“นี่จินเหม่ย ของใช้ที่เคยอยู่หน้าห้องน้ำไปไหนแล้วล่ะ” เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งของจินเหม่ยเอ่ยขึ้น เมื่อเข้ามาอาบน้ำแล้วไม่เจอของที่ต้องการใช้ ซึ่งปกติแล้วมันจะวางไว้ที่หน้าห้องน้ำ แต่นี่เธอมองหาแล้วก็ไม่เห็นเลย“ของอะไรล่ะ ฉันไม่เคยเห็นของเธอเลยนะ” จินเหม่ยแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเธอคนนั้นว่าอะไร“ก็ตะกร้าที่มีสบู่อาบน้ำยังไงล่ะ เธอเห็นบ้างหรือเปล่า ฉันจำได้ว่าเมื่อเช้ามันยังวางอยู่ตรงนี้อยู่เลย” หล่อนเอ่ยถามเหมือนกับว่าของที่ถามหานั้นเป็นของของตน“อ้อ..ของพวกนั้นน่ะหรอ ฉันเก็บมาเองแหละ เธอมีอะไรหรือเปล่า” จินเหม่ยบอกออกไป ของเธอเธอจะเก็บไว้ตรงไหนก็ได้“ทำไมเธอทำแบบนี้ล่ะ แล้วฉันจะใช้อะไรอาบน้ำ เธอเอาออกมาให้ฉันเลยนะ ฉันจะได้อาบน้ำเสียที” ผู้หญิงคนนั้นออกคำสั่งเหมือนกับว่าของพวกนั้นเป็นของตนแล้วจินเหม่ยถือวิสาสะที่เก็บไปโดยไม่บอก“คงไม่ได้หรอก ของพวกนั้นเป็นของฉัน ฉันไม่ให้เธอใช้หรอกนะ” จินเหม่ยพูดแบบไม่ใส่ใจ“เธอเป็นคนแบบนี้ไปได้ยังไง เมื่อก่อนฉันก็ยังใช้ได้ ทำไมเธอเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้กัน” ของแค่นี้ทำเป็นหวงไปได้ เธอใช้แค่นิดๆหน่อยๆเอง“เฮ้อ ของพวกนั้นฉันเองก็ใช้เงินซื้อมาทั้งนั้น ถ้าเธออ
วันนี้จินเหม่ยมาร้านค้าที่เปิดใหม่ไกล้กับมหาวิทยาลัย เธอมองรูปแบบแล้ว ร้านนี้ค่อนข้างที่จะเหมือนร้านของพี่สะใภ้มาก หรือว่าพี่สะใภ้เธอจะมาเปิดร้านที่นี่โดยที่ลืมบอกเธอกันนะ“สวัสดีค่ะ อยากได้สินค้าแบบไหนสอบถามได้นะคะ” พนักงานที่ดูแลด้านหน้าทักทายลูกค้า และคอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสินค้า หรือไม่ก็คนที่หาของไม่เจอ“สวัสดีค่ะ ฉันขอเดินดูก่อนนะคะ” จินเหม่ยตอบพนักงานกลับไป แล้วเดินเข้าไปดูรอบๆร้าน“เหมือน เหมือนมาก” จินเหม่ยกำลังคิดว่าร้านนี้เหมือนกับร้านของพี่สะใภ้มาก ไม่ว่าจะเป็นตัวสินค้า หรือชั้นวางของก็ตาม เหมือนขนาดที่ว่าเธอคิดว่าเป็นร้านเดียวกันด้วยซ้ำระหว่างที่จินเหม่ยกำลังพิจารณาข้าวของต่างๆอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นพอดี ว่าตอนนี้กำลังมีคนพยายามขโมยสินค้า เธอได้แต่เฝ้าดูไปก่อน เมื่อไหร่ที่มันทำสำเร็จเธอจะไปแจ้งพนักงานทันที“คุณคะ เมื่อสักครู่ฉันเห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังขโมยของค่ะ” จินเหม่ยชี้ไปทางผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังทำท่าเลือกของอยู่“จริงหรือคะ ฉันควรที่จะทำยังไงดีคะเนี่ย เจ้าของร้านก็ยังไม่เข้ามาซะด้วย” พนักงานคนนั้นหวั่นใจ กลัวว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นถ้าหากเธอไปตรวจสอบผู้หญิงคน
วันนี้จินเหม่ยกลับมาที่ร้านขายของอีกครัง ครั้งนี้เธอตั้งใจที่จะมาซื้อแชมพู ครั้งก่อนที่เธอมานั้นไม่ได้อะไรกลับไป เพราะมัวแต่วุ่นวายเรื่องของคนอื่นอยู่พอจินเหม่ยเดินเข้ามาพนักงานคนเดิมก็จำเธอได้ในทันที“สวัสดีค่ะ วันนี้มาซื้อของหรือคะ” พนักงานคนนั้นทักทายเธอทันที“ค่ะ ว่าจะมาดูของใช้นิดหน่อยค่ะ” จินเหม่ยบอกออกไป ความจริงแล้วเธออยากจะไปร้านของพี่สะใภ้มากกว่าแต่ติดที่ว่ามันไกลและนี่ก็ไกล้จะเย็นแล้ว ที่นี่จึงสดวกที่สุดจินเหม่ยเข้าไปเลือกของไม่นานก็ออกมาพร้อมกับของสามสี่อย่าง เธอจึงส่งให้พนักงานได้คิดเงิน“ทั้งหมด 85 หยวนค่ะ” พนักงานคนนั้นบอกราคาค่าสินค้าทั้งหมด“หืม ไม่ใช่ 100 หยวนหรือคะ” จินเหม่ยอดที่จะสงสัยไม่ได้ “ราคานี้แหละค่ะถูกแล้ว ครั้งก่อนเจ้าของร้านบอกไว้ว่า ถ้าคุณกลับมาซื้อของที่นี่อีกให้ลดราคาให้ค่ะ” พนักงานคนนั้นบอกสิ่งที่จินเหม่ยสงสัย“ถ้าอย่างนั้นฉันฝากขอบคุณเจ้าของร้านด้วยนะคะ ฉันคงต้องกลับก่อนแล้ว ลาล่ะค่ะ”พอได้ของที่ต้องการจินเหม่ยก็ออกมาจากร้านทันทีตอนที่จินเหม่ยกำลังจะออกมาจากร้านนั้น สายตาของเธอก็หันไปเห็นคนที่เธอเคยคิดว่าอยากจะเจออีกสักครั้ง เธอจึงรั้งรอก่อนยังไม่
เมื่อคนทั้งห้องได้ยินที่จินเหม่ยพูดก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ อะไรคือหลักฐาน หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดก็คือสิ่งที่จินเหม่ยนั้นทำลงไป ทั้งผงซักฟอกทั้งยังมีน้ำอีกด้วย“จินเหม่ย หลักฐานมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเธอทำลายข้าวของของฉัน และคนที่นี่ก็ไม่มีใครเป็นพยานให้เธอหรอกนะ เพราะเขาเองก็เห็นว่าเธอรังแกฉันจริงๆ” ผู้หญิงคนนั้นเข้าใจว่าจินเหม่ยแกล้งพูดขึ้นมาเท่านั้นเพราะกลัวที่จะโดนรายงาน “555 เธอนี่ช่างเสแสร้งได้เก่งจริงๆ เอาเถอะ ฉันมีแน่นอน และไม่ใช่แค่ครั้งนี้หรอกนะ ยังมีครั้งอื่นอีกด้วย” โชคดีที่ทุกครั้งที่เธอมีปัญหากับเพื่อนร่วมห้องเธอมักจะบันทึกเสียงไว้ทุกครั้ง ดังนั้นคำพูดทุกคำย่อมใช้เป็นหลักฐานได้แน่นอน“ถ้าอย่างนั้นฉันขอดูได้หรือเปล่า” คนดูแลหอเองก็สงสัยว่าหลักฐานที่ว่านั้นคืออะไร“อย่างนั้นก็ได้ค่ะ” แล้วจินเหม่ยก็กดเล่นเสียงทันที ทั้งสามคนได้ยินก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ นี่มันอะไรกัน ไอ้เครื่องเล็กแค่นี้กลับสามารถบันทึกเสียงของทุกคนไว้ได้ แปลก แปลกเกินไปแล้ว“เป็นยังไงบ้างคะ พอได้ฟังแล้วจะทำยังไงต่อไปดีคะ ฉันเองก็จะได้ทำตัวถูก คุณจะไปรายงานเรื่องฉันก็ทำได้ตามสบายเลยนะคะ ฉันเองก็จะไปแจ้งเจ้าหน้าท
วันนี้เป็นวันที่เมิ่งหลันและครอบครัวจะกลับบ้านที่ชนบท ก่อนหน้านั้นเหอตี้ได้นำเอารถออกมาทำทะเบียน และไปสอบใบอนุญาติขับขี่เรียบร้อยแล้ว และยังหัดขับรถได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วยมีอยู่วันนึงระหว่างที่เหอตี้กำลังหัดขับรถอยู่นั้น พี่ชายใหญ่หวังเหอซานและคู่หมั้นของเขาก็มาเยี่ยมน้องชายพอดี จึงได้เห็นรถคันใหม่ของเหอตี้ ก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เขาไม่คิดเลยว่าน้องชายของเขานั้นจะร่ำรวยขนาดที่สามารถซื้อรถยนต์ส่วนตัวมาใช้ได้แล้ว“เหอตี้รถของนายสวยมากเลยนะ” พี่ใหญ่เหอซานอดที่จะเอามือไปลูบคลำบนฝากระโปรงรถไม่ได้ เขาเองได้ขี่แต่รถของทางการ ไม่เคยได้ขี่รถยนต์ส่วนตัว เลยอดที่จะหลงไหลไม่ได้“พี่อยากได้สักคันหรือเปล่าครับ” เหอตี้เอ่ยถามพี่ชาย ถ้าพี่ชายเขาอยากได้ ตนก็จะไปบอกภรรยาให้เอาออกมาขายให้พี่ชายเขาสักคัน“ราคามันแพงมากหรือเปล่า ลำพังเงินเก็บของฉันที่มีจะไม่พอจ่ายน่ะสิ” เขาคิดว่าราคาของมันไม่น่าจะต่ากว่าหมื่นหยวนแน่นอน ถ้าเขาใช้เงินเก็บที่มีทั้งหมดออกมาซื้รถ แล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนไปแต่งภรรยากัน“ไม่พอก็ไม่เป็นไรครับ ผมให้พี่ค้างไว้ก่อนได้ พี่ไม่ต้องกังวนหรอกครับ” เหอตี้คิดว่าจะขายในราคาที่ไกล้เคียงกับ
เมื่อทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกลงมาที่ห้องอาหาร ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีคนไม่มาก แต่เมื่อเดินเข้ามาก็กลายเป็นจุดสนใจทันที จะไม่ให้ทุกคนนั้นมองได้ยังไง เหอตี้คนเป็นพ่อนั้นก็หน้าตาดี ถึงแม้ว่าจะออกผอมไปหน่อยแต่ดูแล้วทุกส่วนก็เหมาะเจาะไปหมด ส่วนคนเป็นแม่นั้นถึงจะไม่ได้สวยจัด แต่ก็อยู่ลักษณะที่ดูดีน่ามองยิ่งดูยิ่งเพลินตา ส่วนแฝดพี่นั้นอยู่ในชุดกระโปรงเอี้ยมสั้นแค่เข่าเสื้อตัวในแขนยาวสีขาว และใส่ถุงเท้ายาวครึ่งหน้าแข้งสวมด้วยรองเท้าคัตชูสีดำ ยิ่งมองก็ยิ่งน่ารัก แฝดน้องเหวินหลงก็อยู่ในชุดเอี้ยมเหมือนกันต่างกันที่ตรงกางเกงเท่านั้น มองดูแล้วโตไปสาวๆคงได้ทิ้งผ้าเช็ดหน้าให้เก็บกันมากมายสองแฝดนั้นเดินจูงมือกัน ขนาบด้วยพ่อและแม่คนละฝั่ง “เหวินหลง ทำไมมีแต่คนมองเราล่ะ” ฟางหลินกระซิบถามน้องชาย ถึงแม้จะกระซิบแต่คนเป็นพ่อแม่ก็ยังได้ยินอยู่ดี“อืม ไม่รู้สิ” เหวินหลงเองก็ไม่เข้าใจ ทั้งสองคนจึงได้แหงนหน้ามองผู้เป็นพ่อและแม่เพื่อขอคำตอบ“แม่ว่าที่พวกเขามองมา อาจจะเป็นเพราะว่าลูกของแม่ทั้งสองคนแต่งตัวได้น่ารักก็เป็นได้” เมิ่งหลันให้คำตอบหลังจากที่พนักงานพามานั่งที่โต๊ะอาหารแล้วสองแฝดที่ได้ยินแบบนั้นก็มองหน้ากัน และ
เช้าวันนี้เมิ่งหลันและครอบครัวไม่ได้ลงไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนนี้อีก สิ่งทีี่เมิ่งหลันกังวลไม่ใช่เรื่องแบบผู้หญิงสองคนนั้น แต่เป็นเรื่องอาหารเสียมากกว่า เมิ่งหลันนำอาหารจากห้างในมิติออกมาให้ทุกคนได้ทานกัน“อร่อยมากเลยค่ะแม่” ฟางหลินบอกกับมาดาด้วยรอยยิ้ม เธอชอบอาหารที่แม่ทำมากๆ “ของผมก็อร่อยครับ” เหวินหลงเองก็ชอบเหมือนกัน ยิ่งมื้อเช้าแบบนี้ แม่มักจะให้กินหลายอย่าง เขาชอบมาก มีทั้งนม ข้าวต้ม ขนมปัง บางครั้งก็มีน้ำผลไม้อีกด้วย“ดีแล้วที่ลูกชอบ แต่อย่ากินจนมากเกินไปล่ะ พวกเราต้องเดินทางกันต่ออีก ถ้าป่วยขึ้นมาจะทำให้ลำบากเอาได้” เมื่อเห็นว่าลูกทั้งสองคนชอบเธอก็ดีใจ เธอคิดถูกแล้วจริงๆที่ไม่พาทุกคนไปทานอาหารข้างล่าง“คุณจะเอากาแฟด้วยหรือเปล่าคะ” เมิ่งหลันหันไปถามสามี“เอาครับ” เหอตี้เองก็ติดกาแฟเหมือนกัน ปกติเขาเองก็ไม่เคยกินมันมาก่อน แต่พอเห็นภรรยาของเขากินก็เลยลองกินตาม ถ้าได้กินแล้วมันจะทำให้เขานั้นสดชื่นมาก“คุณคิดว่าพวกเราจะใช้เวลาเดินทางกันอีกกี่วันหรือคะ” “อืม ตอนแรกผมคิดเอาไว้ว่าน่าจะวันนี้ตอนเย็นๆ แต่ตอนนี้คงไม่ทันแล้วล่ะครับ เพราะพวกเราใช
หลังจากที่เช้านี้ครอบตรัวของเมิ่งหลันออกจากโรงแรมที่พักนั้นก็ตรงมาที่หมู่บ้านเลย ไม่คิดที่จะแวะที่ไหนอีก เพราะสองวันมานี้ก็ล่าช้ามากแล้วระหว่างทางเมิ่งหลันมองดูสองข้างทาง ถึงแม้ว่าเธอจะออกไปจากที่นี่นานนับปี แต่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก ไม่ว่าจะเป็นบ้านคน หรือพื้นที่การเพาะปลูกก็ตามการมาในครั้งนี้ของเธอนั้น ไม่ได้บอกกับพ่อหลิวไว้ล่วงหน้า เพราะอยากจะให้ท่านได้ประหลาดใจเมิ่งหลันเลือกที่จะให้เหอตี้นั้น ไปที่บ้านของเธอก่อน เธออยากจะไปดูความเรียบร้อยว่ามันพร้อมเข้าอยู่หรือไม่ ถ้ามันไม่สามารถที่จะเข้าพักได้ ก็ตั้งใจที่จะจ้างคนเข้ามาทำความสะอาดเสียก่อนเมื่อรถของเธอเข้าหมู่บ้าน เป็นเวลาช่วงพักเที่ยงพอดี จึงทำให้เป็นจุดสนใจของทุกคน เด็กๆที่เล่นอยู่แถวนั้นเมื่อเห็นมีรถเข้ามาที่หมู่บ้าน ก็อดที่จะวิ่งตามไม่ได้ รวมถึงคนโตบางคนด้วยเหมือนกัน พวกเขาอยากจะรู้ว่ารถคันโก้นั้นจะไปจอดลงที่บ้านหลังไหนและสุดท้ายรถคันโก้ก็มาจอดที่บ้านหลังเล็กเกือบท้ายหมู่บ้าน เมื่อเมิ่งหลันก้าวขาลงมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็ต้องอุทานกันออกมา ไม่ใช่ว่านี่คือลูกสาวบ้านหลิวหรอกหรือย้ายออกไปจาก
พวกเราคือครอบครัว…สี่ปีต่อมา…หลังจากวันที่เมิ่งหลันคลอดลูกชายฝาแฝด ก็ผ่านมามานานหลายปีแล้ว การเลี้ยงดูลูกของเธอช่างวุ่นวายเป็นอย่างมาก ดีที่เหอตี้ออกจากงานมาช่วยเธอดูแลร้าน ไม่อย่างนั้นเธอเองคงไม่มีเวลาพัก การเลี้ยงลูกถึงสี่คนไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยฟางหลินและเหวินหลงนั้น ดีที่โตพอจนรู้ความแล้ว ตอนนี้อายุก็เข้าปีที่สิบแล้ว หนูน้อยฟางหลินในตอนนี้ความงดงามนั้นเปล่งประกายมากถึงจะยังเด็กอยู่ก็ตาม จนทำให้คุณพ่อนั้นหวงมากเป็นพิเศษ เพราะยิ่งโตหน้าตาก็ยิ่งเหมือนกับคนเป็นแม่ส่วนแฝดน้องเหวินหลงเองก็ใช่ย่อย ความหล่อเหลาก็ไม่ได้แพ้ใคร ในทุกวันที่ไปโรงเรียนมักจะมีสาวน้อยมอบขนมให้อยู่เสมอ จนทุกวันนี้สหายมู่มู่ที่ไปโรงเรียนด้วยกันไม่ต้องเสียเงินซื้อขนมเลยส่วนแฝดชาย หวังจางหมิ่น และหวังเจียวจิ้นนั้น ตอนนี้ก็อายุสี่ขวบแล้ว ซึ่งความซุกซนไม่ต้องพูดถึง ขนาดที่ว่าเมิ่งหลันจ้างพี่เลี้ยงมาเพิ่ม ทั้งสองคนก็ยังหลุดลอดสายตาออกไปซนที่อื่นได้ “จางหมิ่น เจียวจิ้น แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามออกมาเล่นข้างนอกแบบนี้” เมิ่งหลันที่ออกมาเจอลูกๆของเธออยู่ที่ด้านนอกพอดี จึงอดที่จะดุไม่ได้“แม่ครับ พวกเราไม่อยากอยู่ในบ้าน” เ
ออกมาแล้ว…“หลันหลัน คุณไม่ต้องกลัวนะครับ” เหอตี้ผู้เป็นสามีปลอบใจภรรยาอยู่ที่ข้างเตียง วันนี้เป็นวันที่คุณหมอนั้นนัดผ่าคลอดให้กับเมิ่งหลัน เพราะว่าเธอนั้นมีความเสี่ยงจึงต้องใช้วิธีการผ่าคลอดแทนการคลอดธรรมชาติ“เหอตี้คะ ฉันกลัวจังเลยค่ะ” เธอบอกสามีออกไป นี่คือการคลอดครั้งแรกของเธอ เธอจะไม่กลัวได้อย่างไร ถึงแม้ว่าเมิ่งหลันคนก่อนจะเคยคลอดลูกแต่มันก็ไม่ใช่เธออยู่ดี“ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะครับ หมอที่นี่เก่งอยู่แล้ว คุณนอนพักก่อนดีกว่า” เมื่อเหอตี้เห็นว่าภรรยานั้นมีความเครียดจึงอยากให้เธอได้พักผ่อน“แล้วสองแฝดอยู่ที่ไหนหรือคะ” เมิ่งหลันถามหาลูกทั้งสองคน เพราะเธอมารอคลอดตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ก็ยังไม่ได้เจอหน้าลูกเลย“อยู่กับน้าอี้ฝานครับ สองแฝดไม่มีงอแงเลย พูดจารู้เรื่องมาก แค่บอกว่าแม่กำลังจะมาคลอดน้องพวกเขาก็เข้าใจ” เหอตี้เมื่อเช้านี้ได้กลับไปที่บ้านและพูดเรื่องนี้ให้สองแฝดฟัง ซึ่งทั้งสองก็เข้าใจ และบอกว่าจะรอแม่และน้องอยู่ที่บ้าน“คุณจะรอฉันที่ด้านนอกใช่หรือเปล่าคะ” เมิ่งหลันถามสามีเมื่อมองเวลาแล้วไกล้ที่จะเข้าห้องคลอดเต็มที“ผมจะรอคุณอยู่ข้างนอกห้องคลอดแน่นอน ผมรับรองเลยว่าเมื่อคุณออกมา คุ
งานแต่งงานของพี่ใหญ่เหอซาน…วันนี้เป็นวันที่เมิ่งหลันนั้นต้องมาตรวจครรภ์เป็นครั้งที่สอง และการตรวจก็เป็นไปด้วยดี การเติบโตของทารกในครรภ์นั้นดีมากทีเดียวและอีกเรื่องที่ทำให้หลิวเมิ่งหลันและหวังเหอตี้ ต้องตกตะลึงกันอีกครั้ง นั่นก็คือในท้องของเมิ่งหลันนั้นมีลูกน้อยถึงสองคน นั่นก็หมายความว่าในตอนนี้เมิ่งหลันนั้นกำลังท้องลูกแฝดอีกครั้งนั่นเองแต่การแพทย์ในยุคสมัยนี้ก็ไม่สามารถตรวจได้ว่าเจ้าก้อนแป้งที่กำลังนอนอยู่ในท้องของเมิ่งหลันนั้นเป็นเพศไหน จะเป็นชายชาย หญิงหญิง หรือหญิงชาย ก็ไม่อาจรู้ได้ ถึงแม้เจ้าก้อนแป้งทั้งสองจะแข็งแรงดี แต่เมิ่งหลันก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ เธอกลัวการคลอดลูก เธอกลัวว่าจะไม่สามารถคลอดลูกออกมาได้อย่างปลอดภัย เหอตี้ที่รับรู้ได้ถึงความกังวลก็ได้แต่ปลอบใจภรรยา ไม่ว่าอย่างไรเขาจะหาหมอที่มีฝีมือที่สุดมาทำคลอดให้ภรรยาให้ได้“เดี๋ยววันนี้ผมจะพาคุณไปเที่ยวนะครับ” เหอตี้เอ่ยขึ้นเมื่อพากันออกมาจากในโรงพยาบาลหลังจากที่ตรวจการตั้งครรภ์เสร็จแล้ว“คุณจะพาฉันไปที่ไหนหรือคะ” เมิ่งหลันเองก็เดาไม่ถูก เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอก็ยังไม่ได้ออกไปที่ไหนแบบจริงจังสักที เพราะเธอทุ่มเทเวลาใ
คู่มือการเลี้ยงลูก…หลังจากที่ทุกคนรู้ข่าวเรื่องการท้องของเมิ่งหลันก็ยินดีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบ้านใหญ่หวัง แม่เหอที่รู้ข่าวก็ไปสรรหาของบำรุงต่างๆมาให้เมิ่งหลันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโสมหรือรังนกก็ตาม“ฉันต้องขอบคุณคุณแม่มากเลยนะคะสำหรับของบำรุงพวกนี้” เมิ่งหลันบอกแม่สามี ถึงแม้เธอจะรู้ว่าของพวกนี้ดีมีสรรพคุณมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะกินมันได้ เพราะเมื่อครั้งก่อนที่แม่เหอก็ฝากให้เหอตี้เอามาให้เธอทาน พอเธอทานเข้าไปถึงกับอาเจียนไม่ยอมหยุด “ไม่เป็นไรเลยจ้ะ เธอต้องกินมันให้หมดนะ หลานของฉันจะได้ออกมาแข็งแรง” แม่เหอบอกด้วยรอยยิ้ม “ว่าแต่เจ้าใหญ่ จะแต่งงานเมื่อไหร่ดีล่ะ เหอตี้มีลูกแซงหน้าไปแล้วนะ” แม่เหอเอ่ยถามลูกชายคนโต ที่ตอนนี้สานสัมพันธ์กับคู่หมั้นได้อย่างราบรื่น“แล้วคุณแม่ว่ายังไงล่ะครับ พร้อมที่จะไปสู่ขอสะใภ้ใหญ่ได้หรือยัง” เหอซานหันมาถามแม่ของตนบ้างแม่เหอที่ได้ยินแบบนั้นก็ตาโตทันที นี่เจ้าใหญ่ของเธอกำลังบอกให้ไปขอภรรยาให้เขาใช่หรือไม่“นี่ลูกพูดจริงใช่ไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่กับพ่อจะได้ไปพูดเรื่องนี้กับบ้านกงแต่เช้าเลย” “555” เหอซานอดที่จะยิ้มขำแม่ของตนไม่ได้ คงอยากได้สะใภ้มากเลยถ
สองแฝดจะมีน้อง…“ท้อง???”“คุณหมอช่วยพูดอีกครั้งได้หรือเปล่าคะ” เมิ่งหลันที่ต้องการได้ยินอีกครั้ง ว่าอาการที่เธอเป็นนั้นเป็นโรคอะไรกันแน่ เธอไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม“คนไข้ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรนะครับ อาการที่เป็นอยู่ เป็นอาการของคนท้องเท่านั้นครับ” หมอเองได้ตรวจซ้ำถึงสองรอบจากการจับชีพจร ซึ่งผลที่ออกมาก็เหมือนกันทั้งสองครั้งและเขาเองก็มั่นใจเป็นอย่างมากเมิ่งหลันคิดว่ากลับบ้านไปเธออาจจะเรียกเอาชุดทดสอบการตั้งครรค์ออกมาตวจอีกสักครั้ง เพื่อความแน่ใจ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ไว้ใจหมอในยุคนี้หรอกนะ แค่เธออยากมีโมเม้นท์ขึ้นสองขีดแบบคนอื่นบ้างเท่านั้นเอง“แล้วไม่ทราบว่าตอนนี้ฉันท้องกี่เดือนแล้วหรือคะ” เมิ่งหลันเองก็แอบงงเหมือนกัน ทั้งที่เธอเองก็กินยาคุม แล้วลูกของเธอนั้นทะลุยาคุมออกมาได้ยังไงกัน หรือยาที่เธอกินจะหมดอายุนะ แต่ก็ไม่น่าใช่“ประมาณ เดือนกว่าได้แล้วครับ ช่วงนี้คุณก็ดูแลตัวเองให้ดีด้วยนะครับ ของหนักก็ห้ามยกเพราะมันจะเสี่ยงต่อการแท้ง ส่วนในเรื่องของอาหารก็ให้ทานอาหารที่มีประโยชน์ทั้งเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ และก็อย่าลืมดื่มนมด้วยนะครับ อ้อ…และอีกอย่างเรื่องบนเตียงช่วงนี้ก็ให้งดไปก่อนนะครับจนกว่าจะมีอ
เมิ่งหลันป่วย???วันนี้เป็นวันที่ห้าแล้ว ที่เมิ่งหลันและคนงานช่วยกันบรรจุของเพื่อทำถุงยังชีพ และทุกวันก็จะทำได้ประมาณหนึ่งพันชุดทุกวัน“คุณเมิ่งหลันคะ วันนี้มีคนมาโวยวายที่หน้าร้านอีกแล้วค่ะ” ซูเหวินเข้ามารายงานเมิ่งหลัน เพราะหลายวันมานี้มีคนต้องการมาซื้อข้าวสาร อาหารแห้ง แต่ทางร้านไม่สามารถเปิดขายให้ได้ เพราะต้องนำไปช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน นั้นจึงสร้างความไม่พอใจกับลูกค้าบางคน“แล้วได้บอกเหมือนที่ฉันสั่งไว้หรือเปล่าจ๊ะ” เมิ่งหลันเองให้ลูกจ้างทุกคนนั้นบอกลูกค้าไปตามความจริง ว่าทางร้านไมาสามารถขายสินค้าให้ได้ ให้ไปหาซื้อที่อื่นก่อน “บอกแล้วค่ะ….” ทั้งสองพูดกันไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงดังโวยวายกันอยู่ที่ด้านนอก“เฮอะ ที่ไม่ยอมขายข้าวให้พวกฉัน เป็นเพราะว่าจะเอาไปขายให้กับทางการใช่หรือเปล่าล่ะ” เสียงลูกค้าที่เป็นสตรีเอ่ยขึ้น“ไม่อยากขายให้พวกเราก็พูดมาตรงๆเถอะ ไม่ต้องอ้างทางการหรอก มันน่าอาย” เธอยังพูดไม่หยุด“ทำมาเป็นบอกว่าเอาไปช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน ฉันเองก็เดือดร้อนเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้ของพวกนี้กับฉันด้วย” ผู้หญิงทืี่มาด้วยกันเอ่ยขึ้น“ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเราก็ไม่มีเงินมากพอที่จะซ
ช่วยเหลือผู้ประสบภัย…….“ทำไมคุณถึงได้ทำหน้าอย่างนั้นล่ะคะ” เมิ่งหลันถามเหอตี้ที่พึ่งจะกลับมาจากที่ทำงาน ก็เห็นว่าสีหน้าของสามีนั้นไม่ค่อยจะดีนัก ทั้งที่ปกติแล้วเวลาที่เขากลับมาบ้านนั้นมักจะส่งยิ้มมาให้ก่อนเสมอเหอตี้ที่ได้ยินเมิ่งหลันถามก็ถอนหายใจ “วันนี้พี่ใหญ่มาหาผมที่ทำงานครับ” เขาเว้นหายใจไปช่วงหนึ่ง จึงทำให้เมิ่งหลันสงสัยเข้าไปอีก“พี่ใหญ่มาขอความช่วยเหลือน่ะครับ ตอนนี้ทางตอนเหนือเกิดภัยธรรมชาติร้ายแรง ฝนตกหนักมาหลายวัน จนตอนนี้ทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ บางพื้นที่ก็มีน้ำป่าลงมาจากเขาทำให้บ้านเรือนเสียหายเป็นอย่างมาก” เหอตี้พูดพร้อมกับจ้องหน้าของภรรยา “แล้วยังไงต่อคะ” เมิ่งหลันอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ที่เหอตี้ไม่ยอมพูดให้เสร็จเสียที“ตอนนี้ประชาชนในแถบนั้นหลายพันคนกำลังเดือดร้อนเรื่องอาหาร และที่อยู่อาศัย พี่ใหญ่เลยอยากจะขอให้คุณช่วยเรื่องอาหารครับ” เหอตี้พูดออกมาได้ในที่สุด ที่เขาไม่กล้าพูดออกมาในทีแรกเพราะกลัวว่าภรรยาจะไม่ยอมช่วยเหลือในเรื่องนี้ ทั้งๆที่เขาก็รู้แหละว่าเมิ่งหลันนั้นเป็นคนจิตใจดี แต่ในเรื่องนี้ที่ต้องช่วยคนจำนวนมากเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน“แค่นี้หรือคะ??” เม
หลักจากวันที่ช่วยจางเย่วในวันนั้นก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว จางเย่วเองก็ไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านเดิม แต่มาเช่าบ้านเพื่อเปิดร้านค้าตามคำแนะนำของเมิ่งหลันแทนจางเย่วนั้นเปิดร้านขายของชำ ไม่ได้ขายครบทุกอย่างเหมือนร้านของเมิ่งหลัน เพราะเธอนั้นอยู่ตัวคนเดียว เธอจึงเลือกขายของจำพวก ข้าวสาร แป้ง น้ำตาล อาหารแห้ง“คุณจางคะ ของชุดนี้ฉันเตรียมให้แล้วนะคะ ส่วนครั้งหน้าคุณโทรมาบอกที่ร้านก็ได้ค่ะ ฉันจะให้เด็กไปเอาใบรายการที่ร้านให้เอง คุณจางจะได้ไม่ต้องลำบากมาเอง ไหนจะต้องดูแลร้านอีก” เมิ่งหลันที่ให้ความช่วยเหลือก็พร้อมที่จะช่วยแบบเต็มที่ อะไรที่พอช่วยได้ก็ช่วยทันทีถ้าไม่เดือดร้อนตัวเธอ“จะดีหรือคะ มันจะเป็นการรบกวนเกินไปหรือเปล่า ทีี่พวกคุณช่วยฉันเอาไว้ ฉันเองก็ตอบแทนไม่ไหวแล้วค่ะ” จางเย่วนั้นเกรงใจจริงๆ คนที่นี่ช่วยเธอเอาไว้ตั้งมากมาย ชดใช้ด้วยชีวิตก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนได้หมดหรือเปล่าและการที่เธอนั้นมีความกล้าเรื่องค้าขายก็เพราะผู้หญิงตรงหน้านี้ จางเย่วชื่นชมเมิ่งหลันเป็นอย่างมาก ผู้หญิงที่เก่งไปซะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องการค้า การปกครองคน การดูแลครอบครัว ผู้หญิงคนนี้เก่งมากจริงๆ และเธอเองก็หวังที่จะเป
“จะเป็นไปได้ยังไงครับ ในเมื่อเธอขอกลับบ้านเดิมไปตั้งหลายวันแล้วก็ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าหนีไปกับชู้แล้วหรือเปล่า แล้วใครบอกให้พวกคุณมาที่นี่กัน แล้ว….” นายหนิวหันไปบอกเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ทันที แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อจางเย่วก็เอ่ยขึ้นทันที“ฉันเอง…” จางเย่วอดทนไม่ไหวต่อคำพูดของคนเป็นสามีจึงได้แสดงตัวออกมานายหนิวที่ได้ยินเสียงก็หันไปดู ก็เจอเข้ากับภรรยาของตนที่เข้าใจว่าตายไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน เขาเองก็ตกใจเป็นอย่างมาก ตาของเขาปูดโปนจนแทบจะถลำออกมา“นี่..นี่ เธอยังไม่ตะ..เธอกลับมาแล้วหรือ” ก่อนที่นายหนิวจะเผลอพูดอะไรออกไป เขาเองก็ดึงสติของตัวเองกลับมาเสียก่อน ในเมื่อเรื่องนี้ไม่มีคนรู้เห็นยังไงก็ไม่มีคนเอาผิดเขาได้“ใช่ฉันกลับมาแล้ว ว่าแต่คุณเถอะไปที่ไหนมาหรือคะ อย่าบอกนะว่าออกไปตามหาฉัน” จางเย่วถามขึ้น ทั้งที่รู้ว่าเขาคงออกไปตามสืบเรื่องของตน เพราะนี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ก็ยังไม่มีใครหรือเจ้าหน้าที่มาแจ้งว่าเจอศพของเธอ“เธอหายไปไหนมาหลายวันล่ะ รู้ไหมว่าทุกคนเป็นห่วงเธอมาก” นายหนิวหยิบยกคนอื่นมาอ้าง ทั้งที่ทุกคนก็รู้ว่าเธอเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปตามเจ้าหน้าที่มาทำเรื่องหย่าและทวงสินเด