หลังจากที่ทุกอย่างจบลงคุณคานส์กับฉันเราก็ต่างใส่เสื้อผ้า เมื่อใส่เสื้อผ้าเสร็จฉันก็นอนคว่ำหน้าลงเพราะไม่อยากเห็นหน้าเขา ความอับอายมันเกิดขึ้นมาในใจอีกครั้ง “ลงไปกินข้าว” “อลิชไม่หิว” “ฉันสั่ง เธอต้องลงไป” คุณคานส์ออกคำสั่งเสียงกร้าว ทำให้ฉันที่นอนคว่ำหน้าอยู่ค่อยๆ ลุกขึ้น ฉันลงจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตูโดยไม่มองหน้าคุณคานส์ แต่เดินออกพ้นประตูห้องไปได้ไม่กี่ก้าวแขนของฉันก็ถูกกระชากอย่างแรง “เธอไม่มีสิทธิ์มาทำตัวงี่เง่ากับฉัน”“อลิชบอกว่าไม่หิว แปลว่างี่เง่าหรอคะ”“ที่เธอทำอยู่เรียกว่างี่เง่า!!” คุณคานส์ผลักฉันจนเซเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เดินผ่านไปเลย อะไรกันบทจะร้ายทำไมถึงร้ายได้มากขนาดนี้#ห้องอาหาร พอมาถึงก็เห็นว่ามีผู้หญิงนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เธอคือผู้หญิงคนนั้นที่ฉันเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนรักของคุณคานส์ แต่ความจริงแล้วเธอเป็นน้องสาวของเขา เธอหันมามองฉันแล้วก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ฉันจึงยิ้มตอบแล้วนั่งลง “เรื่องของเธอกับเฮีย เฮียบอกฉันหมดแล้วนะ” เมื่อฉันนั่งลงเธอก็พูดขึ้นมาทีนที ฉันได้แค่พยักหน้ารับแต่ไม่ได้พูดอะไรตอบ “จริงๆ ถ้าเฮียอยากจะตรวจดีเอ็นเอไม่ต้องรอคลอดก็ได้นะคะ หนูอยากเ
“ไม่ได้ทำอะไรค่ะ อลิชแค่จะ….โอ้ย~” ฉันจะบอกคุณคานส์ว่าตัวฉันน่ะอยากจะปลูกต้นไม้ แต่แล้วเขาฟังที่ไหนล่ะ พูดยังไม่ทันจะจบก็ลากฉันให้เดินตาม ฉันต้องเขย่งเท้าข้างเดียวตามเขาไปอย่างทุลักทุเล “คุณคานส์ครับ คุณอลิชเธอเจ็บเท้าอยู่นะครับ” เสียงของพี่เจดังขึ้นมา ทำให้คุณคานส์ที่กำลังลากตัวฉันเข้ามาในบ้านหยุดชะงักทันที “ไม่มีปากหรือไง” “…..” อีกแล้วนะ เขาดุฉันอีกแล้ว ทำไมถึงได้ทำท่าโหดเหี้ยมอำมหิตแบบนี้กัน “ทำไมไม่บอกฉันว่าเจ็บ” “แล้วคุณคานส์เปิดโอกาสให้อลิชพูดตอนไหนหรอคะ” คุณคานส์พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ จู่ๆ เขาก็ช้อนมือมาอุ้มฉันขึ้น แล้วพาเดินเข้ามาในตัวบ้าน ซึ่งฉันเองก็ขัดอะไรไม่ได้นอกจากคล้องคอเขาไว้ เพราะกลัวว่าถ้าเกิดดิ้นแรงๆ จะถูกคุณคานส์ปล่อยกระแทกพื้น เขาคงไม่คิดหรอกว่าฉันท้องอยู่ ถ้าคิดคงไม่ลากฉันแบบนี้ตั้งแต่แรก คุณคานส์พาฉันมาที่ห้อง เป็นห้องนอนของฉัน เขาวางตัวฉันลงบนเตียง จากนั้นก็นั่งคุกเข่าลงตรงหน้า “เจ็บเท้าไหน” “ทะ เท้าขวาค่ะ” พอฉันพูดบอก คุณคานส์ก็ค่อยๆ จับเท้าข้างขวาของฉันขึ้นมา “อ๊ะ จะ เจ็บนะคะ” คุณคานส์เงียบ เขาค่อยๆ นวดเท้าให้ฉัน ทำให้ฉันอี้งและตกใจเอามากๆ ไม่คิดว่
วันต่อมาวันนี้ไม่ได้สบายเหมือนเมื่อวาน เพราะเจ้าตัวเล็กในท้องกวนฉันให้ลุกขึ้นมาอ้วกตั้งแต่ตีห้า จากนั้นฉันก็ไม่ได้นอนอีกเลยจนกระทั่งเจ็ดโมงเช้า อาการก็ดีขึ้น ฉันอาบน้ำแต่งตัว เพราะคุณคานส์บอกว่าจะให้ฉันไปทำงานที่บริษัทของเขา ซึ่งฉันเองก็ไม่ขัด เพราะไม่อยากจะนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่บ้านเป็นคุณนาย นี่ฉันเองก็ยังคิดไม่ออกว่าถ้ากลับไปทำงานอีกครั้งจะบอกเพื่อนร่วมงานว่าอะไร เหตุผลที่กลับมาทำงานอีก แต่ยังมีอีกหนึ่งอย่างที่ฉันรู้สึกกลัวมาก คืออาการแพ้ท้อง ขอให้เจ้าตัวเล็กในท้องไม่เล่นงานฉันตอนไปทำงานที่บริษัท “อย่าดื้อกับแม่นะลูก” ฉันก้มหน้าบอกกับลูกในท้องเบาๆ ก่อนจะหันมองที่ประตูห้องเพราะมีคนเปิดเข้ามา เป็นคุณคานส์ที่ยืนมองหน้าฉันอยู่ที่หน้าประตู พอเห็นว่าเป็นเขาฉันก็รีบลุกขึ้นจากเตียงไปหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองแล้วพูด“คุณคานส์เสร็จแล้วหรอคะ อลิชเพิ่งเสร็จ….” “ชักช้า! วันนี้ฉันมีประชุม” พูดจบคุณคานส์ก็เดินไปเลย นึกว่าจะหายหงุดหงิดแล้วซะอีก ฉันรีบเดินตามคุณคานส์มาที่รถ และก็ต้องแปลกใจเมื่อเขาให้ฉันขึ้นรถคันเดียวกันกับตัวเองไปที่บริษัท“ให้อลิชขึ้นไปด้วยหรอคะ”“เธอมีปัญหาอะไร ?” น้ำเสียงของ
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณคานส์ถึงชอบใช้คำพูดร้ายๆ แบบนั้น เขาควรใช้คำพูดที่ดีกว่านี้ ถึงจะไม่ชอบคำพูดของเขาเท่าไหร่แต่ฉันก็ยอมลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินตามคุณคานส์ไปที่ห้องของผู้บริหารอยู่ดี #ภายในห้องผู้บริหาร “นั่งลง” เขาออกคำสั่งอีกครั้ง ฉันจึงรีบนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ ภายในห้องผู้บริหารนั้นกว้างขวางเอามากๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แถมยังมีอีกห้องที่แยกออกไปเป็นห้องนอน ที่ฉันรู้ว่าเป็นห้องนอนก็เพราะว่าห้องนั้นเป็นกระจกใส จึงมองเห็น “ทำไมถึงมีห้องนอนด้วยล่ะคะ” ฉันถามคุณคานส์อย่างแปลกใจ “คิดดูสิ ว่าทำไมถึงมี” คำตอบที่ได้คือคำถามที่ชวนให้ฉันคิด ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ในขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มหน้าคิดอยู่ คุณคานส์ก็เดินมาหยุดตรงหน้า ฝ่ามือใหญ่จับปลายคางของฉันให้เงยขึ้น จากนั้นคุณคานส์ก็ค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมา ฉันจึงรีบปัดมือเขาออกแล้วขยับตัวหนี สมองมันคิดถึงเรื่องนั้น ที่เขากับฉันเกินเลยกันเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะคิด เขาทำให้ฉันคิดด้วยสายตาคู่นั้นคุณคานส์กระตุกยิ้มมุมปาก เขาล้วงมือหยิญโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดอะไรสักอย่าง ก่อนจะพูด แถมในขณะที่พูดสายอยู่สายตาก็เอาแต่จับจ้องใบหน้าของฉั
ตึกตัก ตึกตัก หัวใจดวงน้อยมันเต้นรัวเมื่อมองเห็นการกระทำของคุณคานส์แบบนั้น เขาคิดจะทำเรื่องอย่างว่ากับฉันอีกแล้วใช่ไหม ทำไมถึงได้เป็นคนหมกหมุนเรื่องกามมากขนาดนี้กัน รู้ทั้งรู้ว่าฉันท้องอยู่“มะ ไม่ค่ะ ไม่ทำแบบนั้น” ฉันดีดตัวขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องนอนราบไปอีกครั้งเพราะถูกคุณคานส์กดให้นอนลง เขาขึ้นมาค่อมตัวฉันเอาไว้พร้อมกับแววตาที่เป็นประกาย ใบหน้าคมคายโน้มลงมาใกล้ ใกล้จนฉันต้องเบือนหน้าหนี แต่มันเหมือนว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เขากดจูบลงมาบนต้นคอแทนน้ำเสียงกระเส่าของคุณคานส์เอ่ยถามขึ้น “แบบนั้น เธอหมายถึงคือแบบไหน หื้ม~” พูดจูบคุณคานส์ก็กดจูบลงมาบนต้นคอของฉันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาค่อยๆ ลากไล้ริมฝีปากไปมาเป็นสัมผัสที่ชวนทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว “อื้อ มันจั๊กจี้นะคะ” ฉันใช้มือดันอกแกร่งไว้ ไม่ให้แผงอกทาบลงมาสัมผัสกับหน้าอกของตัวเอง “ฉันถามทำไมถึงไม่ตอบ เปลี่ยนเรื่องทำไม” คุณคานส์ถามในขณะที่กำลังใช้ริมฝีปากลากไล้ไปมาบนซอกคอ “ก็แล้วคุณคานส์คิดจะทำอะไรล่ะคะ”สิ้นสุดคำถามของฉันคุณคานส์ก็เงยหน้าขึ้น เขามองหน้าฉันครู่หนึ่งแล้วถามเสียงเย็น “นั่นสิ ฉันคิดจะทำอะไร ?”“……” ฉันค่อยๆ เม้มปากแน่น สา
คุณคานส์ลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบทิชชูมาให้ฉัน แถมตอนนี้เขายังไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าอีกด้วย ฉันจึงรีบเบือนหน้าหนี แล้วค่อยๆ ดึงผ้าห่มมาปิดคลุมเรียวขาอ่อนของตัวเอง ทิชชูในมือของคุณคานส์ถูกเขาโยนลงมาข้างๆ ตัวของฉัน “รีบๆ เช็ด” สิ้นสุดคำสั่งกร้าวฉันก็ค่อยๆ หยิบทิชชูมา แล้วใช้มันเช็ดคราบน้ำสีขาวขุ่นออกจากหน้าท้องของตัวเอง หลังจากที่ฉันกับคุณคานส์จัดการกับตัวเองเสร็จแล้ว เราทั้งคู่ก็เดินออกมาและได้เห็นว่าอาหารมาเสริฟเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของฉันเริ่มชาหนึบ สมองมันเริ่มคิดว่าคนที่เข้ามาเสริฟอาหารจะได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า แค่คิดก็รู้สึกอับอายเอามากๆ แล้ว “มากินข้าว” เสียงคุณคานส์ออกคำสั่ง ซึ่งฉันก็รีบเดินไปนั่งลงบนโซฟาแล้วเปิดกล่องอาหารเพราะหิวมากๆ มันแปลกที่ในตอนนี้ฉันสามารถกินข้าวได้แล้วโดยไม่รู้สึกอะไร ไม่รู้สึกคลื่นไส้ ไม่มีอาการเหม็นอาหารเหมือนก่อนหน้านี้ “กินเสร็จแล้วฉันจะให้ไอ้เจไปส่งที่บ้าน”“แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยนะคะ” “ขืนปล่อยให้เธอไปทำงานต่อคนทั้งบริษัทคงได้รู้ว่าเธอท้อง” “……” อะไรกัน ก็เขาเป็นคนออกคำสั่งให้ฉันมาทำงานเองนี่นา ตอนนี้จะมาหงุดหงิดทำไมล่ะ “แล้วพรุ่งนี้…”
พี่เอ็มลุกขึ้นมาจากโต๊ะเดินมารับฉันที่หน้าประตู เขาหวังดีแต่ฉันนี่สิเริ่มกลัวขึ้นมาจับใจ คุณคานส์เคยพูดว่าอยู่ข้างนอกเราคือคนแปลกหน้าสำหรับกันและกัน เราไม่รู้จักกัน เพราะฉะนั้นฉันก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลยจริงไหม “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” พี่เอ็มถาม ทำให้ฉันตั้งสติได้แล้วละสายตาจากคุณคานส์มามองพี่เอ็มแทน “เปล่าค่ะ” “ไปครับ พี่หิวจะแย่แล้ว” ไม่พูดเปล่าพี่เอ็มยังจับมือฉันพาเดินมาที่โต๊ะอีกด้วย ถึงฉันจะบริสุทธิ์ใจไม่มีอะไรต้องกลัว แต่ทว่าพอเผลอไปมองคุณคานส์ก็เห็นเขาจ้องเขม็งที่หน้าของฉัน มันก็ทำให้ฉันรู้สึกกลัวจนตัวสั่นอีกครั้ง ทำไมจู่ๆ ถึงได้รู้สึกผิดแบบนี้นะ ทั้งที่ระหว่างฉันกับเขามันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่จะต้องมารู้สึกผิดอะไรนี่ “อลิชจะกินอะไรสั่งได้เลยนะครับ มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” “พี่เอ็มสั่งเลยค่ะ อลิชยังไม่หิว” ฉันต้องปฏิเสธเพราะกลัวว่าถ้าสั่งอาหารมากินอาการแพ้ท้องมันจะกำเริบอีก “ทำไมล่ะครับ พี่นึกว่าอลิชจะมากินข้าวด้วยกันซะอีก” พี่เอ็มถามอย่างผิดหวัง “อลิชกินมาแล้วค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จไปดูหนังกันไหมครับ” “เอ่อ….” “นานๆ ทีพี่มากรุงเทพอลิชคงไม่ปฏิเสธใช่ไหม ?” “ค่ะ ไป
คุณคานส์ถามเขาใช้สายตาดุดันมองหน้าฉันเขม็ง“เธออยู่ที่บ้านของฉัน แปลว่าเธอคือผู้หญิงของฉัน ถ้าไม่ใช่ก็อย่ามาเรียกร้องไห้ฉันรับผิดชอบ” “อลิชไม่ได้อยากให้คุณคานส์รับผิดชอบตั้งแต่แรกนี่คะ ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ก็เพราะพ่อ” ฉันตอบตามความจริง ไม่รู้ว่าเขาจะพูดเรื่องรับผิดชอบขึ้นมาอีกทำไม ในเมื่อเราตกลงกันไปแล้วแท้ๆ “แล้วยังไง ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ที่บ้านของใคร ?” “คุณคานส์เป็นอะไรคะ จะโกรธอลิชเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ทำไม อลิชเคยพูดเรื่องอิสระ เราควรมีระยะห่างให้กันไม่ใช่หรือไงคะ” “อิสระฉันให้เธอแน่ แต่ไม่ใช่การไปไหนมาไหนกับผู้ชายแบบนั้น” “แล้วถ้าเป็นคุณคานส์ไปกับผู้หญิงล่ะคะ จะผิดแบบนี้ไหม” “อย่ามายอกย้อนฉัน!!”“อลิชไม่ได้ยอกย้อน แค่อยากจะรู้ก็เท่านั้น…”“……” เขาไม่ได้ตอบ นั่นแปลว่าตัวเขาจะทำอะไร จะไปกับผู้หญิงคนไหนมันก็ไม่ผิด ต่างกับฉันที่แค่ขยับตัวจะทำอะไรมันก็ผิดหมดทุกอย่าง “คุณคานส์เป็นพ่อของลูกก็จริง แต่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตอลิชนะคะ” ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะกล้าพูดแบบนี้ออกไป ไม่เคยมีใครทำให้ฉันเหลืออดได้นอกจากผู้ชายที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของฉันตอนนี้ “ตอนนี้เธอคือผู้หญิงของฉัน จะเถียงเอาอะ