ฉันถอยหลังหนีพี่ลีวายจนขาแนบชิดเข้ากับขอบเตียง เมื่อไร้หนทางก็รีบหันมองประตูแต่ไม่ทันได้วิ่งไป ร่างหนาก็เดินมาขว้างที่หน้าประตูอย่างรู้ทัน“ถ้าไม่ยอมทำสิ่งที่ฉันต้องการก็ห้ามออกจากห้อง” คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูประกาศเสียงกร้าว“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ” ดูสีหน้าของพี่ลีวายสิมันบ่งบอกว่าเขาไม่ได้ขู่ตอนที่เรายังไม่เคยมีอะไรกันพี่ลีวายก็เป็นแค่ผู้ชายปากร้ายคนหนึ่งแต่หลังจากที่พลาดท่าให้ ความร้ายกาจนั้นก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันแทบรับมือไม่ไหวการที่คุณท่านไม่อยู่มันทำให้พี่ลีวายได้ใจ อยากทำอะไรกับฉันก็ทำอย่างไร้ความปรานี ความโหดร้ายของเขามันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ“ถ้าอยากออกไปจากห้องฉันมากก็รีบ ๆ มาทำซะสิ” พี่ลีวายยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจที่ตัวเองดักทางหนีฉันได้ทุกอย่างใช่สิ! เขาถือไพ่เหนือกว่าทุกครั้ง ไม่ว่าจะทำหรือคิดอะไรเขาก็รู้ทันไปหมดซะทุกเรื่อง“ทำไมต้องเอาแต่บังคับด้วยคะ”“แค่ยอมทำตามที่ฉันสั่งอย่างว่าง่ายมันยากตรงไหน” ไม่เพียงแค่ไม่ยอมตอบแต่พี่ลีวายยังยิงคำถามกลับมา“ก็มิลินไม่อยากทำ”“เธอต้องทำ” พี่ลีวายบอกเสียงเข้ม เขาชอบบังคับให้คนอื่นทำตามที่ตัวเองต้องการและไม่มีทางขัดได้เลย“…” ฉันม
กลับมาที่ห้องของตัวเอง ฉันพยายามอ่านหนังสือและไม่สนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า แต่ทว่าพยายามเท่าไรมันก็เอาแต่คิดวนเวียนไม่เข้าใจตัวหนังสือที่อ่านสักทีจนหงุดหงิดตัวเอง“หยุดคิดถึงคนใจร้ายสักที” ฉันบอกตัวเองเบา ๆ แล้วตั้งสติอ่านหนังสือใหม่อีกครั้งไม่รู้ว่าทำไมทั้งที่มีเหตุผลมากมายให้เลิกชอบผู้ชายอย่างพี่ลีวายแท้ ๆ แต่หัวใจมันก็ยังมีแต่เขา แถมไม่ว่าจะถูกบังคับให้ทำอะไรก็ยอมไปซะหมดทุกอย่างไม่ใช่ว่าคิดไม่ได้หรอกนะ มันคิดได้แต่ขัดไม่ได้ต่างหาก สุดท้ายก็ต้องมานั่งหงุดหงิดตัวเองแบบนี้เวลาผ่านไปจนถึงวันสอบวันสุดท้าย วันนี้ฉันรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะจะได้ไปต่างประเทศแล้ว ถึงแม้ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของฉันกับพี่ลีวายมันจะวนลูปอยู่ที่เดิม นั่นก็คือเรื่องบนเตียงกับคำพูดร้าย ๆ ที่เขาคอยพูดกรอกหูอยู่ตลอดเวลาตอนนี้ถึงยังไม่ได้ไปต่างประเทศ ก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหลุดพ้น การไปครั้งนี้มันต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงมีเรื่องหนึ่งที่ฉันเป็นกังวลคือเรื่องของแทน เพราะตั้งแต่ตอนนั้นที่บล็อกเขาไป แทนก็ไม่มาเจอหน้าฉันอีกเลย ทั้งที่เราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน เมื่อก่อนเราเจอกันบ่อยมาก ๆ
พี่ลีวายดึงผ้าห่มมาคลุ่มเรือนร่างเปลือยเปล่าของฉันเอาไว้ แล้วลุกขึ้นจากเตียงพร้อมจ้องหน้าฉันเขม็งอยู่ครู่ใหญ่“หยุดร้องมันน่ารำคาญ!!”“อึก~”“คิดว่าฉันอยากทำกับเธอมากหรือไง ต่อให้ไม่มีเธอ ฉันจะไปทำกับผู้หญิงคนไหนก็ได้!!” เขาตวาดบอกอย่างไม่สนใจความรู้สึกของฉันเลยว่ามันจะรู้สึกเจ็บปวดมากขนาดไหน“อึก~ ขะ... เข้าใจแล้วค่ะ”“เข้าใจ? หมายความว่ายังไงฮะ!!”“มิลินอยากอยู่คนเดียว พี่ลีวายออกไปได้แล้ว”“ไล่?”ฉันไม่ยอมตอบอะไรทำให้พี่ลีวายพ่นลมหายใจออกมาหนัก ๆ อย่างหงุดหงิด ก่อนจะเดินออกไปแถมยังปิดประตูห้องเสียงดังลั่นหลังจากพี่ลีวายออกไปแล้วฉันก็ขดตัวนอนร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ได้แค่บอกตัวเองว่าพอได้แล้ว… พอกันทีมิลิน ความรู้สึกของฉันมันเดินทางมาไกลมากพอแล้ว แต่ทุกอย่างก็สูญเปล่า ฉันอดทนได้เก่งไม่ได้แปลว่ามันไม่เหนื่อย การที่ฉันคิดว่าจะใช้ร่างกายผูกมัดนั้นเป็นอะไรที่โง่สิ้นดีเพราะพี่ลีวายก็ยังเกลียดฉันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน“อึก~”หลังจากร้องไห้อยู่นานฉันก็ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงแล้วหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้เรียบร้อย แล้วเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าต่อ พยายามไม่ให้ตัวเองร้
เพราะกลัวว่าคนอื่นจะรู้ถึงความสัมพันธ์ที่น่าอายระหว่างฉันกับพี่ลีวายจึงยอมแต่โดยดี ถึงแม้ว่าไม่อยากให้เขาไปส่งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี คุณลุงคนขับรถได้ย้ายกระเป๋าของฉันไปที่รถของพี่ลีวายเรียบร้อยแล้ว@ภายในรถทั้งฉันและพี่ลีวายเข้ามานั่งในรถ บอกตามตรงว่าไม่ชอบความอึดอัดแบบนี้เอาซะเลย“จะไม่ถามว่าฉันหายไปไหนมา?” คนตัวสูงที่นั่งเบาะคนขับหันมาขมวดคิ้วพูดกับฉันราวกับอยากให้ถาม“ทำไมต้องถามด้วยคะ”“ปกติเห็นอยากส่อรู้ไปซะทุกเรื่อง ไม่ว่าฉันจะทำอะไรอยู่ที่ไหน”คำพูดที่เหน็บแนมนั้นทำให้ฉันเงียบไปครู่หนึ่ง เพราะก่อนหน้านี้เวลาพี่ลีวายหายไปไหน มันก็อยากรู้ไปหมดอย่างที่เขาว่า แต่ก็ไม่ได้ตามติดขนาดนั้นซะหน่อย ฉันยังรู้ว่าตัวเองเป็นได้แค่ไหน และเว้นที่ว่างให้เขาเสมอ“ก็คง… ไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นมาใช่ไหมคะ”“เดาเก่งเหมือนกันนี่”“…” ไม่น่าถามแบบนั้นให้ตัวเองเจ็บหัวใจเล่น ๆ เลย เพราะคนที่ตอบไม่เคยแคร์ความรู้สึกของฉันเลย“รู้ไหมว่าผู้หญิงพวกนั้นเด็ดกว่าเธอหลายเท่า…” พี่ลีวายเอ่ยออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ คงจงใจพูดให้ฉันรู้สึกและมันก็ได้ผลฉันหันออกมามองด้านนอกหน้าต่างแล้วบอก “ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่อง
ฉันเบิกตากว้างเมื่อได้สติแล้วรู้ว่าพี่ลีวายปล่อยใน ก่อนจะจิกเล็บลงบนแท่นแขนแกร่งอย่างแรง“โอ้ย!!” พี่ลีวายร้องออกมาเสียงดังพร้อมจ้องตาเขม็งอย่างไม่พอใจ “ฉันเจ็บ!!”พูดจบเขาก็ปัดมือฉันอย่างแรงพร้อมพลักตัวออกทำให้น้ำสีขุ่นที่ถูกปล่อยเข้ามาไหลออกจากร่องแคบจนเปรอะเปื้อนท่อนขาแกร่งฉันก้มมองน้ำเชื้อสีขุ่นที่ไหลเปื้อนอยู่บนท่อนขาของพี่ลีวายแล้วถาม “ปล่อยในทำไมคะ”“แล้วทำไมไม่ถามตั้งแต่ตอนฉันใกล้เสร็จ หรือใจจริงเธอก็อยากให้ปล่อยใน”“มิลินไม่เคยคิดแบบนั้น” ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวหาฉันก็รีบแก้ตัวทันทีเพราะไม่เคยคิดอยากให้เขาปล่อยในเลยสักนิด“อ่า! เปื้อนหมดแล้ว”ฉันรีบลุกขึ้นจากตัวเขาก่อนจะหยิบเอาทิชชูมาเช็ดทำความสะอาดบริเวณจุดสำคัญโดยมีสายตาคมจ้องมองอยู่“ม… มองทำไมรีบใส่เสื้อผ้าสิคะ”“ฉันจะไปอาบน้ำ”“คะ? อาบน้ำเหรอแต่มิลินรีบนะ” ฉันขมวดคิ้วมองพี่ลีวายอย่างไม่เข้าใจ เหมือนเขากำลังจะยื้อเวลาที่ไม่เข้าใจก็คือทำไปเพื่ออะไร“ไม่เห็นหรือไงว่ามันเปื้อนหมดแล้ว” เขาชี้นิ้วมาบนท่อนขาแกร่งของตัวเองที่มีน้ำสีขุ่นเปื้อนอยู่“ถ้าอย่างนั้นมิลินจะให้ลุงคนขับรถไป…” ยังพูดไม่ทันจบคนที่นั่งข้าง ๆ ก็ตวาดบอกเสีย
ฉันมองหน้าพี่ลีวายด้วยความรู้สึกที่สุดแสนจะเจ็บปวด แต่มันก็ดีแล้วที่เขาคิดยังไงก็พูดออกมา ไม่หลอกให้ฉันคิดฝันไปไกล“มิลินจะจำคำ ๆ นั้นไว้ให้ขึ้นใจเลยนะคะ” ที่บอกไปจริง ๆ แล้วฉันพยายามเข้มแข็งทั้งที่ภายในใจนั้นบอบช้ำสาหัส“ใช่! เธอต้องจำให้ขึ้นใจ”“ขอบคุณที่คอยเตือนมิลินอยู่ตลอดนะ”“อืม”“จะปลดล็อกรถให้ได้หรือยังคะ”พี่ลีวายหันมามองค้อนด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก ก่อนจะบอกเสียงเย็น “บอกว่าเอื้อมมาปลดเอง”“ก็ได้ค่ะ” ฉันถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะหากไม่ทำก็อาจจะไม่ทันเครื่อง มันมีแค่ทางเลือกเดียวขณะที่โน้มตัวคร่อมลงมาทาบบนท่อนขาแกร่ง จู่ ๆ มือหนาของพี่ลีวายก็ล้วงเข้ามาในเสื้อทำเอาฉันสะดุ้งรีบผละตัวออกทันที“ท… ทำอะไรคะ”“อย่าทำตัวใสซื่อหน่อยเลย เอากับฉันมาตั้งกี่ครั้งแล้ว”“…” ได้ยินคำ ๆ นั้นมันทำให้ฉันต้องกัดริมฝีปากแน่นจนห้อเลือด เพราะเขาพูดมันบ่อยมาก ๆพี่ลีวายคว้ามือมาบีบที่หน้าของฉันพร้อมจ้องอย่างไม่ละสายตา“อื้อ เจ็บนะคะ”“… หวังว่าเธอจะเลิกรู้สึกกับฉันได้อย่างที่ต้องการ”“…” คำพูดนั้นเป็นการตอกย้ำ มันยิ่งทำให้ฉันฮึดสู้สายตาคมเอาแต่จ้องหน้าฉันโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่จะพ่นลมหายใจออกมา
ฉันนอนหลับไปกี่ชั่วโมงก็ไม่รู้ และไม่กล้าลุกขึ้นออกไปด้านนอกเพราะไม่รู้ว่าถ้าเจอหน้าพี่คัลเลนแล้วต้องทำยังไง เพราะไม่ได้เมามากจึงจำได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ไม่อยากคิดไปไกลเลยว่าพี่คัลเลนนั้นคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้ อีกอย่างฉันไม่มีทางคิดเกินเลยกับเขามากกว่าคำว่าพี่ชายก๊อก ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่คนด้านนอกจะเอ่ยบอก“เครื่องใกล้จะลงจอดแล้วนะคะ”“… ค่ะ”หลังจากเครื่องลงจอดก็ไม่สามารถเลี่ยงอะไรได้อีก สุดท้ายฉันก็ต้องออกมาด้านนอกและได้ประจันหน้ากับพี่คัลเลนอีกครั้ง คราวนี้มันรู้สึกเกร็ง ๆ ยังไงก็ไม่รู้“เดี๋ยวพี่ช่วยถือกระเป๋าให้”“ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวมิลินถือเอง”“เรื่องตอนนั้น… พี่ขอโทษ” แววตาคู่นั้นทำให้ฉันคิดจริง ๆ ว่าพี่คัลเลนรู้สึกผิดจริง ๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี“ช… ชั่งมันเถอะค่ะ มิลินไม่ได้คิดอะไร” ฉันตอบปัด ๆ ไปเพราะไม่อยากจะไปคิดถึงให้ปวดหัว เพราะแค่นี้ก็มีเรื่องให้คิดมากมายเต็มไปหมดแต่พอตอบแบบนั้นเหมือนพี่คัลเลนจะไม่ค่อยพอใจ แถมยังดึงกระเป๋าออกไปจากมือฉันแล้วตรงไปที่รถ“เดี๋ยวมิลินโทรบอกคุณท่าน…” ยังพูดไม่ทันจบอีกคนก็แทรกขึ้นมาซะก่อน“เดี๋ยวพี่ไปส่ง โทรถามค
หลังจากไล่ผู้หญิงคนนั้นไปแล้วผมก็เดินกลับมาหาไอ้คาแลนที่โต๊ะ เมื่อเห็นผมนั่งลงทำให้มันขมวดคิ้วมองอย่างแปลกใจ“นี่มึงทำแล้ว?”“ทำอะไร” ผมนั่งกระแทกลงบนเก้าอี้อย่างหัวเสีย รู้สึกว่าวันนี้แม่งโคตรน่าเบื่อฉิบหายเลย“มึงเพิ่งเดินเข้าไปพร้อมเด็กไม่ใช่? แล้วทำไมออกมาเร็วจังวะ”“กูแค่ไม่มีอารมณ์” ผมตอบก่อนจะยกแก้วขึ้นมาดื่ม“ไอ้นี่! ตอนกูถามมึงก็บอกว่าเอา”“เออ! ตอนนี้ไม่มีอารมณ์มึงจะถามเหี้ยอะไรนักหนาวะ”“เป็นอะไรวะ กูรู้สึกว่ามึงแปลกไปนะไอ้ลีวาย”“เรื่องของกู!!”“ไอ้สัส! กูถามเพราะเป็นห่วง”ผมหยิบแก้วเหล้าดื่มรวดเดียวหมดด้วยอารมณ์ที่เดือดดาล ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วกดโทรออกไปหาผู้หญิงที่กล้าท้าทายกับผม“หึ!! กล้าดียังไงไม่รับสายฉัน” ผมกดโทรอีกครั้งแต่เธอก็ไม่ยอมรับสาย ผ่านไปครู่หนึ่งก็ปิดเครื่องใส่ปัก!! ผมวางโทรศัพท์กระแทกลงโต๊ะพร้อมอารมณ์เดือดดาลที่ทวีคูณมากขึ้นหลายเท่า“มึงโทรหาใคร”“ยุ่ง!!”“กูชักจะเริ่มสงสัยว่าใครกันที่ทำให้มึงหงุดหงิดได้มากขนาดนี้” ไอ้คาแลนจ้องหน้าผมอย่างคาดคั้น“ไม่มีใครทำทั้งนั้น เก็บความสงสัยของมึงเอาไว้ซะ”ผมพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ พยายามทำใจให้สงบแต่มันก็เ