“พูดมีเลศนัย”
“ผมได้กลับเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ตำแหน่งที่โรงแรม...”
อานิกออกชื่อโรงแรมใหญ่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่งให้อุรวีทำตาโต แล้วหล่อนก็มีกิริยายินดีจนเห็นได้ชัด
“ดีซิ ที่นั่นมีห้องอาหารที่อาหารอร่อยเยอะ”
“เป็นงั้นไป ผมนึกว่าเพราะผมได้เข้ากรุงเทพฯ เสียอีก ที่ทำให้วีดีใจ”
เขาตัดพ้อ แล้วหลังจากนั้นระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ก็เป็นการคุยกันเรื่องสารทุกข์สุกดิบต่างๆ แต่ก่อนจะได้อิ่มกับอาหาร อุรวีได้อิ่มกับคำหวานจากปากของอานิก จนหัวใจของหล่อนพลอยเบิกบานไปหมด
“ไปดิ้นต่อหน่อยดีไหม...จะได้ขยับแข้งขยับขา...ไม่อ้วนดีด้วย”
“ขอโทรฯ กลับบ้านก่อนนะ...เดี๋ยวคุณยายกับคุณป้าจะเป็นห่วง”
อานิกขอตัวไปเข้าห้องน้ำเมื่ออุรวีแยกไปโทรศัพท์ หล่อนแจ้งข่าวให้คุณยายได้รู้ก่อนว่าจะไปไหน แล้วจะกลับบ้านเวลาประมาณเท่าใด เผื่อว่าท่านจะได้ไม่ห่วง พอวางโทรศัพท์ลงหันกลับมา...ก็เกือบจะชนกับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางเหมือนจะใช้โทรศัพท์ด้วยเหมือนกัน
“ขอโทษครับ”
ได้ยินน้ำเสียงของเขา แต่ยังมองไม่เห็นหน้า อุรวีได้แต่อุทานอยู่ในใจว่า ผู้ชายคนนี้สูงจัง จนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง แล้วพอเห็นดวงหน้านั้น หล่อนก็ไม่ได้แสดงความประหลาดใจออกมาแต่อย่างใด นอกจากเปิดยิ้มให้ แล้วกล่าวทักทายเขา
“ไปๆ มาๆ ก็ยังมาพบกันที่นี่อีกจนได้”
เขาไม่พูด มองดูหล่อนเฉยๆ ดูเขาเหมือนรูปสลักที่มั่นคง เฉยชา ปราศจากชีวิตจิตใจ ถึงจะเป็นหนุ่มหล่อ แต่ทำท่าแบบนี้ สำหรับอุรวีหล่อนก็รู้สึกเต็มกลืนอยู่เป็นอ้นมากเหมือนกัน
“ผมจะไปโทรศัพท์”
เขาบอก เสียงเบามากจนเกือบจะไม่ได้ยิน เพราะรอบๆ ตัว คือเสียงอึกทึกตามแบบร้านอาหาร อุรวียังยืนกอดอกเฉยๆ อยู่ เขาจึงบอกย้ำอีกหน
“เดี๋ยวผมจะต้องรีบไป หลีกทางให้ผมหน่อยได้ไหม”
นั่นแหละ หล่อนถึงเบี่ยงไหล่ให้เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ได้ขยับไปทางไหน ครั้นเห็นเขาปรายตามามองขณะหมุนหมายเลขโทรศัพท์ หล่อนก็บอกหน้าตาเฉย
“ฉันรอเพื่อนอยู่ อยากโทรฯ ก็โทรฯ ไปซิ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะแอบฟัง เพราะได้ยินอยู่แล้ว”
เขาสะอึกได้เหมือนกัน แต่มองเห็นหน้าอุรวีไม่ถนัดนัก เพราะหล่อนยืนหันข้างให้เขา
แต่เขาก็รู้ว่าอุรวีเงี่ยหูฟังทุกถ้อยคำที่เขาพูดอย่างหน้าตาเฉยเหมือนกัน ที่อัมพุพูดโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ แล้วทำให้อุรวีถึงกับตวัดสายตามามองเหมือนจะหมั่นไส้เต็มอก
เพราะอุรวีจับใจความได้ไม่หมด ภาษาอังกฤษสำหรับหล่อนนั้นไม่สู้จะสันทัดจัดเจนสักเท่าไหร่เลย ฟังได้เพียงผ่านๆ หู เท่านั้น แล้วใจของหล่อนก็ค่อนว่าเขาได้
...ดัดจริต...
หล่อนรอจนกระทั่งอานิกเดินมาหา จึงเกาะแขนเขาเอาไว้ พร้อมด้วยน้ำเสียงฉอเลาะที่ทำให้อัมพุเองก็ยังสะดุดหู
“แหม...นิกเข้าห้องน้ำนานจัง รู้ไหมว่าวีน่ะกำลังหูอื้อ...”
อานิกไม่เข้าใจ แต่อัมพุเข้าใจ และยังประหลาดใจไม่วายว่าทำไมอุรวีถึง ‘รวน’ หาเรื่องกับเขาถึงเพียงนี้ ก็เพิ่งได้เห็นหน้าและได้รับการแนะนำให้รู้จักกันเมื่อตอนเช้านี้เอง
“ทำไมล่ะ หรือว่าเอะอะกับเสียงดนตรี”
“เปล่าจ้ะ แต่วีไม่คุ้นกับลิ้นอ่อนๆ เหมือนลิ้นนกขุนทองของคนบางคน พูดภาษางี้ได้เกือบเหมือนเจ้าของภาษา แหม...ถ้าเป็นนกนะ คงจะเลี้ยงง่ายดีจัง ฝึกง่าย ลิ้นอ่อน...ไม่ต้องไปขูดลิ้นกันอีก”
อัมพุเกร็งขึ้นทั้งตัวทีเดียว แล้วก็พูดไม่ออก ทั้งที่เสียงปลายสายที่เขาสนทนาอยู่ด้วยจะดังมาเจื้อยแจ้วอยู่ก็ตามที ดวงตาของเขามองเลยไปประสานกับดวงตากลมๆ ของอุรวี ที่มองมาทางเขาเหมือนจะท้าทายอยู่แล้ว แววตาของหล่อนเหมือนจะบอกเขาว่า ที่หล่อนพูดมาทั้งหมดนั้นหมายถึงเขา
...แล้วนายจะทำไม...
เขาเองก็ผ่านชีวิตมามาก พานพบผู้หญิงมาก็ไม่น้อย ทั้งที่สวยและไม่สวย แต่อุรวีเป็นผู้หญิงที่มีรูปสมบัติพอจัดเข้าขั้นว่าสวย เสียอยู่ตรงที่เหมือนหล่อนขาดเสน่ห์ นั่นทำให้ความงามของหล่อนลดน้อยถอยลงไป
“ไปกันเถอะ...”
หล่อนเกาะแขนอานิกเดินออกไป แต่เสียงของหล่อนยังเข้ามากระทบหูเขาอยู่นั่นเอง
“วีต้องทำท่าเป็นฝาหรั่งเอาไว้มั่ง มันโก้เก๋ดี...จริงไหมจ๊ะ นิก อย่างเวลาเดินนี่ก็ต้องเดินกอดกัน...”
เสียงหัวเราะของหล่อนยังหวานวะแว่วอยู่ แต่กังวานเสียงที่หล่อนจงใจจะฝากเอาไว้ถึงเขานั้นมันค่อนข้างจะเย้ยหยัน จนอัมพุไม่เข้าใจว่าทำไมหล่อนถึงปฏิบัติแบบนี้กับเขาด้วย
เขาไปทำความเดือดร้อนอ้นใดให้กับหล่อนแน่
และเพราะอัมพุไม่ได้รู้ถึงเบื้องหลังอ้นสลับซับซ้อนของอุรวีกับอันธิกา
เขาเพียงแต่เป็นคนนอกที่พลัดหลงเข้ามาในกระแสของความชิงชัง ที่สองหญิงมีต่อกันเท่านั้น
“ขอให้อ้นไปทักทายญาติก่อนได้ไหม”
อันธิกาบอกเมื่อไขกุญแจรถได้แล้ว เพราะได้ยินเสียงแตรรถเรียกกระชั้น พร้อมกับเสียงเรียกชื่อหล่อน อัมพุมองตามไป แล้วก็ได้เห็นดวงหน้าของหญิงสาวที่โผล่ออกมา คิ้วเข้มหนาของเขาดึงเข้าหากันอย่างประหลาดใจ...อุรวีเป็นญาติของอันธิกาหรอกหรือนั่น...ชายหนุ่มมองไปเพียงแวบเดียวก็ไม่ได้แยแสอีก เปิดประตูเข้าไปนั่งรออันธิกาอยู่ในรถ
จนกระทั่งรถคันนั้นแล่นออกไปแล้ว อันธิกาเดินกลับมาที่รถ เปิดประตูขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัย ท่าทางของหล่อนยังเป็นปกติ แต่การออกรถอย่างกระชากๆ อยู่สักหน่อย ก็ทำให้อัมพุปรายตามอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกจากปิดปากนิ่งเฉยเสีย เพราะถือว่าไม่ใช่กงการของเขาเลย
“รู้จักญาติของอ้นแล้วนี่คะ อุรวี...เขาเป็นนักดีไซน์ฝีมือเยี่ยมของบริษัท อีกหน่อยคุณก็ต้องทำงานประสานกับเขาเรื่องหนังสือ”
“คุณสุนิสาแนะนำให้รู้จักเมื่อเช้า”
“วีเขามีศักดิ์เป็นพี่...”
“ผมนึกว่าคุณอ้นเป็นลูกสาวคนเดียว”
“ค่ะ อ้นน่ะลูกคนเดียว...เขาน่ะแค่ศักดิ์เป็นพี่...จะว่าไงดีล่ะ...วีเขาใช้นามสกุลทางแม่ เขาไม่ยอมใช้นามสกุลของพ่อ เพราะเกลียดพ่อมาก วีเขาเป็นคนรุนแรง รักก็จี๋ เกลียดงี้น่าขนลุก...เป็นคนอาฆาตพยาบาท ก็ดูเถอะค่ะ ขนาดพ่อแท้ๆ เขายังคุมแค้นสารพัด นับประสากับคนอื่น...พ่อน่ะพยายามทำดีกับวีมาตลอด บริษัทนั่นน่ะ พ่อสร้างมันขึ้นมาเพื่อให้วีเขาได้ทำงานนะคะ...คุณไปทำงานที่นั่น ก็ควรจะได้รับรู้ข้างในเป็นยังไง”
“ผมก็ทำงานของผมไป ใครจะเป็นยังไงผมไม่สนใจหรอกครับ จะทำงานของผมให้ดีที่สุดเท่านั้น”
“อ้นบอกเอาไว้ เผื่อว่าวีจะตั้งแง่เอากับคุณมั่ง...เขาขวางคนง่ายเกินไป เอาเถอะค่ะ เราพูดเรื่องของเรากันดีกว่า เก็บเรื่องของวีเค้าไปก่อน เพราะไม่เกี่ยวกับเรา”
แต่อันธิกาก็ไม่ได้รู้สักนิดว่า ที่หล่อนบอกกล่าวเอาไว้นั้น ไม่ได้หายหกตกหล่นไปจากความทรงจำของอัมพุเอาเสียเลย
อัมพุยอมรับว่าเขาออกจะใจดำเกินไปสักหน่อย เมื่ออันธิกามาส่งเขาที่ห้องพักแล้วเขาทำเฉยเมย เหมือนไม่รู้ว่าที่จริงแล้ว หล่อนอยากจะให้เขาออกปากเชื้อเชิญเข้ามาในห้อง แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ สักห้านาที ก็เชื่อได้ว่าหล่อนคงจะปีติยินดีในการจะเข้ามาอย่างแน่นอน
ที่เขาทำก็คือรีบร้อนบอกลาในคืนนี้ด้วยเสียงนุ่มนวล อย่างน้อยเขาก็ยังระวังความรู้สึกของอันธิกา รู้ว่ามีบางจุดในตัวหล่อนที่เปราะบางเสียเหลือเกิน แล้วเขาก็รู้อีกด้วยนั่นแหละว่า มีหนี้บุญคุณที่เขายังไม่ได้ชดใช้ต่อหล่อน
“ขอบคุณมากครับ คุณอ้น ที่พาไปกินข้าว แล้วมาส่ง”
อันธิกาสะกดกลั้นความผิดหวังเอาไว้อย่างยากเย็นเป็นอ้นมาก ดูเหมือนว่าหล่อนจะได้ลงทุนลงแรงไปเป็นอ้นมากกับผู้ชายคนนี้ แต่ยังไม่มีสิ่งตอบสนองน่าพึงพอใจเอาเสียเลย หญิงสาวยังยิ้มแย้มเป็นอ้นดี ตอบแกมด้วยเสียงหัวเราะๆ ว่า
“คุณท่าจะง่วงแย่แล้ว ดูตาซิ...”
โทรศัพท์กรีดเสียงระรัวขึ้น ในท่ามกลางความเงียบ เสียงนั่นก็ทำให้ถึงกับสะดุ้งได้เหมือนกัน อุรวีเอื้อมมือแหวกๆ กองกระดาษและกองผ้าที่สุมอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าออกไป คว้ากระบอกโทรศัพท์ขึ้นมาวางแนบไว้กับซอกคอ กรอกเสียงลงไป มือก็ร่างแบบเสื้อต่ออย่างขะมักเขม้น“ค่ะ...วีพูดค่ะ”เสียงปลายสายอู้อี้จนเกือบจะไม่ได้ยิน “ไม่ได้ยินเลยค่ะ” หล่อนบอกไป “ค่ะ ได้ยินแล้ว...อ้าว...นิก หรอกรึ...ถึงว่าซิเสียงคุ้นๆ”หล่อนหัวเราะออกมา วางดินสอลง เอนหลังพิงกับพนัก...“ลงมากรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ว่าไงนะ กินข้าวเย็นนี้เหรอ ได้ซิ ได้...แต่ต้องเย็นๆ มากหน่อยนะ...งานยุ่ง นี่ก็งานเต็มโต๊ะเลย จะมารับไหม...จะให้ไปเองเหรอ ที่ไหน...จ้ะ...จ้ะ...”หล่อนรับรู้ในที่นัดหมายแล้วก็ก้มหน้าทำงานต่อไปเรื่อยๆ นี่เพิ่งจะสิบเอ็ดโมงเท่านั้นเอง“วี...”ประตูห้องเปิดเข้ามา แล้วเจ้าของเสียงก็เดินเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉง เป็นหญิงสาวใหญ่ อายุสี่สิบเศษๆ แต่ยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ“เห็นช่างภาพคนใหม่ของเราหรือยัง เขาเพิ่งมารับงานถ่ายแบบคราวนี้เอง โอ้โฮ...พี่งี้เห็นแล้วน้ำลายจะหกซะให้ได้ หล่อเฟี้ยวเลย พวกสาวๆ กำลังกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่...”อุร
“ไหนว่างานยุ่ง”“อยู่ๆ หัวก็มึนตื้อเฉยๆ สงสัยจะเพราะอีตาอัมพุนั่นแหละ...ตะกี้วีก็เจอที่หน้าห้อง ท่าทางแกขวางโลกดีนะ...อย่างนี้แหละมันน่าจะทำให้หัวปั่นซะเลย”“จะทำอะไร”“อ้าว...” หล่อนร้องเสียงแหลม ตาพราวระยับ “คนไม่ชอบหน้ากัน เขาทำยังไงต่อกันล่ะคะ”“ทุกทีเห็นวีเป็นคนมีมิตรจิตกับคนมาใหม่”“กับคนนี้เห็นจะต้องยกเว้นกระมังคะ วีเพิ่งเชื่อเดี๋ยวนี้เองแหละว่าทำไมที่บางคนเขาถึงพูดว่า ถ้าหากไม่ชอบหน้าก็ไม่ต้องไปหาเหตุผล ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ พอเห็นหน้าแล้วก็ไม่ชอบเลย”“เขาหล่อนะ” สุนิสาแกล้งท้วงอุรวีทำหน้าเบ้“หล่อก็หล่อซิ”“ทุกทีเห็นว่าเป็นหนุ่มหล่อ เธอก็เนื้อเต้นแล้ว”“เก็บหมอนี่ไว้เถอะค่ะ วีไม่อยากจะยุ่งด้วย...แต่จะให้อยู่เฉยๆ ก็คงจะไม่ยอมเหมือนกัน ขอให้ได้ทำให้หัวปั่นก่อนเถอะ...”“อย่าลืมนะว่าเขาเป็นคนมีฝีมือ...อย่าทำให้เขาอยู่ไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะต้องจ่ายแพงมาก ถึงได้ตัวเขามา”อุรวีเบะปากออกนิดๆ“เงินน่ะ คุณสา...ถ้าใจถึงซะอย่าง ทุ่มเข้าไป หน้าไหนมันก็สยบทั้งนั้น จะเอาดีเลิศกว่าหมอนี่ก็คงจะมี แล้วกะแค่ช่างถ่ายรูป...มือแน่มาจากไหนกันเชียว มีอีกถมเถไป”“ไปถามลูกสาวท่านประธานใหญ่แล้วกัน”“ต๊าย...
“ไม่สบายหรือคะ”น้ำเสียงอ่อนหวานเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยนั้น ทำให้เขาปรือเปลือกตาขึ้นมอง แล้วก็เห็นดวงหน้ากลมอิ่มเปล่งปลั่งแบบคนที่มีความสุขสมบูรณ์กับชีวิตเต็มเปี่ยม มืออูมหนาไปด้วยเนื้อแตะอังที่หน้าผากของเขา“ตัวไม่ร้อนนี่คะ ทำไมท่าทางเหมือนหมดอาลัย...”คุณนพมาศนั่งลง ทำให้เขาพลอยขยับตัวขึ้นมานั่งให้ดูดีขึ้น ยกมือลูบหน้าตัวเองไล่เรื่อยลงมาจากหน้าผากจนกระทั่งถึงปลายคาง ก่อนจะลดมือลง“รู้สึกเพลียๆ”“เรื่องงานอีกซิคะ”“วันนี้ผมเจอยายวี...”“อ้อ...”เธอพึมพำเบาๆ รับรู้เงียบๆคุณนพมาศไม่เคยแสดงท่าทีปราศจากความเป็นมิตรกับลูกเลี้ยง แต่ในเวลาเดียวกัน เธอก็ไม่อาจจะทำตัวเป็นเสมือนแม่ของอุรวีได้สนิทใจ เพราะตั้งแต่เยาว์วัยแล้วที่อุรวีมีท่าทางเฉยชาแบบคนแปลกหน้ามาตลอด“ไปที่บริษัทนั่นเอง...”คุณอาร์มมีกิจการค้าอยู่หลายแห่ง เขาสร้างตัวเป็นปึกแผ่นได้ในช่วงชีวิตเดียว และกิจการหนึ่งที่คุณนพมาศพยายามลืมๆ ว่าไม่มีก็คือบริษัทออกแบบนั่น เพราะอุรวีทำงานที่นั่น เธอสดับตรับฟังความสามารถของอุรวีทีไรก็ยอกแปลบอยู่ในอก เพราะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับอันธิกา แต่อุรวีได้เรื่องได้ราวมากกว่าอันธิกาไม่ได้เป็นโล้เป
“ผู้ชายมีอดีตไม่สะอาดนัก ไม่ไหวล่ะค่ะ ขี้เกียจเอามาให้คนเขาพูดถึงลับหลัง เรื่องของนายคนนี้ดิฉันได้ยินมาหนาหูนัก สารพัดเลยที่ฟังแทบไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง...”“แต่ยายอ้นไม่ใช่คนโง่”“ค่ะ แกไม่โง่ แต่แกไม่ค่อยระมัดระวังตัวเอง คบหากับผู้ชายคนไหน แกก็วางความสนิทสนมลงไปหมด คนไม่เข้าใจก็นึกว่าแกเป็นสาวเปรี้ยวจี๊ด เล่นง่าย ทำให้ชื่อเสียงของแกพลอยเหม็นเน่า ราคาตกหมด”“ถ้าตัวแกไม่เสื่อมเสียซะอย่างก็ช่างเถอะ ผมไม่ถือสาเรื่องที่แกเป็นสาวเปรี้ยว...ดีกว่ามีลูกสาวหงิมๆ นะ ผมไม่ชอบคนหงิมๆ ซึมๆ ชอบอย่างที่คล่องแคล่วปรู๊ดปร๊าดมากกว่า”“แต่นายอัมพุก็มีเมียแล้วไม่ใช่หรือคะ”“ถ้าเมียมี แล้วทำไมเมียไม่มาด้วย”“คุณก็...พูดเป็นเล่นไปได้ ดิฉันก็หนักใจนะคะ ไม่อยากให้ยายอ้นไปยุ่งเกี่ยวกับผัวใคร...” เธอสะดุดไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงปร่าๆ“กลัวจะมีคนพูดกันได้ว่าแม่ลูกซ้ำรอยกัน คือชอบผัวเขา...”คุณอาร์มดึงร่างของภรรยาเข้ามาใกล้ สวมกอดเธอเอาไว้หลวมๆ ในวงแขน“ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรนี่นา คุณเป็นเมียเดียวของผม...มีทะเบียนสมรสถูกต้อง แล้วเรื่องอ้น...ผมไม่เชื่อว่าแกจะทำอะไรร้ายๆ แบบนั้น ถ้าอัมพุมีเมียเป็นต
“พูดมีเลศนัย”“ผมได้กลับเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ตำแหน่งที่โรงแรม...”อานิกออกชื่อโรงแรมใหญ่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่งให้อุรวีทำตาโต แล้วหล่อนก็มีกิริยายินดีจนเห็นได้ชัด“ดีซิ ที่นั่นมีห้องอาหารที่อาหารอร่อยเยอะ”“เป็นงั้นไป ผมนึกว่าเพราะผมได้เข้ากรุงเทพฯ เสียอีก ที่ทำให้วีดีใจ”เขาตัดพ้อ แล้วหลังจากนั้นระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ก็เป็นการคุยกันเรื่องสารทุกข์สุกดิบต่างๆ แต่ก่อนจะได้อิ่มกับอาหาร อุรวีได้อิ่มกับคำหวานจากปากของอานิก จนหัวใจของหล่อนพลอยเบิกบานไปหมด“ไปดิ้นต่อหน่อยดีไหม...จะได้ขยับแข้งขยับขา...ไม่อ้วนดีด้วย”“ขอโทรฯ กลับบ้านก่อนนะ...เดี๋ยวคุณยายกับคุณป้าจะเป็นห่วง”อานิกขอตัวไปเข้าห้องน้ำเมื่ออุรวีแยกไปโทรศัพท์ หล่อนแจ้งข่าวให้คุณยายได้รู้ก่อนว่าจะไปไหน แล้วจะกลับบ้านเวลาประมาณเท่าใด เผื่อว่าท่านจะได้ไม่ห่วง พอวางโทรศัพท์ลงหันกลับมา...ก็เกือบจะชนกับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางเหมือนจะใช้โทรศัพท์ด้วยเหมือนกัน“ขอโทษครับ”ได้ยินน้ำเสียงของเขา แต่ยังมองไม่เห็นหน้า อุรวีได้แต่อุทานอยู่ในใจว่า ผู้ชายคนนี้สูงจัง จนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง แล้วพอเห็นดวงหน้านั้น หล่อนก็ไม่ได้แสดงความประหลาดใจ
“ผู้ชายมีอดีตไม่สะอาดนัก ไม่ไหวล่ะค่ะ ขี้เกียจเอามาให้คนเขาพูดถึงลับหลัง เรื่องของนายคนนี้ดิฉันได้ยินมาหนาหูนัก สารพัดเลยที่ฟังแทบไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง...”“แต่ยายอ้นไม่ใช่คนโง่”“ค่ะ แกไม่โง่ แต่แกไม่ค่อยระมัดระวังตัวเอง คบหากับผู้ชายคนไหน แกก็วางความสนิทสนมลงไปหมด คนไม่เข้าใจก็นึกว่าแกเป็นสาวเปรี้ยวจี๊ด เล่นง่าย ทำให้ชื่อเสียงของแกพลอยเหม็นเน่า ราคาตกหมด”“ถ้าตัวแกไม่เสื่อมเสียซะอย่างก็ช่างเถอะ ผมไม่ถือสาเรื่องที่แกเป็นสาวเปรี้ยว...ดีกว่ามีลูกสาวหงิมๆ นะ ผมไม่ชอบคนหงิมๆ ซึมๆ ชอบอย่างที่คล่องแคล่วปรู๊ดปร๊าดมากกว่า”“แต่นายอัมพุก็มีเมียแล้วไม่ใช่หรือคะ”“ถ้าเมียมี แล้วทำไมเมียไม่มาด้วย”“คุณก็...พูดเป็นเล่นไปได้ ดิฉันก็หนักใจนะคะ ไม่อยากให้ยายอ้นไปยุ่งเกี่ยวกับผัวใคร...” เธอสะดุดไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงปร่าๆ“กลัวจะมีคนพูดกันได้ว่าแม่ลูกซ้ำรอยกัน คือชอบผัวเขา...”คุณอาร์มดึงร่างของภรรยาเข้ามาใกล้ สวมกอดเธอเอาไว้หลวมๆ ในวงแขน“ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรนี่นา คุณเป็นเมียเดียวของผม...มีทะเบียนสมรสถูกต้อง แล้วเรื่องอ้น...ผมไม่เชื่อว่าแกจะทำอะไรร้ายๆ แบบนั้น ถ้าอัมพุมีเมียเป็นต
“ไม่สบายหรือคะ”น้ำเสียงอ่อนหวานเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยนั้น ทำให้เขาปรือเปลือกตาขึ้นมอง แล้วก็เห็นดวงหน้ากลมอิ่มเปล่งปลั่งแบบคนที่มีความสุขสมบูรณ์กับชีวิตเต็มเปี่ยม มืออูมหนาไปด้วยเนื้อแตะอังที่หน้าผากของเขา“ตัวไม่ร้อนนี่คะ ทำไมท่าทางเหมือนหมดอาลัย...”คุณนพมาศนั่งลง ทำให้เขาพลอยขยับตัวขึ้นมานั่งให้ดูดีขึ้น ยกมือลูบหน้าตัวเองไล่เรื่อยลงมาจากหน้าผากจนกระทั่งถึงปลายคาง ก่อนจะลดมือลง“รู้สึกเพลียๆ”“เรื่องงานอีกซิคะ”“วันนี้ผมเจอยายวี...”“อ้อ...”เธอพึมพำเบาๆ รับรู้เงียบๆคุณนพมาศไม่เคยแสดงท่าทีปราศจากความเป็นมิตรกับลูกเลี้ยง แต่ในเวลาเดียวกัน เธอก็ไม่อาจจะทำตัวเป็นเสมือนแม่ของอุรวีได้สนิทใจ เพราะตั้งแต่เยาว์วัยแล้วที่อุรวีมีท่าทางเฉยชาแบบคนแปลกหน้ามาตลอด“ไปที่บริษัทนั่นเอง...”คุณอาร์มมีกิจการค้าอยู่หลายแห่ง เขาสร้างตัวเป็นปึกแผ่นได้ในช่วงชีวิตเดียว และกิจการหนึ่งที่คุณนพมาศพยายามลืมๆ ว่าไม่มีก็คือบริษัทออกแบบนั่น เพราะอุรวีทำงานที่นั่น เธอสดับตรับฟังความสามารถของอุรวีทีไรก็ยอกแปลบอยู่ในอก เพราะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับอันธิกา แต่อุรวีได้เรื่องได้ราวมากกว่าอันธิกาไม่ได้เป็นโล้เป
“ไหนว่างานยุ่ง”“อยู่ๆ หัวก็มึนตื้อเฉยๆ สงสัยจะเพราะอีตาอัมพุนั่นแหละ...ตะกี้วีก็เจอที่หน้าห้อง ท่าทางแกขวางโลกดีนะ...อย่างนี้แหละมันน่าจะทำให้หัวปั่นซะเลย”“จะทำอะไร”“อ้าว...” หล่อนร้องเสียงแหลม ตาพราวระยับ “คนไม่ชอบหน้ากัน เขาทำยังไงต่อกันล่ะคะ”“ทุกทีเห็นวีเป็นคนมีมิตรจิตกับคนมาใหม่”“กับคนนี้เห็นจะต้องยกเว้นกระมังคะ วีเพิ่งเชื่อเดี๋ยวนี้เองแหละว่าทำไมที่บางคนเขาถึงพูดว่า ถ้าหากไม่ชอบหน้าก็ไม่ต้องไปหาเหตุผล ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ พอเห็นหน้าแล้วก็ไม่ชอบเลย”“เขาหล่อนะ” สุนิสาแกล้งท้วงอุรวีทำหน้าเบ้“หล่อก็หล่อซิ”“ทุกทีเห็นว่าเป็นหนุ่มหล่อ เธอก็เนื้อเต้นแล้ว”“เก็บหมอนี่ไว้เถอะค่ะ วีไม่อยากจะยุ่งด้วย...แต่จะให้อยู่เฉยๆ ก็คงจะไม่ยอมเหมือนกัน ขอให้ได้ทำให้หัวปั่นก่อนเถอะ...”“อย่าลืมนะว่าเขาเป็นคนมีฝีมือ...อย่าทำให้เขาอยู่ไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะต้องจ่ายแพงมาก ถึงได้ตัวเขามา”อุรวีเบะปากออกนิดๆ“เงินน่ะ คุณสา...ถ้าใจถึงซะอย่าง ทุ่มเข้าไป หน้าไหนมันก็สยบทั้งนั้น จะเอาดีเลิศกว่าหมอนี่ก็คงจะมี แล้วกะแค่ช่างถ่ายรูป...มือแน่มาจากไหนกันเชียว มีอีกถมเถไป”“ไปถามลูกสาวท่านประธานใหญ่แล้วกัน”“ต๊าย...
โทรศัพท์กรีดเสียงระรัวขึ้น ในท่ามกลางความเงียบ เสียงนั่นก็ทำให้ถึงกับสะดุ้งได้เหมือนกัน อุรวีเอื้อมมือแหวกๆ กองกระดาษและกองผ้าที่สุมอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าออกไป คว้ากระบอกโทรศัพท์ขึ้นมาวางแนบไว้กับซอกคอ กรอกเสียงลงไป มือก็ร่างแบบเสื้อต่ออย่างขะมักเขม้น“ค่ะ...วีพูดค่ะ”เสียงปลายสายอู้อี้จนเกือบจะไม่ได้ยิน “ไม่ได้ยินเลยค่ะ” หล่อนบอกไป “ค่ะ ได้ยินแล้ว...อ้าว...นิก หรอกรึ...ถึงว่าซิเสียงคุ้นๆ”หล่อนหัวเราะออกมา วางดินสอลง เอนหลังพิงกับพนัก...“ลงมากรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ว่าไงนะ กินข้าวเย็นนี้เหรอ ได้ซิ ได้...แต่ต้องเย็นๆ มากหน่อยนะ...งานยุ่ง นี่ก็งานเต็มโต๊ะเลย จะมารับไหม...จะให้ไปเองเหรอ ที่ไหน...จ้ะ...จ้ะ...”หล่อนรับรู้ในที่นัดหมายแล้วก็ก้มหน้าทำงานต่อไปเรื่อยๆ นี่เพิ่งจะสิบเอ็ดโมงเท่านั้นเอง“วี...”ประตูห้องเปิดเข้ามา แล้วเจ้าของเสียงก็เดินเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉง เป็นหญิงสาวใหญ่ อายุสี่สิบเศษๆ แต่ยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ“เห็นช่างภาพคนใหม่ของเราหรือยัง เขาเพิ่งมารับงานถ่ายแบบคราวนี้เอง โอ้โฮ...พี่งี้เห็นแล้วน้ำลายจะหกซะให้ได้ หล่อเฟี้ยวเลย พวกสาวๆ กำลังกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่...”อุร