..หลายวันต่อมา.. วันหยุดสุดสัปดาห์ที่เรรันต์ไม่ได้ออกไปไหน วันนี้คงเป็นวันแรกของเดือน กับการอยู่ติดบ้าน นั่นเพราะคุณนายอารีย์นัดลูกๆทุกคน กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน บรรยากาศรอบๆห้องอาหาร ท่ามกลางความสุขของหัวหน้าครอบครัวอย่างเช่นนายแม่ ที่ลูกๆมาตามคำสั่ง และตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอาหารนานาชนิด ที่ระรานตาเต็มไปหมด ยั่วยุต่อมกระเพาะเป็นอย่างดี ทว่า..มีผู้หญิงคนนึงนั่งห่อไหล่ไม่กล้าแม้จะสบตาใคร ในขณะคนก่อเรื่องอย่างคิมหันต์ยังทำตัวปกติและนั่งยิ้มร่าไม่สะท้กสะท้าน เรรันต์เห็นแล้วหมั่นไส้ เธอแทบจะรีบยัดอาหารเข้าปากให้มันอิ่มๆ แล้วก็ลุกไปจากตรงนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด ถึงจะรัก แต่พฤติกรรมของคิมหันต์ในบางที ก็ทำเรรันต์ไม่ค่อยชอบพอเหมือนกัน อาทิเช่นตอนนี้ที่เขาทำตัวไม่รู้เรื่องรู้ราว ยังคงทำตัวเป็นลูกที่ดี น้องชายที่น่ารักของทุกคนเสมอต้นเสมอปลาย ต่างกับเธอโดยสิ้นเชิง ที่บางเวลาเผลอหันมาสบตากับเขา เขากลับยักคิ้วให้ หลายครั้งเธอเก็บอาการ มีครั้งนี้แหละที่เธอทำท่าจะเตะเท้าเขาใต้โต๊ะ แต่กลับต้องชะงักกึกด้วยเสียงนี้ "เรรันต์ "
'จะ เจิม เจมไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนะคะ เจิมไม่เห็น..' O.O วินาทีนี้เรรันต์ถึงกับช็อค เบิกตาโพลงถึงขีดสุด ตกใจเก็บอาการไว้ไม่อยู่ "เจิม..." สัญชาตญาณนำวงแขนของเธอผละจากคอคิมหันต์โดยพลัน และถอยหลังไปสองก้าว เรียกชื่อคนมาใหม่เสียงแผ่ว คนใช้ที่เห็นถึงกับก้มหน้างุนส่ายหัวรัวๆทันที "เจิมไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนะคะ " หล่อนปฏิเสธลิ้นพัน คิมหันต์เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ก่อนจะใช้มือช้อนคางขึ้นมา แล้วเลิกคิ้วถามย้ำ "ไม่รู้ ไม่เห็น แน่เหรอ.. " ในขณะสายตาที่มองลงไปนั้น ไม่ต่างกับเหยี่ยวกำลังจะขู่เหยื่อ "จะ เจิม... " ทำสาวใช้อ้ำอึ้ง ตอบไม่ถูก จะโกหกก็ไม่ได้ จะพูดความจริงก็กลัวจะมีปัญหา เธอได้แต่หลบสายตานั้น เม้มปากตัวเองแน่น ในขณะเบื้องหลังของคิมหันต์ มีสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนนึงยืนเครียดอยู่ เธอใช้มือที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อผสานเข้าหากัน พลางบีบมันจนแน่น เป็นจุดระบายความรู้สึก มองคนตรงหน้าที่ตอนนี้ดึงธนบัตรใบละพันมาสามใบ หล่อนกำลังคิด สรุปมาเห็นกับไม่เห็นอะไรมันคุ้มกว่า
เอาเป็นว่าเรรันต์เข้าใจ เธอบอกตัวเองแบบนั้น เสียงชัดถ้อยชัดคำของคิมหันต์ซึ่งโพล่งออกมาไม่แคร์ใครจะได้ยินนั้น มันทำเธอตาสว่าง และงงตรงที่ว่า เป็นแฟนกันแต่จ้างเลิก ...จ้างทำไม.... ได้แต่อ้าปากค้าง นั่งมองคนตัวสูงยืนหันหลังคุยโทรศัพท์ให้ ที่ใส่อารมณ์สุดติ่ง เถียงคอเป็นเอ็นอยู่พักนึง ก่อนจะทิ้งประโยคนี้ไว้ให้ปลายสายเคืองเล่น แล้วกดวาง “รับเงินไปแล้ว ก็ถือว่ามันจบแล้ว อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะแพรว “ ติ้ด! ซึ่งนั่นทำเรรันต์สับสนไม่เบา สรุป..นี่เป็นแฟนกันมาก่อน รึว่าศัตรูคู่อาฆาตกัน? “ทำไมคะ..” ก่อนคำถามแรกของเขาจะดังขึ้นหลังหันมา ในขณะคนถูกถามนั่งมองตาค้าง เรรันต์ถึงกับงง อันที่จริงคนที่จะต้องถามคำถามนี้มันต้องเป็นเธอมากกว่า “..เอ่อ.. จ้างเลิก? ” “อืม..” ทว่า..ดูเหมือนคนตัวสูงไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ทำมากมาย เขาทิ้งตัวลงนั่ง แล้วถอนหายใจเสียเฉยๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งด่าผู้หญิงคนนึงไปหมาดๆ “เป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอคะ ทำไมต้องจ้าง
มันคือความอึดอัดที่เรรันต์หนียังไงก็หนีไม่พ้น สถานการณ์ตอนนี้เธอกำลังตึงเครียด เคลพี่ชายคนโตของตระกูลจรัญทิพย์รับรู้ แล้วที่เหลือยังไงต่อ?? หมายถึงเธอน่ะ...ต้องทำยังไงต่อ เอาง่ายๆ อย่าถึงขั้นให้ปิดบังนายแม่เลย แค่กับเบสตอนนี้ก็แย่แล้ว ความกระอักกระอ่วนในใจ มันฝังลึกจนแทบอ้วก เวลาอยู่ต่อหน้าเขา ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับคิมหันต์คนก่อเรื่อง เขาไม่เคยมีความรู้สึกแบบเดียวกับเธอ มิหนำซ้ำยังอยากจะเปิดโปงมันอีก ถ้าไม่ติดว่าเธอนั้นขอไว้ "ไอ้เบสมันมาแล้ว " เสียงน้องคนสุดท้องเค้นขึ้น ในขณะหลุดออกมาจากห้องทำงานคุณนายอารีย์ได้ไม่นาน ทำหน้านิ่งไร้การต้อนรับ ชำเลืองมองไปยังทางเข้า เรรันต์ละสายตาจากลัคกี้ หมาพันธุ์ไซบิเรียนที่อุ้มมาด้วยหันไปมอง เธอเผลอยิ้มกว้าง ท่ามกลางความหึงหวงของคิมหันต์ที่สังเกตการณ์อยู่ แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มทันควัน เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ ใช่ หญิงสาวมีตราบาปติดตัว เธอนั้นทำผิดต่อเขา "เดินไปกอดมันเลยดีไหมล่ะ " ก่อนจะหันมาถลึงตาใส่ชายหนุ่ม "ก็ได้ " เธอประชดดีดตัวลุกขึ้นยืนจากโซฟา
งานเข้า!!! เรรันต์ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว เหงื่อแตกพลั่ก มือชาวาบ หยิบช้อนขึ้นมาถือค้างไว้ มองคนตรงข้าม ที่ตอนนี้จ้องหน้าเธอตาเขม็ง ในขณะปากเขาเคี้ยวอาหารอย่างปกติ เรรันต์ขนลุกซู่ เสียวสันหลัง เดาไม่ออกว่าในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะชะงัก หันไปขานรับคุณนายอารีย์ "รันต์! " "คะ? " ที่อยู่ๆ หล่อนก็เสียงดังขึ้นมา "แม่ถาม ไม่ได้ยินหรือไง " "ถะ ถามว่าอะไรนะคะ " เรรันต์ถามย้ำหน้าเหวอ คุณนายอารีย์ถึงขั้นถอนหายใจ "แม่ถามว่า เรรันต์ไปคอนโดพ่อเบสเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ " ทำเธอตกใจหนักกว่าเก่า ชำเลืองมองเบสแล้วเม้มปากแน่น เบสเองก็ก้มหน้างุน เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าตัวเองพูดอะไรที่ไม่ควรออกมาแล้ว ใช่ เขาพูดมากเกินไปจริงๆ "เอ่อ.." หันกลับมามองหน้าคิมหันต์บ้าง แล้วต้องหลบตาลง เมื่อเขาจ้องเธอไม่กระพริบ ตัดสินใจตอบความจริงโดยการพยักหน้า เพราะไม่มีเหตุผลจะโกหกต่อ " ค่ะ เคยไปค้าง " "รันต์" แล้วเงยหน้าขึ้นมาใหม่ " แต่เปล่ามีอะไรกั
ทางด้านของเบส หลังออกมาจากคฤหาสน์ของเรรันต์ เขาเบิ่งรถไปเที่ยวต่อทันที มันเป็นเรื่องปกตินะสำหรับเขา สุดสัปดาห์สี่ครั้ง เขาก็อยู่จนเช้าซะสี่ครั้ง มันคือความเคยชิน นับตั้งแต่วันที่เขาไม่เหลือใครเลยสักคน ในมิตรภาพระหว่างเพื่อนสนิทกลายเป็นคนรู้จัก ส่วนคนรู้จักกลายเป็นที่ปรึกษา สิ่งนี้แหละที่ก่อตัวหลอมให้กลายเป็นเนื้อสันดานเดียวกัน เบสติดเหล้า .. ถึงจะไม่ได้ดื่มทุกวัน แต่ก็เลิกขาดไม่ได้ แม้วันนี้เขาจะมีแฟน แฟนที่เขารอคอยจะมีมานานหลายปี กับผู้หญิงคนนึงที่เขาแอบรักมาตลอดตั้งแต่ไฮสคูล ถึงวันนี้มันจะกลายเป็นจริง แต่ทว่า..สัญชาตญาณของเขายังคงมีอยู่ มันบอกกับเขาว่า ความรักของเขานั้นยังไม่ปลอดภัย ยังหลงเชื่อไม่ได้ เพราะใครบางคนที่เดินเข้ามา และเขา...มีอำนาจยิ่งกว่า! “นั่งคนเดียวเหรอ นั่งด้วยคนสิ “ เสียงใสแฝงจริตของคนมาใหม่ ที่อยู่ๆเดินมาหยุดตรงหน้าเขา ทำเบสละสายตาจากแก้วเหล้าในมือขึ้นไปมอง แว้บแรกที่เห็นแล้วคิด ต้นขาสวย หน้าท้องแบนราบ หน้าอกได้รูป ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก ทำเขาขมวดคิ้วทันที จนกระทั่ง.... “ คุณเป็นใคร “ สบตาก
ช่วงเย็นในมหาลัย เรรันต์เลิกเรียนแล้วแต่ยังไม่ได้กลับบ้าน เธอมีกิจกรรมที่จะต้องทำต่อ นั่นคือการซ้อมละครเวที ซึ่งถูกรุ่นพี่รับมอบหมายให้เป็นนางเอก คู่กันกับนักศึกษาชายแปลกหน้าอีกคน ถ้าให้ถามถึงความชอบพอไหมในสิ่งที่ทำนี้ เรรันต์บอกได้เต็มปากเลยว่า เธอไม่ได้เต็มใจสักนิด เหตุผลมาจากความเกรงใจล้วนๆ “ ดีมากเลยจ้ะน้องรันต์ นี่ขนาดซ้อมนะ ยังเริ่ดขนาดนี้ แสดงจริงล่ะก็ คงเพอร์เฟ็คน่าดู “ “ พี่ก็...ชมเกินไปแล้วค่ะ มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก “ เรรันต์ยิ้มกว้าง ในขณะที่มือเธอนั้นกำลังเก็บของจากล็อคเกอร์ใส่กระเป๋าอยู่ “ เกินไปที่ไหน พี่พูดจากใจค่า “ “ ฮ่าๆ งั้นก็ ขอบคุณนะคะ “ “ ว่าแต่..กลับบ้านยังไงล่ะเนี่ย คนที่บ้านมารับไหม “ “ วันนี้รันต์ขับรถมาเอง “ “ อ่อ งั้นขับรถดีๆนะจ๊ะ ระวังโดนฉุดล่ะ “ “ ฮ่าๆๆ ค่า ^^ “ เธอขำ ก่อนจะปิดล็อคเกอร์ ยกกระเป๋าขึ้นมาสะพาย ทำท่าจะเดิน แต่ทว่า.. “ อุ๊ย..ผู้ชายมา
"อะไรกัน! " เสียงใสหญิงแต่แหบใหญ่ของผู้อาวุโสที่สุดในบ้านดังขึ้น ทั้งคู่หันขวับไปมองตามเสียง ก่อนจะพากันนิ่ง ราวกับมีความคิดเดียวกัน ...ไม่รู้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วได้ยินอะไรรึเปล่า ... ทว่า..ต้องขอบคุณโชคช่วย เพราะดูเหมือนคุณนายอารีย์จะเข้ามาไม่นาน " แกทำอะไรน้องน่ะคิม โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงกันแล้ว ยังจะเล่นเป็นเด็กๆอีก เสียงดังไปถึงข้างบนโน่น " พวกเขาถอนหายใจพร้อมกัน ก่อนเรรันต์จะแสร้งทำเป็นนอยด์ " นายแม่ พี่คิมเอ็ดหนูค่ะ " เธอตอบเสียงหวานฟังดูน่ารัก พลางเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ในขณะคิมหันต์ตอนนี้ เปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน " เห้ย โยนมานี่เลยเรอะ?! เอ่อ ก็แค่ถามน้องทำไมกลับดึกครับนายแม่ ไม่มีอะไร " " แล้วทำไมต้องเสียงดัง " หล่อนทำหน้าดุ มองคนทั้งคู่ " ก็นั่นน่ะสิคะ นายแม่ พี่คิมจะเสียงดังทำไมก็ไม่รู้ หนูเลยคิดว่าเอ็ดหนูน่ะสิ " เรรันต์แทรกขึ้นทันที ประโยคนี้ ทำเอาคิมหันต์ถึงกับขมวดคิ้ว ก่อนเปลี่ยนสีหน้าทันควัน ตัดปัญหาโ
งานมงคล... ประตูวิวาห์แสนจะฉุกละหุก ถูกจัดขึ้นในวันที่เหมาะสมที่สุด ต่างเป็นข่าวลั่นวงการนักธุรกิจอึกทึกครึกโครม เป็นบ่อเกิดความอับอายให้แก่คุณนายอารีย์ไม่น้อย ทว่า มันไม่ใช่การจำใจทำ แต่เกิดขึ้นมาด้วยความรักลูกและหลานล้วนๆ หล่อนไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือแคร์บุคคลอื่น ที่มีสถานะเป็นคนนอก ไม่ได้หาเงินให้หล่อนกินสักนิด " รัดไปไหมคะคุณหนู " เสียงเจิมเล็ดลอดออกมา สร้างรอยยิ้มตรงมุมปากคนยืนฟังอยู่ห่างๆ ทอดสายตามองไปยังเจ้าสาวตัวน้อยๆ ที่ไม่สมควรจะเป็นแม่คนด้วยซ้ำ แล้วกลั้นขำ " ฟู่ววว นี่ฉันควรจะดีใจหรือเสียใจดี " เรรันต์บ่นอุบ แม้จะถูกตราหน้าว่ามั่ว เป็นวงศ์ตระกูลฉายาสมพาลกินไก่วัด ทว่า หญิงใหญ่เสียงแหบเกินหวานอย่างเช่นคุณนายอารีย์น่ะหรือจะเดือดร้อน หล่อนคิดว่าดีซะอีก จะได้ไม่ต้องจัดกระบวนขันหมากไปขอใคร กินกันเองนี่แหละ ถือว่าดีไปอีกแบบ ขืนได้ลูกสะใภ้แย่ๆมา บ้านจะแตกน่าดู " เอาล่ะเรรันต์ เสร็จแล้วก็ออกไป แขกเรื่อมารอกันเพียบแล้ว นี่ฉันว่าฉันเปล่าเชิญใครนะ ทำไมถึงได้เยอะเกินคาด " ประโยคหลัง
‘ ไม่นะคะ พี่คิม‘ โพล่งเสียงแหลม พร้อมถลาเข้าไปกุมมือใหญ่ไว้ เปิดโอกาสให้คิมหันต์ดึงเธอเข้าไปกอดได้พอดี “ อ๊ะ! ” ล็อคตัวเธอซะแน่นหนา ให้สมกับความคิดถึง และทรมานที่เขานั้นเจอมา ทำเรรันต์ดิ้นไม่หลุด เพิ่งมารู้ว่าถูกหลอกให้พูด ก็ตอนที่คิมหันต์โกหกเธอ ก็ตอนเขาหอมหนักๆ ลงหลายฟอดตรงซอกคอ ฟอดดดด " คิดถึงจัง..." “ นี่ หยุดนะ! ” ตัดสินใจผลักออกไปอย่างแรง จนเขาผงะ ก่อนจะเหวี่ยงฝ่ามือเข้าไปเต็มๆหน้า เพี้ยะ! ชายหนุ่มชาวาบไปทั้งหน้า หันไปยังไงกลับนิ่งอยู่ในท่านั้น รอให้หายมึน หายอึ้งก่อน จึงจะหันกลับ “รันต์...” “ หนูไม่ชอบ! “ กลับมาเจอเสียงแข็งของหญิงสาว พร้อมหน้ายับยู่ยี่ เธอเบิกตาโพลงมองคนตรงข้ามด้วยความโกรธ ในขณะคิมหันต์นั้นตกใจ “ พี่แค่กอดเองนะรันต์ “ “ กอดที่ไหน ตะกี้พี่...” “ ทำไม... “ ทำท่าจะเถียง แต่ต้องมาชะงัก เพราะคิมหันต์แทรกด้วยเสียงที่สั่นกว่า “ ถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ “ สีหน้าเข้าสลด ดวงตาสั่นเครือ เต็มไปด้
" ขวัญเอ๋ยขวัญมานะลูกนะ " เสียงคุณนายอารีย์ แม่บุญธรรมของเรรันต์เอื้อนขึ้น หลังออกจากโรงพยาบาล กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ในขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีคิมหันต์เป็นคนดูแล " นายแม่.." เสียงเรียกน้อยๆของเธอ ทำหล่อนยิ้มฝืนเลื่อนมือลูบหัวลงมาลูบแก้ม ก่อนจะมองคนป่วยน้ำตาคลอ " เดี๋ยวก็หายแล้วลูก " "ฮึก.." ไม่ต่างกับเรรันต์เลยในตอนนี้ที่ปล่อยน้ำตาให้มันไหลลงมาแล้ว เธอไม่ได้เจ็บปวดเพราะเกิดอุบัติเหตุ แผลบนร่างกายไม่ได้ทำให้เธอเจ็บสักเท่าไหร่ แต่แผลในใจต่างหากที่มันอักเสบซะจนกลัดหนอง เรรันต์รู้สึกผิด ผิดเต็มๆที่ทำคนเป็นแม่เสียใจขนาดนี้ เธอรู้ สิ่งที่ได้มาอาจจะเป็นคำปลอบใจ แต่ขณะเดียวกันในใจลึกๆของคนพูดไม่ต่างกันเลยกับเธอ ยกมือขึ้นไหว้ แล้วบอกขอโทษ ในจังหวะที่นายแม่โน้มตัวลงมาพอดี " รันต์.." หล่อนบีบมือบางนั้นเบาๆ บอกเป็นนัยๆว่าไม่ได้โกรธ ก่อนจะดึงเข้ามากอด ซึ่งนั่นเปิดโอกาสให้เรรันต์ที่สะอื้นไห้อยู่แล้ว ปล่อยโฮอย่างเต็มที่ " ฮือๆๆ ฮือ.." ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ต่าง
ฝั่งด้านของคิมหันต์ตอนรู้ข่าว เขาเปล่าหึงหวงที่รู้ว่าเพื่อนสนิทกินน้ำใต้ศอกกันอย่างนั้น ไม่ได้ถือว่าเป็นของเหลือ เพราะไม่อยากดูถูกใคร แค่นึกไม่ถึงมากกว่าว่าคนอย่างสิงขรน่ะหรือจะทำมันจริง ปกติเขาเป็นคนเลือกมาก แต่พอได้ยินเหตุผลประมาณว่า เขานั้นมีน้ำใจอยากจะช่วยเพื่อน หวังกำจัดหล่อน ชายหนุ่มเลยไม่ติดใจอะไรอีก ในขณะคิมหันต์เปล่าคิดว่ามันจะสมควร ไม่ใช่ว่าจะไม่สนับสนุน เพียงแต่อีกใจนึงของเขา เขานึกสงสาร เห็นใจเพราะนี่ไม่ใช่วิสัยโดยตรง การทำแบบนี้มันดูหน้าตัวเมีย ทว่า เมื่อหันมาเห็นคนนอนนิ่ง ไม่ไหวติงอยู่ ทำชายหนุ่มแทบสะอึก จุกจนพูดไม่ออก ใช่ กับสิ่งที่ภรรยาเขาเจอล่ะ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน เธอยังอยู่ในคราบน้องสาวเขา แต่กลับต้องมาหมดอนาคตนับตั้งแต่เขานั้นกลับมา มันยุติธรรมแล้วหรือ? 15.00น. ร่างสูงยืนตระหง่านอยู่หน้าห้องในโรงพยาบาลด้วยความหมดแรง วันนี้เหยียบเข้ามาวันที่สิบสองแล้ว ภรรยาตัวน้อยๆของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น สองสามวันมานี้ เขารู้สึกเหงา และอ้างว้างเหลือเกิน กับเข็มนาฬิกาที่เดินไปเรื่อยๆ เชื่องช้าซะเหมือนแทบจะคลาน มันทำเขาไ
เมา... ศักยภาพของมันคืออะไรใครพอจะเข้าใจถึงความหมายตรงนี้บ้าง?? สำหรับคนทั่วไป อาจจะมองว่ามันทำให้ขาดสติ ทำอะไรสักอย่างออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ในความคิดส่วนตัวอย่างแอดมินสกั้งคนเขียนเรื่อง จะบอกให้รู้เลยตรงนี้ว่า.. ประเด็นสำคัญหลักของคนเมาไม่ได้อยู่น้ำเมา แต่มันอยู่ที่ตัวบุคคล คนที่ดื่มเข้าไป บางคนไม่ได้แย่ เมาคือการปล่อยโอกาสให้สันดานไม่ดีในจิตใต้สำนึกของคนกินนั้นออกมามากกว่า ดุจแพรววาตอนนี้ ที่ต่อให้เมารึไม่ ความเป็นเธอก็ยังคงเป็นเธอ ควงจริตยังไงไว้ข้างในก็ยังคงมีมันอยู่อย่างนั้น ถึงรู้อยู่แก่ใจว่าหล่อนนั้นผิด ผิดตั้งแต่เดินเข้ามาในชีวิตของคิมหันต์เพราะจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่ใช่ความรัก หล่อนก็ยังไม่แคร์ สำนึกผิดอยู่ตรงไหนในความคิดหล่อน...คงไม่มี อันที่จริงหล่อนควรจะหายไปจากชีวิตของคิมหันต์ตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ ไม่ควรจะกลับมาให้เห็นหน้านับตั้งแต่เขาจับได้ คิมหันต์ทำตามข้อตกลงกับหล่อนอย่างถี่ถ้วนไม่มีข้อบกพร่องด้วยเงินห้าล้านบาท ทว่า..ทำไมยังไม่พอ หล่อนยังหวนคืนกลับมาใหม่ เพื่อยั่วยวนเขา
คำจากปากหมอ ที่ว่าเรรันต์นั้นพ้นขีดอันตราย ปลอดภัยหายห่วงแล้ว ทำทุกคนซึ่งเฝ้าคอยแต่เข้าใจแค่ครึ่งเดียว ใช่อยู่ว่าเธอไม่ตาย แต่ทำไมยังไม่ฟื้น นี่ก็ผ่านมาจะเข้าวันที่สิบแล้ว หญิงสาวไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาขึ้นมาเลย ความวิตกกังวลมาตกอยู่ที่คิมหันต์ เขาจะต้องทรมานแค่ไหน หากวันนึงไม่มีเธอ เขาเอาแต่โทษตัวเขาเอง กับการเจ็บตัวที่เรรันต์นั้นได้รับ กร่นด่าในใจสารพัด เฝ้าภาวนาให้เธอนั้นฟื้น เพื่อที่วันนั้นเขาจะได้กลับไปแก้ตัวเองใหม่ ทิ้งสันดานไม่ดี ผวนกลับมาดูแลเธอเต็มที่ ให้สมกับสิ่งที่เธอคู่ควร ...ซึ่งในฐานะภรรยาไม่ใช่น้องสาว.... ทุกๆภาพ ทุกๆเหตุการณ์ มันทำให้เขาเจ็บปวด หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ทำมันเลย รู้ว่ามันสาย รู้ว่าเพ้อฝัน และรู้ว่าเขานั้นผิด...พูดคำนี้ใครได้ยิน ก็คงมีแต่คนสมน้ำหน้า เหยียบย้ำซ้ำเติม ทว่า มันไม่มีความคิดไหนอีกแล้ว ที่จะเยียวยาจิตใจ นอกไปจากการสำนึกผิด และโทษตัวเองแบบนี้ สิบวันที่ผ่าน ใช่ว่าเขาจะกินอิ่มนอนหลับ คิมหันต์เครียดแทบจะอยู่บ้านไม่ติด ไม่ใช่ว่าคุณนายอารีย์เอาแต่ด่า ไม่ใช่หล่อนเอาแต่บึ้งตึงใส่
นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ที่เขานั่งมองมือซึ่งเปื้อนคราบเลือดอยู่ตรงนี้ หน้าห้องฉุกเฉินพร้อมกับความรู้สึกผิดถึงขีด สุด หลายครั้งที่นั่งอยู่ดีๆ ปล่อยให้น้ำตามันไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มจุกในอก หัวใจถูกบีบหนัก เจ็บทุกครั้งที่กลืนน้ำลายลงคอ พร่ำโทษตัวเองซ้ำๆ ผู้กระทำให้เธอเป็นแบบนี้ เขาไม่ควรทำแบบนั้นเลยจริง จริง ก่อนจะก้มหน้าสะอื้นตัวสั่นเทา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ภาพเคลื่อนไหวที่เห็นต่อหน้าต่อตา ทำเขาช็อคไม่หาย รถเรรันต์หมุนเหมือนลูกค่าง เพราะแรงเบรค ก่อนจะหักไปชนต้นไม้ข้างทางเข้าอย่างจัง โชคดีที่เธอคาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งเป็นรถซุปเปอร์คาร์ที่เซฟตัวหญิงสาวได้อย่างดีเยี่ยมที่สุด เธอไม่ได้พุ่งออกมาจากรถ อีกทั้งแรงกระแทกนั้นไม่ได้หนักถึงขั้นทำเธอให้ตาย หนักสุดคงมีแค่ศีรษะแตกมีเลือดออก ทว่า ถึงเธอจะปลอดภัย นั่นก็ใช่ว่าจะทำให้เขาหายวิตกกังวล สิ่งที่เขากลัวที่สุดต่างหากที่สำคัญไม่แพ้กัน ภาวนา..อย่าให้มันเป็นไปอย่างที่เขาคิดเลย หากเรรันต์กับลูก เป็นอะไรไป เขาจะไม่มีวันอภัยตัวเองแน่นอน " พี่ขอโทษนะรันต์ ขอโทษจริงๆ " แม้
....สิบห้านาทีก่อนจากนี้..... ในขณะคิมหันต์เมามาย ปลีกตัวจากกลุ่มเพื่อนขอตัวไปทำธุระ ระหว่างทางเดินไม่ทันจะถึงห้องโถง ร่างบางสง่าในชุดเดรสแดงเพลิงทั้งชุดเกิดเดินเข้ามา ในมือของหล่อน กอดดอกไม้ช่อใหญ่มาด้วย ซึ่งทนมองอยู่ห่างๆ รอจังหวะมานานหลายชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้างาน จนกระทั่งถึงเวลานี้ กว่าหล่อนจะเดินเข้ามาได้ ต้องเปลืองเวลาและน้ำลาย หลอกยั่วการ์ดหน้างานไปตั้งเท่าไหร่ ฉะนั้น ถ้าจะต้องพลาดพบเจอกับคู่สวาทเก่าตามลำพังเล่าก็ มันคงไม่ใช่วิสัยของคนหวังสูงอย่างหล่อนแน่นอน " คิมคะ " เสียงหวานเรียกขานปนยิ้มยั่ว ยืนตะหง่านอยู่เบื้องข้าง คิมหันต์เหลือบตาชำเลืองหันไปมอง ก่อนขมวดคิ้วงง " แพรว คุณมาได้ยังไง " มองสลับหน้าหล่อนกับทางออก ถามเสียงห้วน ไม่ชอบใจนัก แต่ก็เลือกที่จะยืนรอคำตอบ " ก็เดินเข้ามาสิคะถามแปลก " ทว่า หญิงสาวกลับหัวเราะชอบใจ อย่างมีจริต " ผมไม่ได้เชิญคุณนี่ " ชายหนุ่ม ในชุดสูทดำหล่อเนี้ยบเป็นพิเศษยักไหล่โพล่งเสียงถาม ทว่า..คนตรงหน้ากลับยิ้มยั่วหนักกว่าเดิม แถมยังจะเดินเข้ามาใกล้ ประชิดตัว
...20.00 น... งานฉลองผู้บริหารคนใหม่ หนุ่มหล่อไฟแรง และจบด็อกเตอร์จากเมืองนอก ..คิมหันต์ จรัญทิพย์ ... เพียงแค่อายุ 28 ปี เขาก็คว้าตำแหน่ง CEO หนึ่งในหุ้นส่วนของบริษัทส่งออก ซึ่งใหญ่ที่สุด และรวยที่สุดได้แล้ว คุณนายอารีย์งานนี้ถึงกับยิ้มแก้มปริหุบไม่ลงกันเลยสักนาทีเดียว ภูมิใจซะเต็มประดา กับสิ่งที่ต้องการแล้วได้ดั่งสมความปราถนา หล่อนชายตามองไปรอบๆ เห็นคนในงานที่มีมากเกินกว่าที่คิด แล้วยิ้มหนักกว่าเก่า ก่อนจะมาชะงักจริงๆก็ตอนที่มองไปไม่เห็นคิมหันต์ " เคล.. เคลมานี่สิ " " ครับนายแม่ " จึงเรียกลูกชายคนโตในขณะยืนคุยกับนักธุรกิจคนอื่นๆอยู่ " มีอะไรด่วนรึเปล่าครับ " " คิมไปไหน " เคลถึงกับขมวดคิ้วมองไปรอบๆตาม ราวช่วยค้นหา เมื่อไม่มีอย่างที่นายแม่ว่าจริงๆ ถึงกับเครียด ก่อนจะถอนใจออกมาอย่างโล่งอกภายหลัง เมื่อเห็นเรรันต์ยืนยิ้มหวานอยู่กับพวกผู้ใหญ่อีกฝั่งหนึ่ง เพราะทีแรก เขาคิดว่า สองคนนี้คงจะใช้โอกาสนี้ไปนอนกกกันอีก แต่หากเห็นอีกคนนึงอยู่ที่