"น้องนาวหิวไหม ถ้าหิวเดี๋ยวพี่ออกไปหาซื้ออะไรมาให้รองท้องก่อน"
"ไม่เป็นไรค่ะพี่กันต์ เดี๋ยวก็ใกล้เวลาแล้ว" ลัลนาไม่ปฏิเสธว่าไม่หิวเมื่อกันตนาผู้จัดการส่วนตัวของเธอถามขึ้น เพราะจริงๆ เธอก็เริ่มหิวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เนื่องจากดูเวลาแล้วเห็นอีกสิบนาทีจะถึงพิธีบวงสรวงเพื่อเปิดละครเรื่องใหม่แล้ว เธอจึงยังไม่อยากจะกินอะไร เพราะอาจจะทำให้ปากเลอะ ชุดเลอะ กลายเป็นต้องมาดูแลหน้าผมกันใหม่อีก
"เวลาอะใกล้ถึงแล้ว แต่คนสำคัญนี่สิ ไม่รู้จะถึงกี่โมง" เมื่อผู้จัดการสาวเอ่ยมาแบบนั้น ก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าหมายถึงใคร
"ยังไม่มาเหรอคะ" มะนาวเพยิดหน้าไปห้องข้างๆ กัน ซึ่งถูกแยกไว้เป็นห้องรับรองสำหรับมนิสรา ความจริงก็มีบ้างที่บางกองถ่าย แยกห้องสำหรับนักแสดงไว้ แต่โดยปกติถ้าเป็นนักแสดงนำที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง จะถูกจับให้รวมกัน
แต่ในกรณีของเธอกับมนิสราก็คงเป็นข้อยกเว้นในเรื่องนี้
"เห็นพี่ท็อปบ่นอยู่ เพราะมีงานต่อ" พี่ท็อปช่างแต่งหน้าประจำกองที่เพิ่งออกจากห้องเธอไปเมื่อชั่วโมงก่อน เห็นบอกว่าจะไปแต่งหน้าให้มินนี่ต่อ ไม่คิดว่าจนถึงป่านนี้เจ้าตัวยังไม่มาให้แต่ง
"แล้วนี่จะเลทเยอะไหมคะ ช่วงบ่ายนาวมีธุระด้วยสิ" มะนาวยกข้อมือดูเวลา โดยปกติงานบวงสรวงจะไม่ค่อยเลทเวลาเนื่องจากทุกอย่างต้องเป็นไปตามฤกษ์ แต่เธอก็ลืมคิดไปว่าผู้ร่วมงานของเธอในวันนี้ มักจะมีข่าวเรื่องการเข้ากองสายผ่านมาเข้าหูเธออยู่บ่อยครั้ง
แต่ใครจะไปคิด...ว่าจะสายตั้งแต่วันบวงสรวงขนาดนี้
เอาฤกษ์เอาชัยของแท้เลย!
"มาแล้ว" กันตนาเงยหน้าจากหน้าจอสมาร์ทโฟน หันหน้าจอให้เธออ่านแชทที่มีกลุ่มบรรดาช่างแต่งหน้า ช่างทำผมในกองรวมกันอยู่ เท่าที่อ่านส่วนใหญ่ดูเป็นข้อความแดกดันซะมากกว่า อย่างเช่นพี่ท็อปที่เป็นคนส่งข่าวบอกคนแรกว่าองค์หญิงเสด็จแล้ว
"ถ้าอย่างนั้นนาวขอแซนด์วิชสักชิ้นแล้วกันค่ะพี่กันต์" ดูจากเวลาพิธีน่าจะเลทไปร่วมชั่วโมง เพราะเธอเห็นในแชทผ่านๆตา ว่านางเอกของเรื่องไม่ได้แต่งหน้าทำผมอะไรมาเลยสักนิด เรียกได้ว่าเหมือนเพิ่งตื่นนอนแล้วมาเลย
ซึ่งดูจากเวลาแล้วเธอน่าจะมีเวลาทั้งกินอาหารรองท้อง ทั้งแต่งหน้าใหม่ แบบไม่ต้องเร่งรีบอะไรมาก
"ได้งั้นรอพี่ก่อนนะ พี่จะรีบไปเอามาให้ เดี๋ยวต้องรีบแอบออกไปด้วย ถ้าพี่ป่านเห็นต้องลากพี่ไปเมาธ์ยาวแน่" กันตนาเดินไปเปิดประตูพลางบ่นกระปอดกระแปดไปด้วย เดาได้ว่าจะต้องโดนลากไปเม้าธ์เรื่องของนางเอกสาวที่เพิ่งมาถึงแน่
ลัลนาหยิบสมาร์ทโฟนมาไถหน้าจอดูเพื่อฆ่าเวลา ที่ไม่อยากออกไปข้างนอกก็เพราะเหตุผลเดียวกับผู้จัดการ เรื่องของมนิสรามักถูกหยิบยกขึ้นมาประเด็นอยู่บ่อยครั้งยามเมื่อบรรดาแม่ๆ แต่งหน้าทำผมให้เธอ ทั้งเรื่องการเข้ากองสาย เรื่องมาก อาหารการกินเรื่องเยอะไปหมด ไหนจะเด็กในกองต่างพากันขยาดไม่น้อย แต่ลัลนาก็ไม่เคยผสมโรงด้วยเลยสักครั้ง ได้แต่รับฟังเงียบๆ เพราะคำเดียวสั้นๆ
ไม่ใช่เรื่องของเธอ
แต่ดูท่าในอนาคตจะเริ่มเกี่ยวข้องกับเธอแล้วสิ
ลัลนาเปิดโปรแกรมสนทนาที่ส่งข้อความหาว่าที่เจ้าบ่าวเธอตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งจนตอนนี้ยังไร้การตอบกลับ อย่าว่าแต่ตอบกลับเลย ยังไม่มีเครื่องหมายว่าอ่านด้วยซ้ำ
NOW : ถ้าคุณมาถึงก่อนโทรติดต่อพี่กันต์นะคะ
ลัลนาส่ายหน้าเซ็งๆ เล็กน้อยย้อนดูแชทที่ผ่านมา เธอจะเป็นฝ่ายนัดหมาย อัปเดตเรื่องต่างๆ ให้เขารับรู้ตลอด เพื่อทำให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด ถ้าไม่ใช่สติ๊กเกอร์ที่มีตัวการ์ตูนผู้ชายที่ยกมือทำสัญลักษณ์ว่าโอเค ก็จะมีแค่ประโยคสั้นๆ ตอบกลับว่า 'ครับ'
ถ้าแชทเธอกับเขาหลุดออกไปเผลอๆ ข่าวน่าจะดังกว่าเรื่องที่เธอเป็นเมียน้อยซะอีก มีอย่างที่ไหนคู่รักที่กำลังจะแต่งงานกัน คุยกันรวมๆ แล้วยังไม่ถึงสิบประโยค!
ลัลนาไถโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อยฆ่าเวลา จนเมื่อกันตนานำแซนด์วิชมาให้เธอกินรองท้อง ดาราสาวจึงหยิบไอแพดขึ้นมาอ่านบทละครไปพลางๆ ระหว่างรอ จนเมื่อเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงเสียงเคาะประตูหน้าห้องจึงดังขึ้น เธอจึงรู้ได้ทันทีว่าน่าจะถึงคิวตัวเองแล้ว
มะนาวเก็บของลงในกระเป๋าคว้าเพียงสมาร์ทโฟนเดินไปยังประตูหน้าห้องอย่างเร่งรีบเพราะไม่อยากให้คนอื่นรอ แต่เมื่อก้าวพ้นประตูไป กลับเห็นนางเอกสาวยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่
"ถึงขั้นต้องให้เด็กมาเคาะประตูอัญเชิญเลยรึไง" ลัลนาลอบถอนหายใจเซ็งๆ ปรายตามองคนที่ยืนกอดอกอยู่เล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าหนีไม่สนใจ
ไร้สาระ
"นี่! หูหนวกรึไง" มนิสราเมื่อเห็นท่าทางหยิ่งยโส เห็นเธอเป็นอากาศก็ตะโกนเสียงแหลมใส่ทันที จนสตาฟสองสามคนที่ยืนอยู่แถวนั้นสะดุ้งกันเป็นแถบ
"ถ้าฉันหูหนวกเธอก็คงตาบอด"
"แกพูดบ้าอะไร" มนิสราจิกตามองคู่สนทนาตาขวาง ที่ตัวเองโดนว่ากระทบ
"ก็พูดว่าเธอตาบอดไง เธอมาถึงยังไม่เห็นอีกเหรอว่าคนทั้งกองเกือบร้อยชีวิตทั้งนักแสดง ทั้งสตาฟเขาต้องมารอเธอคนเดียว ถ้าเธอไม่ได้ตาบอดเธอก็คงจะต้องเห็น แล้วรีบไปทำงานซะ ไม่ใช่มายืนด่าคนอื่น แล้วยังปล่อยให้คนอื่นรออีก แค่เขารอเธอสองชั่วโมงก็เสียเวลาทำมาหากินขนาดไหนแล้ว" สตาฟที่เห็นเหตุการณ์ลอบอมยิ้มทันที เมื่อมีคนที่สามารถต่อกรกับนางเอกสาวได้ ที่ผ่านมามีแต่คนเอาใจไม่กล้าพูด ไม่กล้าต่อกร
"นาว!" มนิสราตะโกนเรียกชื่อคู่กรณีด้วยความโกรธ ใบหน้าสวยบูดบึ้งจนไม่เห็นเค้าความเป็นนางเอก
"ถ้าอยากทะเลาะรอวันอื่น วันนี้ฉันรีบ และคนอื่นในกองก็รีบเหมือนกัน" ลัลนาไม่สนใจอาการฟึดฟัดของนางเอกสาว พูดต่อน้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนจะเดินนำออกไปยังลานพิธีด้านนอก ส่ายหน้าเอือมระอากับพฤติกรรมคนที่เข้าวงการมาพร้อมกัน มนิสราจะรู้ไหมนะว่าไปกองไหนก็มีแต่คนบ่นถึงพฤติกรรมแย่ๆ ของตนเอง
"นาวพี่ต้องไปงานต่อคงจะไปส่งเราไม่ทันแล้ว" กันตนาเดินหน้าเครียดมาหาดาราสาวที่เพิ่งออกจากห้องแต่งตัว หลังจากที่ผ่านพิธีการต่างๆ และออกจากวงสัมภาษณ์ของนักข่าว "พอดีวันใหม่มีอีเว้นท์" "ไม่เป็นไรไปเลยค่ะพี่กันต์ เดี๋ยว..คุณพีร์จะมารับ" รึเปล่าไม่รู้... ลัลนาตอบรับง่ายๆ ให้ผู้จัดการสาวสบายใจ ด้วยเข้าใจในอาชีพและหน้าที่ของกันตนาดีว่าไม่ได้มีแค่เธอที่เป็นนักแสดงในสังกัด ยังคงต้องดูแลนักแสดงอีกหลายคน"ว่าที่เจ้าบ่าวจะมารับก็ไม่บอกกัน พี่นี่ก็กังวลอยู่" กัตนายิ้มแซวอย่างโล่งใจ ที่อย่างน้อยก็ไม่ได้ทิ้งให้ผู้ที่เปรียบเสมือนน้องสาวต้องกลับบ้านเอง"พี่กันต์ไปเถอะค่ะ แถวนั้นรถน่าจะติด" คนตัวเล็กยกเหตุผลรถติดมาเอ่ยเตือน ตั้งใจให้ผู้จัดการส่วนตัวรีบไปจะได้ไม่มีเวลามาเอ่ยแซวกันไปมากกว่านี้"โอ๊ย! ใช่ๆ ลืมไปเลยงั้นพี่ไปก่อนนะนาว เดี๋ยวโทรหา" มะนาวตอบรับเล็กน้อยก่อนจะเก็บกระเป๋าของตนเอง กวาดสายตามองรอบๆ ว่าไม่ได้ลืมอะไร และทิ้งขยะในส่วนของตนเองเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะหยิบสมาร์ทโฟนมาเปิดโปรแกรมสนทนาดูอีกครั้งไม่รู้จะต้องเรียกรถกลับเองด้วยรึเปล่าแต่เมื่อเห็นว่าในบทสนทนามีการตอบรับแล้วก็ยิ้มอย่างโล่งใจเล็กน
บรรยากาศอึดอัดถูกปกคลุมภายในรถหลังจากที่เธอคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นแล้ว ความจริงมันคงจะต้องเกิดขึ้นตั้งแต่เธอแยกตัวจากมินนี่และลากเขาขึ้นรถ แต่พอดีมีสายเรียกเข้าจากโรงพยาบาล น่าจะสอบถามเกี่ยวกับคนไข้อะไรสักอย่างที่เธอฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเนื่องจากเป็นศัพท์ทางการแพทย์เขาเปิดบลูทูธคุยสายตลอดทางจนมาถึงร้านที่ตัดชุด เธอจึงได้ฟังสิ่งที่เขาคุยด้วย ยอมรับว่าตอนที่เขาคุยเรื่องงานด้วยท่าทางจริงจัง ยิ่งทำให้เขาดูดีขึ้นไปอีก จากที่ปกติก็ดูดีอยู่แล้ว เมื่อทั้งเธอและเขาลองชุดเรียบร้อยจึงพากันกลับมาขึ้นรถเพื่อเดินทางไปร้านอาหารที่นัดทางครอบครัวเขาไว้ ทีแรกคิดว่ารพีภัทรจะลืมๆ เรื่องที่เธอทำในลานจอดรถไปแล้ว ใครจะคิดว่าจะมารวบยอดกันตอนนี้"มีอะไรคะ?" ลัลนาถามสีหน้าพาซื่อ ก่อนจะเสหลบสายตาคนที่นั่งจ้องกันเงียบๆ"ทำไมไปพูดจาแบบนั้น" รพีภัทรทีแรกว่าจะไม่ดุแต่ก็คงต้องปรามๆ ไว้หน่อยเท่าที่ดูทั้งสองไม่ถูกกันอยู่พอสมควร เขากลัวว่าจะไปแสดงอาการและท่าทีแบบนี้แล้วมีคนบังเอิญมาเห็น"ที่พูดนี่เป็นห่วงใครคะคงไม่ใช่ฉันสินะ" ลัลนาถามย้อนกลับแทนการตอบคำถาม"หมายความว่าไง?""คุณไม่พอใจที่ฉันพูดแบบนี้กับมินนี่""ไม่พอใจน่ะใ
ภัตรคารหรูที่ตกแต่งเป็นสไตล์จีนตามประเภทอาหารขึ้นชื่อของร้าน ภายในห้องรับรองขนาดกลางครึกครื้นไปด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของสาวๆ ต่างวัยที่นั่งชิดติดกันพูดคุยกะหนุงกะหนิงไม่สนใจใคร ขนาดที่ว่าฝั่งผู้ชายคุยกันเรื่องธุรกิจจนจบแล้วก็ยังไม่มีวี่แววที่บรรดาแม่ๆ เมียๆ จะเลิกจับกลุ่มคุยกันรพีภัทรอมยิ้มกับบรรยากาศตรงหน้าเล็กน้อย ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าลัลนาสามารถฝ่าด่านความเยอะของคุณแม่ และความวุ่นวายของน้องสาวตนเอง เข้าไปนั่งรวมกลุ่มอยู่ตรงนั้นได้"แม่แกยิ้มหน้าบานใหญ่ มีเพื่อนคุยเพื่อนช็อป ทั้งลูกสาวทั้งลูกสะใภ้สองคน" พีรพลยกยิ้มมุมปาก สายตาทอดมองภรรยาด้วยความรัก ถึงแม้จะผ่านมาหลายสิบปี จนลูกชายคนโตมีครอบครัว คนกลางกำลังจะแต่งงาน ส่วนลูกสาวคนเล็กโตจนเรียนจบไปแล้ว ความรักที่เขามีต่อภรรยาไม่เคยลดน้อยลงสักนิด"ถูกใจสายสปอยเมียอย่างป๊าด้วยละสิ" รพีภัทรไม่วายแซวพ่อ แถมยังส่งสายตาไปหาพี่ชายที่น่าจะได้เชื้อนี้มาไม่ต่างกัน"มองอะไรไอ้พีร์ เรื่องสปอยมันอยู่ในสายเลือดเว้ย" พัชระเบนสายตาจากวราลีผู้เป็นคนรักมาคุยกับน้องชาย"เป็นแค่เฮียกับป๊านี่แหละ" "เดี๋ยวมึงก็เป็น" พัชระยักคิ้วตอบน้องชายอย่างมั่นอกมั่นใ
"คิดอะไรอยู่""คะ?" ลัลนาหันมองคนข้างๆ ที่บังคับพวงมาลัยอยู่ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาถาม"คุณน่ะ อยู่ๆ ก็เงียบไป" ใช่ว่าเขาจะไม่ได้สังเกตว่าที่ภรรยา ที่อยู่ๆ ก็ดูซึมๆ ไปทั้งๆ ที่ทีแรกก็ดูหัวเราะร่าเริงอยู่แท้ๆ"อ้อ..ไม่มีอะไรค่ะ" เมื่อเห็นเธอตอบแบบนั้นเขาจึงเลือกที่จะเงียบ บางคนก็ย่อมมีพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่อยากให้ใครเข้าไป "แล้วนี่เราจะไปไหนคะ"ลัลนากวาดสายตามองเส้นทางที่ไม่คุ้น ไม่เหมือนทางกลับคอนโดตัวเอง หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จทุกคนต่างแยกย้าย เธอนึกว่าเขาจะพากลับบ้านเลย แต่ดูจากเส้นทางแล้วไม่ใช่"เพนท์เฮ้าส์" เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าตึกสูงใจกลางเมือง ลัลนาแหงนหน้ามองตึกสูงชื่อดังที่คุ้นตา เธอรู้จักคอนโดนี้ดี เป็นคอนโดที่ติดหนึ่งในสามของประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย ความลัคชูรี่ และที่สำคัญคือความแพง!"เดี๋ยวฉันกลับรถไฟฟ้าได้ค่ะ" เธอชี้ไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ไม่ใกล้คอนโด คิดว่าเขาคงมีธุระด่วน"ไปด้วยกัน" เขาตอบกลับเสียงนิ่ง เปิดประตูลงจากรถ เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงเดินลงตามเขาไป"นั่งสองป้ายก็ถึงแล้วค่ะ" ถึงเธอจะเป็นดาราแต่ด้วยสถานการณ์การจราจรของกรุงเทพฯ บ่อยครั้งที่เธอ
ลัลนาหน้าเหวอทันทีเมื่อเขาพูดจบ ค่าเลี้ยงดูอะไรอีก!"นี่คุณพีร์! ฉันไม่ใช่เด็กเสี่ยนะ" มะนาวตวาดลั่นทันที ทั้งซื้อเพนท์เฮ้าส์ ทั้งให้เงินเป็นรายเดือน นี่มันข้อเสนอเลี้ยงดูเด็กชัดๆ!"ผมแก่ขนาดดูเป็นเสี่ยเลยเหรอ""หมอพีร์!""โอเคๆ คือกฎของครอบครัวผมน่ะ จะต้องให้เงินเดือนภรรยาด้วย""แต่ฉันก็ทำงาน ทำไมต้องมาให้" ดาราสาวยังไม่เข้าใจอยู่ดี แค่แต่งงานทำไมจะต้องมาเลี้ยงดูอะไรขนาดนั้น"ไม่เกี่ยวกัน ผมก็ไม่ได้ห้ามคุณทำงาน แต่อันนี้เงินเดือนต่างหาก" "มันมากเกินไปคุณพีร์" เธอตอบกลับเสียงอ่อนลงมาบ้าง เมื่อดูท่าแล้วเรื่องราวดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆ"ไม่มากหรอก คุณเข้ามาอยู่ในครอบครัวผมก็มีสิทธิ์ได้รับปันผล รับเงินเดือนเหมือนทุกคน""แต่ฉันยังไม่ทำอะไรเลย""ทำสิ คุณเป็นภรรยาผมไง" เมื่อเขาพูดจบบรรยากาศถูกปกคลุมด้วยความเงียบทันที ลัลนายกมือทาบอกเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงอวัยวะภายในที่ดูจะเต้นแรงกว่าปกติคงแค่ตกใจ"คุณก็รู้ว่าฉันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น""เอาหน่า ถึงผมไม่ให้ ป๊ากับแม่ก็ต้องบังคับให้อยู่ดี คุณอย่าปฏิเสธเลย แค่เดือนละสองแสนเอง" ลัลนาเลิกที่จะตกใจไปแล้ว เพราะวันนี้ทั้งวันเธอผ่านการตกใจจนหัวใจ
ถึงแม้งานแต่งงานที่จัดขึ้นในวันนี้จะเป็นที่เคลือบแคลงใจของใครหลายๆ คน ทั้งเธอที่เพิ่งจะมีข่าวคาวใหญ่โตในวงการ ส่วนเขาที่ไม่เคยมีข่าวอะไรกับเธอมาก่อน แต่อยู่ๆ กลับมีงานแต่งงานใหญ่โต แทบจะจัดได้ว่าเป็นงานแห่งปีเลยก็ได้ ก็งานเลี้ยงในช่วงเย็นคุณหญิงรจณีเล่นชวนแขกแทบจะทุกวงการของธุรกิจมาร่วมงาน ถึงแม้จะเป็นการแต่งงานที่เรียกว่าสายฟ้าแลบ แต่ทุกคนที่ได้รับเชิญก็พร้อมใจกันมาร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง และทั้งหมดนี้มันกลับถูกจัดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบแทบไม่มีที่ติเธอคิดไว้อยู่แล้วว่าแขกจะต้องเยอะมากๆ ฟังจากที่พี่น้ำตาลภรรยาสาวของพัชระเล่า เพราะรู้ดีว่าครอบครัวเขาค่อนข้างมีอิทธิพลในวงการโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ แต่ไม่คิดว่าภายในเวลาเดือนเดียวแขกจะมาเยอะได้ขนาดนี้แต่การที่มีแขกมามากมายก็ดีอย่าง เพราะงานระดับนี้ก็เหมือนเป็นการนัดสังสรรค์คุยธุรกิจกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวนอกจากการแสดงความยินดีเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็แทบจะไม่มีคนสนใจสักเท่าไหร่"คุณพีร์คะ คุณแม่ให้มาตาม ถึงฤกษ์เข้าหอแล้ว" เธอเดินเข้าไปหากลุ่มเจ้าบ่าว เอ่ยบอกถึงกำหนดการที่คุณแม่แจ้งมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เพราะเหนื่อยมากกับการยืนป
"คุณ...จะอาบน้ำก่อนไหม" มะนาวมองผ่านกระจกไปยังร่างสูงที่ยังอยู่ในชุดเจ้าบ่าว ใบหน้าแดงดูกรึ่มเล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มไปพอสมควร"คุณอาบเลย" ลัลนาละมือจากการถอดเครื่องประดับบนศีรษะ หันกลับมามองเขาเต็มตา เห็นคนตัวสูงเดินไปคว้าเสื้อสูทที่ถอดวางไว้บนพนักพิงโซฟา สาวเท้าเดินออกไปทางประตูหน้าห้อง"เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณจะไปไหน""ก็เสร็จพิธีแล้วนี่" "แล้วคุณจะไปเลยเหรอคะไม่นอนนี่เหรอ เอ่อ...ฉันหมายถึงเพิ่งเสร็จพิธีส่งตัว แล้ววันนี้เป็นวันแรก แม่คุณเขาจะว่ารึเปล่า" ลัลนาละล้าละลังรีบอธิบาย กลัวเขาเข้าใจผิดในประโยคแรกคิดว่าเธอชวนนอนที่ห้อง"แม่กลับแล้ว..เพื่อนผมแชทมาบอก" เขาอธิบายสั้นๆ ไม่ติดใจประโยคกำกวมที่เธอเอ่ยขึ้นทีแรก"คุณนอนได้ใช่ไหม" ลัลลนาพยักหน้าตอบรับอย่างช่วยไม่ได้ จะให้บอกว่านอนไม่ได้รึยังไง! มีอย่างที่ไหนแต่งงานวันแรกทิ้งเธอไว้ที่เรือนหอคนเดียวคนตัวเล็กมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินลับไป สักพักได้ยินเสียงปิดประตูและสตาร์ทรถเป็นสัญญาณว่าเขาออกไปแล้ว ลัลนาทิ้งตัวลงที่นอนกว้างลืมตามองเพดาน ความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ที่ต้องอยู่รับแขกทำให้เปลือกตาเริ่มปิดลง ยกมือก่ายหน้าผาก
ลัลนาสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงกุกกักอยู่ด้านนอกประตู ยกข้อมือดูนาฬิกาเมื่อเห็นเวลาก็ตกใจเล็กน้อย ทีแรกตั้งใจว่าจะนั่งพักในห้องนั่งเล่นสักสิบนาทีแล้วค่อยขึ้นห้องไปนอน เนื่องจากวันนี้เธอมีถ่ายละครตั้งแต่เช้า บวกกับรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวตั้งแต่เมื่อวาน พอวันนี้กลับมาถึงห้องก็ล้มตัวลงนอนโดยไม่คิดอะไร ไม่คิดว่าจะเพลินจนเวลาล่วงเลยมาเกือบเข้าวันใหม่ลัลนาสูดหายใจรวบรวมแรงลุกขึ้นจากโซฟากว้าง เปิดประตูห้องนั่งเล่นออกไปตั้งใจดูที่มาของเสียง เมื่อเห็นคนรูปร่างคุ้นตายืนหันหลังอยู่เค้าน์เตอร์ในครัวก็เลิกคิ้วแปลกใจ"คุณพีร์?"มาได้ไง "ขอโทษทีผมนึกว่าคุณอยู่ข้างบน" รพีภัทรเอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิด เมื่อเห็นดาราสาวเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นด้านล่างใกล้ห้องครัว "ไม่เป็นไรค่ะ...พอดีฉันเผลอหลับไป" ลัลนาตอบกลับเสียงเบา เสหลบตาอย่างเกร็งๆ เล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกในรอบสองอาทิตย์ได้ หลังจากที่แต่งงานกัน ที่เธอและเขาได้มาเจอกันตรงตามที่เขาพูดก่อนแต่งงานไม่มีผิด ทั้งเธอและเขาต่างใช้ชีวิตกันเหมือนเดิม เหมือนก่อนที่จะแต่งงานกัน มีเพียงนิ้วมือด้านซ้ายของเธอและเขา ที่ยังมีแหวนประดับอยู่ เหมือนเป็นเครื่องเตือนใ
ลัลนาที่กำลังอ่านบทอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคุณหมอหนุ่มที่ก่อนหน้าเธอเห็นเขาวุ่นวายอยู่ในครัว ย้ายตัวมาโอบกอดเธอด้านหลัง ก่อนที่เจ้าตัวจะแทรกกายลงมานั่งซ้อนหลังเธอ ใบหน้าคลอเคลียอยู่ตรงซอกคอเธอ"อะไรคะคุณพีร์""ข้าวเสร็จแล้ว""นาวขออีกแป๊บได้ไหมคะ เหลืออีกตอนเดียว" ลัลนาก้มหน้าอ่านบทต่อในมือถือปากกาขีดเขียนลงในหน้าจอไอแพดเมื่อวิเคราะห์อารมณ์ตัวละครในบทนั้น"หืม...แล้วทำไมต้องไปง้อมัน""คะ?" ลัลนาที่กำลังใช้สมาธิอยู่เอียงคอมองคนตัวสูงที่กำลังเพ่งมองหน้าจอไอแพดเธออยู่"ไอ้นี่อะ" เขาชี้ไปยังที่เธอวงกลมไว้ "ทำไมต้องไปง้อมัน" ก่อนจะถามย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง"ก็...คนนี้ฤดีรักพระเอกนี่คะ พอรู้ว่าพระเอกจะไปรักคนอื่นก็เลยง้อ" เธอกล่าวถึงบทฤดี นางร้ายละครเรื่องต่อไปที่เธอต้องรับบทเล่น"ก็ปล่อยมันไปสิ! ทำไมต้องไปรักมัน" ลัลนาปรายตามองคนตัวสูงที่ขมวดคิ้วจริงจัง"คุณพีร์ นาวจะอ่านบท อย่ากวนค่ะ" เธอดุคนรักเสียงเข้ม รพีภัทรจึงก้มใบหน้าหอมแก้มเธอ ไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่ลุกออกไปไหน เธอจึงอ่านตอนที่เหลือต่อ ลัลนาขีดเส้นใต้ เขียนอารมณ์ความรู้สึกของบทตัวเองไปเรื่อย ก่อนจะสะดุ้งตกใจอีกหน เมื่อคนที่นั่งซ้อนหลังโว
"เราจะกินข้าวก่อนหรือเดินซื้อของก่อนดีคะ" ลัลนาเอ่ยถามคนรักหลังจากที่เดินเข้ามาในห้าง วันนี้พวกเธอมีแพลนซื้อของขวัญให้คุณแม่ซึ่งอาทิตย์นี้จะจัดงานเลี้ยงวันเกิด "ผมว่าซื้อก่อนก็ได้" คนตัวสูงจับมือคนตัวเล็ก เดินไปยังโซนช็อปแบรนด์เนม"อ้าว ไหนว่าคุณแม่ไม่เอาของแบรนด์ไงคะ" ลัลนาท้วงอย่างประหลาดใจ จำได้ว่าเขาบอกว่าหลายปีมานี้ คุณแม่สั่งห้ามเด็ดขาด ว่างดรับของแบรนด์เนมทุกชนิด เธอคิดว่าคุณแม่สามีคงจะมีเยอะ ซื้อเองจนครบหมดแล้ว เลยไม่อยากให้ใครมาซื้อให้อีก"ก็...ลองเดินดูก่อน" เขาตอบเธอเสียงเบา ลัลนามองท่าทางเลิ่กลั่กแปลกๆ ของสามีหนุ่ม ถึงอย่างนั้นก็ไม่ท้วงอะไร เดินตามแรงจูงไป เมื่อเดินเข้าไปในช็อปดัง BA คนเดิมที่เคยมารับรองเธอกับคุณหญิงรจณีก็เดินออกมาต้อนรับ คล้ายเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว ลัลนาเดินตามแรงจูงอย่างงงๆ เมื่อเขาลากเธอไปยังห้องด้านใน"อะไรกันคะคุณพีร์?""พอดีผมอยากให้นาวช่วยเลือกกระเป๋าให้ก่อน" ลัลนามองพนักงานคนเดิมที่ถือกระเป๋ามา ก่อนจะหันมองเขาอย่างมึนงง"เลือกกระเป๋าเหรอคะ""ใช่ช่วยเลือกให้หน่อย ผมเลือกไม่ค่อยเก่ง" ลัลนาคิดว่าเขาอาจจะต้องซื้อให้เพื่อน หรือคนสำคัญระดับหนึ่งถึงต้องมา
"หมอที่นี่มันยังไงวะ หยุดงานทีไร อารมณ์ดีทุกที" รพีภัทรเงยหน้ามองเพื่อนสนิทตนเองทั้งสองคนที่เดินตามกันเข้ามาสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะก้มหน้าไถหน้าจอสมาร์ทโฟนต่อไม่สนใจ"กูว่าน่าจะมีคนดีใจที่ได้เสียเงินห้าแสน" อวัศย์เอ่ยเสริมทัพอย่างอารมณ์ดีที่ชนะพนันไอ้เพื่อนตัวดีได้ ตั้งใจมาเยาะเย้ยโดยเฉพาะ"ไงมึงไอ้พีร์ หน้าบานอะไรขนาดนั้น" ธารณ์เดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อนที่นั่งอยู่ ก้มหน้าดูหน้าจอโทรศัพท์ที่เพื่อนดูค้างไว้ "โหไอ้พีร์ มึงน่าจะหนักกว่าไอ้หมอก นั่งดูรูปไปยิ้มไปเนี่ยนะ!""เห้ย! อะไรของพวกมึงเนี่ย" รพีภัทรเบี่ยงหน้าจอหนีเพื่อนสนิททั้งสองคนที่พร้อมใจกันกรูเข้ามาดูโทรศัพท์ตนเอง"ไหนๆ ดูอะไร" อวัศย์พยายามชะโงกหน้าดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น"พอๆ ไปไกลๆ ตีนกูเลยพวกมึง""หึ! ไม่ต้องปิดหรอก กูเห็นหมดแล้ว มึงนั่งดูรูปคุณนาวในไอจีอย่างกับโรคจิต" ธารณ์พูดขึ้นอย่างหมั่นไส้ เมื่อรู้ว่าที่เพื่อนตัวเองยิ้มหน้าบานอย่างกับคนบ้าเพราะนั่งหลงรูปเมียตัวเองอยู่"โรคจิตอะไร นี่เมียกู""เต็มปากเต็มคำเชียวนะมึง" ไทม์ยังไม่วายเหน็บแนมเพื่อน"อ๋ออ...กูว่าแล้ว ที่สมัครไอจีเนี่ยเพราะเมียเลย" อวัศย์พูดขึ้นบ้าง ความจริงเ
รพีภัทรนั่งมองคนตัวเล็กที่นอนขุดคู้อยู่บนเตียง ลมหายใจผ่อนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คนตัวสูงเอื้อมมือสัมผัสแก้มนิ่มของคนที่นอนนิ่งอยู่ ก่อนจะก้มใบหน้าจูบซับน้ำตาที่ซึมออกมา คาดว่าเธอน่าจะฝันร้ายอยู่ใบหน้าหวานเริ่มคลายปมที่คิ้วเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอ่อนโยนที่ได้รับ ก่อนริมฝีปากจะแย้มยิ้มนิดๆ เมื่อฝันร้ายจางหายไปร่างสูงเอนตัวพิงหัวเตียงกึ่งนั่งกึ่งนอน มือหนาเอื้อมมือลูบศีรษะคนตัวเล็ก ย้อนคิดถึงสิ่งที่เธอเล่าให้ฟัง หลังจากที่เขารู้เรื่องจากอชิระก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเธอมีปัญหาในครอบครัว แต่ไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้ ฟังจากที่เธอเล่า หลังจากนั้นเธอและแม่พากันออกมาอยู่ข้างนอก เท่ากับแม่คงจะเป็นทั้งชีวิตของเธอ แต่...ก็ยังมาโดนทิ้งไปไหนจะเรื่องวันนั้นที่ไอ้เพื่อนทั้งสองคนเล่าให้ฟัง ว่าเห็นอาการแปลกๆ ของเธอวันที่น้ำตาลจมน้ำ ตอนนั้นเขาห่วงพี่สะใภ้เพราะรู้ว่าว่ายน้ำไม่เป็น ส่วนภรรยาตนเองว่ายน้ำเก่งอยู่แล้ว ไม่คิดว่าร่างกายเธอจะไหวแต่จิตใจอ่อนแอ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดในใจ วันที่เธอต้องการใครสักคนที่สุด แต่ตัวเขากลับไม่อยู่ข้างๆ "คุณพีร์.." รพีภัทรก้มใบหน้ามองคนตัวเล็กที่งัวเงียสะดุ้งตื่น "ขอโทษ ผมทำนาวตื่นเล
"หมอพีร์คุณไม่ต้องไปทำงานเหรอ?" ลัลนาเอ่ยถามร่างสูงที่วางจานผลไม้ลงข้างเธอ ก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งลงบ้าง ระยะห่างเริ่มขยับมาใกล้ขึ้นจากวันแรกที่เขามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เขาเกาะติดเธอแจ ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นมานั่งเฝ้าตลอด แต่หากเธออยู่ที่บ้าน เขาก็จะเรียกช่างมาคุย ส่วนตัวเองปรับปรุงนู่นนี่นั่นไปเรื่อย ซ่อมก๊อกน้ำ ยันรั้วบ้าน แต่ถ้าหากเห็นเธอตั้งท่าออกจากบ้านเมื่อไหร่คนตัวสูงก็จะละทิ้งทุกอย่างในมือ มาสแตนด์บายรอหน้าบ้านอย่างหน้ามึน เธอไม่ให้ไปก็จะตามไป บอกว่าขอเดินตามห่างๆ ก็ยังดีก็เป็นซะอย่างนี้!"ผมพักร้อนไง""พักได้ขนาดนี้เลยเหรอคะ" ลัลนาหรี่ตามองคล้ายไม่เชื่อ ใช่อยู่ตามกฎหมายเขาก็มีสิทธิ์นั่นแหละ แต่เนื่องด้วยบุคลากรทางการแพทย์เป็นที่ขาดแคลนอยู่ตอนนี้ เขาไม่น่าจะมีเวลาว่าง หรือโรงพยาบาลจะยอมให้เขาลาได้ขนาดนี้ยกเว้นแต่ว่า..."ไปใช้อำนาจมืดมาอีกแล้วสิท่า" ลัลนาหรี่ตามองจับผิด ในขณะที่คนตัวสูงหน้ามึนตอบอย่างไม่สนใจ"ไม่ใช่อำนาจผมซะหน่อย อำนาจไอ้หมอกมัน"ต่างกันตรงไหน ใช่อยู่หมอหมอกเป็นถึงลูกชายเจ้าของโรงพยาบาล แต่การที่ตัวเขาได้อภิสิทธิ์ขนาดนี้ น่าจะบังคับข
ลัลนาที่เพิ่งก้าวลงบันไดมาเห็นคนตัวสูงยืนยิ้มแฉ่งรออยู่ด้านล่าง โดยมีอาหารเช้าวางอยู่บนโต๊ะอาหาร คุณหมอหนุ่มรีบวางจานในมือลงบนโต๊ะ ถอดผ้ากันเปื้อน ก่อนจะสาวเท้าเดินมาหาคนตัวเล็กที่ยืนมองอยู่"กินข้าวเลยไหมนาว""ป้าใจกับจ้อยละคะ" ลัลนาไม่สนใจที่เขาเอ่ยชวน ถามหาคนดูแลบ้านและหลานชายที่ปกติจะมาหาเธอทุกเช้า"วันนี้วันพระป้าใจเลยไปวัดเช้าหน่อย กินข้าวเช้าก่อนสิเดี๋ยวผมพาตามไปที่วัดก็ได้""ไม่เป็นไรค่ะ" ลัลนาไม่สนใจของที่ถูกตระเตรียมไว้ เขาน่าจะลงมาตั้งแต่เช้ามืด เพราะเวลานี้ยังเช้ามากอยู่เลย แต่อาหารบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว"คุณกินข้าวก่อนเถอะ ถ้าไม่กินข้าวเช้าเดี๋ยวปวดหัวนะ" ลัลนาแสร้งไม่สนใจคนที่เอ่ยเรียก ถึงแม้จะใจเต้นไม่น้อยที่เขาจำเรื่องของเธอได้ว่าต้องกินข้าวเช้า ไม่อย่างนั้นจะเวียนหัว"...""นาว" คุณหมอหนุ่มทำได้เพียงเรียกคนตัวเล็กที่เดินผ่านเลยไปอย่างไม่สนใจ ทั้งอาหารและคนทำ "จะไปไหนครับ" ลัลนาปรายตามองมือร้อนที่จับแขนรั้งเธอไว้ เมื่อเห็นแบบนั้นคนตัวสูงจึงรีบปล่อยมือ ยกมือสองข้างคล้ายยอมแพ้ "ผมแค่อยากรู้ว่าคุณไปไหน" เขาบอกเธอเสียงอ่อย"ไม่เกี่ยวกับคุณค่ะ ถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ก็อย่าล้ำเส้
"อ้าวเฮีย" รพีภัทรที่เพิ่งเดินมาถึงบ้าน เอ่ยทักพี่ชายตนเองที่เดินเข้ามาเจอกันที่หน้าบ้านของตนเอง คาดว่าคงมีอะไรจะคุยด้วย เพราะดึกขนาดนี้แล้วพัชระยังอยู่รอ "มีอะไรรึเปล่าเฮีย""ไปคุยในบ้านสิ" รพีภัทรเปิดประตูให้พี่ชายเข้าบ้าน ในขณะที่ตนเองเดินไปนั่งที่โซฟาข้างพี่ชายตนเอง"พรุ่งนี้หยุดรึไงถึงกลับบ้าน" ปกติตัวเขาหากจะกลับมานอนบ้านก็เพราะว่าแม่โทรตาม แต่วันนี้แม่ไม่ได้โทรตาม ก็ไม่แปลกใจที่พัชระจะถามขึ้นเมื่อเห็นรถเขาเข้าบ้านมา"เปล่าหรอกเฮีย ไม่อยากอยู่เพนท์เฮ้าส์" ในนั้นมีแต่ความทรงจำของเธอกับเขาเต็มไปหมด ยิ่งอยู่ยิ่งคิดถึง ทีแรกจะกลับคอนโด แต่อยู่ๆ เกิดคิดถึงบ้านขึ้นมาจึงขับอ้อมกลับมานอนบ้านดีกว่า เพิ่งเข้าใจก็วันนี้เอง เมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ บ้านคือที่พักใจที่ดีที่สุด"แม่ให้เอามาให้" รพีภัทรปรายตามองซองเอกสารที่เพิ่งเห็นเมื่อวานจากผู้เป็นแม่ เมื่อวานเขาไม่ยอมรับและออกมาเลย ไม่คิดจะเซนต์อยู่แล้วไอ้เอกสารบ้าๆนี่!"...""วางไว้นี่นะ" พัชระไม่สนใจเช่นเดิม หันหน้ามองนอกหน้าต่าง พยายามคิดว่าตอนนี้เธอจะไปอยู่ที่ไหนสงสัยจะต้องพึ่งเฮียแล้วจริงๆ"เฮีย""ว่าไง" พัชระที่รอฟังอยู่แล้วตอบรับทันที
"ไม่รับจริงเหรอ เขาน่าจะโทรเป็นร้อยสายแล้วมั้ง""ไม่ถึงหรอก..." แค่เกือบๆ เท่านั้นเองหลังจากเมื่อวันก่อนที่ลัลนาคุยกับรพีภัทรจบ เห็นสีหน้าอึ้งตกใจของคนตัวสูง ตัวเธอก็รีบออกจากบ้านมาทันที ปล่อยให้เขายืนช็อกอยู่นั่นแหละ คงไม่คิดว่าเธอจะได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน เมื่อวานช่วงเช้าเธอจึงตัดสินใจทำบางอย่าง นั่นคือจัดการเรื่องหย่า เธอเซนต์ใบหย่าทิ้งไว้โดยนำไปฝากไว้กับคุณหญิงรจณี เหลือแค่เขาเซนต์ในส่วนของตนเองทุกอย่างก็จบ นี่คงเป็นคำกล่าวที่เธอมักได้ยินมาเสมอ เจ็บแต่จบมันเป็นอย่างนี้นี่เองตอนนี้เธอทั้งเจ็บ ทั้งทรมานเลยล่ะ แต่ใครจะไปคิด ว่าคนเพื่อนไม่มีอย่างเธอ สุดท้ายเวลาแบบนี้ ดันมาอาศัยอยู่กับคนที่ไม่เคยคิดว่าจะญาติดีกันได้"ไม่ถึงอะไร ฉันเห็นเขาโทรหาเธอตั้งแต่เมื่อวาน" มนิสราบ่นคนที่นอนเอกเขนกอยู่บนโซฟากลางห้องเสียงเครียด ได้ยินเสียงสั่นของโทรศัพท์ดังเป็นระยะๆ ตั้งแต่เมื่อวานช่วงเย็น"..." ลัลนาไม่ตอบอะไร ได้แต่มองหน้าจอสมาร์ทโฟนที่มีทั้งข้อความสลับกับสายเรียกเข้าไม่หยุดไม่ทำการทำงานรึไงส่วนคนข้างๆ ก็พูดเป่าหูตลอดว่าให้เธอรับสาย เรื่องของเรื่องคือเธอนัดคุยกับอชิระและมนิสราเรื่องที่เป
ลัลนาเดินเข้าห้องมาด้วยใจลอยๆ สมองคิดถึงแต่เรื่องที่เพิ่งเจอมา ภายในใจบอบช้ำจนไม่เหลือชิ้นดี ที่ผ่านมาเคยคิดอยู่ตลอดว่าตัวเองถูกทิ้ง แต่ไม่มีครั้งไหนจะยืนยันความคิดนั้นได้ดีเท่าครั้งนี้เลยเธอถูกทิ้งอย่างสมบูรณ์แบบเลยล่ะนับว่าเป็นโชคดีอย่างมากที่อชิระไปเป็นเพื่อน ไม่อย่างนั้นเธอไม่รู้เลยว่าจะกลับมาถึงบ้านได้ยังไงลัลนาค่อนข้างมั่นใจว่าพระเอกหนุ่มน่าจะได้ยินทุกอย่างที่เธอคุยกับมารดา เพราะดูจากสีหน้าเจื่อนๆ ก็พอจะเดาได้ไม่ยาก แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไร พาเธอกลับมาส่งบ้านโดยไม่ถามอะไรสักคำ ปล่อยให้เธออยู่กับตัวเองเงียบๆลัลนาเปิดไฟในห้องนอนคอนโดของตนเอง เธอพักอยู่ที่คอนโดเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว ก็ตั้งแต่กลับจากหัวหินนั่นแหละ หลังจากเหตุการณ์วันนั้นงานเลี้ยงก็กร่อยๆ ไปโดยปริยาย เธอเห็นท่าทางแปลกๆ ของหมอทั้งสามคนแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร บวกกับพัชระออกความเห็นให้นอนหนึ่งคืนและแยกย้ายกันกลับเลย เพราะวราลีดูขวัญเสียไม่น้อยหลังจากนั้นเธอก็เริ่มหาข้ออ้างกลับมานอนคอนโดตนเองที่เพิ่งรีโนเวทเสร็จ อ้างถึงเรื่องถ่ายละครที่ช่วงนี้ต้องเลิกดึก บวกกับกองถ่ายใกล้กับคอนโดมากกว่า ประจวบกับเขามีขึ้นเวรต