แฟรงค์กลับไปแล้ว กลับไปหลังจากใช้เวลาตรวจคนป่วยไม่ถึงสิบนาที รัชตะเห็นหมอหนุ่มจับชีพจร วัดการเต้นของหัวใจและตรวจวัดอะไรต่อมิอะไรให้วุ่นอยู่พักเดียว ก็สรุปว่าร่างกายเธออ่อนเพลียจึงยังไม่รู้สึกตัว แต่เมื่อถึงเวลาเธอจะตื่นขึ้นมาเอง
‘ไม่มียาให้เธอกินหรือ เห็นอยู่ว่าปิ่นลดาไม่สบาย ตัวร้อนจัด’‘ให้เธอพักผ่อน ดูแลร่างกายเธอให้อบอุ่นและสบาย พอฟื้นมาก็ปรับตัวใหม่ได้เอง ฉันไม่อยากสั่งยาสุ่มสี่สุ่มห้าตอนนี้’ แฟรงค์บอกอย่างใจเย็น ไม่สนใจท่าทางฮึดฮัดของเจ้าของสถานที่ที่เหมือนจะต่อยเขาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง หากว่าพูดให้ขัดใจ‘แล้วถ้าแทนที่จะฟื้น เธอเกิดไม่สบายหนักกว่าเดิมล่ะ’‘นายก็โทร.หาฉันสิ ฉันจะรีบมาให้ทันใจนายภายในครึ่งชั่วโมง โอเค’ หมอหนุ่มย้ำเสียงสูง แต่อีกคนพยักหน้ารับอย่างเห็นตามนั้น จนคนประชดเบื่อจะโต้ ‘ให้เธอทานอาหารอ่อนที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้พอ งดการทำให้ร่างกายเธอบอบช้ำ...นายทำได้ใช่ไหม’คำสั่งยาวเหยียดของหมอที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิท ทำให้คนถูกสั่งคอแข็ง โดยเฉพาะถ้อยคำ“นี่ เธอคิดว่าฉันจะทำอะไร”รัชตะสวนกลับ ท่าทางต่อล้อต่อเถียงไม่ยอมถอยทำให้ปิ่นลดาเหนื่อยใจ แถมกายก็เหนื่อยล้าไม่น้อยกว่ากัน แล้วได้ยินเขาทิ้งท้ายเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน“ฉันไม่ใช่ไอ้บ้ากาม”ศจีคงอยู่แถวนั้น เพราะทันทีที่รัชตะเดินออกจากห้องก็เห็นเจ้าตัวเข้ามาหาเธอในทันทีในทีแรกปิ่นลดาก็ไม่มีปัญหาที่จะเปลี่ยนชุดใหม่ เพราะรู้สึกระคายตัว แต่พอเห็นเสื้อคลุมในมือศจีที่หยิบมาจากข้างเตียงซึ่งรัชตะเพิ่งวางไว้ เธอถึงกับตัวแข็ง“ของใคร”“ของคุณใหญ่ค่ะ เธอไม่เอาของคนอื่นให้คุณใส่หรอก” ศจีตอบเสียงเรียบ วางท่าทางอย่างพร้อมทำหน้าที่ที่ได้รับคำสั่ง“ฉันไม่ใช้ของเขา”“แต่เสื้อผ้าของคุณยังไม่เอาขึ้นมา ใส่ตัวนี้ไปก่อน ดูน่าสบายออก คืนนี้คุณจะได้หลับสบาย หายไข้ไวๆ”ปิ่นลดาตั้งท่าต่อต้าน อีกฝ่ายทอดถอนใจ แล้วพูดอย่างที่เธอปฏิเสธไม่ได้“คุณก็รู้ว่าขัดใจคุณใหญ่ไม่ได้ ยอมๆ ไปก่อนเถอะค่ะ รักษาตัวเองให้หาย แล้วค่อยคิดใหม่”“ฉันเบื่อศจี ทำเหมือนดีก
รัชตะผุดลุกนั่ง ประสาทสัมผัสทุกส่วนตื่นตัวเตรียมพร้อมเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของคนที่ตนนอนกกกอดทั้งคืน“ปิ่นลดาเป็นอะไร เจ็บตรงไหน บอกฉันสิ”เขาถามคนที่นั่งยกมือปิดหน้าแล้วร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย ยิ่งคว้ามาหาเพื่อจะสำรวจให้รู้ แต่เจ้าหล่อนกลับตะกายหนีท่าเดียว“หยุดร้อง แล้วบอกฉัน เธอเป็นอะไร”รัชตะดึงมือบางออกจากดวงหน้า แล้วถามเสียงเข้ม เพราะเห็นแล้วว่าใช้วิธีเดิมไม่สำเร็จ“คุณเป็นบ้าอะไร ทำไมแก้ผ้าล่อนจ้อน น่าเกลียด น่าขยะแขยงที่สุดเลย”“เฮ้ย! นี่เธอร้องลั่นบ้านเพราะเห็นฉันเปลือยนี่นะ”“ใช่สิ คนบ้าอะไรนอนเปลือยเป็นผีเปรต ไม่เคยพบไม่เคยเห็น แล้วยังมานั่งถามหน้าตาเฉยอีก คนหน้าด้าน”หล่อนยังกรีดเสียงใส่ต่อเนื่อง จนรัชตะเปลี่ยนเป็นจากความห่วงใยเป็นหมั่นไส้ได้ในพริบตาเหมือนกัน“ทำยังกับว่าฉันไม่เคยนอนแก้ผ้าบนเตียงกับเธอ อ้อ! ถ้าจะต่างก็ตรงเมื่อก่อนไม่แก้อย่างเดียว แต่เรายัง...”เขาลากเสียงยาว สีหน้าล้อเลียนและเย้ยหยัน จนคนนั่งผมรุ่ยร่ายกลางเตียงต้องส
หล่อนอึกอัก ใบหน้าซีดเผือด หากรัชตะก็รู้จักเธอดีที่จะรู้ว่าความรู้สึกที่ฉายชัดบนใบหน้าไม่ได้เกิดจากเขาร่างสูงใหญ่สืบเท้าไปใกล้ ดึงโทรศัพท์มือถือจากมือเธอ ปิ่นลดายอมปล่อยโดยดี ทำท่าจะผละออกห่าง แต่ชายหนุ่มคว้ามือบางไว้ กระชับแน่น ก่อนจะกดเรียกดู...เพื่อจะรู้ว่าเป็นหมายเลขที่เขาคาดไว้อยู่แล้ว“เธอคุยอะไรกับพ่อของเธอ”“ไม่ ไม่ได้คุย”หล่อนส่ายหน้า เห็นร่องรอยสับสนเหมือนเด็กหลงทาง วูบหนึ่งเขาอยากรั้งมากอดเหลือเกิน แต่จำต้องทำใจแข็งไว้“บอกความจริง”“พ่อรับสาย คิดว่าเป็นคุณ แต่พอรู้ว่าฉันพูด พ่อก็ตัดสาย” แค่นั้นคนร่างบางก็สะท้านไหวด้วยแรงสะอื้น “ทำไมพ่อไม่คุยกับฉัน”ดวงหน้าหวานเงยมองชายหนุ่ม วินาทีนั้นรัชตะก็หมดความอดกลั้น ดึงหล่อนมากอดไว้แน่น“เขาอาจจะยังไม่พร้อม”“ทำไมพ่อถึงไม่พร้อม ฉันแค่อยากคุยด้วย แต่เขาทำเหมือนไม่อยากคุยกับฉัน”หล่อนคร่ำครวญทั้งที่ใบหน้ายังซุกอกเขา แล้วร้องไห้โฮอย่างไม่อาจกลั้น จนรัชตะสัมผัสถึงความเปียกชุ่มผ่านถึงแผงอกหนา เป็น
“งั้นเธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วออกมาทานข้าว ฉันจะให้คนยกมาในห้อง ส่วนเสื้อผ้าเธอ ให้ศจีขนมาให้ทั้งหมดนั่นละ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็บอก”“ตกลงว่าฉันกลายเป็นนักโทษขังเดี่ยวไปแล้วใช่ไหมคะ”“ขังเดี่ยวที่ไหน ขังคู่กับฉันต่างหาก”รัชตะว่าเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขรึม ไร้ร่องรอยล้อเลียน แต่ปิ่นลดารู้หรอกว่าเขาแสร้งทำ เพราะดวงตาสีสนิมเหล็กนั่นพราวระยับทั้งวันรัชตะคอยป้วนเปี้ยนใกล้ปิ่นลดา โดยเธอคิดว่าเป็นเพราะเขาว่างจากงาน จึงลงทุนเฝ้าเธอด้วยตัวเอง คงกลัวว่าจะหนีพอตกบ่ายหญิงสาวผล็อยหลับ ด้วยสาเหตุที่เจ้าตัวรู้ดี...อาการจากความเปลี่ยนแปลงของร่างกายคงปรากฏแล้วแต่พอตื่นในเวลาใกล้เย็น เธอกลับเห็นชายหนุ่มนั่งทำงานง่วนอยู่กับโต๊ะทำงานชั่วคราวที่จำได้ว่าเมื่อเช้าไม่มีมันอยู่ตรงนี้“ตื่นแล้วหรือ หิวไหม จะกินอะไรหรือเปล่า” เขาวางปากกา เงยหน้ามองเธอ เพราะอาจรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาอยู่“คนเพิ่งตื่นนอน จะหิวได้ยังไง ทำยังกับไปวิ่งข้ามเขามาอย่างนั้นละ” คนถูกถามตี
ภาพของหมอหนุ่มต่างจากภาพในความคิดของปิ่นลดาโดยสิ้นเชิง ผู้ชายวัยกลางคนใส่แว่นตาท่าทางอ่อนโยนไม่มีให้เห็นในตัวของคนตรงหน้าที่ยืนยิ้มอย่างพร้อมทำความรู้จัก“ปิ่นลดา นี่หมอแฟรงค์ เพื่อนของฉัน”“ค่ะ สวัสดีค่ะ”ปิ่นลดายกมือไหว้แทบไม่ทัน เมื่อได้ยินคำแนะนำและเพิ่งรู้สึกตัวว่ามองคนมาใหม่มากไป แล้วเหลือบเห็นเจ้าของเสียงที่ปลุกเธอตื่นจากความสงสัยและประหลาดใจ เขาตีสีหน้าบึ้งตึงเหมือนไม่พอใจอยู่ จะด้วยสาเหตุใดเธอก็ไม่รู้ หรือติดพันจากการเถียงกันเมื่อครู่ก็สุดจะเดา“เป็นยังไงบ้างครับ ได้ข่าวว่าแข็งแรง ดีขึ้นมากแล้ว”“ฉันสบายดีค่ะคุณหมอ ไม่ได้ป่วยไข้อะไร”“ได้ยินอย่างนี้หมอก็สบายใจครับ”ปิ่นลดายิ้มโล่งอก เหมือนหมอจะไม่ติดใจอาการของเธอแล้ว แต่เสี้ยววินาที รอยยิ้มเธอก็หายวับ“ใหญ่ นายออกไปก่อน ฉันขออยู่กับคุณปิ่นลดาตามลำพัง”“ได้ยังไง นายจะตรวจก็ตรวจไปสิ ห้องตั้งกว้าง ฉันเกะกะนายตรงไหน”“หวงมากหรือ งั้นไปเรียกเด็กมาอยู่ในห้องสักคน แล้วเชิญนายออกไป&
งุนงงแป๊บเดียว แฟรงค์ก็ไหวไหล่ ทำท่าเหมือนศาสดาผู้หยั่งรู้ทุกสิ่งในโลก ไม่ใช่หมอที่เชี่ยวชาญจากการเรียนรู้และฝึกฝน“นายจะว่าอะไรไหม ถ้าฉันคิดว่าเธอแค่อ้างเพื่อไม่ให้นายแตะต้องตัวเธอ”“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง ทำไมเธอต้องอ้างอย่างนั้นด้วย นายเป็นคนนอก อย่าอวดรู้ไปหน่อยเลย” รัชตะกัดฟันกรอด ไม่ชอบหน้าเพื่อนที่คบกันมาเกือบยี่สิบก็คราวนี้ละ“นายนอนกับเธอบ่อยแค่ไหน”“บ่อย เกือบทุกคืน” ไม่อยากตอบ แต่ก็ต้องตอบ เพราะสำนึกอีกส่วนบอกว่าเพื่อนที่รั้งตำแหน่งหมอประจำตัวของปิ่นลดากำลังทำหน้าที่อยู่“นานแค่ไหน”“น่าจะสองเดือน”“ก่อนนี้เธอมีประจำเดือนไหม หมายถึงนายต้องงดเว้นการหลับนอนกับเธอเพราะสาเหตุนี้บ้างหรือเปล่า”“ไม่นะ ไม่มี” รัชตะตอบอย่างไม่เสียเวลาคิด แล้วก็เบิกตาโต “นาย...นายหมายความว่า…”“ก็ตรงกัน ความเข้าใจฉันไม่ผิด เมื่อวานตรวจร่างกายคุณปิ่นลดา ฉันสงสัยบางอย่าง แต่วันนี้มั่นใจมากขึ้นหลังจากคุยกับเธอและตรวจปัสสาวะ&rdquo
คนตัวใหญ่ปลอบด้วยสีหน้าร้อนรนเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ยากจะรับมือ ก่อนลุกจากเตียง เดินลิ่วไปทางประตู จากนั้นปิ่นลดาก็ได้ยินเขาสั่งคนรับใช้เสียงเข้มอย่างที่เธอต้องหยุดฟังแล้วประเมินค่ำคืนนั้นปิ่นลดาเจอสถานการณ์ที่เดาไว้ก่อนแล้ว การจะขยับตัวไปทางไหน โดยไม่มีสายตาเขาจับมอง เป็นอันว่าเป็นไปได้ยากเหลือเกิน“ในไร่ยังมีผลไม้อีกหลายอย่าง นอกจากลูกพลับ”รัชตะบอก ย้ำเสียงในตอนท้ายเหมือนยังติดใจที่กว่าหล่อนจะยอมกินก็วุ่นกันทั้งบ้าน‘ฉันจะกินที่เก็บใหม่จากต้น แต่ในจานนี้ไม่ใช่ ฉันรู้ว่าไม่ใช่’ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนรู้ได้อย่างไร แม้แต่รัชตะ แต่เมื่อมันเป็นจริงตามหล่อนว่า ผลไม้เหล่านี้ถูกเก็บมาไว้ในครัวตั้งแต่เมื่อวาน สำหรับคนปกติถือว่ายังเป็นผลไม้สดใหม่ แต่ไม่นับรวมถึงคนท้องคนนี้‘ไปบอกนายปั้นให้ไปเก็บมาใหม่’รัชตะสั่งเด็กทันทีอย่างต้องการเอาใจเธอ แต่แล้วกลับต้องอึ้ง‘ฉันไม่ไว้ใจนายปั้น ฉันอยากให้คุณไปเก็บเอง’‘อะไรนะ เธอจะให้ฉันไปเก็บลูกพลับในไร่มาให้เธอกินหรือ’‘ใช่ ถ้าคุ
“แล้วจะทำอะไร นี่ยังเช้ามืดอยู่”“คุณไม่ต้องมายุ่งหรอก ฉันมีอะไรให้ทำเยอะแยะ”“เช่น...” เขาถาม เห็นท่าทางเหลียวมองรอบกายแล้วกลับมาทำท่าอ้ำอึ้งของเธอก็หัวเราะขึ้น ความอ่อนโยนกำลังเกาะหนึบในหัวใจเขารัชตะจูงมือหญิงสาวพาไปยังมุมหนึ่งของห้องที่หล่อนเพิ่งเห็นว่าเป็นมุมพักผ่อนอย่างดี มีทั้งทีวีและตู้หนังสือติดผนังขนาดย่อม“อยู่ในนี้แล้วกัน เบื่อหรือง่วงเมื่อไหร่ก็ตามมา”จัดการให้เธอเสร็จ ชายหนุ่มก็กลับไปยังเตียงนอนนุ่มกว้าง ปล่อยคนร่างบางให้มองตามด้วยความรู้สึกหลากหลาย สุดท้ายทั้งทีวีและหนังสือที่คิดว่าจะสนใจกลับไม่สามารถจูงใจเธอได้เลย เมื่ออยู่ตามลำพัง ความเงียบก็ทำให้ความรู้สึกเธอเปลี่ยนไปปิ่นลดาซุกตัวบนโซฟา เหลือบมองคนที่นอนบนเตียงเหมือนไม่สนใจเธอ ยกมือปาดน้ำตาแล้วนอนขดตัวบนโซฟาบ้างหญิงสาวหลับตา เธอไม่เข้าใจตัวเอง หงุดหงิดกับอาการที่กำลังเป็น บางทีเหมือนเรียกร้องความสนใจจากเขา หล่อนรู้สึกตัวดี แต่ถ้าไม่ทำ เธอก็ถูกความโหยหาโถมเข้าใส่ ปิ่นลดาไม่อยากจมอยู่กับความรู้สึกว่าทุกคนในโลกใบนี้หันหลัง
“ใช่พี่ แม่บอกว่าเขาย้ายไปอยู่ออสเตรเลียแล้ว พี่ลดาไม่รู้หรือ ตอนแรกนัทยังอิจฉาพี่เลยว่าได้ไปอยู่เมืองนอกกัน”“ไม่ พี่ไม่รู้”“งั้นกลับเถอะพี่ อย่าเข้าไปเลย มันไม่ใช่บ้านของพี่ลดาแล้ว”เมื่อเห็นว่าเธอยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม และรถบรรทุกข้างในกำลังแล่นออกมา เด็กหนุ่มจึงคว้าข้อมือหญิงสาวจูงให้พ้นรัศมี ก่อนจะปล่อยเธอ“พี่...เอ่อ พี่พักที่ไหน แล้วจะกลับยังไง”หล่อนส่ายหน้า สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก เด็กหนุ่มมอง แล้วพอปะติดปะต่อหลายอย่างได้ก็รู้สึกสงสารจับใจ นั่นคือการแสดงน้ำใจได้เท่าที่ตนสามารถ“ตรงนี้อากาศร้อน ไปที่ร้านก่อนดีกว่า พี่หน้าซีด เดี๋ยวจะเป็นลม”ปิ่นลดารู้สึกตัว กำมือแน่นอย่างเรียกกำลังใจ ถึงอย่างไรเธอต้องเดินต่อ จะหยุดชีวิตไว้ตรงนี้ได้อย่างไรกันพอจะย่างเท้ากลับไปทางต้นซอย รถหรูคันสีดำติดฟิล์มมืดสนิทก็แล่นมาจอดใกล้ ปิ่นลดาหลบทางให้ ตั้งท่าจะเดินต่อ หากต้องชะงัก เท้าหยุดนิ่งทั้งสองข้าง มองคนที่เปิดประตูก้าวออกมาด้วยความรู้สึกช็อก“พี่ลดา เราไปกันเถอะ”
“ปล่อยเธอไป” รัชตะมองผ่านผนังกระจกของห้างไปยังรถที่เคลื่อนออก ยกมือห้ามคนติดตามที่ทำท่าจะออกวิ่งตาม ขณะมือหนาลดโทรศัพท์มือถือลงมา หลังจากฟังการเคลื่อนไหวของหญิงสาวจากคนขับรถที่รายงานทันทีที่เธอเปิดประตูลงไปเครื่องบินโบอิ้งเหินตัวออกจากท่าอากาศยานนานาชาติเชียงราช ซึ่งเป็นท่าอากาศยานเปิดใหม่ที่มีความทันสมัยได้มาตรฐานอีกแห่งของโลกปิ่นลดาหลับตาเมื่อเครื่องไต่ระดับจนถึงเพดานบิน ฟังคนนั่งเก้าอี้แถวเดียวกันพูดคุย พวกเขาคงเดินทางมาด้วยกันหัวใจที่เต้นรัวด้วยความหวาดหวั่นและลุ้นระทึกเริ่มคลายลง หากเกิดความรู้สึกใหม่ขึ้นมาแทน ใจหายและวูบหวิว เสี้ยววินาทีหนึ่งใจแทบจะขาดรอนด้วยความโหยหาที่พุ่งเข้ามาโดยที่ปิ่นลดาไม่ทันเตรียมตัวรับว่าจะเกิดกับตนได้ภาพรถแท็กซี่จอดตรงจุดส่งผู้โดยสาร ขณะที่เธอเปิดกระเป๋าสะพายแล้วหน้าเสีย ไม่รู้จะบอกคนขับว่าอย่างไรดี พลันก็มีพนักงานสาวในฟอร์มของท่าอากาศยานสองคนก้าวตรงมา พวกเธอคุยกับคนขับแท็กซี่แล้วมองมาทางตอนหลังของรถ ยิ้มให้เธอ แล้วหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้น‘สวัสดีค่ะคุณปิ่นลดา ดิฉันมาจากคุณชัญญา เชิญตามเร
“เป็นอะไรหรือเปล่า ปิ่นลดา”รัชตะถามเมื่อสังเกตว่าหญิงสาวนิ่งเงียบตั้งแต่กลับจากงานเลี้ยงเมื่อคืน จนถึงบ้านอาบน้ำและเข้านอนไปพร้อมกัน ในตอนนั้นเขาไม่คิดจะถามเพราะเข้าใจว่าเธอเหนื่อย จึงให้พักผ่อนแต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น ท่าทางของปิ่นลดายังไม่เปลี่ยนจากเดิม นิ่งเหมือนตกในภวังค์อยู่บ่อยครั้ง ผิดวิสัยของเธอ ที่ไม่ว่าจะพอใจ ดีใจหรือเศร้าใจ มักจะแสดงอารมณ์ออกมาทั้งสีหน้าและท่าทางอย่างไม่ต้องคิดเดาไปเอง“หรือเหนื่อย อ่อนเพลียอยู่ วันนี้จะพักอยู่บ้านไหม อยากกินอะไรบอกแม่ครัว หรือถ้าที่นี่ไม่มี ฉันจะให้โรงแรมเอามาส่ง”“ไม่ ไม่ค่ะ ฉัน...ฉันอยากออกไปข้างนอกมากกว่า”“งั้นไปได้แล้ว บ่ายนี้ฉันต้องไปเคลียร์งานที่โรงงานด้วย”หากพอนั่งรถออกจากคฤหาสน์เนินคุ้มหมอก รถผ่านประตูรั้วหญิงสาวเหลียวมองข้างหลัง ทอดสายตาที่อัดด้วยความรู้สึกข้างในออกมาอย่างไม่อาจกลั้น จนลับหายเธอจึงเบือนหน้ากลับมา นั่งกอดกระเป๋าสะพายที่เขาจัดหามาให้อย่างพร้อมเพรียงก้มมองรองเท้าเข้าชุดกันกับเสื้อผ้าที่พอจะให้คนท้องอ่อนๆ สวมใส่สบายที่มีดีไซน์สวยงามแ
งานเลี้ยงของภรรยาผู้ว่าฯ จัดในเขตรั้วบ้านหลังใหญ่ปลูกสร้างตามสถาปัตยกรรมของภาคเหนือ ใหญ่โตหรูหรา ไม่ใช่จวนผู้ว่าฯ อย่างที่ปิ่นลดาเข้าใจแต่แรก“คุณนายเป็นคนเมืองนี้ สามีจะเกษียณในปีหน้าเลยขอย้ายกลับมาอยู่บ้านในบั้นปลายชีวิตข้าราชการ”ปิ่นลดาพยักหน้าเมื่อได้ยินคำอธิบายจากคนข้างกาย ก่อนเขาจะเปิดประตูรถ แล้วอ้อมมารับเธอในงานนั้น หญิงสาวพบเจอคนมากมาย และดูรัชตะจะเป็นคนกว้างขวางไม่น้อย มีคนมาทักทายเขาไม่ขาดสาย ทั้งวัยหนุ่มสาวและผู้ใหญ่กว่า ยังไม่รวมถึงคนต่างชาติต่างภาษา โดยกลุ่มหลังปิ่นลดาเดาว่าน่าจะคนในแวดวงธุรกิจไม่กี่นาทีเจ้าภาพวัยกลางคนก็ควงคู่ลูกสาวเข้ามาในงาน โดยที่สามีของเธอรับรองแขกเหรื่ออยู่ก่อนแล้ว ความสวยเฉิดฉายของหญิงสาวที่เคียงข้างเจ้าภาพนั้นทำให้ปิ่นลดามองอย่างชื่นชม และยอมรับว่ามีความอิจฉาอย่างหักห้ามใจไม่ไหวอยู่ในอารมณ์นั้นด้วย เมื่อคิดต่อว่าหล่อนมีความสนิทสนมกับผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่ยืนกุมมือตนเพียงไร เพราะไม่ว่าจะได้ยินเขาพูดถึง ‘คุณชัญญา’ สักกี่ครั้ง แม้จะบอกว่าเป็นแค่คนรู้จัก หากปิ่นลดายังรับรู้ถึงความชื่นชมและให้เกียรติ
ปิ่นลดาซุกกายอยู่กับอกกว้าง หลับตาอย่างหมดเรี่ยวแรงหลังสิ้นจากกิจกรรมในอ่างอาบน้ำ เขาจับเธอล้างตัวจนสะอาด เช็ดผมและผิวบางจนแห้งสบาย ก่อนจะห่อกายสาวด้วยเสื้อคลุมแล้วยกอุ้มมาวางบนเตียงนอนหล่อนคิดว่าคงได้หลับพักผ่อน หากไม่ใช่เลย เมื่อคนร่างใหญ่เคลื่อนขยับมาทาบทับ เกมรักดำเนินตามครรลอง รุกเร้าผลักดันเธอจนสุขสมใจอีกครั้ง ก่อนผล็อยหลับในอ้อมกอดแข็งแรงด้วยใจเต็มอิ่มร่างขาวโพลนพลิกกายหนีเมื่อสัมผัสถึงความสากระคายเลื่อนไล้ตามแก้มและซอกคอ“ตื่นได้แล้ว ทุ่มกว่าแล้ว ลุกมาแต่งตัว”เสียงทุ้มแทรกเข้ามา เจ้าของร่างยิ่งกระถดหนีทั้งที่ตายังหลับ ทำให้เกิดเสียงหัวเราะอยู่ใกล้หู จนเธอต้องปัดป้องเจ้าเสียงก่อกวนนั้น“ไม่เอา ไม่ลุก จะนอน”“ฉันไม่อนุญาต ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ อย่าทำลูกฉันขี้เกียจนะ เร็วเข้า ชุดไปงานก็เตรียมไว้ให้แล้ว” เสียงสั่งเข้ม จนคนนอนขี้เซาต้องมุ่นคิ้วสงสัย หรี่ตามองอย่างอยากรู้“งานที่ไหนคะ แล้วชุดอะไร”“งานเลี้ยงวันเกิดภรรยาผู้ว่าฯ ฉันต้องไป เธอก็จะไปกับฉันด้วย”ปิ่นลด
งานเลี้ยงของภรรยาผู้ว่าฯ จัดในเขตรั้วบ้านหลังใหญ่ปลูกสร้างตามสถาปัตยกรรมของภาคเหนือ ใหญ่โตหรูหรา ไม่ใช่จวนผู้ว่าฯ อย่างที่ปิ่นลดาเข้าใจแต่แรก“คุณนายเป็นคนเมืองนี้ สามีจะเกษียณในปีหน้าเลยขอย้ายกลับมาอยู่บ้านในบั้นปลายชีวิตข้าราชการ”ปิ่นลดาพยักหน้าเมื่อได้ยินคำอธิบายจากคนข้างกาย ก่อนเขาจะเปิดประตูรถ แล้วอ้อมมารับเธอในงานนั้น หญิงสาวพบเจอคนมากมาย และดูรัชตะจะเป็นคนกว้างขวางไม่น้อย มีคนมาทักทายเขาไม่ขาดสาย ทั้งวัยหนุ่มสาวและผู้ใหญ่กว่า ยังไม่รวมถึงคนต่างชาติต่างภาษา โดยกลุ่มหลังปิ่นลดาเดาว่าน่าจะคนในแวดวงธุรกิจไม่กี่นาทีเจ้าภาพวัยกลางคนก็ควงคู่ลูกสาวเข้ามาในงาน โดยที่สามีของเธอรับรองแขกเหรื่ออยู่ก่อนแล้ว ความสวยเฉิดฉายของหญิงสาวที่เคียงข้างเจ้าภาพนั้นทำให้ปิ่นลดามองอย่างชื่นชม และยอมรับว่ามีความอิจฉาอย่างหักห้ามใจไม่ไหวอยู่ในอารมณ์นั้นด้วย เมื่อคิดต่อว่าหล่อนมีความสนิทสนมกับผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่ยืนกุมมือตนเพียงไร เพราะไม่ว่าจะได้ยินเขาพูดถึง ‘คุณชัญญา’ สักกี่ครั้ง แม้จะบอกว่าเป็นแค่คนรู้จัก หากปิ่นลดายังรับรู้ถึงความชื่นชมและให้เกียรติ
ปิ่นลดาซุกกายอยู่กับอกกว้าง หลับตาอย่างหมดเรี่ยวแรงหลังสิ้นจากกิจกรรมในอ่างอาบน้ำ เขาจับเธอล้างตัวจนสะอาด เช็ดผมและผิวบางจนแห้งสบาย ก่อนจะห่อกายสาวด้วยเสื้อคลุมแล้วยกอุ้มมาวางบนเตียงนอนหล่อนคิดว่าคงได้หลับพักผ่อน หากไม่ใช่เลย เมื่อคนร่างใหญ่เคลื่อนขยับมาทาบทับ เกมรักดำเนินตามครรลอง รุกเร้าผลักดันเธอจนสุขสมใจอีกครั้ง ก่อนผล็อยหลับในอ้อมกอดแข็งแรงด้วยใจเต็มอิ่มร่างขาวโพลนพลิกกายหนีเมื่อสัมผัสถึงความสากระคายเลื่อนไล้ตามแก้มและซอกคอ“ตื่นได้แล้ว ทุ่มกว่าแล้ว ลุกมาแต่งตัว”เสียงทุ้มแทรกเข้ามา เจ้าของร่างยิ่งกระถดหนีทั้งที่ตายังหลับ ทำให้เกิดเสียงหัวเราะอยู่ใกล้หู จนเธอต้องปัดป้องเจ้าเสียงก่อกวนนั้น“ไม่เอา ไม่ลุก จะนอน”“ฉันไม่อนุญาต ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ อย่าทำลูกฉันขี้เกียจนะ เร็วเข้า ชุดไปงานก็เตรียมไว้ให้แล้ว” เสียงสั่งเข้ม จนคนนอนขี้เซาต้องมุ่นคิ้วสงสัย หรี่ตามองอย่างอยากรู้“งานที่ไหนคะ แล้วชุดอะไร”“งานเลี้ยงวันเกิดภรรยาผู้ว่าฯ ฉันต้องไป เธอก็จะไปกับฉันด้วย”ปิ่นลด
เป็นอันว่าปิ่นลดาคงไม่ได้กลับไปบ้านหลังสีฟ้า...อย่างน้อยก็ชั่วระยะนี้ เมื่อศจีกลับมาทำหน้าที่ของเธอเต็มตัว แต่เปลี่ยนสถานที่เป็นคฤหาสน์ราชเกียรติกูรหากไม่กังวลถึงสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าซึ่งไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่าง และไม่มองย้อนว่าเธอมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้อย่างไร ปิ่นลดาก็เป็นหญิงสาวที่มีความสุขกับปัจจุบันคนหนึ่งทุกวันในรอบรั้วกว้างใหญ่ เธอมีอิสระพอที่จะทำอะไรได้ แถมในบางเวลาคนตัวใหญ่มักพาเธอออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก ยิ่งทำให้ปิ่นลดาหลงรักเมืองเชียงราชมากขึ้น...แต่ไม่แปลกหรอก เป็นใครจะอดใจไหวกับเมืองที่ทันสมัยแต่มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติพร้อมทว่ายังมีสิ่งที่หญิงสาวไม่ชินเอาเสียเลย นั่นคือหน้าที่ใหม่ในแต่ละวันที่ต้องดูแลรัชตะ แม้จะจำกัดแค่ตอนอยู่ด้วยกันตามลำพัง อย่างเช่นเวลานี้เมื่อเขากลับจากทำงานตอนใกล้หกโมงเย็นฝ่ามือบางนุ่มไล้เนื้อกายกำยำ กลิ่นหอมของสบู่อบอวลทั่วห้องน้ำ ชายหนุ่มหลับตา ความเหน็ดเหนื่อยและเคร่งเครียดที่เจอมาทั้งวันจางหาย ความผ่อนคลายเข้ามาแทนที่“อืม ดี”เขาครางในลำคอ ปล่อยคนร่างอวบอิ่มตามภาวะความเป็นมารดาได้ทำหน้าที่ของเธ
“คุณจะไปไหนคะ”“อย่าบอกนะว่าคิดถึงฉันจนไม่อยากให้ห่างตัว”“ไม่ใช่สักหน่อย แค่จะบอกว่าฉันเปลี่ยนใจ” หล่อนอุบอิบบอกชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เจ้าหล่อนช้อนตามอง กลั้นใจพูดต่อ “ที่บอกว่าอิ่มผลไม้จนตื้อน่ะ ตอนนี้มันย่อยหมดแล้ว ฉันหิวมากเลย”พอรู้ปัญหาของเธอ รัชตะก็หัวเราะอย่างกลั้นไว้ไม่ไหว ผู้หญิงคนนี้หลากหลายอารมณ์จนตามไม่ทันจริงๆ“เอาสิ ลงไปด้วยกัน อยากกินอะไรเดี๋ยวให้คนหามาให้ รับรองอร่อยไม่แพ้แม่ครัวในโรงแรม”“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นค่ะ ฉันไม่ใช่คนกินยากสักหน่อย แค่กับข้าวพื้นๆ สองอย่างก็พอแล้ว”หล่อนออกตัวได้อย่างน่ารักในความรู้สึกของคนฟัง!แล้วนายใหญ่แห่งคฤหาสน์ราชเกียรติกูรถึงกับงุนงง ไปไม่เป็นเอาเสียเลยเมื่อเจอกับปัญหาที่คาดไม่ถึงบนโต๊ะอาหารที่พาหญิงสาวลงมารับประทานในมื้อเที่ยงของวันนั้นแค่เห็นอาหารเมนคอร์สที่จัดไว้อย่างน่ารับประทาน เจ้าหล่อนก็โผเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง!“บอกแล้วว่าอยากกินกับข้าวพื้นๆ สองอย่าง”