“หนูไม่แต่ง/ฉันไม่แต่ง” ซูเจินและซูเหวินพูดขึ้นมาพร้อมกัน“พ่อคะ ยังไงหนูก็ไม่แต่งนะคะ” ซูเจินน้องสาวคนเล็กบอกผู้เป็นพ่อ เธอไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก “ฉันเองก็เหมือนกันค่ะพ่อ และฉันเองก็มีคนรักแล้วด้วย” ซูเหวินผู้เป็นพี่สาวพูดตาม และยังบอกด้วยว่าตนนั้นมีคนรักแล้ว จึงทำให้คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นตกตลึงไม่ได้ ซูเหวินนั้นมีคนรักตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“ไม่แต่งไม่ได้ ยังไงก็ต้องแต่ง พวกแกจะอกตัญญูกันไปถึงไหนกัน” ย่าซูที่ได้ยินหลานสาวทั้งสองคนพูดแบบนั้นก็รีบลุกขึ้นจากพื้นทันที“ย่าคะ ย่ายังจำได้หรือเปล่าว่าพวกเราแยกบ้านกันแล้วนะคะ หนังสือตัดขาดก็มี” ซูเจินพูดเตือนความจำ สงสัยว่าย่าเธอคงจะแก่จนเลอะเลือน“แยกบ้านแล้วยังไง การที่ย่าแกๆแบบฉันหาผู้ชายที่ดีมาให้ก็ควรรับไว้ ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องแต่ง” ย่าซูที่เห็นแก่ค่าสินสอดก็ไม่ยอมท่าเดียว ไหนจะเรื่องที่จะให้หลานทั้งสองเข้ามาทำงานแทนอีกระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยโต้เถียงกันอยู่นั้น ทางฝั่งว่าที่เจ้าบ่าวก็เดินเข้ามา“สวัสดีครับแม่เฒ่าซู ขอโทษด้วยที่พวกผมมากันช้า” ว่าที่เจ้าบ่าวของซูเหวินเอ่ยขึ้น“อู้ย ไม่เป็นไรเลยจ้ะ มานี่สิ ฉันจะนำให้ทุกคนได้รู้จั
“ก็ไม่นานมานี้หรอกค่ะ คนนั้นก็คือ…” ซูเหวินยังไม่พูดออกไป ตอนนี้เธอกำลังกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ที่นี่ เธอเองก็รู้สึกอายเหมือนกัน ที่อยู่ๆก็ต้องมาพูดเรื่องของตนเองต่อหน้าทุกคนแบบนี้“บอกมาเถอะจ้ะ ไม่ต้องอายหรอกจ้ะ” เมิ่งหลันเองที่ตอนนี้ก็อยากรู้ว่าผู้ชายคนไหนที่เป็นผู้โชคดี ได้ผู้หญิงที่ดีแบบนี้ไปเป็นคนรัก“เอ่อ..พี่จี้เฉิงค่ะ” ซูเหวินพูดออกมาในที่สุดและพอดีที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ขบวนรถขนสินค้าของลู่เฟยเทียนก็เข้ามาจอดพอดี“สวัสดีครับทุกคน ทำไมวันนี้ถึงได้อยู่กันพร้อมหน้าขนาดนี้ล่ะครับ ไม่ใช่ว่ากำลังรอผมหรอกนะครับ” เฟยเทียนพูดหยอกเหย้าออกมา เพราะเห็นสีหน้าทุกคนตอนนี้เหมือนว่ากำลังตกใจอะไรอยู่“พอดีพวกเรากำลังพูดคุยเรื่องแต่งงานของซูเหวินค่ะ คุณย่าของซูเหวินมาที่ร้านวันนี้ บอกว่าได้หาว่าที่สามีไว้ให้แล้ว” เมิ่งหลันพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่พวกเธอกำลังพูดถึงเดินเข้ามา “แต่งงานหรือครับ ใครกันนะที่โชคดี” เฟยเทียนเองก็อยากรู้เหมือนกัน เขาเห็นผู้หญิงคนนี้บ่อยครั้ง ซึ่งเขาเองก็ยังคิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนดีคนหนึ่ง“แต่งงาน ซูเหวินจะแต่งงานจริงๆหรือครับ” ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงของเฟยเที
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง ว่าแต่คุณทำงานอะไรหรือคะ ขอโทษนะคะที่ถามแบบนี้” เมิ่งหลันก็ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของใคร แต่ที่เธอเห็นก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้“ฉันไม่มีงานทำหรอกค่ะ ฉันอยู่บ้านทำงานบ้านแล้วก็ดูแลมู่มู่เท่านั้นเองค่ะ” เธอพูดความจริงเพียงส่วนเดียวเท่านั้น “ถ้าอย่างนั้นคุณมาทำงานกับฉันดีหรือเปล่าคะ ถ้าคุณไม่รังเกียจ ฉันชื่อหลิวเมิ่งหลันนะคะ ส่วนคนนี้คือสามีของฉัน ชื่อหวังเหอตี้ แล้วคุณชื่ออะไรหรือคะ” เมิ่งหลันคิดว่ายังไงเธอก็ต้องจ้างคนเพิ่มอยู่แล้ว สู้จ้างแม่เพื่อนของลูกดีกว่า ถือเป็นการช่วยเหลือไปในตัว และเธอเองก็คิดว่าเรื่องนี้เธอมองคนไม่ผิด“ฉันชื่อจางมู่ตานค่ะ ส่วนเรื่องทำงาน ฉันจะทำได้แน่หรือคะ ฉันเองก็ไม่เคยทำงานอย่างอื่นมาก่อน” มู่ตานพูดแบบเกรงใจ เธอกลัวว่าจะไปทำให้งานของคนอื่นเสียหาย“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นกังวลหรอกนะคะ มีคนสอนงานอยู่ ว่าแต่คุณสะดวกหรือเปล่าคะ” เมิ่งหลันมองแววตาที่มีความดีใจเพียงแวบเดียวก็กลับมาเป็นทุกข์เหมือนก่อนหน้า“คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ ถ้ามันไม่เป็นความลับเล่าให้ฉันฟังได้นะคะ” เมิ่งหลันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามู่ตานนั้นมีปัญหาแบบไหนเ
“วันนี้คุณมู่นอนที่นี่ไปก่อนนะคะ พรุ่งนี้ค่อยไปพักที่บ้านเช่า หรือจะพักที่นี่ก็ได้ เด็กๆจะได้เล่นด้วยกัน" เมิ่งหลันเองก็อยากให้เด็กๆมีเพื่อนเล่น เพราะบ้านหลังนี้เองก็มีห้องว่างที่ชั้นล่างอีกหนึ่งห้อง “ฉันแล้วแต่คุณเมิ่งหลันเลยค่ะ” มู่ตานเองที่ไม่เคยมีความคิดเป็นของตัวเองก็ไม่กล้าที่จะออกความเห็น ตลอดชีวิตก็มักจะมีคนคิดให้เสมอ“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่ว่านะคะ ส่วนเรื่องงานพรุ่งนี้เราค่อยพูดคุยกันอีกที ถ้าอย่างนั้นเราไปทานข้าวกันดีกว่านะคะ” เมิ่งหลันที่เห็นว่าตอนนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีแล้วจึงได้ชวนทุกคนทานข้าวกัน“แม่ขา มู่มู่จะมาอยู่กับเราหรือคะ” ฟางหลินถามด้วยความสงสัย เมื่อกี้เธอได้ยินแต่ไม่ค่อยเข้าใจ“ใช่แล้วจ้ะ มู่มู่จะมาอยู่ที่นี่ นอนที่นี่ แล้วก็ไปโรงเรียนพร้อมลูกอย่างไรล่ะจ้ะ” เมิ่งหลันตอบคำถามลูกสาวด้วยรอยยิ้ม“ดีเลยครับ มู่มู่จะได้มีข้าวกินทุกวัน” เหวินหลงเองก็ดีใจเหมือนกันเมิ่งหลันให้น้าอี้ฝานพามู่ตานและลูกไปดูที่พัก และหาอาหารให้กิน “เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ” เหอตี้ที่เห็นว่าภรรยาเดินกลับมาที่โต๊ะทานอาหาร ก็อดที่จะถามไม่ได้“ค่ะ วันนี้ฉันเองก็ต้องขอบคุณคุณมากเลยนะคะ ที่ช่วยข่มข
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยฉันด้วยค่ะ” เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังแว่วมาให้ได้ยินพ่อหลิวที่กำลังขับรถมอเตอร์ไซค์ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็หยุดรถลง แล้วมองหาต้นทางของเสียงว่ามันมาจากที่ใด“ช่วยด้วยค่ะ…” เสียงนั้นยังลอยเข้ามาให้ได้ยินอยู่“คุณครับ คุณได้ยินผมหรือเปล่า” พ่อหลิวที่หาต้นเสียงเจอก็รีบวิ่งเข้าไปดู ก็พบผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ที่ริมถนน สภาพของหล่อนนั้นเหมือนกับโดนทำร้ายมา ใบหน้าของเธอปูดบวมเหมือนกับหัวหมู ขอบตาเขียวคล้ำ ปากเจ่อ เสื้อผ้ามอมแมมเปลื้อนฝุ่น พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือดูไม่ได้เลยล่ะเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นหมดสติไปแล้ว พ่อหลิวก็ตัดสินใจพาเธอคนนั้นไปที่โรงพยาบาลในทันที……………………………………………….“ผู้หญิงคนที่ผมพามาเมื่อสักครู่เป็นอย่างไรบ้างครับ” พ่อหลิวถามทันทีที่เห็นว่านางพยาบาลเดินออกมาจากห้องที่ผู้หญิงคนนั้นเข้าไป“ตอนนี้เธอปลอดภัยดีแล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้สติ คงต้องให้เธอนอนพักที่นี่ก่อน ถ้าอย่างไรแล้ว รอคุยกับคุณหมอนะคะ ดิฉันเองก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก” เมื่อพยาบาลคนนั้นพูดจบก็เดินออกไปทันที เพราะมีงานอื่นที่ต้องทำอีกมากพ่อหลิวที่ได้ยินแบบนั้นก็โล่งใจ ตอนที่เห็นผู้หญิงคนนี้
ณ โรงพยาบาล“คุณฟื้นแล้วหรือครับ” พ่อหลิวที่เข้ามาดูอาการถามขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้หญิงที่ตนนั้นพามารักษานั้นฟื้นขึ้นมาแล้ว หลังจากนอนหลับไม่ได้สติมาสามวัน“น้ำ…ขอน้ำค่ะ” เธอคนนั้นขอน้ำทันทีเมื่อหาเสียงของตัวเองเจอพ่อหลิวจึงรินน้ำใส่แก้ว แล้วป้อนผู้หญิงคนนั้นทันที“ค่อยๆดื่มนะครับ เดี๋ยวสำลัก” เมื่อพ่อหลิวเห็นว่าหล่อนดื่มน้ำเร็วจนเกินไปจึงได้เอ่ยเตือนเพราะกลัวว่าหล่อนจะสำลัก“ขอบคุณมากนะคะ” “ไม่เปนไรครับ ” ระหว่างที่ทั้งสองกำลังจะพูดคุยกัน นางพยาบาลก็เข้ามาพอดี เธอจึงไปตามหมอมาดูอาการของคนไข้“อาการไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะครับ จะมีก็แค่บาดแผลภายนอกเท่านั้น รักษาไม่กี่วันก็หายแล้วครับ พรุ่งนี้หมอจะเข้ามาตรวจอีกครั้ง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วครับ” คุณหมอเจ้าของไข้รายงานผลเสร็จก็ขอตัวออกไป“เอ่อ คุณคือคนที่ช่วยฉันไว้หรือคะ” ผู้หญิงคนนั้นถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณหมอเดินออกไปแล้ว“ครับ ผมชื่อหลิวฮุ่ยครับ แล้วคุณมีชื่อว่าอะไรผมจะได้เรียกถูก" พ่อหลิวแนะนำตัว เมื่อเห็นว่าต้องพูดคุยกันอีกนาน“ฉันชื่อจางเย่วค่ะ ฉันต้องขอบคุณมากๆเลยนะคะ ถ้าไม่ได้คุณฉันคงตายไปแล้ว” จางเย่วพูดด้วยน
“คุณพ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ ถึงได้มาหาผมถึงที่นี่” เหอตี้ที่เห็นพ่อตาของตนเดินเข้ามาที่ห้องทำงานก็อดที่จะถามไม่ได้ ทั้งที่ปกติแล้วเวลามีปัญหาอะไรก็มักที่จะพูดคุยกันที่บ้านมากกว่า“ผู้หญิงคนนั้นฟื้นขึ้นมาแล้วล่ะ” พ่อหลิวบอกเพียงเท่านั้นเหอตี้ก็นึกออกทันที ก็ช่วงนี้พ่อตาของเขาเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงาม“แล้วเธอเป็นอย่างไรบ้างครับ อาการดีขึ้นหรือเปล่า” เหอตี้เองก็ได้ไปดูเธอเหมือนกัน เพราะเมิ่งหลันกลัวว่าจะมีปัญหา“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ พรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ" “แล้วเรื่องที่พ่อมาหาผมที่นี่ล่ะครับ” เหอตี้ถาม“คือว่าผู้หญิงคนนั้นเธอบอกว่าเธอถูกทำร้ายโดยสามีของเธอ…” แล้วพ่อหลิวก็เล่าเรื่องที่ตนได้รับฟังมาจากจางเย่วให้เหอตี้ได้ฟัง“คุณพ่อคิดว่าเรื่องนี้น่าเขื่อถือมากแค่ไหนหรือครับ” เมื่อฟังเรื่องทั้งหมดก็อดที่จะถามไม่ได้ เขาเองก็ยังไม่อยากปักใจเชื่อเรื่องนี้มากนัก“ถ้าอย่างนั้นเราพอจะสืบเรื่องนี้ได้หรือเปล่า ถ้ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลพวกเราจะได้ป้องกันเรื่องนี้ทัน” พ่อหลิวเองก็กลัวจะชักศึกเข้าบ้านเหมือนกัน เพราะตอนนี้ธุรกิจของลูกสาวก็เป็นไปด้วยดี แต่คิดอีกทาง ใครกันที่จะยอมเจ็บตัวได้ถึงขนาด
“จะเป็นไปได้ยังไงครับ ในเมื่อเธอขอกลับบ้านเดิมไปตั้งหลายวันแล้วก็ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าหนีไปกับชู้แล้วหรือเปล่า แล้วใครบอกให้พวกคุณมาที่นี่กัน แล้ว….” นายหนิวหันไปบอกเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ทันที แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อจางเย่วก็เอ่ยขึ้นทันที“ฉันเอง…” จางเย่วอดทนไม่ไหวต่อคำพูดของคนเป็นสามีจึงได้แสดงตัวออกมานายหนิวที่ได้ยินเสียงก็หันไปดู ก็เจอเข้ากับภรรยาของตนที่เข้าใจว่าตายไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน เขาเองก็ตกใจเป็นอย่างมาก ตาของเขาปูดโปนจนแทบจะถลำออกมา“นี่..นี่ เธอยังไม่ตะ..เธอกลับมาแล้วหรือ” ก่อนที่นายหนิวจะเผลอพูดอะไรออกไป เขาเองก็ดึงสติของตัวเองกลับมาเสียก่อน ในเมื่อเรื่องนี้ไม่มีคนรู้เห็นยังไงก็ไม่มีคนเอาผิดเขาได้“ใช่ฉันกลับมาแล้ว ว่าแต่คุณเถอะไปที่ไหนมาหรือคะ อย่าบอกนะว่าออกไปตามหาฉัน” จางเย่วถามขึ้น ทั้งที่รู้ว่าเขาคงออกไปตามสืบเรื่องของตน เพราะนี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ก็ยังไม่มีใครหรือเจ้าหน้าที่มาแจ้งว่าเจอศพของเธอ“เธอหายไปไหนมาหลายวันล่ะ รู้ไหมว่าทุกคนเป็นห่วงเธอมาก” นายหนิวหยิบยกคนอื่นมาอ้าง ทั้งที่ทุกคนก็รู้ว่าเธอเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปตามเจ้าหน้าที่มาทำเรื่องหย่าและทวงสินเด
พวกเราคือครอบครัว…สี่ปีต่อมา…หลังจากวันที่เมิ่งหลันคลอดลูกชายฝาแฝด ก็ผ่านมามานานหลายปีแล้ว การเลี้ยงดูลูกของเธอช่างวุ่นวายเป็นอย่างมาก ดีที่เหอตี้ออกจากงานมาช่วยเธอดูแลร้าน ไม่อย่างนั้นเธอเองคงไม่มีเวลาพัก การเลี้ยงลูกถึงสี่คนไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยฟางหลินและเหวินหลงนั้น ดีที่โตพอจนรู้ความแล้ว ตอนนี้อายุก็เข้าปีที่สิบแล้ว หนูน้อยฟางหลินในตอนนี้ความงดงามนั้นเปล่งประกายมากถึงจะยังเด็กอยู่ก็ตาม จนทำให้คุณพ่อนั้นหวงมากเป็นพิเศษ เพราะยิ่งโตหน้าตาก็ยิ่งเหมือนกับคนเป็นแม่ส่วนแฝดน้องเหวินหลงเองก็ใช่ย่อย ความหล่อเหลาก็ไม่ได้แพ้ใคร ในทุกวันที่ไปโรงเรียนมักจะมีสาวน้อยมอบขนมให้อยู่เสมอ จนทุกวันนี้สหายมู่มู่ที่ไปโรงเรียนด้วยกันไม่ต้องเสียเงินซื้อขนมเลยส่วนแฝดชาย หวังจางหมิ่น และหวังเจียวจิ้นนั้น ตอนนี้ก็อายุสี่ขวบแล้ว ซึ่งความซุกซนไม่ต้องพูดถึง ขนาดที่ว่าเมิ่งหลันจ้างพี่เลี้ยงมาเพิ่ม ทั้งสองคนก็ยังหลุดลอดสายตาออกไปซนที่อื่นได้ “จางหมิ่น เจียวจิ้น แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามออกมาเล่นข้างนอกแบบนี้” เมิ่งหลันที่ออกมาเจอลูกๆของเธออยู่ที่ด้านนอกพอดี จึงอดที่จะดุไม่ได้“แม่ครับ พวกเราไม่อยากอยู่ในบ้าน” เ
ออกมาแล้ว…“หลันหลัน คุณไม่ต้องกลัวนะครับ” เหอตี้ผู้เป็นสามีปลอบใจภรรยาอยู่ที่ข้างเตียง วันนี้เป็นวันที่คุณหมอนั้นนัดผ่าคลอดให้กับเมิ่งหลัน เพราะว่าเธอนั้นมีความเสี่ยงจึงต้องใช้วิธีการผ่าคลอดแทนการคลอดธรรมชาติ“เหอตี้คะ ฉันกลัวจังเลยค่ะ” เธอบอกสามีออกไป นี่คือการคลอดครั้งแรกของเธอ เธอจะไม่กลัวได้อย่างไร ถึงแม้ว่าเมิ่งหลันคนก่อนจะเคยคลอดลูกแต่มันก็ไม่ใช่เธออยู่ดี“ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะครับ หมอที่นี่เก่งอยู่แล้ว คุณนอนพักก่อนดีกว่า” เมื่อเหอตี้เห็นว่าภรรยานั้นมีความเครียดจึงอยากให้เธอได้พักผ่อน“แล้วสองแฝดอยู่ที่ไหนหรือคะ” เมิ่งหลันถามหาลูกทั้งสองคน เพราะเธอมารอคลอดตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ก็ยังไม่ได้เจอหน้าลูกเลย“อยู่กับน้าอี้ฝานครับ สองแฝดไม่มีงอแงเลย พูดจารู้เรื่องมาก แค่บอกว่าแม่กำลังจะมาคลอดน้องพวกเขาก็เข้าใจ” เหอตี้เมื่อเช้านี้ได้กลับไปที่บ้านและพูดเรื่องนี้ให้สองแฝดฟัง ซึ่งทั้งสองก็เข้าใจ และบอกว่าจะรอแม่และน้องอยู่ที่บ้าน“คุณจะรอฉันที่ด้านนอกใช่หรือเปล่าคะ” เมิ่งหลันถามสามีเมื่อมองเวลาแล้วไกล้ที่จะเข้าห้องคลอดเต็มที“ผมจะรอคุณอยู่ข้างนอกห้องคลอดแน่นอน ผมรับรองเลยว่าเมื่อคุณออกมา คุ
งานแต่งงานของพี่ใหญ่เหอซาน…วันนี้เป็นวันที่เมิ่งหลันนั้นต้องมาตรวจครรภ์เป็นครั้งที่สอง และการตรวจก็เป็นไปด้วยดี การเติบโตของทารกในครรภ์นั้นดีมากทีเดียวและอีกเรื่องที่ทำให้หลิวเมิ่งหลันและหวังเหอตี้ ต้องตกตะลึงกันอีกครั้ง นั่นก็คือในท้องของเมิ่งหลันนั้นมีลูกน้อยถึงสองคน นั่นก็หมายความว่าในตอนนี้เมิ่งหลันนั้นกำลังท้องลูกแฝดอีกครั้งนั่นเองแต่การแพทย์ในยุคสมัยนี้ก็ไม่สามารถตรวจได้ว่าเจ้าก้อนแป้งที่กำลังนอนอยู่ในท้องของเมิ่งหลันนั้นเป็นเพศไหน จะเป็นชายชาย หญิงหญิง หรือหญิงชาย ก็ไม่อาจรู้ได้ ถึงแม้เจ้าก้อนแป้งทั้งสองจะแข็งแรงดี แต่เมิ่งหลันก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ เธอกลัวการคลอดลูก เธอกลัวว่าจะไม่สามารถคลอดลูกออกมาได้อย่างปลอดภัย เหอตี้ที่รับรู้ได้ถึงความกังวลก็ได้แต่ปลอบใจภรรยา ไม่ว่าอย่างไรเขาจะหาหมอที่มีฝีมือที่สุดมาทำคลอดให้ภรรยาให้ได้“เดี๋ยววันนี้ผมจะพาคุณไปเที่ยวนะครับ” เหอตี้เอ่ยขึ้นเมื่อพากันออกมาจากในโรงพยาบาลหลังจากที่ตรวจการตั้งครรภ์เสร็จแล้ว“คุณจะพาฉันไปที่ไหนหรือคะ” เมิ่งหลันเองก็เดาไม่ถูก เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอก็ยังไม่ได้ออกไปที่ไหนแบบจริงจังสักที เพราะเธอทุ่มเทเวลาใ
คู่มือการเลี้ยงลูก…หลังจากที่ทุกคนรู้ข่าวเรื่องการท้องของเมิ่งหลันก็ยินดีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบ้านใหญ่หวัง แม่เหอที่รู้ข่าวก็ไปสรรหาของบำรุงต่างๆมาให้เมิ่งหลันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโสมหรือรังนกก็ตาม“ฉันต้องขอบคุณคุณแม่มากเลยนะคะสำหรับของบำรุงพวกนี้” เมิ่งหลันบอกแม่สามี ถึงแม้เธอจะรู้ว่าของพวกนี้ดีมีสรรพคุณมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะกินมันได้ เพราะเมื่อครั้งก่อนที่แม่เหอก็ฝากให้เหอตี้เอามาให้เธอทาน พอเธอทานเข้าไปถึงกับอาเจียนไม่ยอมหยุด “ไม่เป็นไรเลยจ้ะ เธอต้องกินมันให้หมดนะ หลานของฉันจะได้ออกมาแข็งแรง” แม่เหอบอกด้วยรอยยิ้ม “ว่าแต่เจ้าใหญ่ จะแต่งงานเมื่อไหร่ดีล่ะ เหอตี้มีลูกแซงหน้าไปแล้วนะ” แม่เหอเอ่ยถามลูกชายคนโต ที่ตอนนี้สานสัมพันธ์กับคู่หมั้นได้อย่างราบรื่น“แล้วคุณแม่ว่ายังไงล่ะครับ พร้อมที่จะไปสู่ขอสะใภ้ใหญ่ได้หรือยัง” เหอซานหันมาถามแม่ของตนบ้างแม่เหอที่ได้ยินแบบนั้นก็ตาโตทันที นี่เจ้าใหญ่ของเธอกำลังบอกให้ไปขอภรรยาให้เขาใช่หรือไม่“นี่ลูกพูดจริงใช่ไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่กับพ่อจะได้ไปพูดเรื่องนี้กับบ้านกงแต่เช้าเลย” “555” เหอซานอดที่จะยิ้มขำแม่ของตนไม่ได้ คงอยากได้สะใภ้มากเลยถ
สองแฝดจะมีน้อง…“ท้อง???”“คุณหมอช่วยพูดอีกครั้งได้หรือเปล่าคะ” เมิ่งหลันที่ต้องการได้ยินอีกครั้ง ว่าอาการที่เธอเป็นนั้นเป็นโรคอะไรกันแน่ เธอไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม“คนไข้ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรนะครับ อาการที่เป็นอยู่ เป็นอาการของคนท้องเท่านั้นครับ” หมอเองได้ตรวจซ้ำถึงสองรอบจากการจับชีพจร ซึ่งผลที่ออกมาก็เหมือนกันทั้งสองครั้งและเขาเองก็มั่นใจเป็นอย่างมากเมิ่งหลันคิดว่ากลับบ้านไปเธออาจจะเรียกเอาชุดทดสอบการตั้งครรค์ออกมาตวจอีกสักครั้ง เพื่อความแน่ใจ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ไว้ใจหมอในยุคนี้หรอกนะ แค่เธออยากมีโมเม้นท์ขึ้นสองขีดแบบคนอื่นบ้างเท่านั้นเอง“แล้วไม่ทราบว่าตอนนี้ฉันท้องกี่เดือนแล้วหรือคะ” เมิ่งหลันเองก็แอบงงเหมือนกัน ทั้งที่เธอเองก็กินยาคุม แล้วลูกของเธอนั้นทะลุยาคุมออกมาได้ยังไงกัน หรือยาที่เธอกินจะหมดอายุนะ แต่ก็ไม่น่าใช่“ประมาณ เดือนกว่าได้แล้วครับ ช่วงนี้คุณก็ดูแลตัวเองให้ดีด้วยนะครับ ของหนักก็ห้ามยกเพราะมันจะเสี่ยงต่อการแท้ง ส่วนในเรื่องของอาหารก็ให้ทานอาหารที่มีประโยชน์ทั้งเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ และก็อย่าลืมดื่มนมด้วยนะครับ อ้อ…และอีกอย่างเรื่องบนเตียงช่วงนี้ก็ให้งดไปก่อนนะครับจนกว่าจะมีอ
เมิ่งหลันป่วย???วันนี้เป็นวันที่ห้าแล้ว ที่เมิ่งหลันและคนงานช่วยกันบรรจุของเพื่อทำถุงยังชีพ และทุกวันก็จะทำได้ประมาณหนึ่งพันชุดทุกวัน“คุณเมิ่งหลันคะ วันนี้มีคนมาโวยวายที่หน้าร้านอีกแล้วค่ะ” ซูเหวินเข้ามารายงานเมิ่งหลัน เพราะหลายวันมานี้มีคนต้องการมาซื้อข้าวสาร อาหารแห้ง แต่ทางร้านไม่สามารถเปิดขายให้ได้ เพราะต้องนำไปช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน นั้นจึงสร้างความไม่พอใจกับลูกค้าบางคน“แล้วได้บอกเหมือนที่ฉันสั่งไว้หรือเปล่าจ๊ะ” เมิ่งหลันเองให้ลูกจ้างทุกคนนั้นบอกลูกค้าไปตามความจริง ว่าทางร้านไมาสามารถขายสินค้าให้ได้ ให้ไปหาซื้อที่อื่นก่อน “บอกแล้วค่ะ….” ทั้งสองพูดกันไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงดังโวยวายกันอยู่ที่ด้านนอก“เฮอะ ที่ไม่ยอมขายข้าวให้พวกฉัน เป็นเพราะว่าจะเอาไปขายให้กับทางการใช่หรือเปล่าล่ะ” เสียงลูกค้าที่เป็นสตรีเอ่ยขึ้น“ไม่อยากขายให้พวกเราก็พูดมาตรงๆเถอะ ไม่ต้องอ้างทางการหรอก มันน่าอาย” เธอยังพูดไม่หยุด“ทำมาเป็นบอกว่าเอาไปช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน ฉันเองก็เดือดร้อนเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้ของพวกนี้กับฉันด้วย” ผู้หญิงทืี่มาด้วยกันเอ่ยขึ้น“ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเราก็ไม่มีเงินมากพอที่จะซ
ช่วยเหลือผู้ประสบภัย…….“ทำไมคุณถึงได้ทำหน้าอย่างนั้นล่ะคะ” เมิ่งหลันถามเหอตี้ที่พึ่งจะกลับมาจากที่ทำงาน ก็เห็นว่าสีหน้าของสามีนั้นไม่ค่อยจะดีนัก ทั้งที่ปกติแล้วเวลาที่เขากลับมาบ้านนั้นมักจะส่งยิ้มมาให้ก่อนเสมอเหอตี้ที่ได้ยินเมิ่งหลันถามก็ถอนหายใจ “วันนี้พี่ใหญ่มาหาผมที่ทำงานครับ” เขาเว้นหายใจไปช่วงหนึ่ง จึงทำให้เมิ่งหลันสงสัยเข้าไปอีก“พี่ใหญ่มาขอความช่วยเหลือน่ะครับ ตอนนี้ทางตอนเหนือเกิดภัยธรรมชาติร้ายแรง ฝนตกหนักมาหลายวัน จนตอนนี้ทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ บางพื้นที่ก็มีน้ำป่าลงมาจากเขาทำให้บ้านเรือนเสียหายเป็นอย่างมาก” เหอตี้พูดพร้อมกับจ้องหน้าของภรรยา “แล้วยังไงต่อคะ” เมิ่งหลันอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ที่เหอตี้ไม่ยอมพูดให้เสร็จเสียที“ตอนนี้ประชาชนในแถบนั้นหลายพันคนกำลังเดือดร้อนเรื่องอาหาร และที่อยู่อาศัย พี่ใหญ่เลยอยากจะขอให้คุณช่วยเรื่องอาหารครับ” เหอตี้พูดออกมาได้ในที่สุด ที่เขาไม่กล้าพูดออกมาในทีแรกเพราะกลัวว่าภรรยาจะไม่ยอมช่วยเหลือในเรื่องนี้ ทั้งๆที่เขาก็รู้แหละว่าเมิ่งหลันนั้นเป็นคนจิตใจดี แต่ในเรื่องนี้ที่ต้องช่วยคนจำนวนมากเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน“แค่นี้หรือคะ??” เม
หลักจากวันที่ช่วยจางเย่วในวันนั้นก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว จางเย่วเองก็ไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านเดิม แต่มาเช่าบ้านเพื่อเปิดร้านค้าตามคำแนะนำของเมิ่งหลันแทนจางเย่วนั้นเปิดร้านขายของชำ ไม่ได้ขายครบทุกอย่างเหมือนร้านของเมิ่งหลัน เพราะเธอนั้นอยู่ตัวคนเดียว เธอจึงเลือกขายของจำพวก ข้าวสาร แป้ง น้ำตาล อาหารแห้ง“คุณจางคะ ของชุดนี้ฉันเตรียมให้แล้วนะคะ ส่วนครั้งหน้าคุณโทรมาบอกที่ร้านก็ได้ค่ะ ฉันจะให้เด็กไปเอาใบรายการที่ร้านให้เอง คุณจางจะได้ไม่ต้องลำบากมาเอง ไหนจะต้องดูแลร้านอีก” เมิ่งหลันที่ให้ความช่วยเหลือก็พร้อมที่จะช่วยแบบเต็มที่ อะไรที่พอช่วยได้ก็ช่วยทันทีถ้าไม่เดือดร้อนตัวเธอ“จะดีหรือคะ มันจะเป็นการรบกวนเกินไปหรือเปล่า ทีี่พวกคุณช่วยฉันเอาไว้ ฉันเองก็ตอบแทนไม่ไหวแล้วค่ะ” จางเย่วนั้นเกรงใจจริงๆ คนที่นี่ช่วยเธอเอาไว้ตั้งมากมาย ชดใช้ด้วยชีวิตก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนได้หมดหรือเปล่าและการที่เธอนั้นมีความกล้าเรื่องค้าขายก็เพราะผู้หญิงตรงหน้านี้ จางเย่วชื่นชมเมิ่งหลันเป็นอย่างมาก ผู้หญิงที่เก่งไปซะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องการค้า การปกครองคน การดูแลครอบครัว ผู้หญิงคนนี้เก่งมากจริงๆ และเธอเองก็หวังที่จะเป
“จะเป็นไปได้ยังไงครับ ในเมื่อเธอขอกลับบ้านเดิมไปตั้งหลายวันแล้วก็ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าหนีไปกับชู้แล้วหรือเปล่า แล้วใครบอกให้พวกคุณมาที่นี่กัน แล้ว….” นายหนิวหันไปบอกเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ทันที แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อจางเย่วก็เอ่ยขึ้นทันที“ฉันเอง…” จางเย่วอดทนไม่ไหวต่อคำพูดของคนเป็นสามีจึงได้แสดงตัวออกมานายหนิวที่ได้ยินเสียงก็หันไปดู ก็เจอเข้ากับภรรยาของตนที่เข้าใจว่าตายไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน เขาเองก็ตกใจเป็นอย่างมาก ตาของเขาปูดโปนจนแทบจะถลำออกมา“นี่..นี่ เธอยังไม่ตะ..เธอกลับมาแล้วหรือ” ก่อนที่นายหนิวจะเผลอพูดอะไรออกไป เขาเองก็ดึงสติของตัวเองกลับมาเสียก่อน ในเมื่อเรื่องนี้ไม่มีคนรู้เห็นยังไงก็ไม่มีคนเอาผิดเขาได้“ใช่ฉันกลับมาแล้ว ว่าแต่คุณเถอะไปที่ไหนมาหรือคะ อย่าบอกนะว่าออกไปตามหาฉัน” จางเย่วถามขึ้น ทั้งที่รู้ว่าเขาคงออกไปตามสืบเรื่องของตน เพราะนี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ก็ยังไม่มีใครหรือเจ้าหน้าที่มาแจ้งว่าเจอศพของเธอ“เธอหายไปไหนมาหลายวันล่ะ รู้ไหมว่าทุกคนเป็นห่วงเธอมาก” นายหนิวหยิบยกคนอื่นมาอ้าง ทั้งที่ทุกคนก็รู้ว่าเธอเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปตามเจ้าหน้าที่มาทำเรื่องหย่าและทวงสินเด