห็นแสงรอบ ๆ หัวฉันไหม” “ไม่เห็นหรอก... เธอพูดเรื่องอะไรของเธอเนี่ย” “ไม่รู้สิ... อาจจะเป็นแสงแดดเข้าตาฉัน หรือไม่ก็เป็นเพราะฉันปวดหัว...” อย่างไรก็ดี บางคนก็จับได้และคลางแคลงสงสัยว่าเธอมีอิทธิพลต่อลูกหลานของพวกเขา ปกติแล้วบทสนทนาจะไม่ไปไกลกว่านั้น และเมแกนจะระวังตัวเป็นพิเศษเวลาอยู่ใกล้พ่อแม่เหล่านั้นเพื่อให้พวกเขาสงสัยน้อยลง ทว่าเธอพูดกับคุณนาย

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่4

    4 แรงบันดาลใจ เมื่อเมแกนเริ่มไปโรงเรียนและพ้นจากการดูแลที่น่าคลางแคลงใจของยาย เธอก็รวมตัวกับเด็กคนอื่น ๆ ประมาณสิบกว่าคนที่สถานรับเลี้ยงเด็กที่เธอรัก เธอชื่นชอบมิสซิสวิลเลียมส์ซึ่งเป็นครูประชั้นของเธอเป็นพิเศษ มิสซิสวิลเลียมส์ช่างแสนดี เธอเป็นเหมือนอากาศสดชื่นรองมาจากยายของเธอ มิสซิสวิลเลียมส์นั้นอาวุโสพอที่จะเป็นย่าหรือยายได้แล้ว เมแกนคิดและเธอก็ท้วมอวบและร่าเริง เธอชอบร้องเพลงขณะทำสิ่งที่เธอหลงใหล ซึ่งก็คือการดูแลเด็กเล็ก ๆ ทุกสิ่งเรียบร้อยดีสำหรับมิสซิสวิลเลียมส์ตราบใดที่ไม่มีความรุนแรง ปัญหาคือบางครั้งก็มีความรุนแรงเกิดขึ้น มันผ่านมาไม่นานมากนัก ครึ่งหนึ่งของชีวิตเธอซึ่งก็แค่หกปีเท่านั้น ตอนนั้นเธอมองเห็นสีของผู้คนได้ไม่ชัดเจน แต่บางครั้งเธอก็มองเห็นแสงสีแดงและเทาวาบขึ้นและไม่กี่วินาทีต่อมาก็จะมีคนโดนเด็กที่โกรธตบตี ในปีแรกนั้นเอง เธอได้เรียนรู้ที่จะอยู่ห่างจาก เด็ก ๆ ที่มีแนวโน้มที่จะมีอารมณ์รุนแรงแปรปรวน แสงของมิสซิสวิลเลียมส์เป็นสีเหลืองทองและอบอุ่นเสมอ เมแกนคิดว่าเธอชอบเข้าไปใกล้ชิดมิสซิสวิลเลียมส์เพื่อผสานรวมสีกับเธอ มิสซิสวิลเลียมส์และพ่อของเธอคือคน

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่3

    3 ผู้ช่วยตัวน้อยของแม่ เมื่อเมแกนอายุห้าขวบ เธอเริ่มไปโรงเรียนอนุบาลและได้พบเจอยายของเธอน้อยลงมาก หลายคนพูดว่านั่นส่งผลดีต่อเมแกน แต่ยายของเธอไม่มีความสุขนัก เธอเสียสติและเสียชีวิตหกเดือนต่อมา บรรดาแพทย์ไม่รู้สาเหตุที่คุณนายไวท์เสียชีวิต แต่เชื่อกันว้าเธอเสียชีวิตเพราะความอ้างว้าง แน่นอน เมแกนรู้แค่ว่ายายของเธอ ‘จากไป’ แต่เหตุการณ์นั้นไม่ได้มีความสำคัญมากมายสำหรับเธอ ไม่ใช่เพราะเธอ ‘ยังเด็ก’ หรือไม่แคร์ ก็แค่มันไม่ได้อยู่ในขอบเขตในการรับรู้โลกของเมแกนเท่านั้น...โลกที่เธออาศัยอยู่ มันไม่ยุติธรรมที่จะบอกว่าโลกของเมแกนไม่ใช่โลกที่คนส่วนใหญ่รู้จัก ตลอดหกปีหรือราว ๆ นั้นเท่าที่เธอจำได้ เธอไม่เคยเชื่อว่าผู้คนเสียชีวิต เธอรู้ว่าร่างกายน่ะตาย...แหงอยู่แล้ว! แมวและนกของเธอตายและครอบครัวของเธอก็ฝังพวกมันไว้ในกล่องในสวน แม้กระทั่งตอนนั้น เธอก็รู้ว่าพ่อแม่ของเธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตและความตาย เพราะสำหรับเมแกนแล้วมันไม่มีความแตกต่างที่แท้จริง เอาล่ะ จริงอยู่ที่เธอไม่ได้เห็นสัตว์เลี้ยงทุกตัว อีกหลังจากที่พวกมันตาย เธอไม่ได้เห็นเจ้ากระต่ายลอปปี้ลักส์ หรือเจ้าโกลดี้ นก

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่2

    2 การตื่นรู้ ทุกอย่างเริ่มต้นตอนที่เธอยังอยู่ในวัยเตาะแตะ เธอถูกทิ้งให้อยู่กับยายในตอนกลางวันเพราะทั้งพ่อและแม่ของเธอทำงาน ตาและยายของเธอมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม คือสามีออกไปทำงานส่วนภรรยาอยู่บ้านและทำทุกอย่างที่สรรหามาทำได้ในบ้านที่ลูก ๆ แต่งงานและออกจากบ้านไปแล้ว คุณนายไวท์ไม่เคยมีเพื่อนของตัวเอง ทุกคนที่เธอรู้จักเป็นเพื่อนของสามี หรือไม่ก็ภรรยาของเพื่อนสามี ดังนั้นเมื่อเขาเสียชีวิต คุณนายไวท์จึงไม่มีเพื่อนเลยสักคน มีอยู่หลายครั้งที่คุณนายไวท์คิดว่าเธอรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้าเพราะความเบื่อและความอ้างว้างเดียวดาย การได้ดูแลเมแกนในช่วงกลางวันและในช่วงกลางคืนบ้างเป็นบางครั้งจึงเปรียบเสมือนของขวัญจากพระเจ้า คุณนายไวท์อยากจะบอกใครต่อใครว่ามันทำให้เธอไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แต่หลายปีต่อมาเมแกนมักจะสงสัยว่ายายของเธอมาช้าไปหรือเปล่าที่จะหยุดยั้งไม่ให้กระบวนการเริ่มขึ้น สิ่งแรกที่บ่งชี้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นตอนที่เมแกนเป็นเด็กทารก เมแกนเริ่มหยิบของเล่นและสิ่งต่าง ๆ ด้วยมือซ้ายซึ่งเป็นลางร้ายสำหรับคุณนายไวท์ ตอนแรกคุณนายไวท์เพียงแค่ย้ายของมาใส่มือขวาของเมแกนแล้วพูดว่

  • เมแกนกับสัมผัสพิศวง   บทที่1

    1 ทางเลือกของฮ็อบสัน เมแกนถูกขังอยู่ในห้องเก็บถ่านหินใต้ดินอีกครั้งพร้อมทั้งน้ำตาที่ปริ่มจวนเจียนจะไหล เธออายุแค่สิบสองปีและเธอไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงทำสิ่งที่เลวร้ายเช่นนี้กับเธอ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้วหกครั้ง แต่เธอคิดว่ามันเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นเลย พ่อของเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย เธอไม่เคยบอกเขา และเธอแน่ใจว่าแม่ก็ไม่เคยพูดอะไรเช่นกัน เธอกับแม่มีข้อตกลงที่รู้กันอยู่ในใจว่าต่างคนต่างจะไม่ทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง แต่เธอกลับมาที่นี่อีกครั้ง นั่งอยู่ในห้องใต้ดินท่ามกลางความสกปรกและฝุ่นผงกับสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวที่ไม่มีใครรู้ว่าคืออะไรที่กำลังจ้องมองเธออยู่ เธอไม่รู้ตัวหรอก ในนั้นมืดสนิทและเธอต้องใช้ความเข้มแข็งทั้งหมดที่มีเพื่อกลั้นน้ำตาและไม่ขอร้องให้แม่ปล่อยเธอออกไป แต่เธอเคยลองทำเช่นนั้นในโอกาสอื่น ๆ และแม่ของเธอก็เรียกร้องให้เธอทำสิ่งที่ไม่มีเหตุผลเพื่อเป็นเงื่อนไขในการปล่อยตัวเธอ เงื่อนไขที่เธอรู้ว่าไม่สามารถทำได้แม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถ บางครั้งดูเหมือนว่าเธอเป็นคนเดียวที่จริงจังกับข้อตกลง แม้เธอจะไม่อยากร้องไห้ แต่น้ำตาก็เริ่มไหลอาบแ

DMCA.com Protection Status