หลายวันผ่านไปทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ ตามชีวิตประจำวันของแต่ละคนว่าเป็นเช่นไร เช่นเดียวกับนันท์นลินที่ออกไปทำงานเป็นพนักงานร้านกาแฟตั้งแต่เช้า โดยที่ทุกคนในบ้านรู้อยู่แล้วว่าคนตัวเล็กจะออกไปทำงานในตอนเช้า และกลับค่อนข้างจะดึกเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งทุกคนต่างเข้าใจในการทำงานของหญิงสาว แต่ทว่าอีกสองวันข้างหน้าจะเป็นวันหยุดของเธอ
“ลิน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์นี้ว่างไหมลูก” นายนนทกรถามลูกสะใภ้หลังจากที่กลับมาจากที่ทำงานแล้ว และมาช่วยแม่บ้านทำงานอย่างไม่อิดออด
"ว่างค่ะ"
หญิงสาวตอบเพียงสั้น ๆ เท่านั้นโดยที่ไม่แสดงอาการวิตกกังวลใด ๆให้คนตรงหน้าได้รับรู้ในสิ่งที่ตนเองเพิ่งจะพบเจอมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้
"เหรอลูก พ่อเห็นย่าเขาอยากจะไปบ้านตาทิวที่ต่างจังหวัด แต่พ่อกับแม่ติดธุระ"
เขาอยากจะไหว้วานให้นันท์นลินไปเป็นเพื่อน ลินเต็มใจไปกับคุณ
"ได้ค่ะ คุณลุงไม่ต้องขอร้องหรือไหว้วานก็ได้ค่ะ"
"บอกแล้วให้ให้เรียกว่าพ่อ ไม่ต้องเรียกแล้วคุณลุง"
"ลินยังไม่ชินน่ะค่ะ ให้เวลาลินหน่อยนะคะ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มพร้อมทั้งส่งยิ้มจาง ๆ ให้กับคนตรงหน้า
“หนูมีอะไรในใจหรือเปล่าลิน”
“ไม่มีค่ะ วันนี้คุณลุงกับคุณป้าอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ”
“อะไรก็ได้ลูก” เธอพยักหน้ารับและเดินเข้าครัว เพื่อที่จะไปช่วยอาหารในมื้อนั้น ๆ วันนี้ก็เช่นเดียวกันที่เธอมาช่วย อันที่จริงเธอทำอาหารไม่ที่ยาก ๆ ไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็สามารถเอาตัวรอดได้ในแต่ละครั้งไม่อดตาย
ก็ถือว่าเป็นการดีแล้ว
หลังจากการรับประทานอาหารเย็นผ่านไปเรียบร้อยแล้ว นันท์นลินก็มานั่งดูรายการโทรทัศน์เป็นเพื่อนดาหลาเป็นประจำทุกวัน บ้างก็ดูละครหลังข่าว บ้างก็ดูข่าวสารประจำวัน หรือรายการที่สร้างเสียงหัวเราะคลายเครียดให้ไม่เหงา
“วันนี้ละครสนุกดีนะคะคุณย่า ปมเรื่องดีด้วย”
“นั่นสิ ไม่น้ำเน่าเหมือนสมัยก่อน” นางคุยกับหลานสะใภ้โดยที่
ริมฝีกานางยังคงขยับสายตาก็ยังจดจ้องอยู่ที่ภาพหน้าจอเบื้องหน้า“ถ้าคุณย่าชอบดูปมเรื่องดี ๆ ไม่น้ำเน่า มาดูซีรีย์จีนกับลินไหมคะ”
“ตาย ๆ ซีรีย์จีน ย่าดูไม่รู้เรื่องหรอกดูไม่ทันเด็กสมัยนี้เขาหรอก” ดาหลาบอกตามความจริงจะให้ตนมานั่งดูซีรีย์ตามวัยรุ่นสมัยนี้ ให้นั่งอ่านซับไตเติ้ลนางคงตาลายอ่านไม่ไหวหรอกอีกอย่างนางเองก็อายุมาแล้ว
“โธ่คุณย่าค่ะ สมัยนี้มีพากย์ไทยหลายเรื่องเลยค่ะ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องรอมาฉายรอบดึกผ่านช่องหลัก ๆ เท่านั้น”
“จริงรึ วันหลังเปิดให้ย่าดูหน่อยแล้วกัน”
“ได้ค่ะ แต่ตอนนี้คุณย่าต้องทานยาตามที่คุณหมอสั่งมาก่อนนะคะ แล้วก็แ
“กินยาอีกแล้ว วันๆ ก็กินแต่ยา”
“เพื่อสุขภาพของคุณย่านะคะ ทานยาเสร็จลินจะไปส่งคุณย่าเข้านอน”
นันท์นลินบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและนุ่มนวล พลางส่งแก้วน้ำเปล่าและยาที่ดาหลาต้องทานก่อนเข้านอนหนึ่งชุด แน่นอนว่าคนแก่
อิออดเล็กน้อยแต่ก็ยอมจำนนที่จะรับยาไปทานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้“ลินสุดสัปดาห์ไปบ้านตาทิวกัน”
“ค่ะคุณย่า พอดีคุณลุงคุยกับลินเมื่อตอนเย็นน่ะค่ะ ว่าคุณย่าอยากไปเที่ยว ต่อให้ไม่ชวนลิน ลินก็จะไปด้วยอยู่ดีค่ะ”
“นึกว่าจะไม่ไปกับย่าซะแล้ว”
“ทำไมคุณย่าพูดแบบนั้นล่ะคะ”
หญิงสาวยื่นมือไปกุมมือเหี่ยวย่นเอาไว้ก่อนจะบีบเบา ๆ ราวกับไม่ให้คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จะน้อยใจ
“ก็ทุกครั้งที่ย่าชวนไปบ้านตาทิว ลินก็ไม่ค่อยอยากไป ไม่อยากเจอหน้าพี่เขาขนาดนั้นเลยหรือ”
ดาหลาถามในสิ่งที่นางเองก็ค้างคาใจมาตลอดหลายปี นับตั้งแต่วันที่ทั้งคู่จดทะเบียนสมรสกันในวันนั้น จากที่ไม่ลงรอยกันอยู่แล้วยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิมอีก มันเลยทำให้ผู้มากวัยถึงกับคิดหนักที่จะชวนหญิงสาวไปที่นั่น
“ลินไม่มีอะไรหรอกค่ะ มีแต่คุณทิวนั่นแหละที่ไม่ชอบลินมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
เธอตอบไปตามความจริง เขาไม่ชอบเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และยิ่งต้องมาจดทะเบียน เขายิ่งเกลียดเธอเพราะเธอคือ ‘กาฝาก’ สำหรับบ้านหลังนี้
“แน่นะลูก” นางถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ค่ะคุณย่า”
อันที่จริงความรู้สึกของนันท์นลินมันตรงกันข้ามกับกับทยากรโดยสิ้นเชิง เขาเกลียดเธอ แต่ผิดกับตัวหญิงสาวที่รักเขาสุดใจ ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักแค่ไหน เธอก็รักเขา
“งั้นหนูเตรียมตัวเลยนะลูก ย่าว่าจะไปเที่ยวพักผ่อนหลายวันหน่อย หนูลางานเพิ่มไหมหรือมีโควตาวันหยุดอีกไหมเ”
“ไม่มีปัญหาเลยค่ะ ไปกี่วันก็ได้ตามใจคุณย่าเลย”
เธอบอกอย่างเอาอกเอาใจ โดยที่หญิงสาวไม่ได้บอกความจริงเกี่ยวกับงานของตัวเอง
“งั้นหนูไปเตรียมตัวเก็บของไว้นะลูก” นางบอกยิ้ม ๆ ส่วนคนตัวเล็กก็พยักหน้ารับเท่านั้น
“ไปขึ้นนอนพักผ่อนเถอะลูก นี่ก็เริ่มดึกมากแล้ว”
หญิงสาวจัดการกดปิดโทรทัศน์ก่อนจะเดินเข้ามาหาย่าดาหลา เพื่อที่จะประคองท่านขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นสองให้เรียบร้อย ก่อนที่จะพาตัวเองกลับลงมาพักผ่อนที่ห้องข้างล่างภายในบ้านหลังใหญ่หลังนี้
เมื่อถึงวันที่จะต้องเดินทางไปที่บ้านของทยากรทั้งดาหลา นันท์นลินเดินทางมาพร้อมคนขับรถของที่บ้านมุ่งตรงไปยังไร่ทิวทยาทันที ซึ่งชายหนุ่มได้ย้ายสัมมโนครัวอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลที่เคยบอกกับทุกคนเอาไว้ทำเอาทุกคนต้องยอมให้เจ้าของไร่ทำตามที่ใจต้องการ ผสมกับเขาเองหลงใหลในบรรยากาศที่แสนร่มรื่นของที่นั่น และพื้นที่สามารถทำอะไรต่อมิอะไรต่อยอดทางธุรกิจได้หลายอย่าง อีกทั้งไร่แห่งนี้เป็นมรดกของคุณปู่กับคุณย่า ที่ยกให้บิดาของเขากิ่นที่จะมายกให้เขาได้มาบริหารและจัดการทุกอย่าง
ไร่แห่งนี้ทางบิดาของเขารับช่วงต่อเพียงระยะเวลาสั้น ๆเท่านั้น แต่ก็ต้องไปดูแลกิจการของตัวเองที่อยู่กรุงเทพฯด้วย ทว่าในคราแรกเขาไม่อยากจะทำไร่ แต่พอใช้เวลาอยู่กับมันไปสักระยะหนึ่งมันเลยทำให้เขาชอบและหลงไหลไปกับมันอย่างหลีอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
“สวยไหมลูกที่นี่”
นันท์นลินที่กำลังประคองดาหลาลงจากรถตู้คันหรูประจำบ้าน ทอดสายตามองไปรอบ ๆไร่ที่มีบรรยากาศเขียวขจีเพลินตา พลอยทำให้ผ่อนคลายจากอากาศที่เป็นมลภาวะไปด้วย
“สวยค่ะคุณย่า ร่มรื่นมากด้วย แถมทางด้านโน้นลูกค้ามาใช้บริการเยอะด้วยนะคะ”
หญิงสาวว่าพลางชี้มือไปยังลูกค้าแต่ละกลุ่มที่ยืนกระจัดกระจายอยู่ในโซนต่าง ๆ ภายในพื้นที่แห่งนี้ ในตอนแรกเธอคิดว่าจะเป็นไร่องุ่นเพียงอย่างเดียว แต่ที่ไหนได้เป็นทั้งไร่และฟาร์มวัวนมอยู่ในที่เดียวกัน และดูเหมือนว่าจะเปิดให้นักเรียนมาเรียนรู้ด้วยหรือเปล่า
เพราะตอนที่รถแล่นเข้ามาท้ายไร่เห็นรถบัสจำนวนหลายคันมาจอดอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย
“เอ่อคุณย่าคะ คุณทิวเปิดที่นี่ให้นักเรียนได้ศึกษาด้วยเหรอคะ”
“ย่าก็ไม่รู้เหมือนกันลูก เดี่ยวรอถามพี่เขาแล้วกัน”
คนตัวเล็กพยักหน้ารับเล็กน้อยพลางส่งยิ้มให้กับท่าน ก่อนที่จะบอกดาหลาว่ายืนรอเธอสักครู่หนึ่ง เพราะตนจะไปช่วยลงสมบูรณ์ยกกระเป๋าลงจากรถก่อนที่จะเอาไปวางที่หน้าบ้าน อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากข้างในบ้านหลังใหญ่ มันเลยทำให้เธอถึงกับหันไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทำไมถึงเสียงดังขนาดนี้
“นังเฟืองอยู่ไหนเว๊ย ไปดูหน้าบ้านสิใครมา”
“โธ่ป้า หนูซักผ้าอยู่ แปปนึงได้ไหมเล่า เดี๋ยวหนูออกไปดูให้นะป้า”
เหมือนจะเป็นเสียงของผู้เป็นหลานที่ร้องตะโกนออกมาจากที่ไหนสักแห่งของบ้านหลังนี้ ก่อนจะตามด้วยเสียงโหวกแหวกโวยวายตามด้วยเสียงบ่นของผู้เป็นป้าที่ค่อย ๆ ดังขึ้นมาเรื่อย ๆ จนได้ยินได้อย่างเด่นชัด
“นังเฟืองนะ ใช้นิดใช้หน่อยก็ไม่ได้ ขี้เกียจนัก” เจ้าตัวบ่นโดยที่ยังคงหันมองไปทางด้านหลังและไม่ได้มองมายังเบื้องหน้าว่าใครยืนอยู่ที่หน้าบ้านกันบ้าง
“คุณท่าน สวัสดีค่ะ” ป้าอนงค์ยกมื้อไหว้และวิ่งเข้ามาสวมกอดผู้ที่มีอายุมากกว่าตนหลายปี พร้อมทั้งจับมือกับผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ย่าดาหลาแลพส่งยิ้มให้เออย่างเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะคุณลิน”
“สวัสดีค่ะป้านงค์ ป้าสบายดีไหมคะ” เธอถามด้วยรอยยิ้ม
“สบายดีค่ะ ป้าว่าอย่าเพิ่งมายืนคุยกันหน้าบ้านแบบนี้เลยค่ะ เชิญเข้าข้างในบ้านกันดีกว่า”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ ยืนนาน ๆ ก็ชักจะเมื่อยแล้วเหมือนกัน” ดาหลาพูดขึ้นอย่างขบขัน
“ใช่ค่ะ เข้ามานั่งพักเย็นเหนื่อยดื่มน้ำเย็นๆ รอคุณทิวกลับมาดีกว่าค่ะ”
ว่าแล้วสองสาวสูงวัยจับมือกันเดินเข้าบ้านหลังใหญ่ที่ประกอบไปด้วยไม้ ทิ้งให้คนรุ่นหลานยืนมองพลางอมยิ้มไปพลางกับท่าทางของทั้งคู่ท่าเดินจูงมือกันไปคุยไปตามประสาคนที่ไม่ได้พบกันมานาน คนตัวเล็กมองอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะช่วยคุณลุงคนขับรถหิ้วกระเป๋าเข้าบ้านหลังใหญ่ โดยที่ตนเองไม่รู้เลยว่ากำลังมีสายตาของใครบางคนจำนวนสองคู่จับจ้องมองอยู่
"ตั้งแต่มึงมาที่นี่ มึงไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องไปอยู่กับเมียบ้างหรือไง" ตุลธรพูดขึ้นท่ามกลางเสียงที่ดังสนั่น แต่มันพอที่จะทำให้คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และเพื่อนของเขาได้ยินด้วยทำเอาคนที่กำลังกระดกเหล้าเข้าปากอย่างเพลินใจถึงกับชะงักในสิ่งที่ได้ยิน "พูดอะไรของมึง กูไม่มีเมีย""แน่ใจนะว่ามึงไม่มีเมีย”“เออกูไม่มีเมีย” ทยากรยังคงปากแข็งและยืนยันคำเดิมว่าตนนั้นไม่มีใคร ไม่มีภรรยาหรือแต่งงานแล้วตามที่เพื่อนทั้งสองพูดมา“แล้วผู้หญิงสวย ๆ ที่กูเจอที่บ้านมึงเป็นใครวะ พวกกูไม่เคยเห็นหน้าเลยถึงไปบ้านมึงบ่อย ๆ ก็เถอะ" เตชินท์ถามด้วยความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจเพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนเขาไปเยี่ยมบิดามารดาของทยากรมา และบังเอิญได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในบ้านหลังนั้นด้วย พร้อมกับประโยคหนึ่งที่นนทกรบิดาของทยากรเอ่ยออกมา'ไอทิว...ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ ทิ้งเมียอยู่กรุงเทพฯ ส่วนตัวเองทำงานที่สวนอย่างสบายใจ มันไม่ห่วงเมียมันเลยหรือยังไงนะ' มันทำให้เขาต้องเก็บความสงสัยมาถึงทุกวันนี้วันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้ว นับจากที่ทยากรขึ้นมาทำธุระที่กรุงเทพฯก่อนที่เจ้าตัวจะเดินทางกลับที่ไร่"กูจะบอกอีกครั้งว่ากูโสด" ทยากรหงุดหงิดไม่
ทยากร ธาราบวรวิชญ์ วัยสามสิบสามปี ที่กำลังนั่งดื่มกาแฟยามเช้าอยู่กับบิดาที่กำลังนั่งอ่านข่าวสารธุรกิจอยู่ในไอแพดเช่นเดิมทุกครั้ง พลันสายตาเหลือบมองบุตรชายที่นั่งอยู่ตรงข้าม แววตาของชายหนุ่มนั้นช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน นับตั้งแต่วันที่ทยากรกลับไปทำงานที่ไร่ของตนและวนเวียนกลับมาเยี่ยมบิดามารดาบ้างบางครั้ง แต่ทั้งสองคนก็คลาดเคลื่อนไม่ได้พบหน้ากันเสียที อีกคนงานยุ่ง ส่วนอีกคนหลบหน้าไม่อยากพบเจอราวกับสวรรค์ไม่เป็นใจให้ทั้งคู่ได้เจอกันเสียอย่างนั้นตั้งแต่วันที่ทั้งสองคนได้จดทะเบียนสมรสกันอย่างเงียบ ๆ เมื่อหลายปีก่อน ตามความต้องการของผู้เป็นย่าและบิดา แต่หากถูกคัดค้านโดยมารดาของชายหนุ่มแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ มันจึงทำให้เขาไม่อยากจะกลับมาที่นี่หรือเจอหน้าภรรยาของตนเองอีกแต่บางครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นวันนี้“ทำไมแกถึงไม่ค่อยกลับบ้านกลับช่องบ้างเหอะ” ผู้เป็นพ่อถามทั้ง ๆ ที่พอจะรู้อยู่แล้ว ว่าคำตอบของลูกชายเป็นเช่นไรและสิ่งที่ได้มามันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเมื่อก่อนตอนที่ให้จดทะเบียนเลย“ผมไม่ว่าง งานที่ไร่มันยุ่ง ๆ น่ะครับ”นั่นไง! มันต่างจากที่คิดเสียที่ไหน เหตุผลหนึ่งก็คงไม่อยากเจอผู้หญิง
หลายวันผ่านไปทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ ตามชีวิตประจำวันของแต่ละคนว่าเป็นเช่นไร เช่นเดียวกับนันท์นลินที่ออกไปทำงานเป็นพนักงานร้านกาแฟตั้งแต่เช้า โดยที่ทุกคนในบ้านรู้อยู่แล้วว่าคนตัวเล็กจะออกไปทำงานในตอนเช้า และกลับค่อนข้างจะดึกเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งทุกคนต่างเข้าใจในการทำงานของหญิงสาว แต่ทว่าอีกสองวันข้างหน้าจะเป็นวันหยุดของเธอ“ลิน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์นี้ว่างไหมลูก” นายนนทกรถามลูกสะใภ้หลังจากที่กลับมาจากที่ทำงานแล้ว และมาช่วยแม่บ้านทำงานอย่างไม่อิดออด"ว่างค่ะ"หญิงสาวตอบเพียงสั้น ๆ เท่านั้นโดยที่ไม่แสดงอาการวิตกกังวลใด ๆให้คนตรงหน้าได้รับรู้ในสิ่งที่ตนเองเพิ่งจะพบเจอมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้"เหรอลูก พ่อเห็นย่าเขาอยากจะไปบ้านตาทิวที่ต่างจังหวัด แต่พ่อกับแม่ติดธุระ"เขาอยากจะไหว้วานให้นันท์นลินไปเป็นเพื่อน ลินเต็มใจไปกับคุณ"ได้ค่ะ คุณลุงไม่ต้องขอร้องหรือไหว้วานก็ได้ค่ะ""บอกแล้วให้ให้เรียกว่าพ่อ ไม่ต้องเรียกแล้วคุณลุง""ลินยังไม่ชินน่ะค่ะ ให้เวลาลินหน่อยนะคะ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มพร้อมทั้งส่งยิ้มจาง ๆ ให้กับคนตรงหน้า“หนูมีอะไรในใจหรือเปล่าลิน”“ไม่มีค่ะ วันนี้คุณลุงกับคุณป้าอยากกินอะไรเ
ทยากร ธาราบวรวิชญ์ วัยสามสิบสามปี ที่กำลังนั่งดื่มกาแฟยามเช้าอยู่กับบิดาที่กำลังนั่งอ่านข่าวสารธุรกิจอยู่ในไอแพดเช่นเดิมทุกครั้ง พลันสายตาเหลือบมองบุตรชายที่นั่งอยู่ตรงข้าม แววตาของชายหนุ่มนั้นช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน นับตั้งแต่วันที่ทยากรกลับไปทำงานที่ไร่ของตนและวนเวียนกลับมาเยี่ยมบิดามารดาบ้างบางครั้ง แต่ทั้งสองคนก็คลาดเคลื่อนไม่ได้พบหน้ากันเสียที อีกคนงานยุ่ง ส่วนอีกคนหลบหน้าไม่อยากพบเจอราวกับสวรรค์ไม่เป็นใจให้ทั้งคู่ได้เจอกันเสียอย่างนั้นตั้งแต่วันที่ทั้งสองคนได้จดทะเบียนสมรสกันอย่างเงียบ ๆ เมื่อหลายปีก่อน ตามความต้องการของผู้เป็นย่าและบิดา แต่หากถูกคัดค้านโดยมารดาของชายหนุ่มแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ มันจึงทำให้เขาไม่อยากจะกลับมาที่นี่หรือเจอหน้าภรรยาของตนเองอีกแต่บางครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นวันนี้“ทำไมแกถึงไม่ค่อยกลับบ้านกลับช่องบ้างเหอะ” ผู้เป็นพ่อถามทั้ง ๆ ที่พอจะรู้อยู่แล้ว ว่าคำตอบของลูกชายเป็นเช่นไรและสิ่งที่ได้มามันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเมื่อก่อนตอนที่ให้จดทะเบียนเลย“ผมไม่ว่าง งานที่ไร่มันยุ่ง ๆ น่ะครับ”นั่นไง! มันต่างจากที่คิดเสียที่ไหน เหตุผลหนึ่งก็คงไม่อยากเจอผู้หญิง
"ตั้งแต่มึงมาที่นี่ มึงไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องไปอยู่กับเมียบ้างหรือไง" ตุลธรพูดขึ้นท่ามกลางเสียงที่ดังสนั่น แต่มันพอที่จะทำให้คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และเพื่อนของเขาได้ยินด้วยทำเอาคนที่กำลังกระดกเหล้าเข้าปากอย่างเพลินใจถึงกับชะงักในสิ่งที่ได้ยิน "พูดอะไรของมึง กูไม่มีเมีย""แน่ใจนะว่ามึงไม่มีเมีย”“เออกูไม่มีเมีย” ทยากรยังคงปากแข็งและยืนยันคำเดิมว่าตนนั้นไม่มีใคร ไม่มีภรรยาหรือแต่งงานแล้วตามที่เพื่อนทั้งสองพูดมา“แล้วผู้หญิงสวย ๆ ที่กูเจอที่บ้านมึงเป็นใครวะ พวกกูไม่เคยเห็นหน้าเลยถึงไปบ้านมึงบ่อย ๆ ก็เถอะ" เตชินท์ถามด้วยความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจเพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนเขาไปเยี่ยมบิดามารดาของทยากรมา และบังเอิญได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในบ้านหลังนั้นด้วย พร้อมกับประโยคหนึ่งที่นนทกรบิดาของทยากรเอ่ยออกมา'ไอทิว...ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ ทิ้งเมียอยู่กรุงเทพฯ ส่วนตัวเองทำงานที่สวนอย่างสบายใจ มันไม่ห่วงเมียมันเลยหรือยังไงนะ' มันทำให้เขาต้องเก็บความสงสัยมาถึงทุกวันนี้วันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้ว นับจากที่ทยากรขึ้นมาทำธุระที่กรุงเทพฯก่อนที่เจ้าตัวจะเดินทางกลับที่ไร่"กูจะบอกอีกครั้งว่ากูโสด" ทยากรหงุดหงิดไม่