เสียงกู่เจิ้งของหนึ่งในคุณหนูที่ได้รับเชิญมาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ถูกบรรเลงเปิดงานเลี้ยงเดินชมบุปผา ที่ฮองเฮาได้มีรับสั่งให้จัดงานมานานนับเดือนเซี่ยซูเหยาหยิบขนมที่ทางวังได้จัดไว้ให้เข้าปาก ข้างๆ มีสหายอย่างเสวี่ยอ้าย องค์หญิงสาม คุณหนูใหญ่มี่ และกลุ่มสหายของพี่ชายดูเหมือนว่าฮองเฮาต้องการจับคู่ให้หนุ่มสาวถึงจัดโต๊ะให้บุรุษและสตรีนั่งรวมกันได้ และงานเลี้ยงแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยนัก เหล่าฮูหยินที่พาบุตรหลานมาจึงไปนั่งจิบชาอยู่ในมุมหนึ่งของงาน ส่วนเซี่ยซูเหยากับพี่ชายตามสกุลเสวี่ยมา พวกนางไม่มีมารดาและญาติผู้ใหญ่ที่เป็นสตรี จึงต้องพึ่งสกุลเสวี่ยงานในวันนี้ไม่ได้มีขุนนางเข้าร่วม เป็นงานที่จัดขึ้นเฉพาะคุณชาย คุณหนู และฮูหยินที่เชิญมาพอเป็นพิธี ซึ่งจวนไหนได้รับเทียบเชิญต่างก็เชิดหน้า เนื่องจากงานนี้หากไม่ใช่คนสกุลใหญ่จริงๆ ก็ไม่ได้รับเชิญ อีกอย่างขุนนางคนสำคัญต่างถูกเรียกตัวด่วน“นี่ๆ มาแข่งกันไหม! ถ้าผู้ใดกินจันอับหมดก่อนเป็นฝ่ายชนะ ผู้แพ้ต้องเป็นผู้รับใช้ผู้ชนะ 5 วัน!” องค์หญิงสามที่ตั้งหน้าตั้งตารับประทานขนมหวานเงยหน้าขึ้นมากล่าวท่ามกลางบทสนทนาระหว่างโต๊ะมี่ฮวารีบกระตุกแขนเสื้อสหาย ไม่ต้อง
“อีกแล้วเหรอ”เซี่ยซูเหยากล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบ เหลาอาหารที่ทำการเปิดมาตลอดครึ่งเดือนถูกก่อกวนมาไม่น้อยกว่ายี่สิบครั้ง หรือง่ายๆ ก็ถูกก่อกวนทุกวัน แม้จะรู้ต้นเหตุแล้ว ทว่านางก็ไม่สามารถจัดการได้ ทำได้เพียงหาหลักฐานมาให้คนก่อกวน“ขอรับ ข้าได้ติดตามไปดูแล้ว เป็นหนึ่งในเสี่ยวเอ้อของเหลาอาหารสกุลเย่” ฟางไฉ่กล่าวต่อหากอยู่เพียงคนสนิทเซี่ยซูเหยาจะให้ทุกคนกล่าวปกติและเรียกว่าคุณหนูได้ ทว่าหากออกไปด้านนอกต้องเรียกว่าท่านหญิงเท่านั้น นางไม่ได้เจ้ายศเจ้าอย่าง เพียงแต่ว่าคนนอกจะว่านางสั่งสอนบ่าวในเรือนไม่ดีได้ก๊อก ก๊อกมือเล็กเคาะลงโต๊ะอย่างใช้ความคิด สกุลเย่เป็นสกุลเดิมของฮองเฮาที่เป็นหนึ่งในสกุลที่ช่วยให้เสด็จลุงขึ้นครองราชย์ นางไม่ต้องการให้เสด็จลุงเข้ามายุ่งเพื่อไม่ให้ถูกตราหน้าว่าอกตัญญูอีกทั้งสกุลเย่เป็นสกุลของอัครเสนาบดีที่มีผลงานมาตลอดหลายรุ่น หากนางนำเรื่องนี้ไปฟ้องเสด็จลุง ต่อให้พระองค์จะตามใจนางมากเพียงใดก็คงไม่ช่วย“พรุ่งนี้หรือหากมีคนก่อเรื่องขึ้นอีก ให้จับตัวส่งทางการ พร้อมบอกว่าท่านหญิงหมิงเมี่ยวซือเป็นผู้จับส่ง หากสืบสวนว่าเราทำผิดจริง ข้าจะจัดการคนในเหลาอาหาร ทว่าหากถูกก่
ข่าวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มองค์ชายห้า องค์หญิงสามโวยวายที่เหลาอาหารอิ้งเยว่ จวนสกุลอื่นที่อยากรู้เรื่องนี้ต่างส่งคนมาสืบอย่างรวดเร็วในที่สุดหลายคนก็ได้รู้เหตุผลว่าทำไมคุณหนูคุณชายสกุลใหญ่ต่างโวยวาย เพราะโดนคนที่มาหาเรื่องเหลาอาหารก่อกวน ในขณะที่กำลังรับประทานอาหารร่วมกับเจ้าของเหลาอาหาร ซึ่งเจ้าของคนที่ว่าก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นท่านหญิงหมิงเมี่ยวซือนับว่าเป็นข่าวที่น่าตกใจสำหรับผู้รับรู้ อีกทั้งยามนี้ก็ส่งคนที่มาก่อกวนเหลาอาหารให้ทางการแล้ว และครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้มาก่อกวน ท่านหญิงหมิงเมี่ยวซือจึงให้คนจับส่งทางการนางถูกเรียกพบด่วนหลังเหตุการณ์นี้ผ่านไปได้เพียงหนึ่งวัน เสด็จลุงของนางคงทราบเรื่องแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่เรียกนางเข้าพบ ซึ่งจริงๆ วันนี้นางไม่ต้องไปเข้าเฝ้า“กงกง”เซี่ยซูเหยายิ้มอ่อนให้กงกงประจำตำหนักทรงอักษรที่คุ้นหน้ากันดี นางมาตำหนักทรงอักษรหลายครั้ง จึงไม่แปลกที่จะคุ้นเคยกัน ทว่าก่อนที่จะเดินเข้าตำหนักกลับมีคนรั้งไว้“เดี๋ยวก่อน!”สตรีในชุดหรูหราทาปากแดงเดินนวยนาดเข้ามา องครักษ์ที่ยืนอยู่รีบเข้าไปขวาง ไม่มีคำสั่งจากฝ่าบาทก็ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ ส่วนท่าน
นางไม่รู้ว่าเสด็จลุงจัดการเรื่องสกุลเย่ให้นางอย่างไรจึงมีคนถูกจับ ผู้ที่ถูกจับส่งทางการเป็นเสี่ยวเอ้อของเหลาอาหารสกุลเย่จริงๆ มีผู้พบเห็นว่าเขาติดต่อกับคนที่ก่อกวนเหลาอาหาร ทว่าเขายอมรับว่าเขาทำเองทั้งหมดไม่ได้มีผู้สั่งการขุนนางหลายฝ่ายต่างวิ่งกันวุ่น ส่งคนมาจับจองห้องบนชั้นสองของเหลาอาหาร ฝ่าบาทถึงกับลงมาจัดการเรื่องนี้ให้หลานสาว หมายความว่าเหลาอาหารอิ้งเยว่จะต้องเติบโตขึ้นแน่เซี่ยซูเหยามองใบหน้าขาวที่ถูกแต้มด้วยชาดสีจาง นางกำนัลที่เคยแต่งหน้าให้นางก่อนหน้านี้ถูกเรียกตัวกลับแล้ว นางจึงสามารถแต่งหน้าเองได้“ท่านหญิง รถม้าเตรียมพร้อมแล้วเพคะ”“อืม”บิดาและพี่สาวของนางเดินทางมาถึงตั้งแต่เช้ามืดแล้ว ทว่าเสด็จลุงเพิ่งส่งคนมาแจ้งข่าว ทำให้เซี่ยซูเหยาจึงต้องแต่ตัวตั้งแต่เช้าเพื่อไปพบหน้าคนที่นางรอคอย ส่วนพี่ชายของนางก็ออกเดินทางไปเป็นสัปดาห์แล้วเซี่ยซูเหยาสวมรองเท้าอยู่ข้างเก้าอี้ที่กำลังนั่ง นางกำนัลถูกสั่งให้เตรียมตัวรับเจ้านายอีกสองคนจึงยุ่งกันมาก อีกอย่างนางก็สั่งให้ทำความสะอาดเรือนอย่างเร่งด่วน จึงไม่มีผู้ช่วย“ไปกันเถิดเพคะ นายท่านและท่านหญิงใหญ่คงจะรอเราอยู่”หลิวซิ่นกล่าวยิ้มๆ พล
นับว่าน่าตกใจไม่น้อยที่เสด็จลุงของนางมีรับสั่งพักงานขุนนางในราชสำนักอย่างหาญกล้า พอนางเข้าไปถามก็ตรัสเพียงว่าไม่ใช่เรื่องของนางและมิต้องห่วง ช่วงนี้หากออกนอกตำหนักบูรพาให้พาองครักษ์ตามไปด้วยหลายๆ คนหน่อยเซี่ยซูเหยาเงยหน้ามองป้ายจวนที่เขียนว่าเซี่ยด้วยลายมือเสด็จลุง วันนี้นาง พี่หญิงใหญ่และบิดาพากันมาดูจวนสกุลเซี่ยที่เพิ่งได้รับมาไม่กี่วัน หลังจากอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้คนในครอบครัวฟังและกว่าจะทำใจกันได้ก็นี่แหละ“จวนกว้างมาก”เซี่ยซูเจี๋ยยืนอุทานอยู่ข้างๆ น้องสาว นางติดตามบิดามาเมืองหลวงเพื่อพบน้องสาว ก่อนจะออกเดินทางไปศึกษาวิชาแพทย์อีก มิคิดว่าจะได้รับตำแหน่งองค์หญิง“ท่านพ่อจะอยู่ที่นี่หรือไม่เจ้าคะ” ทว่าเซี่ยซูเหยาหันกลับไปมองบิดาที่ยืนอยู่เงียบๆ“อาเหยา”“ช่างเถิดเจ้าค่ะ ไปดูข้างในกัน”บิดาของนางเป็นคนเช่นไรมีหรือที่นางจะไม่รู้? ที่เมืองเฟิงมีเหลาอาหารที่พวกนางทิ้งไว้ กว่าจะได้กลับไปคงอีกหลายเดือน นางก็ห่วงเหลาอาหารที่นั่น ทว่าก็ไม่สามารถทำอันใดได้“อืม”ที่จวนสกุลเซี่ยช่างแตกต่างจากตำหนักบูรพา พอเดินเข้าไปภายในจวน เรือนขนาดใหญ่ก็ปรากฎแก่สายตา มันเป็นเรือนขนาดใหญ่ที่ใช้รับรองแขก
วันนี้มีคัดเลือกตัวแทนการแข่งขันเชื่อมความสัมพันธ์ของแคว้น เซี่ยซูเหยา เซี่ยซูเจี๋ย กลุ่มสหายและคุณชายเจิ้ง รวมถึงองค์หญิงใหญ่ที่มีชื่ออยู่ในรายการแล้วต่างก็ต้องมาเลือกสหายที่จะเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ ทว่าหากเป็นฝ่ายแพ้ในแคว้นของตัวเองก็คงจะไม่น่ามอง แม้กลุ่มสหายของเซี่ยซูเหยาจะเพิ่งสิบหนาวกัน ทว่ามีใครปฏิเสธได้บ้างว่าไม่มีใครเก่งคุณหนูใหญ่มี่ได้รับการสั่งสอนจากเหล่าอาจารย์ที่ฮูหยินมี่เลือกเฟ้นมาให้บุตรสาว เป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทุกท่าน ทั้งวาดภาพ บทกลอน ร่ายรำ นางก็ทำได้ทุกอย่าง แม้การร่ายรำจะดูไม่ค่อยงามนักก็ตาม ช่างขัดกับยามที่นางอยู่รวมกับสหายมากนักองค์หญิงสามถูกฮ่องเต้คัดเลือกอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมาอบรมสอนสั่งหลายแขนง และนางต้องร่ำเรียนแทบจะตลอดเวลาจึงไม่มีอันใดเป็นที่น่าแปลกใจ ยิ่งลี่กุ้ยเฟยในอดีตเป็นถึงสตรีที่เพียบพร้อมอันดับหนึ่ง มีหรือจะสอนบุตรสาวผู้เดียวไม่ได้คุณหนูใหญ่เสวี่ยอ้ายเก่งเรื่องการใช้กำลังมาก แม้ในเรื่องความรู้ของสตรีจะไม่ค่อยดีนัก ทว่าการเล่นหมากล้อม เขียนบทกลอน ยิงธนู นางก็เรียนรู้มาจากแม่ทัพใหญ่เสวี่ยทั้งนั้นองค์หญิงเจิ้
การกระทำขององค์หญิงใหญ่สร้างความไม่พอใจให้แก่ฮ่องเต้หมิงหลงอันเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาพระองค์ยอมหลับตาข้างหนึ่งเพราะนางเป็นสตรีและเป็นธิดาของฮองเฮา ทว่าพระองค์กล่าวตักเตือนหลายครั้งแล้วว่าห้ามแตะต้องหลานสาวของพระองค์ ฮองเฮายังรับปากว่าจะห้ามปรามธิดาของนางอยู่เลยราชโองการกักบริเวณองค์หญิงใหญ่จนกว่าจะถึงงานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแคว้น ถูกประกาศออกไปหลังจากผู้เป็นฮ่องเต้ได้รับข่าว หากไม่ใช่เพราะคุณชายเจิ้ง หลานสาวของพระองค์คงบาดเจ็บแล้ว“เสด็จลุงเพคะ เหยาเอ๋อร์มิได้เป็นอันใด” เซี่ยซูเหยาส่ายหน้าเล็กน้อยหลังจากเกิดเรื่องขึ้นและกลับมานอนพักที่ตำหนัก อยู่ๆ นางก็ถูกพี่สาวปลุกเนื่องจากเสด็จลุงแอบมาหาอย่างลับๆ และนางก็ไม่ได้แปลกใจ เสด็จลุงเห่อนางมาก คงเป็นเพราะนางเหมือนมารดาที่สุด“ลุงจัดการนางให้หลานแล้ว ต่อไปนี้หากนางทำอะไรหลานอีก ต้องบอกลุงเข้าใจหรือไม่” องค์หญิงใหญ่เป็นบุตรสาวของพระองค์ หลานสาวของพระองค์จะไม่บอกก็ไม่แปลก“เพคะ”“ให้หมอหลวงตรวจดูหน่อย”ไหนบอกว่าแอบมาลับๆ เซี่ยซูเหยาเหม่อมองหมอหลวงที่กำลังตรวจอาการที่ไม่ได้เป็นอะไรของนางอย่างปลงตก เสด็จลุงเป็นห่วงนางเกินไป นางเพียงตื่นเช้า
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วก็ถึงวันงานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแคว้น ราชทูตประจำแคว้น เมืองนอกด่าน และชนเผ่าต่างๆ ก็ทยอยเดินทางมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานตลอดระยะเวลาสิบกว่าวันที่ผ่านมา ตัวแทนแคว้นหนานต่างถูกกักตัวไว้ในวังเพื่อเล่าเรียนวิชาต่างๆ มีเพียงองค์หญิงใหญ่ที่เพิ่งถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเซี่ยซูเหยานั่งนิ่งปล่อยให้นางกำนัลถักเปียผมของนางอย่างเกียจคร้าน เสด็จลุงของนางส่งคนมายังตำหนักชางหมิงหรือก็คือตำหนักขององค์หญิงสามเพื่อแต่งตัวให้พวกนาง ที่ต้องออกไปต้อนรับแขกในวันนี้อย่างที่กล่าวไปพวกนางถูกกักตัวไว้ในวังหลวง ทุกคนยกเว้นองค์หญิงรองที่มีตำหนักของตัวเอง และคุณหนูหกเย่ที่เข้าพักกับองค์หญิงใหญ่ผู้เป็นสหาย นาง พี่สาวของนาง เหล่าสหายและคุณหนูใหญ่เหอ คุณหนูเจ็ดเย่ ต่างก็เข้าพักในตำหนักชางหมิง ซึ่งทำให้พวกนางสนิทกันมากขึ้นกล่าวได้ว่าคุณหนูใหญ่เหอ คุณหนูเจ็ดเย่ กลายมาเป็นสหายของพี่สาวนาง ซึ่งถึงแม้ว่าคุณหนูเจ็ดเย่จะเป็นเพียงบุตรอนุ พวกนางก็ไม่มีใครรังเกียจ อีกทั้งยังเคารพในฐานะผู้อาวุโสกว่า“เซี่ยซูเหยาเจ้าเสร็จหรือยัง”นางหันหน้าไปมองคนที่ถาม เป็นคุณหนูใหญ่มี่ที่แต่งตั
เช้าวันนี้ในเมืองหลวงแคว้นหนานมีการถกเถียงเรื่องเมื่อหลายปีก่อนของคนสกุลเจิ้ง ว่ากันว่าวันนั้นภรรยาทั้งสามคนของอดีตเสนาบดีเจิ้งที่ล่วงลับไปแล้วคลอดบุตรพร้อมกันหนึ่งฮูหยินใหญ่ภรรยาเอกของเสนาบดีเจิ้งคลอดบุตรชายออกมาเป็นคนที่สอง บุตรชายของนางจึงกลายเป็นคุณชายรองไปโดยปริยาย หากไม่เกิดเรื่องถูกไล่ออกจากสกุลครานั้นคงได้ขึ้นเป็นเสนาบดีเจิ้งคนปัจจุบัน แทนพี่ชายที่เป็นบุตรอนุสองฮูหยินรองที่คลอดบุตรสาวคนเล็กพร้อมเสียชีวิตลงระหว่างคลอดบุตรสาวออกมา จากการสอบถามหมอที่ทำคลอด หมอผู้นั้นกล่าวว่าฮูหยินรองเสียเลือดมาก อีกทั้งเด็กขาดอากาศหายใจจึงไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้สามคืออนุสามที่คลอดบุตรชายคนโตของสกุลเจิ้งก่อนฮูหยินทั้งสอง กล่าวได้ง่ายๆ ก็คือคุณชายใหญ่เจิ้ง หรือประมุขสกุลเจิ้งคนปัจจุบันนั่นเองทว่าเรื่องที่ถกเถียงในวันนี้ก็คือบุตรชายของฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้งนั้นเป็นบุตรชายแท้ๆ ของฮูหยินรอง! ส่วนบุตรแท้ๆ ของนางนั้นเป็นบุตรสาวที่คลอดออกมาแล้วเสียชีวิต หมอทำคลอดกล่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้งในยามนั้นเสียเลือดมากและไม่มีโอกาสที่จะมีบุตรได้อีก จึงทำการสลับเปลี่ยนตัวเด็กทั้งยังสังหารฮูหยินรองทิ้ง ซึ่งเรื่องนี
ซื่อจื่อหมิงซูเหยียนที่กำลังช่วยสหายสะสางฎีกาต้องรีบกลับตำหนักบูรพาทันทีเมื่อได้ยินว่าน้องสาวมีใบหน้าเศร้าหมองมาจากจวนสกุลเจิ้ง พอๆ กับผู้เป็นสามีอย่างรองแม่ทัพเจิ้งที่ตามพี่ภรรยาไปด้วยตำหนักบูรพาเดิมทีเป็นตำหนักขององค์รัชทายาทที่จะได้รับตำแหน่งฮ่องเต้องค์ถัดไป ทว่าฮ่องเต้หมิงหลงอันกลับไม่ยอมให้องค์รัชทายาทเข้าไปอยู่และสร้างตำหนักใหม่ให้แทน ในระหว่างนี้องค์รัชทายาทก็ต้องอยู่ในตำหนักเดิมของพระองค์ไปก่อนส่วนตำหนักบูรพาถูกยกให้เป็นจวนสกุลเซี่ยที่มีรองแม่ทัพเซี่ยเป็นประมุขสกุล ซึ่งองค์รัชทายาทไม่มีปัญหาในเรื่องนี้เพราะหากเขายอมรับตำหนักใหม่ยังสามารถเลือกได้ว่าต้องการตำหนักแบบใด และเรื่องนี้เหล่าขุนนางก็ไม่มีผู้ใดคัดค้าน อาจเป็นเพราะแต่ละคนล้วนเป็นขุนนางที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้หมิงหลงอันเพียงผู้เดียวก็ได้ยิ่งยามนี้จวนสกุลเซี่ยเพิ่งถูกองค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่สั่งทุบไป และจะสร้างเป็นสวนดอกไม้เพื่อรำลึกถึงคนที่เสียชีวิตแทน ทำให้สามพี่น้องไม่ได้ย้ายไปพักที่นี่ อีกอย่างความทรงจำต่างๆ คงไม่ดีสำหรับผู้รอดชีวิตในวันนั้นรองแม่ทัพเจิ้งกระโดดลงจากรถม้าด้วยความเร่งรีบ เมื่อสอบถามนางกำนั
เสียงการเคลื่อนไหวที่ข้างนอกห้องนอนทำให้เซี่ยซูเหยารู้สึกตัวตื่นขึ้นบนที่นอน ตั้งแต่แต่งงานมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ วันนี้นางตื่นสายมากๆ ได้ยินว่าวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้งกลับมาจากเยี่ยมบุตรชายที่นอกเมืองหลวง นางผู้เป็นหลานสะใภ้จึงต้องไปยกน้ำชาเพื่อแสดงความเคารพสักหน่อย“องค์หญิง”“ยามใดแล้ว” เสียงแหบพร่าเอ่ยถามคนสนิทที่เข้ามาช่วยพยุงตัวให้ลุกขึ้น ทั้งยังยกอ่างล้างหน้ามาให้ผู้เป็นฮูหยินน้อยสกุลเจิ้งหมาดๆ นางพยักหน้า“ยามซื่อแล้วเพคะ ท่านเขยกล่าวว่าไม่ต้องปลุกท่าน บ่าวจึงรอให้ท่านตื่นเอง”“ยามซื่อ!”สามวันมานี้เหลาอาหารอิ้งเยว่เกิดเรื่องขึ้น นางจึงต้องจัดการปัญหาต่างๆ จะให้สามีจัดการให้ก็ไม่ได้ เขาไม่รู้เรื่องในเหลาอาหารทั้งยังมีเพียงนางที่แก้ปัญหาได้ จึงต้องนอนดึกและตื่นเช้ามาตลอดสามวัน เพียงทว่าเมื่อคืนนางคงจะเหนื่อยจริงๆ จึงหลับลึกมากชนิดที่ว่าคนข้างกายลุกไปก็ยังไม่รู้สึกตัว“เพคะ”“เขาล่ะ” นางหมายถึงสามีของนางที่ไม่เห็นหน้าเมื่อตื่นนอน“ท่านเขยออกไปพบองค์รัชทายาทเพคะ ได้ยินว่าพระองค์ป่วยหนักหลังจากถูกฝ่าบาททิ้งงานไว้ให้หลายวัน” หลิวซิ่นกล่าวยิ้มๆ อย่างขบขัน เมื่อองค์รัชทายาทถูกบิดาและบรรด
วันที่สิบเจ็ด เดือนสอง รัชศกหมิงปีที่ยี่สิบเอ็ด แคว้นหนานมีงานมงคลครั้งใหญ่โดยมีฮ่องเต้หมิงหลงอันเป็นญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิง หรือก็คือองค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่ ที่สมรสกับรองแม่ทัพเจิ้งรั่วซาน คุณชายรองเจิ้งแห่งสกุลเจิ้งแม้จะมีเสียงกล่าวว่าไม่เหมาะสมบ้าง แต่ใครจะสนกันล่ะ องค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวลี่จ่างกงจู่ผู้เป็นพี่สาวไม่ปราถนาที่จะแต่งงานเร็วๆ นี้ ทั้งได้ยินว่านางจะออกบวชชีที่อารามนอกเมือง หากรอพี่สาวแต่งงาน องค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่ผู้เป็นน้องสาวก็คงไม่ได้แต่งงานแล้วชีวิตนี้ฮ่องเต้หมิงหลงอันมีราชโองการให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่แต่งให้รองแม่ทัพเจิ้งรั่วซาน โดยที่ไม่ต้องลดบรรดาศักดิ์เชื้อพระวงศ์หญิงอันดับหนึ่ง ยังเป็นองค์หญิงเจิ้นกั๋วเช่นเดิม ไม่ต้องกล่าวก็รู้ว่าเป็นคนโปรดเพียงใด ขนาดองค์หญิงรอง องค์หญิงสี่ที่แต่งไปกับเชื้อพระวงศ์แคว้นอื่นยังต้องลดบรรดาศักดิ์ลงเลยเสียงสนทนาเบาๆ ดังขึ้นที่หน้าห้องแต่งตัวของผู้เป็นเจ้าสาว ทำให้เซี่ยซูเหยาที่แต่งตัวอยู่อดที่จะมองดูไม่ได้ เมื่อได้ยินว่าคนสนิทของนางเดินทางมาถึงแล้ว“องค์หญิง”“ฟางไฉ่!”ฟางไฉ
เสียงหัวเราะท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบสร้างความสุขให้แก่นางกำนัลและองครักษ์ในตำหนักบูรพาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งอากาศยังเย็นสบาย“ได้ยินมาว่าพี่หญิงถูกชินอ๋องแคว้นหลิงตามเกี้ยวหรือขอรับ” ซื่อจื่อหมิงซูเหยียนที่นั่งตรงข้ามกล่าวถามองค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวลี่จ่างกงจู่ชะงักมือที่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กน้อย หวนนึกถึงคนผู้หนึ่งที่ตามเกี้ยวมาตลอดห้าปีอย่างขบขัน“อืม”“พี่หญิงยังไม่ใจอ่อนให้เขาอีกหรือเจ้าคะ” เซี่ยซูเหยาผู้นั่งข้างๆ พี่สาวเอ่ยถามบ้าง“ใจอ่อนอันใด นางมาปรึกษาข้าว่าอยากบวชชีอยู่เลย”แค่กๆหลายคนถึงกับน้ำพุ่งออกจากปากเมื่อได้ยินคุณหนูเจ็ดเย่กล่าว ทั้งยังหันมององค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวลี่จ่างกงจู่ที่นั่งจิบน้ำชาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวเป็นตาเดียว“ฮ่าๆ เหตุใดสีหน้าพวกเจ้าจึงเป็นเช่นนั้น” นางเพียงอยากบวชชีก็เท่านั้นเองเซี่ยซูเหยามองพี่สาวอย่างอึ้งๆ หลายปีที่ผ่านมาชินอ๋องผู้นั้นยังพิชิตใจพี่หญิงของนางไม่ได้อีกหรือ นางคิดว่าเขาจะตามเกี้ยวพี่สาวจนยอมตกลงแล้วเสียอีก“แล้วชินอ๋องแคว้นหลิงเล่า”“ชินอ๋องผู้นนั้นหรือ พี่ไล่เขากลับแคว้นหลิงแล้ว เชื้อพระวงศ์สองแคว้นควรเกี่ยวดอง
ต้นไม้สั่นไหวไปตามสายลมที่พัดมาเอื่อย ๆ บนเนินเขาเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้อยู่ไม่ห่างจากเมืองหลวงมาก ทั้งยังเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อน ทั่วทั้งเนินเขาไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ เพราะเป็นพื้นที่ขององค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่ที่ได้รับพระราชทานมาในยามที่ได้รับตำแหน่งองค์หญิงเจิ้นกั๋วม้าสองตัวถูกบังคับตามกันขึ้นไปยังเนินเขาที่มีเหล่าองครักษ์รออยู่ตีนเขา เสียงหัวเราะของสองพี่น้องช่างทำให้ฟางไฉ่และผู้ที่ติดตามมาตั้งแต่เมืองเฟิงยิ้มกว้าง หลายปีที่ผ่านมาองค์หญิงของพวกเขาร่าเริงเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนก็จริงทว่าโดดเดี่ยวนักเมื่ออยู่เพียงลำพังเด็กหนุ่มเด็กสาวที่เคยเรียกว่าคุณชาย คุณหนู ยามนี้กลายเป็นองค์หญิงและซื่อจื่อกันหมดแล้ว ยิ่งแต่ละคนเติบโตการมีบรรดาศักดิ์ยิ่งแตกต่างกันมากขึ้นองค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวลี่จ่างกงจู่ผู้เป็นพี่สาวคนโต ยามนี้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือนั่นก็คือการเป็นศิษย์ของหมอเทวดาหญิง ทั้งยังมีชื่อเรียกว่าองค์หญิงเทพธิดาจากการช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน กลับมาหาน้องสาวเพียงปีละครั้งเท่านั้นซื่อจื่อหมิงซูเหยียนพี่ชายคนรองที่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะได้รับบรรดาศักดิ์อ๋องและยามนี้เ
ท้องฟ้าเริ่มมืด รถม้าของจวนขุนนางต่างทยอยจอดที่หน้าประตูวังเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ยิ่งงานเลี้ยงครั้งนี้อนุญาตให้นำบุตรอนุเข้าร่วมได้ ผู้คนจึงเยอะมากเป็นพิเศษ หากเป็นที่ถูกใจของเชื้อพระวงศ์อย่างน้อยก็อาจได้เป็นสนมเซี่ยซูเหยาก้าวลงรถม้าเมื่อถึงเวลาที่ควรเข้าไปด้านใน อาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนเป็นสีแดงที่หมายถึงมงคล กลับปักหลายหงส์ที่ไม่ควรจะสวมใส่ เสด็จลุงเป็นผู้ส่งอาภรณ์นี้ให้นางเพื่องานนี้โดยเฉพาะ แม้ตัวนางจะไม่เห็นด้วยเนื่องจากหงส์เป็นสัญลักษณ์ของฮองเฮาที่เคียงคู่มังกร ทว่าก็ถูกลี่กงกงเอ่ยขอร้อง มิเช่นนั้นจะถูกเสด็จลุงโทษนางจึงยอมเมินเหล่าคุณหนูสกุลใหญ่ที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น ก้าวเท้าตามลี่กงกงที่นั่งเฝ้านางแต่งตัวเพื่อไปหาเสด็จลุง อันที่จริงนางควรจะเข้าไปในงานเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่เสด็จลุงของนางกล่าวว่าให้ไปหาก่อนเสียงซุบซิบที่พอเห็นว่านางเหลือบมองก็เงียบลง เซี่ยซูเหยาถอนหายใจ หมายมั่นว่าหลังจากจบงานเลี้ยงนี้นางจะไม่ยอมใส่ชุดหงส์ที่เสด็จลุงส่งมาให้แน่“หลานรักมาแล้วหรือ”เซี่ยซูเหยามองฮ่องเต้หมิงหลงอันที่ให้นางกำนัลสวมชุดให้อย่างเบื่อหน่าย หลายปีมานี้นางสนิทกับเสด็จลุงและเสด็
วันที่สิบสาม เดือนสอง รัชศกหมิงปีที่สิบห้า สกุลเย่เป็นหนึ่งในกบฎเมื่อหลายปีก่อน ฮ่องเต้หมิงหลงอันมีราชโองการประหารเจ็ดชั่วโคตรโทษฐานกบฏ ละเว้นคุณหนูหกเย่ คุณหนูเจ็ดเย่ ที่สร้างชื่อเสียงให้แคว้นในการแข่งขันที่ผ่านมา ทว่าถูกกักตัวภายในคุก ส่วนคุณชายสี่เย่ไม่ได้รับการละเว้น บุรุษสกุลเย่ไม่สามารถสอบขุนนางได้อีกตลอดชีวิต รวมถึงสตรีที่ไม่สามารถเข้าวังเป็นพระสนมได้เย่ฮองเฮาคบชู้สู่ชายสวมหมวกเขียวให้ฝ่าบาทจนมีองค์ชายเจ็ด ปลดออกจากตำแหน่งฮองเฮา พระราชทานผ้าแพรขาว รวมถึงพระราชทานยาพิษให้แก่องค์ชายน้อยให้เป็นเยี่ยงอย่างของพระสนม ว่าหากคบชู้จะถูกลงโทษอย่างไร องค์หญิงใหญ่ถูกกักบริเวณภายในตำหนักจนกว่าจะมีการสืบสวนว่าเกี่ยวข้องหรือไม่บ้านรองสกุลเซี่ยถูกราชโองการประหารโทษฐานสร้างความเสื่อมเสียให้แก่แคว้นหนานในขณะที่มีแคว้นพันธมิตรอยู่ในแคว้น ทั้งยังลอบทำร้ายองครักษ์ของฮ่องเต้หมิงหลงอันที่เป็นบิดาขององค์หญิงเจิ้นกั๋วทั้งสองจนถึงแก่ความตายวันที่สิบห้า เดือนสอง รัชศกหมิงปีที่สิบห้ามีราชโองการประกาศรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับสกุลเย่ ขุนนางที่เกี่ยวข้องล้วนต้องโทษประหาร บุรุษในสกุลถูกส่งไปเป็นทาสนอกเมืองหล
เสียงกระทบกันของโลหะบ่งบอกว่ามีคนเปิดประตูคุก ฝีเท้าหลายคู่เดินตามทางที่ทอดยาวไปยังห้องขังใต้ดิน คบเพลิงถูกจุดตามกรงขังเป็นระยะๆ เพื่อให้แสงสว่างแก่ทางเดิน ห้องขังที่เต็มไปด้วยน้ำขังถูกสนิมกัดเซาะชวนให้อาเจียนกลิ่นอับชื้นตีขึ้นคละคลุ้งไปทั่วจมูก เซี่ยซูเหยารีบใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกเอาไว้ รีบก้าวเท้าตามองครักษ์ที่ถูกส่งมาเปิดห้องขังในยามวิกาล ด้านหลังมีคนติดตามมาอีกหลายคน วันนี้นางมายังคุกคุมขังนักโทษที่บังอาจก่อเรื่องในวันงาน‘ปล่อยข้านะ!’‘หยุนหรง! เพราะเจ้า เป็นเพราะเจ้าคนเดียว!’‘ท่านพ่อ!’‘ข้ากลัว ฮืออ’‘แม่เจ้าก็เข้าคุกไปแล้ว! ยังต้องพาข้าเข้าคุกอีก’‘หุบปาก! ท่านเป็นคนฆ่ามันเองไม่ใช่เหรอ’‘ฮือๆ'เสียงทะเลาะกันที่คุ้นหูทำให้เซี่ยซูเหยาเหยียดยิ้ม หลายวันมานี้คงจะอยู่กันอย่างทรมานสินะ ถึงได้ด่ากันมากขนาดนี้ หลังจัดงานศพบิดาเสร็จนางก็เพิ่งมีเวลามาที่นี่“องค์หญิง ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์ที่ฮ่องเต้หมิงหลงอันสั่งให้นำหลานสาวมายังคุกหลวงกล่าวกับเด็กสาวด้วยความเคารพ หากไม่ใช่บุคคลสำคัญหรือมีอำนาจมากพอ มีหรือที่จะสามารถเดินเข้าออกคุกหลวงได้อย่างสบายแบบนี้นัยน์ตาเล็กหรี่มองเซี่ยหยุนหรง