“คำพูดของมิลินมันแทงใจดำมากถึงขนาดพูดไม่ออกเลยเหรอคะ” ฉันถามพี่ลีวายที่เอาแต่ยืนนิ่งเหมือนอึ้งกับคำตอบที่ได้ยิน คงคาดไม่ถึงว่าฉันจะพูดแบบนั้นพี่ลีวายพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานโดยไม่ได้ตอบโต้อะไร เขานิ่งจนฉันอดแปลกใจไม่ได้เพราะปกติแล้วต้องได้ยินคำพูดร้าย ๆ ตอบกลับ“จะกลับเมื่อไรคะ”“ทำงานเสร็จ”“แล้วทำไมต้องให้มิลินมานั่งรอ”พี่ลีวายก้มหน้าทำงานเหมือนไม่ได้ยินคำถามของฉัน ทั้งที่ในห้องมีแค่เราสองคนแล้วเมื่อกี้เขายังตอบอยู่เลย“มิลินขอตัวกลับก่อนนะคะ ไม่อยากมานั่งรอให้เสียเวลา”ฉันลุกขึ้นจากโซฟาโดยที่พี่ลีวายก็ไม่ได้ห้ามอะไรเขายังก้มหน้าทำงาน จึงเดินไปหยุดตรงหน้าประตูแต่พอจะเปิดมันออกถึงได้รู้ว่าประตูล็อกอยู่“ช่วยปลดล็อกประตูให้ด้วยค่ะ”พี่ลีวายเงยหน้าขึ้นมาตอบเสียงเรียบ “ไม่เห็นหรือไงว่าฉันทำงานอยู่”“เห็นค่ะ แต่แค่ปลดล็อกประตูคงไม่ทำให้เสียเวลามากขนาดนั้น”“สำหรับฉันมันเสียเวลา”น้ำเสียงที่เรียบนิ่งของพี่ลีวายยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิด แต่ฉันไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากกลับมานั่งรออยู่ตรงโซฟาที่เดิม ก่อนจะสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของคนที่กำลังก้มหน้าทำงานอย
อุตส่าห์มาไม่บอกแต่เขากลับส่งภาพฉันให้พี่ลีวายดู ไม่นานหลังจากนั้น แชตก็เด้งเข้ามาในโทรศัพท์ของฉันรัว ๆ รวมถึงมีสายโทรเข้าด้วย แต่ฉันเมินข้อความและสายโทรเข้ามาของพี่ลีวาย“อยากไปดื่มกับฉันที่ชั้นสองไหม?”“ไม่ดีกว่าค่ะ” ฉันปฏิเสธแต่เขากลับยิ้มชอบใจ“ดูเหมือนเธอกับไอ้ลีวายจะมีปัญหากัน อยากให้ฉันช่วยอะไรหรือเปล่า?”“ไม่อยากค่ะ”ฉันปฏิเสธอีกครั้งเพราะรู้ว่าเขาไม่ได้หวังดีแน่ ๆ คงหวังจะใช้ฉันเป็นเครื่องมือแต่มันคงไม่ง่ายแบบนั้น ถึงจะมีปัญหากับพี่ลีวายจริง ๆฉันก็ไม่คิดจะเอาตัวเองไปอยู่ในความเสี่ยง“หึ!! บังเอิญว่าฉันชอบพวกผู้หญิงเล่นตัวซะด้วยสิ”หมับ!! จู่ ๆ เขาก็คว้ามือมาดึงแขนของฉัน ก่อนจะออกแรงดึงให้เดินตาม“จะพาหนูไปไหน ปล่อยนะ”“เหยื่อมาหาถึงที่ ฉันจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยัง”น้ำเสียงนั้นช่างน่ากลัว ทั้งที่คนในคลับมีมากมายแต่ไม่มีใครช่วยเลยสักคน พวกเขาก็แค่มองราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติผู้ชายที่ไม่รู้จัก พาฉันขึ้นมาบนชั้นสองของคลับ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปยังห้อง ๆ หนึ่ง แล้วผลักตัวฉันเข้าไปด้านใน“จะทำอะไรคะ”“เธอก็น่าจะรู้ดี… เรื่องนี้ไอ้ลีวายคงสอนมาก่อนแล้ว”“…” หัวใจดวงน้อย ๆ มันเต
Talk มิลินฉันลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกแปลก พยายามคิดว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก่อนจะจำได้คร่าว ๆ ว่าพูดคุยกับผู้ชายที่ชื่อเรย์และเขาก็บอกว่าเอายาปลุกเซ็กซ์ใส่ในเหล้าที่ฉันสั่ง แล้วหลังจากนั้นก็… เกิดอะไรขึ้นฉันรีบสำรวจมองรอบห้องจึงได้รู้ว่านี่ไม่ใช่ห้องนอนของตัวเอง จากนั้นก็หันมองข้าง ๆ ตัวทันที หัวใจดวงน้อยเต้นรัว ๆ เมื่อข้างกายมีผู้ชายนอนหลับในท่าคว่ำหน้าอยู่“พี่ลีวาย” ฉันเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ต้องเห็นหน้าก็จำได้ว่าเป็นเขา รอยสักที่แขนมันบ่งบอกชัดเจนคงเป็นคนอื่นไปไม่ได้ฉันก้มมองตัวเองที่ตอนนี้ร่างกายเปลือยเปล่าไม่มีเสื้อผ้าอยู่บนตัวเลยสักชิ้น มันชัดเจนแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น“เป็นเขาได้ยังไง” ฉันเกลียดที่ตัวเองทำในสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นและโกรธที่ไม่สามารถจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้เลยฉันค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้า ๆ แล้วรีบหยิบเอาผ้าขนหนูมาพันตัวจากนั้นก็มองหาเสื้อผ้าของตัวเองที่มันกระจัดกระจายอยู่เกลื่อนพื้น“ทำไมห้องถึงได้เละเทะขนาดนี้เนี่ย” ฉันก้มหน้าพูดพึมพำเบา ๆ คนเดียวแต่จู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มตอบกลับ “ฝีมือของเธอทั้งนั้น จำไม่ได้หรือไง”เฮือก!! หัวใจดว
ฉันคิดดีแล้วว่าถึงเวลาที่ต้องย้ายไปอยู่คอนโดสักที หากอยู่ที่บ้านและเรายังเจอหน้ากัน มันก็จะเกิดเรื่องนั้นวนลูปไปมาไม่จบไม่สิ้นไม่ได้คิดว่าการย้ายไปคอนโดจะทำให้ตัวเองหลุดพ้น ไม่คาดหวังว่าพี่ลีวายจะหาฉันไม่เจอ ก็แค่อยากเอาตัวเองออกมาจากจุดที่ทำให้รู้สึกไร้ค่าเวลาเก็บของมีไม่มากเท่าไร เพราะฉันระแวงกลัวว่าพี่ลีวาย จะมาเจอตอนเก็บเสื้อผ้าอยู่จึงเอาไปแค่ของชิ้นสำคัญ ส่วนของที่เหลือค่อยแอบมาเก็บคราวหน้าก็ได้พี่ลีวายทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักโทษแหกคุก ต้องคอยระแวงย่องออกจากบ้านเพราะกลัวมีใครเห็น“ขอยืมไปก่อนสักคันนะคะ” ฉันหยิบกุญแจรถยนต์ที่แขวนอยู่พร้อมเอ่ยบอกกับสายลม ทำตัวไม่ต่างจากหัวขโมยเลยแต่มันจำเป็น จะให้ทำยังไงได้พอได้กุญแจรถมาแล้วก็รีบเอาของมาไว้หลังรถจากนั้นก็รีบ ขับออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็วเพราะกลัวคนที่ไม่อยากเจอหน้ามาเห็นซะก่อน#คอนโดฉันเดินเข้ามาในห้องพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย รู้ดีว่าไม่สามารถหนีไปตลอดได้ สักวันพี่ลีวายก็จะรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน แค่ตอนนี้ฉันเอาตัวเองออกมาจากคนใจร้ายได้ก็เพียงพอแล้วเพราะความเหนื่อยล้าหลังจากจัดของเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว
ฉันเดินกลับมาหยิบชามข้าวอย่างไม่เต็มใจ แล้วนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กับพี่ลีวายที่นอนอยู่“ทำหน้าให้มันดี ๆ แค่ป้อนข้าวฉันคงไม่ทำให้เธอขาดใจตายหรอก”“ป่วยแต่ปากร้ายไม่แผ่วเลยนะคะ” ฉันตักข้าวต้มแล้วเอามาจ่อที่ปากของพี่ลีวายพร้อมออกคำสั่ง “อ้าปากด้วยค่ะ”พี่ลีวายทำเมินก่อนที่เขาจะวางมือลงบนขาของฉันอย่างถือวิสาสะ แล้วพูด “เธอบอกกับฉันว่าต่างคนต่างอยู่”ดูก็รู้ว่าตอนนี้พี่ลีวายกำลังหลงตัวเองคิดว่าฉันเป็นห่วงเขาจนต้องมาป้อนข้าวป้อนน้ำถึงบนห้อง“บอกไปแล้วนี่คะว่าคุณท่านขอให้มา”“พ่อฉันขอแต่ถ้าเธอจะไม่มาใครก็บังคับไม่ได้ จริงไหม?”ฉันถอนหายใจออกมากหนัก ๆ เมื่อพี่ลีวายพูดไม่รู้เรื่อง ก่อนจะถามเสียงห้วน “จะกินไหมคะข้าว?”“ถ้าพ่อไม่ขอเธอคงไม่โผล่หน้ามาสินะ”“คงงั้นค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นแปลว่าครั้งนี้เธอเป็นฝ่ายเข้ามาวุ่นวายกับฉันเอง”“สรุปจะกินข้าวไหมคะ ถ้าไม่กินก็ช่วยปลดล็อกประตูให้มิลินด้วย” ฉันบอกอย่างหงุดหงิดและแสดงสีหน้าไม่พอใจที่เขาเอาแต่พูด แถมยังจะยัดเหยียดว่าฉันเป็นฝ่ายที่อยากจะเข้าหาตัวเองอีกพอฉันจะดึงมือที่ถือช้อนออกพี่ลีวายก็คว้ามือมาจับก่อนจะยกศีรษะขึ้นมาใช้ปากงับข้าวที่อยู่ในช้อนกิน ย
พี่ลีวายยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจที่เห็นว่าฉันยอม เขาคงจะดีใจมากที่สามารถบีบบังคับคนอื่นให้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้“ถ้าอยากให้เช็ดตัวให้ก็เปิดห้องสิคะ”“เปิดทำไม”“จะไปเอากะละมังมาใส่น้ำไง”“ไม่ต้อง เอาผ้าชุบน้ำอุ่นก็พอ”ฉันลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ใจคอคงไม่ยอมออกไปจากห้องง่าย ๆ ฉันพลาดเองที่มาติดกับดักฉันหยิบผ้าผืนเล็กเข้ามาในห้องน้ำแล้วเปิดน้ำอุ่น ๆ จากฝักบัวใส่ก่อนจะบิดหมาด ๆ แล้วเดินกลับมาที่เตียง“เช็ดให้ทั่วตัว”ฉันไม่ได้ตอบโต้อะไรและเมินคำสั่งนั้นก่อนจะจับเอาท่อนแขนแกร่งขึ้นมาเช็ด ทำแบบนั้นแค่ท่อนบนเพราะไม่อยากจะยุ่งอะไรกับท่อนล่าง“บอกให้เช็ดทั้งตัว”“ของตัวเองก็เช็ดเอาเองสิคะ”“คิดอะไร? แค่ให้เช็ดขาเธอคิดไปถึงไหน”“…” ฉันกัดริมฝีปากแน่น แน่นอนว่ามันก็แค่ข้ออ้างเพราะคำพูดของเขามันกำกวมและสายตาที่สื่อถึงเรื่องลามกในหัวถึงไม่อยากทำแต่ก็ยอมทำง่าย ๆ เหตุผลก็เพราะจะได้รีบออกไปจากห้องสักที ฉันรู้ว่าตอนนี้พี่ลีวายกำลังมองอยู่แต่ทำเป็นไม่สนใจสายตาของเขา“เธอคิดอะไรกับไอ้เด็กนั่นหรือเปล่า”“เขาชื่อแทนค่ะ”“ไอ้เด็กเวรคนนั้นน่ะเหรอ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อได้ยินคำพูดหยาบคายหลุด
จนถึงตอนนี้ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว พี่ลีวายก็ยังไม่ยอมปลดล็อกประตูห้อง ทำให้ฉันต้องนั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงอีกมุมหนึ่งของห้อง “ไม่ง่วงบ้างเหรอคะ ปกติคนป่วยต้องนอนพักนะ” ที่ถามไม่ใช่เพราะเป็นห่วง แต่ฉันอยากออกไปจากห้องเต็มทีแล้ว“ถ้าฉันนอนหลับตื่นมาแล้วเธอยังจะอยู่ในห้องหรือเปล่า” เขาพูดจาแปลก ๆ อีกแล้วรู้สึกไม่ชินเอาซะเลย“อยากให้มิลินอยู่ในห้องนี้จนกว่าจะหายป่วยเลยเหรอคะ”“เธอบอกแบบนั้น”“มิลินจะลงไปนอนที่ห้องของตัวเอง มีอะไรก็เรียกแล้วกันค่ะ”“จะขึ้น ๆ ลง ๆ ให้เสียเวลาทำไมนอนกับฉันในห้องนี้เลยสิ” คำชวนนั้นทำให้ฉันขนลุก ถึงจะป่วยอยู่แต่ก็เชื่อไม่ได้อยู่ดี“คงไม่ดีหรอกค่ะ”“คิดว่าฉันจะทำอะไรเธอ?”“มิลินจะลงไปนอนที่ห้องตัวเองค่ะ” ฉันบอกยืนยันอย่างเด็ดขาดแต่พี่ลีวายกลับตอบมาอย่างเลือดเย็น “ไม่ได้”“เอ๊ะ! ทำไมถึงพูดไม่รู้เรื่องขนาดนี้คะ”“เธอต่างหากที่พูดไม่รู้เรื่อง”เป็นฉันอย่างนั้นเหรอที่พูดไม่รู้เรื่อง ทั้งที่ยืนยันว่าจะไปนอนที่ห้องที่พี่ลีวายเอาแต่ปฏิเสธ ทำเหมือนกลัวว่าฉันจะหนีไปไหน“เดี๋ยวฉันให้แม่บ้านเอาที่นอนมาปูให้ ถ้าฉันยังไม่หายป่วย เธอก็ออกไปไม่ได้”“แบบนี้เรียกว่ากักขังนะคะ ม
ทำไมฉันต้องยอมให้พี่ลีวายกดขี่ขนาดนี้ด้วย ทำไมต้องสู้แรงเขาไม่ได้ทั้งที่เขาป่วยอยู่แท้ ๆ ไม่ได้อยากจะอยู่แบบนี้เลยสักนิด“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะคะ” ฉันตะเบ็งเสียงบอกอย่างจริงจังอีกครั้ง ก่อนที่พี่ลีวายจะพ่นลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดมายังใบหู“ไม่ปล่อย”กริ่ง~ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแต่ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะกดรับสายเพราะถูกโอบรัดเอาไว้ทำให้ขยับตัวทำอะไรไม่ได้เลย“พี่ลีวาย!!”“ฉันก็แค่ไม่อยากให้เธอยุ่งกับไอ้เด็กเวรนั่น”“แทนค่ะ กรุณาเรียกชื่อให้ถูก”“ฉันหวงเมียตัวเองแล้วมันผิดตรงไหน”“…” ฉันเงียบเมื่อพี่ลีวายเอ่ยคำนั้นออกมา เขาคงพยายามเป็นอย่างมากเพื่อให้ฉันหวั่นไหว แล้วฉันจะได้กลับไปทำตัวเชื่อง ๆ อย่างเมื่อก่อน“เดี๋ยวนี้พูดคำว่าเมียออกมาบ่อยนะคะ”“… ในเมื่อมันเป็นความจริง ทำไมฉันจะพูดไม่ได้”ฉันหันมองใบหน้าคมคายที่อยู่ใกล้ ๆ ด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ก่อนความเงียบจะครอบงำ พี่ลีวายค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ ๆ จนริมฝีปากของเราทั้งคู่ประกบกัน“อื้อ~”สมองมันอื้อไปชั่วขณะ ข้างในมันขาวโพลน รู้ตัวอีกทีพี่ลีวายก็สอดลิ้นสากเข้ามาในโพรงปากแล้ว ลมหายใจร้อนผ่าวเริ่มถี่รัวขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงฝ่ามือหนาที่ยกขึ้นมาบีบขยำห