นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่สมมติขึ้น
ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องจริงแต่อย่างใด ชื่อบุคคล
และสถานที่ที่ปรากฏในเนื้อเรื่อง ไม่มีเจตนา
อ้างอิงหรือก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ
“น้อยหน่า... จากนี้ต่อไปหนูต้องดูแลตัวเองนะลูก หนูต้องเป็นเด็กดี อย่าดื้อให้ลุงโรมเพื่อนพ่อต้องหนักใจ จากนี้ไปลุงโรมจะเป็นคนดูแลหนูแทนพ่อ”
ยุทธนาบอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง สั่นเครือ แต่ก็ไม่ยอมร้องไห้ แค่ขยับปากพูดก็เหนื่อย ในวันที่รู้ตัวแล้วว่าวาระสุดท้ายของตนกำลังใกล้เข้ามาทุกที หลังจากทรมานกับการรักษาตัวเพราะป่วยเป็นมะเร็งในสมองขั้นสุดท้าย ก้อนเนื้อร้ายอยู่ในตำแหน่งที่ยากยิ่งต่อการผ่าตัด
“คุณพ่อจะต้องไม่เป็นอะไรนะ... ฮือๆ”
น้อยหน่าน้ำตาซึม ก่อนที่หยาดน้ำตากลมเกลี้ยงจะกลิ้งลงมาอาบนวลแก้ม
แม้ว่าหล่อนจะถูกเลี้ยงดูให้เป็นคนเข้มแข็ง แต่วันนี้น้อยหน่าก็อดร้องไห้ไม่ได้จริงๆ สิ้นบิดาสักคนหล่อนก็คงไม่เหลือใครแล้ว ความรู้สึกเหมือนเรือที่ล่องลอยเคว้งคว้างในท่ามกลางหมาสมุทรเพียงลำพัง เพราะว่ามารดาก็เสียไปตั้งแต่ตอนที่หล่อนมีอายุได้เพียงขวบเศษๆ
“หนูต้องเข้มแข็ง... ต่อให้ไม่มีพ่อ... หนูก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้... ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น... ลุงโรมจะเป็นคนดูแลหนูเอง”
ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทั้งที่เจ็บปวดเหลือเกิน หากชายผู้เป็นบิดาก็พยายามซ่อนสีหน้าเจ็บปวดจากสายตาของลูกสาว ยุทธนาอยากให้น้อยหน่าจดจำแต่ภาพสุดท้ายที่เป็นความสุข
ยุทธนาช่างเป็นบิดาที่น่าสรรเสริฐยิ่งนักในเรื่องของความอดทน อาจเป็นเพราะสายเลือดชายชาติทหารที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ทำให้เขาเข้มแข็งอย่างที่เห็น
วันนี้น้ำตาของยุทธนาไม่มีไหลออกมาให้ลูกสาวเห็นสักหยด แม้ว่าโรคมะเร็งจะพรากชีวิตเขาไปในวันรุ่งขึ้นก็ตาม
สัปดาห์ต่อมา
ที่บ้านหลังน้อยท้ายซอย น้อยหน่านั่งรอคอยคนที่จะมารับหล่อนไปอยู่ต่างจังหวัดอย่างใจจดใจจ่อ
หญิงสาวยอมรับว่ารู้สึกกังวลใจไม่น้อยที่จะเจอหน้าชายซึ่งบิดาสั่งให้เรียกว่า ‘ลุงโรม’ เพราะหล่อนเคยได้ยินแต่ชื่อของเขา ยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าผู้ชายคนนี้เลยสักครั้ง อดนึกฉงนใจไม่ได้ว่าทำไมบิดาจึงไว้ใจให้เขาเป็นคนดูแลหล่อนต่อไป
ขณะที่สายตาเหม่อลอยของสาวน้อยกำลังทอดมองไปยังเวิ้งฟ้าเกลื่อนปุยเมฆ จู่ๆ เสียงเครื่องยนต์ของรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อสีดำคันใหญ่ที่เคลื่อนเข้ามาจอดเลียบหน้าบ้าน ก็ทำให้น้อยหน่าสะดุ้ง
“ลุงโรม”
หญิงสาวเรียกชื่อเขาทั้งที่ก็ยังไม่เคยเห็นหน้า รถกระบะจอดนิ่งอยู่หน้าบ้าน จากนั้นผู้ชายร่างสูงใหญ่เกินกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรก็ก้าวลงมาจากรถ
“น้อยหน่าใช่ไหม”
รอยยิ้มที่จุดขึ้นตรงมุมปากของคนที่เพิ่งมาถึง ทำให้เขาดูเป็นคนใจดีขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนไม่พูด ไม่ยิ้ม ใบหน้าของลุงโรมดูขรึมดุ แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าแผงหนวดสีดำดกหนาเป็นแพเหนือริมฝีปากบางของเขา ส่งให้ภาพของชายผิวเข้มตัวใหญ่กล้ามใหญ่ยิ่งดูน่ายำเกรง
“ใช่ค่ะ... เอ่อ สวัสดีค่ะลุงโรม”
น้อยหน่ากระพุ่มมือไหว้อ่อนช้อย ใครจะคาดคิดว่าผู้ชายที่บิดาของหล่อนเอ่ยถึงบ่อยๆ จะเป็นฝรั่งที่มีใบหน้าหล่อเหลาคมคร้ามสะดุดตาขนาดนี้
หน้าตาของลุงโรมยังดูหนุ่มมาก เขาตัวใหญ่มาก หุ่นยังฟิตเฟอร์มไปด้วยกล้ามเนื้อตึงเต็มอยู่ภายใต้เสื้อยืดสีขาวที่เขาสวมใส่
ทั้งที่วัยของลุงโรมใกล้เคียงกับบิดาของหล่อน แต่เขายังดูหนุ่มจนน่าประหลาดใจ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าการแต่งกายด้วยเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์นั่นเอง ที่ทำให้เขาดูแตกต่าง
น้อยหน่านึกสงสัยในความเป็นฝรั่ง หรือบางทีเขาอาจจะเป็นลูกครึ่ง เพราะว่ามีเค้าโครงหน้าละม้ายคล้ายชาวต่างชาติเหลือเกิน เส้นผมสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสันสวย ดวงตาสีสนิมเหล็ก และความสูงใหญ่ไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร
“อันที่จริงลุงเข้ามาถึงพักใหญ่ๆ แล้ว แต่กรุงเทพฯ รถติดเหลือเกิน”
โรมกล่าวยิ้มๆ
“ขอโทษที่ลุงไม่ได้มาร่วมงานศพพ่อของหนู”
ในระหว่างที่จัดงานศพยุทธนา ตอนนั้นโรมยังติดธุระสำคัญอยู่ที่อเมริกา จึงไม่สามารถเดินทางกลับมาร่วมงานศพได้ทัน ครั้นพอกลับมาถึงเมืองไทยเขาก็รีบมารับลูกสาวของเพื่อนรักตามที่ได้ให้สัญญาเอาไว้ว่าจะช่วยดูแลน้อยหน่าต่อไป
“รอลุงนานมั้ยลูก”
ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ ยกมือขึ้นลูบศีรษะของหญิงสาวด้วยความเอ็นดู สุ้มเสียงของเขาบ่งบอกถึงความเป็นคนใจดี
“รอไม่นานค่ะ... แต่กังวลว่าลุงจะมามั้ย”
หญิงสาวตอบ
“ต้องมาสิจ๊ะ”
โรมเป็นคนรักษาสัญญาอย่างที่สุด เขาไม่เคยผิดคำพูด สำหรับเขาเมื่อพูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น
“ไม่คิดว่าหนูจะสวยขนาดนี้”
โรมยังตะลึงมอง ยอมรับว่ารู้สึกตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นว่าลูกสาวของเพื่อนรักช่างสะสวยสะดุดตาเหลือเกิน ใครจะเชื่อว่าเด็กกะโปโลที่เขาเคยเห็นเมื่อนานมาแล้วจะเติบโตเป็นสาวสวยได้ถึงเพียงนี้
“อายุเท่าไรแล้ว”
“ย่างสิบเก้าแล้วค่ะ”ในวัยย่างสิบเก้าปีน้อยหน่าช่างดูสวยสะพรั่งเกินตัว ผิวพรรณของหล่อนขาวผ่องและเปล่งปลั่งไปด้วยเลือดเนื้อของวัยสาว ทว่าสิ่งที่โรมแอบสังเกตเห็นอีกอย่างก็คือแววตาคมสวย แต่แฝงประกายเร่าร้อนวูบวับอยู่เบื้องหลังความสดใส “หนูโตขึ้นมาก... ”โรมย้อนระลึกกลับไปในอดีตเมื่อแปดปีที่ผ่านมา ตอนที่เขาตัดสินใจย้ายไปอยู่อเมริกา“เมื่อก่อนคุณลุงเคยเห็นหนูด้วยหรือคะ?”น้อยหน่าแปลกใจ หัวคิ้วโค้งราวคันศรขมวดชิดเข้าหากัน“เคยเห็นจ้ะ... ตอนนั้นลุงแวะมาหายุทธนาพ่อของหนู เคยเห็นหนูวิ่งเล่นอยู่หน้าบ้าน บังเอิญวันนั้นลุงรีบมาก มีธุระด่วนเลยต้องรีบกลับ ทักทายกันเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง วันนั้นลุงซื้อตุ๊กตาหมีมาฝากหนูด้วย จำได้ว่าเป็นวันเกิดของหนูพอดี”น้อยหน่ารู้สึกตกใจ หล่อนเพิ่งรู้ก็ตอนนี้เอง ว่าเจ้าหมีขาวขนยาวปุกปุยตัวใหญ่ที่นอนกอดมาตั้งแต่เล็กๆ จนถึงทุกวันนี้... ที่แท้ก็ลุงโรมนั่นเองที่เป็นคนซื้อให้“ตุ๊กตาตัวนั้นทุกวันนี้ยังอยู่ค่ะลุงโรม... น้อยหน่าเอาไปด้วยค่ะ”หล่อนเหลือบมองกระเป๋าสัมภาระที่วางรวมอยู่หน้าบ้าน โรมทอดสายตาไปยังข้าวของที่น้อยหน่าขนออกมาเตรียมรอเอาไว้ที่หน้าบ้าน เดาว่
สัปดาห์ต่อมา“ลุงจะพาไปเที่ยวทุ่งนาด้านหลัง... ดีมั้ย ถ้าหนูอยากสูดอากาศบริสุทธิ์”“ดีค่ะ... น้อยหน่าอยากเห็นค่ะลุงโรม”ท่าทางของสาวน้อยดูตื่นเต้น“มีเสื้อกันหนาวมาด้วยมั้ย... ”เสียงของโรมบอกความห่วงใย ขณะสายตาจับอยู่ที่พวงแก้มนวลปลั่งของหลานสาวแสนสวย ตอนนี้ใกล้จะค่ำแล้ว อากาศเริ่มเย็นลงทุกที“มีค่ะ... ”น้อยหน่าตอบพลางเงยหน้าขึ้นสบตาลุงโรมขณะยกนิ้วขึ้นเกลี่ยช่อผมบางส่วนที่ปลิวลงมาเคลียแก้ม เกี่ยวด้วยนิ้วขึ้นไปทัดเอาไว้หลังใบหู“ลุงโรมหล่อจัง”แสงแดดลำสุดท้ายที่สาดมากระทบโครงร่างสูงใหญ่สุดสมาร์ทของเจ้าของบ้าน ทำให้น้อยหน่ามองเห็นความหล่อเหลาของโรมได้อย่างชัดเจนเต็มตา“นึกยังไงมาชมลุง”โรมขัยบเข้ามาใกล้ร่างเอิบอิ่ม ยกมือขึ้นลูบศีรษะของน้อยหน่าด้วยความรู้สึกเอ็นดู ยิ่งเข้ามาใกล้หล่อนเขายิ่งรู้สึกตื่นเต้น“มองอะไรจ๊ะ”โรมถามเมื่อเห็นน้อยหน่าตะลึงจ้องหน้าเขาไม่วางตา ผิวสีทองแดงคร้ามแดดยิ่งเสริมส่งให้โรมดูคมเข้มสมชายชาตรี เนื้อตัวกำยำไปด้วยมัดกล้าม ใบหน้าคมคร้ามไร้ที่ติติง แพหนวดดกหนาเหนือริมฝีปากทำให้ยิ่งแลดูน่าครั่นคร้าม แต่ในสายตาของน้อยหน่ากลับมองว่าน่ารัก“ถามก็ไม่ตอบ”“มองลุงโรมนั่น
“หนูอยากให้ลุงโรมเป็นพ่อหนู... หนูเรียกลุงโรมว่าพ่อโรมได้ไหมคะ”น้อยหน่าเอ่ยออกมา“ได้สิ... จะเรียกลุงโรมหรือพ่อโรมก็ได้”อารมณ์ของโรมสะดุดลงนิดนึง ตอนแรกเขาคิดว่าลูกสาวของเพื่อนกำลังทอดสะพาน แต่คำพูดที่ได้ยินชัดเจนเต็มสองหูเมื่อครู่ก็ทำให้เข้าใจแล้วว่าน้อยหน่าคงรู้สึกกับเขาอย่าง ‘พ่อ’ คนหนึ่งเท่านั้นเองโรมตำหนิตัวเองที่แอบคิดไปในทางชู้สาว เพราะเขาเองก็ยอมรับว่าเจ้าชู้ เป็นชายชาตรีทั้งแท่งที่ยังมีความปรารถนาในความรักความใคร่เหมือนคนทั่วๆ ไป “พ่อโรม... พ่อโรมของน้อยหน่า”ขณะรถแล่นไปตามทางดินสายเล็กๆ มุ่งสู่หนองน้ำน้อยหน่าสวมกอดเขาแน่นเมื่อโรมอนุญาตให้เรียก ‘พ่อ’“ถึงแล้วจ้ะ... ”โรมทอดสายตาไปยังหนองน้ำ แลเห็นบัวสายชูดอกสีแดงสะพรั่งเบ่งบานไปทั้งบึง“น้อยหน่าอยากเล่นน้ำค่ะพ่อโรม... พ่อโรมขับรถไปจอดใกล้ๆ กระท่อมตรงโน้นได้ไหมคะ” “ได้สิ”เหมือนคำสั่งของหญิงสาวนั้นเป็นมนต์สะกด โรมรีบเลี้ยวรถโฟล์คกอล์ฟไปยังกระท่อมร้างใต้ต้นตะแบกร่มครึ้ม แลเห็นดอกสีม่วงร่วงพลิ้วลงมาตามแรงลมราวกับมีมือที่มองไม่เห็นช่วยหว่านโปรยลงมา“สวยจังค่ะ” น้อยหน่าทอดสายตามองริ้วน้ำใสแจ๋วในบึงด้วยความ
“อ่าห์... ”หลังจากแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่มเร่าร้อน โรมเป็นฝ่ายหลุดเสียงครางออกมาก่อน เพราะรสชาติจากปลายลิ้นหวานละมุนของหลานสาวที่สอดล้วงเข้ามาเกี่ยวกระหวัดรัดร้อยดูดเลียลิ้นของกันและกันดื่มด่ำ ทำให้เขาเสียวซ่านเหมือนมีกระแสไฟอ่อนๆ ไชชอนลงไปทั่วร่างถึงปลายเท้า“ซี้ดดด... อ่าห์”น้อยหน่าเผลอครางออกมาเช่นกัน ที่หล่อนและโรมรู้สึกซ่านเสียวเพียงจูบแรกก็เพราะว่าในทุกอณูของลิ้นนั้นเต็มไปด้วยเส้นประสาท การจูบกันอย่างดื่มด่ำด้วยลิ้นจึงสามารถจุดไฟพิศวาสขึ้นโดยง่าย “ลุงโรมจูบเก่งจัง” น้อยหน่ายอมรับว่ารู้สึกร้อนวูบวาบ ครั้นแล้วหล่อนก็ร้องออกมาเสียงดังลั่น “ว้าย... ช่วยด้วยค่ะ... ตะคริวค่ะ... อ๊อย” โรมผวาเข้าคว้าร่างของหลานสาวเข้ามากอดเอาไว้ “ไม่ต้องกลัว... กอดลุงไว้แน่นๆ” โรมบอกให้รู้ว่าหล่อนจะปลอดภัยอย่างแน่นอนเมื่ออยู่ใกล้เขา รีบช้อนร่างอวบอัดของหลานสาวขึ้นอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน สองแขนน้อยๆ ของน้อยหน่าโอบรัดอยู่รอบลำคอบึนหนาของโรม “อากาศเย็น... น้ำเย็น... หนูคงยังไม่คุ้นกับที่นี่” เขาอุ้มร่างระทดระทวยของหลานสาวเข้ามาในกร