เช้าตรู่ในคฤหาสน์ราชเกียรติกูรแห่งเนินคุ้มหมอก รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อคันใหญ่แล่นผ่านประตูรั้วเข้ามาแล้วเทียบจอดด้านหน้าตึก
คนร่างใหญ่เปิดประตูรถลงมา แล้วถามหาเจ้าของสถานที่กับเด็กรับใช้คนแรกที่เจอ เมื่อรู้ว่าคนเป้าหมายอยู่ที่ไหน เจ้าตัวก็ตรงไปหาอย่างไม่รีรอเสียงผลักประตูเปิด ทำให้คนข้างในรู้ตัว ก่อนจะมองแล้วทักถามอย่างแปลกใจ“มาตั้งแต่เช้าเชียวนายเล็ก” รัชตะมองน้องชายฝาแฝดที่ปรากฏกายตรงประตูห้องฟิตเนสชั้นล่างของคฤหาสน์ ซึ่งนานๆ ครั้งเขาจะได้ใช้ เพราะติดการออกกำลังกายในที่แจ้งมากกว่า“ถ้ารู้ว่าเมื่อคืนนายอยู่ตึกใหญ่ทั้งคืน ฉันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว” เสียงยียวนดังจากคนทอดฝีเท้าเอื่อยมาหา ดวงตาคมมองพี่ชายอย่างล้อเลียน รัชตะวางบาร์เบลลง ไถลตัวออกมา หยิบผ้าขนหนูมาคล้องคอ ยกชายผ้าซับเหงื่อบนใบหน้าที่ไหลซึม “มีอะไรหรือเปล่า” “ออกไปคุยข้างนอก ฉันกำลังหิวติดหมัด จะได้กินไปด้วย”“นายนี่ ตะกละจริงๆ”“ฉันมันคนป่าคนดอย ไม่ได้อยู่อย่างอุดมสมบูกว่ารัชภาคย์จะคุยธุระสำคัญเสร็จ ก็เป็นเวลาสายมากแล้ว จากนั้นจึงขับรถออกไป ท่าทีที่แฝงความเคร่งเครียดของเขา แฝดผู้พี่รับรู้ได้ไม่ยากรัชตะไม่อาจละเลยความเป็นไปของน้องชายเพราะความรู้สึกส่วนตัวได้อีกแล้วหากพอจะออกไปทำงานของตัวเองบ้าง ก็พบว่าแขกสาวสวยที่ไม่ได้เจอหน้ามาพักใหญ่ และรู้จากพวงทิพย์ว่าหล่อนแวะมาเยี่ยมเยียนหาบ่อยครั้ง ที่สำคัญเจ้าหล่อนยังอยู่ในหัวข้อสนทนากับน้องชายเมื่อครู่ด้วยสิ ทำให้รัชตะต้องอยู่ทำหน้าที่เจ้าของบ้านที่ดีต่อชัญญาเอาตะกร้าของฝากจากทางใต้ที่มารดาหอบหิ้วมาให้ หลังกลับจากพักผ่อนกับญาติๆ แล้วนั่งพูดคุยกันอย่างที่รัชตะเองไม่รู้สึกฝืนใจ หากกลับเพลิดเพลินไปกับเธอมีไม่กี่คนหรอกที่จะพูดคุยและเข้าถึงชายหนุ่ม อย่างที่เธอทำได้...สิ่งนี้ชัญญารู้ดี“ถ้าการติดต่อธุรกิจกับทางฝั่งโน้นเกิดติดขัดยังไง บอกชัญญาได้นะคะ ชัญญาเต็มใจช่วย ถือว่าได้เรียนรู้งานจากคุณใหญ่ไปในตัวด้วย”เธอหมายถึงธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านที่รัชตะไปลงทุนไว้เมื่อปีก่อน“ขอบคุณครับ เท่าที่เป็นตอนนี้ผมได้รับความสะดวกดี แต่ถ้ามีปัญหา
พวกเขาต้องการเด็กที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของรัชตะเพื่อนำไปแสดงตัว รับสมบัติจากใครสักคน แล้วหล่อนก็ถูกเลือกให้มาเป็นแม่พันธุ์...เราหลงมาติดกับพวกเขาได้อย่างไรกัน“โหดร้ายทุกคนเลย ทำไมเราต้องเจอเรื่องพวกนี้ด้วย”มือเรียวบางเลื่อนมาจับหน้าท้องตัวเอง เจ็บแปลบทั้งหัวใจ สิ่งที่เคยนึกระแวง แต่หล่อนพยายามปัดออกจากใจ แท้จริงมันเกิดขึ้นแล้วด้วยซ้ำถ้ายังอยู่ในเขตรั้วกำแพงนั้น จะมีอะไรเกิดกับเธอต่อไป รัชตะจะพรากสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของเธอไปใช่ไหม สู้หนีออกมาดีกว่าอยู่ให้เป็นเครื่องมือคนใจร้าย เพราะถ้าเขาทำได้สำเร็จ เธอก็จะอยู่ในสภาพตายทั้งเป็นชั่วชีวิต“คนใจร้าย ฉันเกลียดคุณ ไม่รักคุณอีกแล้ว”หล่อนคร่ำครวญ ยอมให้ตัวเองเป็นผู้หญิงโง่เขลาแค่วันนี้วันสุดท้าย ต่อจากนี้อย่าหวังเลยว่าจะกลับไปลุ่มหลงในตัวเขาอีกหล่อนป้ายน้ำตา เบือนมองทางข้างหน้า ถ้อยคำของศจีเป็นแรงผลักดันให้เธอหนีไปเรื่อยๆ‘ไกลที่ไหนกันคุณ คนแถบนี้เดินกันเป็นปกติ คนงานไร่บางคนเดินไปขึ้นสองแถวตรงถนนใหญ่หน้าไร่เกือบสองกิโลฯ ก็ยังเดินกันไหว ค
ประตูรถเปิดออกกว้าง ตามด้วยร่างสูงใหญ่ที่ก้าวลงมา พร้อมร่างหนึ่งแบกไว้บนบ่าเหมือนวัตถุไร้น้ำหนัก ก้าวสู่คฤหาสน์รูปทางเมดิเตอร์เรเนียนที่โอบล้อมด้วยขุนเขา สาวเท้ายาวๆ ขึ้นบันได ไม่สนใจคนงานที่วิ่งออกมาดูด้วยสีหน้าแตกตื่น จนถึงห้องนอนใหญ่บริเวณปีกขวา เปิดประตูกว้าง ร่างนุ่มนิ่มที่เพิ่งรู้สึกตัวดิ้นรนขลุกขลักพอให้รำคาญ ชายหนุ่มทุ่มลงอย่างไม่อนาทรกลางเตียงนอนใหญ่หญิงสาวพลิกตัวมานอนคู้ตะแคง เจ็บแปลบตรงข้อมือที่ถูกมัดไพล่หลัง พยายามยันกายขึ้นนั่ง ไม่พยายามมองคนป่าเถื่อนคนนั้นที่เห็นทางหางตาว่ากำลังยืนมองเธออยู่กลางห้อง“เป็นบ้าอะไร ปิ่นลดา ถึงได้หนีทะเล่อทะล่าออกไป เธอจะสร้างปัญหาให้ฉันเพื่ออะไร”ปิ่นลดายันกายขึ้นนั่งได้สำเร็จ ปรายตามองเขาอย่างชิงชัง เขาคิดว่าเป็นเจ้าของชีวิตหรืออย่างไรที่เธอต้องยอมทนรับการกระทำอย่างต่ำช้าอยู่ทุกคืนวัน แล้วยังหวังให้เธอรับสภาพอย่างไม่มีปากมีเสียง ยอมทนทุกอย่างตามแต่เขาต้องการอีก“หุบปากอยู่ทำไม พูดสิว่าต้องการอะไร”“ฉันไม่ต้องการอยู่ในขุมนรกบ้านี่ ฉันไม่ต้องการให้คุณมาทำกับฉันเหมือนสัตว์เลี้ยง คุณไม่
รัชภาคย์เดินวนไปมาอยู่ในโถงด้านล่างเกือบสิบนาที ก็ได้ยินเสียงรถของรัชตะแล่นมาจอดหน้าตึก หนุ่มผู้น้องสูดลมหายใจลึก ข่มใจระงับความกรุ่นโกรธ แล้วเดินไปขวางหน้า“นายทำอะไรไว้เมื่อกลางวัน รู้ตัวหรือเปล่า”รัชภาคย์ขยุ้มคอเสื้อเชิ้ตของพี่ชายแล้วกระชากถามเสียงกร้าว ไม่สนใจคนสนิทที่ตามมาคุมเชิงให้เจ้านาย...แม้ว่าเขาจะเป็นน้องในไส้ก็เถอะ!“มีอะไร พูดมา อย่าท่ามาก”รัชตะเค้นเสียงต่ำ ไม่ได้ต่อต้านหรือดึงตัวเองออก จ้องมองน้องชายที่มีความสูงไล่ๆ กัน ดวงตาแข็งกร้าวเท่านั้นที่บอกว่าจะไม่ยอมลงให้“ปิ่นลดาแทบตายคาห้องนาย ทำไมถึงทำกันขนาดนี้ ฉันรู้ว่าเธอพยายามหนี แต่ไม่น่าจะลงโทษกันรุนแรง ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง และจะเป็นแม่ของลูกนาย แล้วฉันก็เพิ่งคิดได้ว่าการที่เธอหนี มันก็มีเหตุสมควรให้เธอทำ”ถ้อยคำของน้องชาย ทำให้แววตาของรัชตะเปลี่ยน ดวงตาคู่นั้นทอความสงสัยขึ้นมา“เธอเป็นอะไร ฉันบอกให้คุณทิพย์ดูแลแล้วไง”“คุณทิพย์งั้นหรือ นายบอกเมื่อไหร่ ฉันเข้าไปดูในห้องนายตอนค่ำ ยังเห็นเธอถูกมัดเป็นหมูนอนไม่ได้
แฟรงค์กลับไปแล้ว กลับไปหลังจากใช้เวลาตรวจคนป่วยไม่ถึงสิบนาที รัชตะเห็นหมอหนุ่มจับชีพจร วัดการเต้นของหัวใจและตรวจวัดอะไรต่อมิอะไรให้วุ่นอยู่พักเดียว ก็สรุปว่าร่างกายเธออ่อนเพลียจึงยังไม่รู้สึกตัว แต่เมื่อถึงเวลาเธอจะตื่นขึ้นมาเอง‘ไม่มียาให้เธอกินหรือ เห็นอยู่ว่าปิ่นลดาไม่สบาย ตัวร้อนจัด’‘ให้เธอพักผ่อน ดูแลร่างกายเธอให้อบอุ่นและสบาย พอฟื้นมาก็ปรับตัวใหม่ได้เอง ฉันไม่อยากสั่งยาสุ่มสี่สุ่มห้าตอนนี้’แฟรงค์บอกอย่างใจเย็น ไม่สนใจท่าทางฮึดฮัดของเจ้าของสถานที่ที่เหมือนจะต่อยเขาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง หากว่าพูดให้ขัดใจ‘แล้วถ้าแทนที่จะฟื้น เธอเกิดไม่สบายหนักกว่าเดิมล่ะ’‘นายก็โทร.หาฉันสิ ฉันจะรีบมาให้ทันใจนายภายในครึ่งชั่วโมง โอเค’หมอหนุ่มย้ำเสียงสูง แต่อีกคนพยักหน้ารับอย่างเห็นตามนั้น จนคนประชดเบื่อจะโต้‘ให้เธอทานอาหารอ่อนที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้พอ งดการทำให้ร่างกายเธอบอบช้ำ...นายทำได้ใช่ไหม’คำสั่งยาวเหยียดของหมอที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิท ทำให้คนถูกสั่งคอแข็ง โดยเฉพาะถ้อยคำ
“นี่ เธอคิดว่าฉันจะทำอะไร”รัชตะสวนกลับ ท่าทางต่อล้อต่อเถียงไม่ยอมถอยทำให้ปิ่นลดาเหนื่อยใจ แถมกายก็เหนื่อยล้าไม่น้อยกว่ากัน แล้วได้ยินเขาทิ้งท้ายเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน“ฉันไม่ใช่ไอ้บ้ากาม”ศจีคงอยู่แถวนั้น เพราะทันทีที่รัชตะเดินออกจากห้องก็เห็นเจ้าตัวเข้ามาหาเธอในทันทีในทีแรกปิ่นลดาก็ไม่มีปัญหาที่จะเปลี่ยนชุดใหม่ เพราะรู้สึกระคายตัว แต่พอเห็นเสื้อคลุมในมือศจีที่หยิบมาจากข้างเตียงซึ่งรัชตะเพิ่งวางไว้ เธอถึงกับตัวแข็ง“ของใคร”“ของคุณใหญ่ค่ะ เธอไม่เอาของคนอื่นให้คุณใส่หรอก” ศจีตอบเสียงเรียบ วางท่าทางอย่างพร้อมทำหน้าที่ที่ได้รับคำสั่ง“ฉันไม่ใช้ของเขา”“แต่เสื้อผ้าของคุณยังไม่เอาขึ้นมา ใส่ตัวนี้ไปก่อน ดูน่าสบายออก คืนนี้คุณจะได้หลับสบาย หายไข้ไวๆ”ปิ่นลดาตั้งท่าต่อต้าน อีกฝ่ายทอดถอนใจ แล้วพูดอย่างที่เธอปฏิเสธไม่ได้“คุณก็รู้ว่าขัดใจคุณใหญ่ไม่ได้ ยอมๆ ไปก่อนเถอะค่ะ รักษาตัวเองให้หาย แล้วค่อยคิดใหม่”“ฉันเบื่อศจี ทำเหมือนดีก
รัชตะผุดลุกนั่ง ประสาทสัมผัสทุกส่วนตื่นตัวเตรียมพร้อมเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของคนที่ตนนอนกกกอดทั้งคืน“ปิ่นลดาเป็นอะไร เจ็บตรงไหน บอกฉันสิ”เขาถามคนที่นั่งยกมือปิดหน้าแล้วร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย ยิ่งคว้ามาหาเพื่อจะสำรวจให้รู้ แต่เจ้าหล่อนกลับตะกายหนีท่าเดียว“หยุดร้อง แล้วบอกฉัน เธอเป็นอะไร”รัชตะดึงมือบางออกจากดวงหน้า แล้วถามเสียงเข้ม เพราะเห็นแล้วว่าใช้วิธีเดิมไม่สำเร็จ“คุณเป็นบ้าอะไร ทำไมแก้ผ้าล่อนจ้อน น่าเกลียด น่าขยะแขยงที่สุดเลย”“เฮ้ย! นี่เธอร้องลั่นบ้านเพราะเห็นฉันเปลือยนี่นะ”“ใช่สิ คนบ้าอะไรนอนเปลือยเป็นผีเปรต ไม่เคยพบไม่เคยเห็น แล้วยังมานั่งถามหน้าตาเฉยอีก คนหน้าด้าน”หล่อนยังกรีดเสียงใส่ต่อเนื่อง จนรัชตะเปลี่ยนเป็นจากความห่วงใยเป็นหมั่นไส้ได้ในพริบตาเหมือนกัน“ทำยังกับว่าฉันไม่เคยนอนแก้ผ้าบนเตียงกับเธอ อ้อ! ถ้าจะต่างก็ตรงเมื่อก่อนไม่แก้อย่างเดียว แต่เรายัง...”เขาลากเสียงยาว สีหน้าล้อเลียนและเย้ยหยัน จนคนนั่งผมรุ่ยร่ายกลางเตียงต้องส
หล่อนอึกอัก ใบหน้าซีดเผือด หากรัชตะก็รู้จักเธอดีที่จะรู้ว่าความรู้สึกที่ฉายชัดบนใบหน้าไม่ได้เกิดจากเขาร่างสูงใหญ่สืบเท้าไปใกล้ ดึงโทรศัพท์มือถือจากมือเธอ ปิ่นลดายอมปล่อยโดยดี ทำท่าจะผละออกห่าง แต่ชายหนุ่มคว้ามือบางไว้ กระชับแน่น ก่อนจะกดเรียกดู...เพื่อจะรู้ว่าเป็นหมายเลขที่เขาคาดไว้อยู่แล้ว“เธอคุยอะไรกับพ่อของเธอ”“ไม่ ไม่ได้คุย”หล่อนส่ายหน้า เห็นร่องรอยสับสนเหมือนเด็กหลงทาง วูบหนึ่งเขาอยากรั้งมากอดเหลือเกิน แต่จำต้องทำใจแข็งไว้“บอกความจริง”“พ่อรับสาย คิดว่าเป็นคุณ แต่พอรู้ว่าฉันพูด พ่อก็ตัดสาย” แค่นั้นคนร่างบางก็สะท้านไหวด้วยแรงสะอื้น “ทำไมพ่อไม่คุยกับฉัน”ดวงหน้าหวานเงยมองชายหนุ่ม วินาทีนั้นรัชตะก็หมดความอดกลั้น ดึงหล่อนมากอดไว้แน่น“เขาอาจจะยังไม่พร้อม”“ทำไมพ่อถึงไม่พร้อม ฉันแค่อยากคุยด้วย แต่เขาทำเหมือนไม่อยากคุยกับฉัน”หล่อนคร่ำครวญทั้งที่ใบหน้ายังซุกอกเขา แล้วร้องไห้โฮอย่างไม่อาจกลั้น จนรัชตะสัมผัสถึงความเปียกชุ่มผ่านถึงแผงอกหนา เป็น
บ้านเดิมของพ่อที่รัชตะบอกไว้ทำให้ปิ่นลดาถึงกับตะลึง ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นวังเก่าที่ปัจจุบันตกอยู่ในมือหลานห่างๆ ครอบครองอยู่ โดยรู้มาว่าทายาทสายตรงนั้นย้ายไปอยู่ต่างประเทศอย่างถาวร หลังจากแต่งงานกับภรรยาฝรั่งและถูกถอดจากความเป็นราชนิกูลด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครรู้และเป็นไปโดยการสมัครใจของทุกฝ่ายแต่ดูเหมือนพวกเขายังมีเงื่อนไขที่ยังติดพันอยู่ สิ่งนี้ทำให้เธอถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้...และมันก็ใช่สิ่งที่ปิ่นลดารู้คร่าวๆ มาก่อนแล้ว“ฉันต้องมั่นใจด้วยว่าเด็กในท้องยายหนูคนนี้เป็นลูกของเธอ เป็นสายเลือดแท้จริงของราชเกียรติกูรถึงจะเซ็นมอบสมบัติส่วนของพ่อเธอให้”“ถ้าจะให้ตรวจ DNA ตอนนี้ ผมไม่อนุญาต ผมไม่ต้องการให้ลูกเมียมาเสี่ยงกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง” รัชตะสวนด้วยท่าทีแข็งกร้าว ทำให้ชายร่างผอมสูงผงะอย่างคิดไม่ถึง จนแม้แต่ปิ่นลดายังต้องสะดุ้ง “ผมไม่ได้มาเพื่อขอให้ท่านลุงเชื่อหรือไม่เชื่อว่าลูกในท้องปิ่นลดาเป็นลูกของผม แต่มาเพื่อบอกกล่าวท่านลุง ผมจะแต่งงานกับปิ่นลดา ผมกำลังจะมีลูก เลยอยากทำทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง ผมเ
“ใช่พี่ แม่บอกว่าเขาย้ายไปอยู่ออสเตรเลียแล้ว พี่ลดาไม่รู้หรือ ตอนแรกนัทยังอิจฉาพี่เลยว่าได้ไปอยู่เมืองนอกกัน”“ไม่ พี่ไม่รู้”“งั้นกลับเถอะพี่ อย่าเข้าไปเลย มันไม่ใช่บ้านของพี่ลดาแล้ว”เมื่อเห็นว่าเธอยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม และรถบรรทุกข้างในกำลังแล่นออกมา เด็กหนุ่มจึงคว้าข้อมือหญิงสาวจูงให้พ้นรัศมี ก่อนจะปล่อยเธอ“พี่...เอ่อ พี่พักที่ไหน แล้วจะกลับยังไง”หล่อนส่ายหน้า สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก เด็กหนุ่มมอง แล้วพอปะติดปะต่อหลายอย่างได้ก็รู้สึกสงสารจับใจ นั่นคือการแสดงน้ำใจได้เท่าที่ตนสามารถ“ตรงนี้อากาศร้อน ไปที่ร้านก่อนดีกว่า พี่หน้าซีด เดี๋ยวจะเป็นลม”ปิ่นลดารู้สึกตัว กำมือแน่นอย่างเรียกกำลังใจ ถึงอย่างไรเธอต้องเดินต่อ จะหยุดชีวิตไว้ตรงนี้ได้อย่างไรกันพอจะย่างเท้ากลับไปทางต้นซอย รถหรูคันสีดำติดฟิล์มมืดสนิทก็แล่นมาจอดใกล้ ปิ่นลดาหลบทางให้ ตั้งท่าจะเดินต่อ หากต้องชะงัก เท้าหยุดนิ่งทั้งสองข้าง มองคนที่เปิดประตูก้าวออกมาด้วยความรู้สึกช็อก“พี่ลดา เราไปกันเถอะ”
“ปล่อยเธอไป” รัชตะมองผ่านผนังกระจกของห้างไปยังรถที่เคลื่อนออก ยกมือห้ามคนติดตามที่ทำท่าจะออกวิ่งตาม ขณะมือหนาลดโทรศัพท์มือถือลงมา หลังจากฟังการเคลื่อนไหวของหญิงสาวจากคนขับรถที่รายงานทันทีที่เธอเปิดประตูลงไปเครื่องบินโบอิ้งเหินตัวออกจากท่าอากาศยานนานาชาติเชียงราช ซึ่งเป็นท่าอากาศยานเปิดใหม่ที่มีความทันสมัยได้มาตรฐานอีกแห่งของโลกปิ่นลดาหลับตาเมื่อเครื่องไต่ระดับจนถึงเพดานบิน ฟังคนนั่งเก้าอี้แถวเดียวกันพูดคุย พวกเขาคงเดินทางมาด้วยกันหัวใจที่เต้นรัวด้วยความหวาดหวั่นและลุ้นระทึกเริ่มคลายลง หากเกิดความรู้สึกใหม่ขึ้นมาแทน ใจหายและวูบหวิว เสี้ยววินาทีหนึ่งใจแทบจะขาดรอนด้วยความโหยหาที่พุ่งเข้ามาโดยที่ปิ่นลดาไม่ทันเตรียมตัวรับว่าจะเกิดกับตนได้ภาพรถแท็กซี่จอดตรงจุดส่งผู้โดยสาร ขณะที่เธอเปิดกระเป๋าสะพายแล้วหน้าเสีย ไม่รู้จะบอกคนขับว่าอย่างไรดี พลันก็มีพนักงานสาวในฟอร์มของท่าอากาศยานสองคนก้าวตรงมา พวกเธอคุยกับคนขับแท็กซี่แล้วมองมาทางตอนหลังของรถ ยิ้มให้เธอ แล้วหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้น‘สวัสดีค่ะคุณปิ่นลดา ดิฉันมาจากคุณชัญญา เชิญตามเร
“เป็นอะไรหรือเปล่า ปิ่นลดา”รัชตะถามเมื่อสังเกตว่าหญิงสาวนิ่งเงียบตั้งแต่กลับจากงานเลี้ยงเมื่อคืน จนถึงบ้านอาบน้ำและเข้านอนไปพร้อมกัน ในตอนนั้นเขาไม่คิดจะถามเพราะเข้าใจว่าเธอเหนื่อย จึงให้พักผ่อนแต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น ท่าทางของปิ่นลดายังไม่เปลี่ยนจากเดิม นิ่งเหมือนตกในภวังค์อยู่บ่อยครั้ง ผิดวิสัยของเธอ ที่ไม่ว่าจะพอใจ ดีใจหรือเศร้าใจ มักจะแสดงอารมณ์ออกมาทั้งสีหน้าและท่าทางอย่างไม่ต้องคิดเดาไปเอง“หรือเหนื่อย อ่อนเพลียอยู่ วันนี้จะพักอยู่บ้านไหม อยากกินอะไรบอกแม่ครัว หรือถ้าที่นี่ไม่มี ฉันจะให้โรงแรมเอามาส่ง”“ไม่ ไม่ค่ะ ฉัน...ฉันอยากออกไปข้างนอกมากกว่า”“งั้นไปได้แล้ว บ่ายนี้ฉันต้องไปเคลียร์งานที่โรงงานด้วย”หากพอนั่งรถออกจากคฤหาสน์เนินคุ้มหมอก รถผ่านประตูรั้วหญิงสาวเหลียวมองข้างหลัง ทอดสายตาที่อัดด้วยความรู้สึกข้างในออกมาอย่างไม่อาจกลั้น จนลับหายเธอจึงเบือนหน้ากลับมา นั่งกอดกระเป๋าสะพายที่เขาจัดหามาให้อย่างพร้อมเพรียงก้มมองรองเท้าเข้าชุดกันกับเสื้อผ้าที่พอจะให้คนท้องอ่อนๆ สวมใส่สบายที่มีดีไซน์สวยงามแ
งานเลี้ยงของภรรยาผู้ว่าฯ จัดในเขตรั้วบ้านหลังใหญ่ปลูกสร้างตามสถาปัตยกรรมของภาคเหนือ ใหญ่โตหรูหรา ไม่ใช่จวนผู้ว่าฯ อย่างที่ปิ่นลดาเข้าใจแต่แรก“คุณนายเป็นคนเมืองนี้ สามีจะเกษียณในปีหน้าเลยขอย้ายกลับมาอยู่บ้านในบั้นปลายชีวิตข้าราชการ”ปิ่นลดาพยักหน้าเมื่อได้ยินคำอธิบายจากคนข้างกาย ก่อนเขาจะเปิดประตูรถ แล้วอ้อมมารับเธอในงานนั้น หญิงสาวพบเจอคนมากมาย และดูรัชตะจะเป็นคนกว้างขวางไม่น้อย มีคนมาทักทายเขาไม่ขาดสาย ทั้งวัยหนุ่มสาวและผู้ใหญ่กว่า ยังไม่รวมถึงคนต่างชาติต่างภาษา โดยกลุ่มหลังปิ่นลดาเดาว่าน่าจะคนในแวดวงธุรกิจไม่กี่นาทีเจ้าภาพวัยกลางคนก็ควงคู่ลูกสาวเข้ามาในงาน โดยที่สามีของเธอรับรองแขกเหรื่ออยู่ก่อนแล้ว ความสวยเฉิดฉายของหญิงสาวที่เคียงข้างเจ้าภาพนั้นทำให้ปิ่นลดามองอย่างชื่นชม และยอมรับว่ามีความอิจฉาอย่างหักห้ามใจไม่ไหวอยู่ในอารมณ์นั้นด้วย เมื่อคิดต่อว่าหล่อนมีความสนิทสนมกับผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่ยืนกุมมือตนเพียงไร เพราะไม่ว่าจะได้ยินเขาพูดถึง ‘คุณชัญญา’ สักกี่ครั้ง แม้จะบอกว่าเป็นแค่คนรู้จัก หากปิ่นลดายังรับรู้ถึงความชื่นชมและให้เกียรติ
ปิ่นลดาซุกกายอยู่กับอกกว้าง หลับตาอย่างหมดเรี่ยวแรงหลังสิ้นจากกิจกรรมในอ่างอาบน้ำ เขาจับเธอล้างตัวจนสะอาด เช็ดผมและผิวบางจนแห้งสบาย ก่อนจะห่อกายสาวด้วยเสื้อคลุมแล้วยกอุ้มมาวางบนเตียงนอนหล่อนคิดว่าคงได้หลับพักผ่อน หากไม่ใช่เลย เมื่อคนร่างใหญ่เคลื่อนขยับมาทาบทับ เกมรักดำเนินตามครรลอง รุกเร้าผลักดันเธอจนสุขสมใจอีกครั้ง ก่อนผล็อยหลับในอ้อมกอดแข็งแรงด้วยใจเต็มอิ่มร่างขาวโพลนพลิกกายหนีเมื่อสัมผัสถึงความสากระคายเลื่อนไล้ตามแก้มและซอกคอ“ตื่นได้แล้ว ทุ่มกว่าแล้ว ลุกมาแต่งตัว”เสียงทุ้มแทรกเข้ามา เจ้าของร่างยิ่งกระถดหนีทั้งที่ตายังหลับ ทำให้เกิดเสียงหัวเราะอยู่ใกล้หู จนเธอต้องปัดป้องเจ้าเสียงก่อกวนนั้น“ไม่เอา ไม่ลุก จะนอน”“ฉันไม่อนุญาต ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ อย่าทำลูกฉันขี้เกียจนะ เร็วเข้า ชุดไปงานก็เตรียมไว้ให้แล้ว” เสียงสั่งเข้ม จนคนนอนขี้เซาต้องมุ่นคิ้วสงสัย หรี่ตามองอย่างอยากรู้“งานที่ไหนคะ แล้วชุดอะไร”“งานเลี้ยงวันเกิดภรรยาผู้ว่าฯ ฉันต้องไป เธอก็จะไปกับฉันด้วย”ปิ่นลด
งานเลี้ยงของภรรยาผู้ว่าฯ จัดในเขตรั้วบ้านหลังใหญ่ปลูกสร้างตามสถาปัตยกรรมของภาคเหนือ ใหญ่โตหรูหรา ไม่ใช่จวนผู้ว่าฯ อย่างที่ปิ่นลดาเข้าใจแต่แรก“คุณนายเป็นคนเมืองนี้ สามีจะเกษียณในปีหน้าเลยขอย้ายกลับมาอยู่บ้านในบั้นปลายชีวิตข้าราชการ”ปิ่นลดาพยักหน้าเมื่อได้ยินคำอธิบายจากคนข้างกาย ก่อนเขาจะเปิดประตูรถ แล้วอ้อมมารับเธอในงานนั้น หญิงสาวพบเจอคนมากมาย และดูรัชตะจะเป็นคนกว้างขวางไม่น้อย มีคนมาทักทายเขาไม่ขาดสาย ทั้งวัยหนุ่มสาวและผู้ใหญ่กว่า ยังไม่รวมถึงคนต่างชาติต่างภาษา โดยกลุ่มหลังปิ่นลดาเดาว่าน่าจะคนในแวดวงธุรกิจไม่กี่นาทีเจ้าภาพวัยกลางคนก็ควงคู่ลูกสาวเข้ามาในงาน โดยที่สามีของเธอรับรองแขกเหรื่ออยู่ก่อนแล้ว ความสวยเฉิดฉายของหญิงสาวที่เคียงข้างเจ้าภาพนั้นทำให้ปิ่นลดามองอย่างชื่นชม และยอมรับว่ามีความอิจฉาอย่างหักห้ามใจไม่ไหวอยู่ในอารมณ์นั้นด้วย เมื่อคิดต่อว่าหล่อนมีความสนิทสนมกับผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่ยืนกุมมือตนเพียงไร เพราะไม่ว่าจะได้ยินเขาพูดถึง ‘คุณชัญญา’ สักกี่ครั้ง แม้จะบอกว่าเป็นแค่คนรู้จัก หากปิ่นลดายังรับรู้ถึงความชื่นชมและให้เกียรติ
ปิ่นลดาซุกกายอยู่กับอกกว้าง หลับตาอย่างหมดเรี่ยวแรงหลังสิ้นจากกิจกรรมในอ่างอาบน้ำ เขาจับเธอล้างตัวจนสะอาด เช็ดผมและผิวบางจนแห้งสบาย ก่อนจะห่อกายสาวด้วยเสื้อคลุมแล้วยกอุ้มมาวางบนเตียงนอนหล่อนคิดว่าคงได้หลับพักผ่อน หากไม่ใช่เลย เมื่อคนร่างใหญ่เคลื่อนขยับมาทาบทับ เกมรักดำเนินตามครรลอง รุกเร้าผลักดันเธอจนสุขสมใจอีกครั้ง ก่อนผล็อยหลับในอ้อมกอดแข็งแรงด้วยใจเต็มอิ่มร่างขาวโพลนพลิกกายหนีเมื่อสัมผัสถึงความสากระคายเลื่อนไล้ตามแก้มและซอกคอ“ตื่นได้แล้ว ทุ่มกว่าแล้ว ลุกมาแต่งตัว”เสียงทุ้มแทรกเข้ามา เจ้าของร่างยิ่งกระถดหนีทั้งที่ตายังหลับ ทำให้เกิดเสียงหัวเราะอยู่ใกล้หู จนเธอต้องปัดป้องเจ้าเสียงก่อกวนนั้น“ไม่เอา ไม่ลุก จะนอน”“ฉันไม่อนุญาต ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ อย่าทำลูกฉันขี้เกียจนะ เร็วเข้า ชุดไปงานก็เตรียมไว้ให้แล้ว” เสียงสั่งเข้ม จนคนนอนขี้เซาต้องมุ่นคิ้วสงสัย หรี่ตามองอย่างอยากรู้“งานที่ไหนคะ แล้วชุดอะไร”“งานเลี้ยงวันเกิดภรรยาผู้ว่าฯ ฉันต้องไป เธอก็จะไปกับฉันด้วย”ปิ่นลด
เป็นอันว่าปิ่นลดาคงไม่ได้กลับไปบ้านหลังสีฟ้า...อย่างน้อยก็ชั่วระยะนี้ เมื่อศจีกลับมาทำหน้าที่ของเธอเต็มตัว แต่เปลี่ยนสถานที่เป็นคฤหาสน์ราชเกียรติกูรหากไม่กังวลถึงสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าซึ่งไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่าง และไม่มองย้อนว่าเธอมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้อย่างไร ปิ่นลดาก็เป็นหญิงสาวที่มีความสุขกับปัจจุบันคนหนึ่งทุกวันในรอบรั้วกว้างใหญ่ เธอมีอิสระพอที่จะทำอะไรได้ แถมในบางเวลาคนตัวใหญ่มักพาเธอออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก ยิ่งทำให้ปิ่นลดาหลงรักเมืองเชียงราชมากขึ้น...แต่ไม่แปลกหรอก เป็นใครจะอดใจไหวกับเมืองที่ทันสมัยแต่มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติพร้อมทว่ายังมีสิ่งที่หญิงสาวไม่ชินเอาเสียเลย นั่นคือหน้าที่ใหม่ในแต่ละวันที่ต้องดูแลรัชตะ แม้จะจำกัดแค่ตอนอยู่ด้วยกันตามลำพัง อย่างเช่นเวลานี้เมื่อเขากลับจากทำงานตอนใกล้หกโมงเย็นฝ่ามือบางนุ่มไล้เนื้อกายกำยำ กลิ่นหอมของสบู่อบอวลทั่วห้องน้ำ ชายหนุ่มหลับตา ความเหน็ดเหนื่อยและเคร่งเครียดที่เจอมาทั้งวันจางหาย ความผ่อนคลายเข้ามาแทนที่“อืม ดี”เขาครางในลำคอ ปล่อยคนร่างอวบอิ่มตามภาวะความเป็นมารดาได้ทำหน้าที่ของเธ