กลับมาที่ห้องของตัวเอง ฉันพยายามอ่านหนังสือและไม่สนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า แต่ทว่าพยายามเท่าไรมันก็เอาแต่คิดวนเวียนไม่เข้าใจตัวหนังสือที่อ่านสักทีจนหงุดหงิดตัวเอง“หยุดคิดถึงคนใจร้ายสักที” ฉันบอกตัวเองเบา ๆ แล้วตั้งสติอ่านหนังสือใหม่อีกครั้งไม่รู้ว่าทำไมทั้งที่มีเหตุผลมากมายให้เลิกชอบผู้ชายอย่างพี่ลีวายแท้ ๆ แต่หัวใจมันก็ยังมีแต่เขา แถมไม่ว่าจะถูกบังคับให้ทำอะไรก็ยอมไปซะหมดทุกอย่างไม่ใช่ว่าคิดไม่ได้หรอกนะ มันคิดได้แต่ขัดไม่ได้ต่างหาก สุดท้ายก็ต้องมานั่งหงุดหงิดตัวเองแบบนี้เวลาผ่านไปจนถึงวันสอบวันสุดท้าย วันนี้ฉันรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะจะได้ไปต่างประเทศแล้ว ถึงแม้ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของฉันกับพี่ลีวายมันจะวนลูปอยู่ที่เดิม นั่นก็คือเรื่องบนเตียงกับคำพูดร้าย ๆ ที่เขาคอยพูดกรอกหูอยู่ตลอดเวลาตอนนี้ถึงยังไม่ได้ไปต่างประเทศ ก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหลุดพ้น การไปครั้งนี้มันต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงมีเรื่องหนึ่งที่ฉันเป็นกังวลคือเรื่องของแทน เพราะตั้งแต่ตอนนั้นที่บล็อกเขาไป แทนก็ไม่มาเจอหน้าฉันอีกเลย ทั้งที่เราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน เมื่อก่อนเราเจอกันบ่อยมาก ๆ
พี่ลีวายดึงผ้าห่มมาคลุ่มเรือนร่างเปลือยเปล่าของฉันเอาไว้ แล้วลุกขึ้นจากเตียงพร้อมจ้องหน้าฉันเขม็งอยู่ครู่ใหญ่“หยุดร้องมันน่ารำคาญ!!”“อึก~”“คิดว่าฉันอยากทำกับเธอมากหรือไง ต่อให้ไม่มีเธอ ฉันจะไปทำกับผู้หญิงคนไหนก็ได้!!” เขาตวาดบอกอย่างไม่สนใจความรู้สึกของฉันเลยว่ามันจะรู้สึกเจ็บปวดมากขนาดไหน“อึก~ ขะ... เข้าใจแล้วค่ะ”“เข้าใจ? หมายความว่ายังไงฮะ!!”“มิลินอยากอยู่คนเดียว พี่ลีวายออกไปได้แล้ว”“ไล่?”ฉันไม่ยอมตอบอะไรทำให้พี่ลีวายพ่นลมหายใจออกมาหนัก ๆ อย่างหงุดหงิด ก่อนจะเดินออกไปแถมยังปิดประตูห้องเสียงดังลั่นหลังจากพี่ลีวายออกไปแล้วฉันก็ขดตัวนอนร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ได้แค่บอกตัวเองว่าพอได้แล้ว… พอกันทีมิลิน ความรู้สึกของฉันมันเดินทางมาไกลมากพอแล้ว แต่ทุกอย่างก็สูญเปล่า ฉันอดทนได้เก่งไม่ได้แปลว่ามันไม่เหนื่อย การที่ฉันคิดว่าจะใช้ร่างกายผูกมัดนั้นเป็นอะไรที่โง่สิ้นดีเพราะพี่ลีวายก็ยังเกลียดฉันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน“อึก~”หลังจากร้องไห้อยู่นานฉันก็ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงแล้วหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้เรียบร้อย แล้วเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าต่อ พยายามไม่ให้ตัวเองร้
เพราะกลัวว่าคนอื่นจะรู้ถึงความสัมพันธ์ที่น่าอายระหว่างฉันกับพี่ลีวายจึงยอมแต่โดยดี ถึงแม้ว่าไม่อยากให้เขาไปส่งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี คุณลุงคนขับรถได้ย้ายกระเป๋าของฉันไปที่รถของพี่ลีวายเรียบร้อยแล้ว@ภายในรถทั้งฉันและพี่ลีวายเข้ามานั่งในรถ บอกตามตรงว่าไม่ชอบความอึดอัดแบบนี้เอาซะเลย“จะไม่ถามว่าฉันหายไปไหนมา?” คนตัวสูงที่นั่งเบาะคนขับหันมาขมวดคิ้วพูดกับฉันราวกับอยากให้ถาม“ทำไมต้องถามด้วยคะ”“ปกติเห็นอยากส่อรู้ไปซะทุกเรื่อง ไม่ว่าฉันจะทำอะไรอยู่ที่ไหน”คำพูดที่เหน็บแนมนั้นทำให้ฉันเงียบไปครู่หนึ่ง เพราะก่อนหน้านี้เวลาพี่ลีวายหายไปไหน มันก็อยากรู้ไปหมดอย่างที่เขาว่า แต่ก็ไม่ได้ตามติดขนาดนั้นซะหน่อย ฉันยังรู้ว่าตัวเองเป็นได้แค่ไหน และเว้นที่ว่างให้เขาเสมอ“ก็คง… ไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นมาใช่ไหมคะ”“เดาเก่งเหมือนกันนี่”“…” ไม่น่าถามแบบนั้นให้ตัวเองเจ็บหัวใจเล่น ๆ เลย เพราะคนที่ตอบไม่เคยแคร์ความรู้สึกของฉันเลย“รู้ไหมว่าผู้หญิงพวกนั้นเด็ดกว่าเธอหลายเท่า…” พี่ลีวายเอ่ยออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ คงจงใจพูดให้ฉันรู้สึกและมันก็ได้ผลฉันหันออกมามองด้านนอกหน้าต่างแล้วบอก “ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่อง
ฉันเบิกตากว้างเมื่อได้สติแล้วรู้ว่าพี่ลีวายปล่อยใน ก่อนจะจิกเล็บลงบนแท่นแขนแกร่งอย่างแรง“โอ้ย!!” พี่ลีวายร้องออกมาเสียงดังพร้อมจ้องตาเขม็งอย่างไม่พอใจ “ฉันเจ็บ!!”พูดจบเขาก็ปัดมือฉันอย่างแรงพร้อมพลักตัวออกทำให้น้ำสีขุ่นที่ถูกปล่อยเข้ามาไหลออกจากร่องแคบจนเปรอะเปื้อนท่อนขาแกร่งฉันก้มมองน้ำเชื้อสีขุ่นที่ไหลเปื้อนอยู่บนท่อนขาของพี่ลีวายแล้วถาม “ปล่อยในทำไมคะ”“แล้วทำไมไม่ถามตั้งแต่ตอนฉันใกล้เสร็จ หรือใจจริงเธอก็อยากให้ปล่อยใน”“มิลินไม่เคยคิดแบบนั้น” ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวหาฉันก็รีบแก้ตัวทันทีเพราะไม่เคยคิดอยากให้เขาปล่อยในเลยสักนิด“อ่า! เปื้อนหมดแล้ว”ฉันรีบลุกขึ้นจากตัวเขาก่อนจะหยิบเอาทิชชูมาเช็ดทำความสะอาดบริเวณจุดสำคัญโดยมีสายตาคมจ้องมองอยู่“ม… มองทำไมรีบใส่เสื้อผ้าสิคะ”“ฉันจะไปอาบน้ำ”“คะ? อาบน้ำเหรอแต่มิลินรีบนะ” ฉันขมวดคิ้วมองพี่ลีวายอย่างไม่เข้าใจ เหมือนเขากำลังจะยื้อเวลาที่ไม่เข้าใจก็คือทำไปเพื่ออะไร“ไม่เห็นหรือไงว่ามันเปื้อนหมดแล้ว” เขาชี้นิ้วมาบนท่อนขาแกร่งของตัวเองที่มีน้ำสีขุ่นเปื้อนอยู่“ถ้าอย่างนั้นมิลินจะให้ลุงคนขับรถไป…” ยังพูดไม่ทันจบคนที่นั่งข้าง ๆ ก็ตวาดบอกเสีย
ฉันมองหน้าพี่ลีวายด้วยความรู้สึกที่สุดแสนจะเจ็บปวด แต่มันก็ดีแล้วที่เขาคิดยังไงก็พูดออกมา ไม่หลอกให้ฉันคิดฝันไปไกล“มิลินจะจำคำ ๆ นั้นไว้ให้ขึ้นใจเลยนะคะ” ที่บอกไปจริง ๆ แล้วฉันพยายามเข้มแข็งทั้งที่ภายในใจนั้นบอบช้ำสาหัส“ใช่! เธอต้องจำให้ขึ้นใจ”“ขอบคุณที่คอยเตือนมิลินอยู่ตลอดนะ”“อืม”“จะปลดล็อกรถให้ได้หรือยังคะ”พี่ลีวายหันมามองค้อนด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก ก่อนจะบอกเสียงเย็น “บอกว่าเอื้อมมาปลดเอง”“ก็ได้ค่ะ” ฉันถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะหากไม่ทำก็อาจจะไม่ทันเครื่อง มันมีแค่ทางเลือกเดียวขณะที่โน้มตัวคร่อมลงมาทาบบนท่อนขาแกร่ง จู่ ๆ มือหนาของพี่ลีวายก็ล้วงเข้ามาในเสื้อทำเอาฉันสะดุ้งรีบผละตัวออกทันที“ท… ทำอะไรคะ”“อย่าทำตัวใสซื่อหน่อยเลย เอากับฉันมาตั้งกี่ครั้งแล้ว”“…” ได้ยินคำ ๆ นั้นมันทำให้ฉันต้องกัดริมฝีปากแน่นจนห้อเลือด เพราะเขาพูดมันบ่อยมาก ๆพี่ลีวายคว้ามือมาบีบที่หน้าของฉันพร้อมจ้องอย่างไม่ละสายตา“อื้อ เจ็บนะคะ”“… หวังว่าเธอจะเลิกรู้สึกกับฉันได้อย่างที่ต้องการ”“…” คำพูดนั้นเป็นการตอกย้ำ มันยิ่งทำให้ฉันฮึดสู้สายตาคมเอาแต่จ้องหน้าฉันโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่จะพ่นลมหายใจออกมา
ฉันนอนหลับไปกี่ชั่วโมงก็ไม่รู้ และไม่กล้าลุกขึ้นออกไปด้านนอกเพราะไม่รู้ว่าถ้าเจอหน้าพี่คัลเลนแล้วต้องทำยังไง เพราะไม่ได้เมามากจึงจำได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ไม่อยากคิดไปไกลเลยว่าพี่คัลเลนนั้นคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้ อีกอย่างฉันไม่มีทางคิดเกินเลยกับเขามากกว่าคำว่าพี่ชายก๊อก ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่คนด้านนอกจะเอ่ยบอก“เครื่องใกล้จะลงจอดแล้วนะคะ”“… ค่ะ”หลังจากเครื่องลงจอดก็ไม่สามารถเลี่ยงอะไรได้อีก สุดท้ายฉันก็ต้องออกมาด้านนอกและได้ประจันหน้ากับพี่คัลเลนอีกครั้ง คราวนี้มันรู้สึกเกร็ง ๆ ยังไงก็ไม่รู้“เดี๋ยวพี่ช่วยถือกระเป๋าให้”“ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวมิลินถือเอง”“เรื่องตอนนั้น… พี่ขอโทษ” แววตาคู่นั้นทำให้ฉันคิดจริง ๆ ว่าพี่คัลเลนรู้สึกผิดจริง ๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี“ช… ชั่งมันเถอะค่ะ มิลินไม่ได้คิดอะไร” ฉันตอบปัด ๆ ไปเพราะไม่อยากจะไปคิดถึงให้ปวดหัว เพราะแค่นี้ก็มีเรื่องให้คิดมากมายเต็มไปหมดแต่พอตอบแบบนั้นเหมือนพี่คัลเลนจะไม่ค่อยพอใจ แถมยังดึงกระเป๋าออกไปจากมือฉันแล้วตรงไปที่รถ“เดี๋ยวมิลินโทรบอกคุณท่าน…” ยังพูดไม่ทันจบอีกคนก็แทรกขึ้นมาซะก่อน“เดี๋ยวพี่ไปส่ง โทรถามค
หลังจากไล่ผู้หญิงคนนั้นไปแล้วผมก็เดินกลับมาหาไอ้คาแลนที่โต๊ะ เมื่อเห็นผมนั่งลงทำให้มันขมวดคิ้วมองอย่างแปลกใจ“นี่มึงทำแล้ว?”“ทำอะไร” ผมนั่งกระแทกลงบนเก้าอี้อย่างหัวเสีย รู้สึกว่าวันนี้แม่งโคตรน่าเบื่อฉิบหายเลย“มึงเพิ่งเดินเข้าไปพร้อมเด็กไม่ใช่? แล้วทำไมออกมาเร็วจังวะ”“กูแค่ไม่มีอารมณ์” ผมตอบก่อนจะยกแก้วขึ้นมาดื่ม“ไอ้นี่! ตอนกูถามมึงก็บอกว่าเอา”“เออ! ตอนนี้ไม่มีอารมณ์มึงจะถามเหี้ยอะไรนักหนาวะ”“เป็นอะไรวะ กูรู้สึกว่ามึงแปลกไปนะไอ้ลีวาย”“เรื่องของกู!!”“ไอ้สัส! กูถามเพราะเป็นห่วง”ผมหยิบแก้วเหล้าดื่มรวดเดียวหมดด้วยอารมณ์ที่เดือดดาล ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วกดโทรออกไปหาผู้หญิงที่กล้าท้าทายกับผม“หึ!! กล้าดียังไงไม่รับสายฉัน” ผมกดโทรอีกครั้งแต่เธอก็ไม่ยอมรับสาย ผ่านไปครู่หนึ่งก็ปิดเครื่องใส่ปัก!! ผมวางโทรศัพท์กระแทกลงโต๊ะพร้อมอารมณ์เดือดดาลที่ทวีคูณมากขึ้นหลายเท่า“มึงโทรหาใคร”“ยุ่ง!!”“กูชักจะเริ่มสงสัยว่าใครกันที่ทำให้มึงหงุดหงิดได้มากขนาดนี้” ไอ้คาแลนจ้องหน้าผมอย่างคาดคั้น“ไม่มีใครทำทั้งนั้น เก็บความสงสัยของมึงเอาไว้ซะ”ผมพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ พยายามทำใจให้สงบแต่มันก็เ
มือที่สั่นเทาของฉันค่อย ๆ จิ้มไปยังข้อความที่พี่ลีวายส่งมา จากนั้นภาพก็เด้งไปหน้าจอแชตทำเอาอ้าปากค้างเพราะเขาส่งข้อความมาเยอะมาก ๆลีวาย: รับสายฉันมันจะตายหรือไงวะ!!!ลีวาย: กล้าอวดดีกับฉันขนาดนี้เลยรึไง!!ลีวาย: ถ้าไม่รีบโทรกลับมาภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงเธอกับฉันได้เห็นดีกันแน่ลีวาย: … อย่าให้ฉันต้องไปหาเธอด้วยตัวเองหัวใจดวงน้อยเต้นรัว ๆ เพราะความกลัว ถ้าให้เดาตอนที่พี่ลีวายพิมพ์ข้อความส่งมาเขาคงหัวเสียมาก ๆ คิดไม่ออกเลยว่าถ้าฉันอยู่ด้วยตรงนั้นจะเกิดอะไรขึ้นตอนนี้ฉันกำลังคิดหนักว่าจะโทรกลับไปดีไหม ใจจริงมันไม่อยากโทรเลยแต่ถ้าไม่โทรจะเกิดอะไรขึ้น ที่ประเทศไทยตอนนี้น่าจะดึกแล้วด้วยเอาไว้ค่อยโทรคงไม่เป็นอะไรครืด~ ครืด~ ขณะที่กำลังจะวางโทรศัพท์ลง จู่ ๆ มันก็สั่นเพราะมีสายเรียกเข้า พอมองดูหน้าจอท้องไส้มันก็ปั่นป่วนไปหมด เพราะสายที่โทรมาคือพี่ลีวายแน่นอนว่าต้องรับสายถึงจะไม่อยากรับเลย เขาขู่ขนาดนั้นจะให้เมินเฉยได้ยังไง“ฮัลโหลค่ะ”มันแปลกที่พอรับสายแล้วทางปลายสายกลับเงียบ ได้ยินเพียงลมหายใจที่ดังขึ้นเป็นจังหวะทำให้ขนทั้งตัวลุกซู่“พี่…” กำลังจะถามแต่ปลายสายเอ่ยแทรกขึ้นมาซะก่อน น้ำเสียง
สี่เดือนผ่านไปหลังจากที่พูดเรื่องแต่งครั้งนั้นก็ไม่ได้พูดถึงอีกเลยเพราะฉันยุ่งเรื่องเรียน ส่วนพี่ลีวายก็ยุ่งเรื่องงานที่บริษัท เอาจริง ๆ คือเราแทบไม่เจอกันเลยด้วยซ้ำเพราะโทรหากันบ่อยมากกว่าไปเจอฉันไม่ยอมย้ายกลับไปอยู่ที่บ้าน เพราะคอนโดมันใกล้มหาวิทยาลัยมากกว่า ทั้งที่คุณท่านและพี่ลีวายก็ขอให้ย้ายกลับไป แต่คิดว่าอีกไม่ถึงสองเดือนก็จะเรียนจบแล้วฉันจึงขออยู่ให้ถึงเรียนจบเลยดีกว่านี่คงเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งอาทิตย์ที่พี่ลีวายว่างมารอรับที่มหาวิทยาลัย เพราะปกติเขางานยุ่งแทบไม่มีเวลาปลีกตัวทำอะไรเลยไหนจะต้องบินไปฮ่องกงบ่อย ๆ อีก“มิลิน ๆ งานโปรเจกต์ที่จะทำด้วยกันจะนัดทำที่ไหนดี” อาตถามเพราะอาจารย์จับคู่ให้เขาสองคน“อาตสะดวกที่ไหน ถ้าบ้านมิลินคงต้องขออนุญาตคุณท่านก่อน”“ที่บ้านมิลินก็ได้เพราะถ้าทำที่บ้านเราเดี๋ยวเธออึดอัด มันไม่เหมาะสมด้วย” อาตค่อนข้างวางตัวดี ยังจำได้ว่าตอนนั้นเขาเกือบจะจีบฉัน แต่มีน้องแทนมาตัดหน้าซะก่อนพูดถึงน้องแทนตอนนี้เขาย้ายไปเรียนที่ต่างประเทศแล้ว นาน ๆ ทีจะส่งข้อความมาคุยกัน พอถามเรื่องหัวใจก็บอกว่ามีดู ๆ อยู่บ้าง ฉันดีใจนะที่ตอนนี้แทนยอมเปิดโอกาสให้ตัวเองแล้ว
กว่าจะโอ๋ให้พี่ลีวายหยุดร้องไห้ได้ก็นานพอสมควร เขาคงรู้สึกผิดและเข็ดหลาบแล้วจริง ๆ แต่ตอนนี้นี่สิ นั่งกอดฉันไว้บนตักไม่ยอมให้ลุกขึ้นไปไหนเลย“พี่ลีวาย”“หืม?”“มิลินนั่งอยู่บนตักพี่ลีวายแบบนี้มาเป็นชั่วโมงแล้วนะคะ”“แล้วยังไงต่อครับ”“ปล่อยหนูก่อนได้ไหม”“รู้ไหมว่าพูดแบบนี้แล้วยิ่งทำให้ไม่อยากปล่อย”ไม่พูดเปล่าพี่ลีวายกดริมฝีปากจูบลงมาบนซอกคอของฉันด้วย เขาลากไล้ริมฝีปากดูดเลียและขบเม้มจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว“อื้อ~ ยะ... หยุดก่อน”“พี่คิดถึงเธอใจแทบขาด”พอได้ยินอีกฝ่ายแทนตัวเองว่าพี่ทำเอาฉันถึงกับทำตัวไม่ถูก ร้อนวูบวาบไปทั้งตัวแล้วตอนนี้“อยากเป็นเด็กเหรอคะถึงแทนตัวเองว่าพี่”“ก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้น”“แต่ก็แก่อยู่ดีนี่นา”“ทำไมชอบว่าฉันแก่” พี่ลีวายถามเสียงเข้ม เมื่อกี้ยังพูดเสียงอ้อนเสียงหวานอยู่เลยพอพูดเข้มใส่มันทำให้ฉันตกใจไม่น้อย“ก็พี่ลีวายสามสิบกว่าแล้ว”“ทำไมชอบพูดเรื่องอายุ”“ทำไมต้องโกรธมิลินด้วย” ฉันถามกลับเพราะเหมือนว่าตอนนี้พี่ลีวายกำลังไม่พอใจ“ก็ดูเธอพูด ทำไมชอบบอกว่าฉันแก่ แก่ยังไงก็เป็นผัวเธอ”“อื้อ!!!”ฉันร้องอุทานเสียงดังเมื่อถูกเขี้ยวฟันคมของพี่ลีวายงับมาบนพวงแก้ม ถึงแ
Talk ลีวาย“กูบอกมึงแล้วว่าแผนมันไม่เวิร์ค!!”“ทำอะไรไม่คิด”“เป็นไงพวกกูเลยถูกมิลินงอนไปด้วย”“มึงก็น่าจะบอกไปตั้งแต่แรกไม่น่ารอให้จับได้”“โง่ฉิบ!!”“พวกมึงหยุด!!!”ผมตวาดออกไปเสียงดังบอกให้คัลเลนและไอ้คาแลนให้หยุด เพราะตั้งแต่มาถึงที่คาสิโนมันก็เอาแต่บ่นไม่เว้นช่องว่างให้หายใจ“กูให้มาช่วยคิดวิธีง้อ ไม่ใช่ซ้ำเติม”“สมควร!!” มันสองพี่น้องสบถออกมาพร้อมกัน ทำให้ผมถอนหายใจพรืดใหญ่ คงคิดผิดจริง ๆ ที่ขอให้มันสองคนช่วย“แล้วยังไง มิลินก็โกรธกูเนี่ย” ไอ้คัลเลนยกมือขึ้นมากุมขมับ “โทรหาก็ไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่ตอบ”“มึงโทรหาเมียกู?” ผมขมวดคิ้วถามมัน“เออ”“โทรหาทำไม”“ก็มึงบอกว่ามิลินโกรธกู”“มึงจะเดือดร้อนอะไร กูมากกว่าไหมที่ต้องเดือดร้อน เมียไม่ยอมให้ไปเจอหน้า”“นั่นน้องกูไหมวะ”“มั่นใจว่ามึงคิดแค่น้อง?” ผมถามอย่างหาเรื่อง ถึงจะเป็นเพื่อนแต่เรื่องนี้คงยอมให้ไม่ได้“มึงสองตัวหยุด! จะเถียงกันเพื่อ”“ดูน้องชายมึง! ทำไมมันชอบวุ่นวายกับเมียกูนัก”“เออคัลเลนมึงเลิกวอแวกับเมียมันก่อน ดูดิหวงจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว”“มึงเลิกโทรหาเมียกูเลยนะ”“เมียจะทิ้งอยู่แล้วยังจะหวง”“ไอ้สัส มึงเลิกพูด! เมียกูแค่งอนไม
#วันต่อมาฉันนอนอยู่บนเตียงโดยมีพี่ลีวายนอนเปลือยเปล่าอยู่ข้างกาย เมื่อคืนเขานั้นร้อนแรงราวกับเพลิงไฟ ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนทั้งที่อายุก็เข้าเลขสามแล้วแท้ ๆ“ทำไมมีรอยตรงนี้นะ” ฉันมองท่อนแขนแกร่งที่มีรอยแผลเป็นซึ่งน่าจะเป็นรอยใหม่ ๆ ด้วย เพราะก่อนหน้าจำได้ว่าไม่มีแน่ ๆแผลมันอยู่สูงขึ้นมาเกือบจะถึงไหล่ ทำให้ฉันคิดว่าเขาไปได้รอยแผลนี้มาจากไหน หรือว่าถูกยิงสองจุดแล้วไม่ยอมบอกพรึบ! ฉันดึงผ้าห่มออกเพื่อจะสำรวจแผลที่ถูกยิงของพี่ลีวาย แต่ก็ต้องแปลกใจที่พยายามมองหาตรงแผงอกและหน้าท้องเท่าไร ก็ไม่เห็นแม้แต่รอยแผลเป็น บนตัวเขามีเพียงรอยแผลเดียวตรงท่อนแขนเท่านั้นแล้วตอนที่อยู่โรงพยาบาล เขาพันผ้าพันแผลรอบแผงอกล่ะ มันหมายความว่ายังไง แผลหายไปไหน“พี่ลีวาย!!” ฉันเรียกคนที่นอนหลับอยู่เสียงดังลั่นห้อง ทำให้ดวงตาคมค่อย ๆ ปรือขึ้นมามองช้า ๆ“ลุกขึ้นมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”“อื้อ วันนี้ไม่เข้าบริษัทขอนอนต่ออีกนิดได้ไหม” เขาตอบเสียงงัวเงีย“ไม่ได้ มิลินจะคุยเดี๋ยวนี้ ตอนนี้” ฉันยื่นคำขาด ทำให้พี่ลีวายต้องฝืนตัวเองลุกขึ้นนั่ง ทั้งที่ตายังไม่อยากจะลืมขึ้นมามอง“มีอะไร”“บอกมิลินอีกครั้งได้ไหม
พี่ลีวายหมกมุ่นอยู่กับฉันหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ ฟังไม่ผิด เขาไม่ทำอะไรเลยนอกจากเรื่องบนเตียงแล้วก็ขี้อ้อนไปวัน ๆ“จะไปจริง ๆ ใช่ไหม”“ใช่ค่ะ”พี่ลีวายทำหน้างอเมื่อฉันบอกว่าจะกลับคอนโดของตัวเอง อยากถ่ายคลิปตอนนี้เอาไว้ให้เขาดูจริง ๆ ว่าตัวเองงอแงขนาดไหน“ทำไมไม่ย้ายไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน”“นี่เราก็อยู่ด้วยกันเป็นอาทิตย์แล้วนะคะ”“หมายถึงย้ายกลับไปอยู่ที่บ้าน”“อยู่คอนโดมันใกล้มหาวิทยาลัยมากกว่าไงคะ”“อยู่ที่บ้านฉันก็ไปส่งเธอได้ ได้ทุกวัน”“แต่พี่ลีวายต้องทำงาน”“ไปส่งเธอแล้วไปทำงาน”“อยู่คอนโดดีแล้วค่ะ สะดวกที่สุดแล้ว”ฉันตัดบทสนทนาอย่างเด็ดขาด จริง ๆ เรื่องกลับไปอยู่ที่บ้านพี่ลีวายพูดหลายครั้งแล้วแต่ฉันคิดว่าการอยู่คอนโดมันสะดวกมากกว่า อีกไม่นานก็จะเรียนจบแล้วด้วย จบแล้วค่อยกลับไปอยู่ที่บ้านก็ได้#วันต่อมาวันนี้ฉันมาเรียนแล้วยื่นคำขาดกับพี่ลีวายว่าจะกลับมานอนที่คอนโดของตัวเอง ซึ่งเขาก็ทำหน้างอนตุบป่องตั้งแต่เช้า“ได้ข่าวว่าพี่ลีวายติดแกมากเลยเหรอมิลิน” น้ำอิงถามพร้อมยิ้มกริ่ม“พี่เฟยบอกใช่ไหม รู้ดีจริง ๆ เลย”“อือ เล่าว่างานไม่ยอมทำเลยด้วย”“วันนี้ฉันไล่ให้ไปทำงาน หน้างอมาก”“ก็เขาติดแ
พอได้ยินฉันพูดแบบนั้นพี่ลีวายก็เริ่มยิ้มออก เขายื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ แล้วขโมยหอมไปหนึ่งที“ฉันรักเธอมาก ๆ มากที่สุด”“ค่ะ มิลินก็รักพี่ลีวายมาก ๆ มากที่สุดเหมือนกัน”สายตาของเราทั้งคู่มองประสานกัน ส่งมอบความรักทั้งหมดที่มีผ่านแววตานี้ ใบหน้าของพี่ลีวายขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนริมฝีปากของเราห่างกันไม่ถึงคืบปลายจมูกโด่งแนบชิดกับปลายจมูกฉัน พร้อมกับลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดลงมา ทำเอาหัวใจเต้นตุ้บตั้บไม่เป็นจังหวะฉันสัมผัสได้ถึงจังหวะการหายใจของพี่ลีวายที่คล้ายจะถี่ขึ้น จึงขยับใบหน้าออกห่าง ทว่ากลับถูกมือหนาคว้าท้ายทอยไว้ ก่อนจะประกบริมฝีปากลงมาจูบอย่างแนบแน่นดวงตาฉันเบิกกว้างอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ทว่าครู่เดียวก็คล้อยตามไปกับจูบหวานละมุนของคนตรงหน้าพี่ลีวายบรรจงขบเม้มและดูดดึงกลีบปากของฉันอย่างอ่อนโยน เขาใช้ปลายลิ้นลากเลีย บางครั้งก็ใช้ฟันกัดมันเบา ๆ จนตอนนี้มันเริ่มบวมเห่อและได้กลิ่นคาวของเลือด“อื้อ~” ฉันส่งเสียงในลำคอเบา ๆ เมื่อเรียวลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าในโพรงปากโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัวเขาตวัดเลีย รุกไล่ และเกี่ยวกระหวัดอย่างชำนาญ ลิ้นของเราทั้งคู่พัวพันกันจนน้ำลายสีใสไหล
แกร็ก!! เมื่อประตูเปิดออก ฉันสังเกตสีหน้าของพี่ลีวายดูซีด ๆ นี่เขาซุกกิ๊กเอาไว้จริงเหรอเนี่ย ทำไมถึงได้แสดงความกังวลออกมาแบบนั้น“ค... คุณท่าน”“พ่อ”ทั้งฉันและพี่ลีวายต่างหันมองหน้ากัน เพราะไม่คิดว่าคนที่มาเคาะห้องจะเป็นคุณท่าน นี่ก็ลืมไปเลยว่าคุณท่านบอกไปแล้วเรื่องกลับไทย ลืมสนิทจริง ๆ“เห็นหน้าฉันแล้วทำไมถึงตกใจขนาดนั้น”“กลับมาเมื่อไรครับ”คุณท่านไม่ตอบคำถามของพี่ลีวาย ก่อนจะเดินแทรกตัวเข้ามาในห้อง เดินไปนั่งบนโซฟา สีหน้าที่ค่อนข้างตึงเครียดทำให้ฉันค่อนข้างทำตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าท่านกำลังโกรธอยู่หรือเปล่า“ถูกยิงทำไมไม่บอกพ่อสักคำ”“ผมไม่อยากให้เป็นห่วง”“ลากตัวคนทำมาได้หรือยัง”“ผมให้ลูกน้องตามสืบอยู่”“ปกติลูกน้องแกไม่เคยทำงานช้า ไม่กี่วันก็รู้ตัวพวกบงการแล้ว ทำไมรอบนี้ถึงหาตัวคนทำมาไม่ได้”อืม! มันก็จริงอย่างที่คุณท่านว่า ปกติลูกน้องของพี่ลีวายเก่งเรื่องสืบจะตาย ไม่มีทางที่จะรู้ตัวคนทำช้าขนาดนี้“ผม… ก็ไม่รู้ครับ” พี่ลีวายก้มหน้าตอบ ปกติจะประจันหน้าตลอดครั้งนี้ทำเอาแปลกใจ หรือว่ากลัวคุณท่านอย่างนั้นเหรอ“นิสัยลูกชายฉันมันต้องเร่งหาตัวคนทำสิ ใครทำงานช้าก็จะไล่ออก แกทำให้
#เช้าวันใหม่ฉันตื่นเช้าพร้อมกับความรู้สึกปวดเมื่อยตามตัว เพราะเมื่อคืนเจอศึกหนัก กว่าพี่ลีวายจะยอมให้นอนก็เกือบตีสี่ เขาดุร้ายราวกับเสือที่อดอาหารมานาน ทำกับฉันเหมือนตัวเองไม่ได้เพิ่งถูกยิงมาบางทีก็แอบสงสัยว่าทำแรงขนาดนั้นพี่ลีวายไม่รู้สึกเจ็บแผลบ้างเลยหรือไงหลังจากอาบน้ำเสร็จฉันก็เปิดตู้เสื้อผ้าของพี่ลีวายก่อนจะหยิบเสื้อออกมาตัวนึงอย่างถือวิสาสะ เพราะไม่มีชุดใส่ก็เลยต้องเอาชุดของเขามาใส่ก่อนเพราะพี่ลีวายตัวโตกว่ามากเมื่อชุดของเขามาอยู่บนตัวฉันจึงมีความยาวเกือบถึงเข่า เพิ่งรู้ว่าตัวเองตัวเล็กมากก็ตอนนี้แหละแต่งตัวเสร็จฉันก็หันมองพี่ลีวายที่หลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ก่อนจะออกจากห้องเพื่อมาทำอาหารเช้าไว้รอเขา เลือกทำเมนูง่าย ๆ เช่นข้าวต้ม เพราะไม่มีของอะไรให้ทำมากนัก“พี่ลีวายตื่นได้แล้วค่ะ” หลังจากทำข้าวต้มเสร็จแล้ว ฉันก็เดินกลับมาปลุกคนขี้เซาที่นอนไม่ยอมตื่นสักที“อื้อ”“ตื่นได้แล้ว มิลินทำข้าวต้มไว้ให้รีบไปล้างหน้าเร็ว”พี่ลีวายค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมอง ใบหน้าตอนเพิ่งตื่นของเขานั้นไม่ได้ดูแย่เลย กลับกัน มันดูดีจนฉันรู้สึกหวง“ตื่นเช้าจัง เมื่อคืนฉันทำตั้งหลายรอบทำไมลุกไหว หืม” ริมฝีป
“ใจร้ายชะมัด” เขาทำหน้าบึ้ง แต่ก็ยอมดึงกางเกงขึ้นแล้วกลับมานอนในท่าเดิม “ไม่ทำแบบนั้นแต่ใช้มือช่วยหน่อยได้ไหม อารมณ์มันค้าง”“ถ้าพี่ลีวายพูดอีกคำเดียว มิลินจะกลับไปนอนโซฟาจริง ๆ ด้วย”“แค่มือก็ไม่ได้เหรอ” พี่ลีวายทำเสียงเศร้า ๆ หวังจะให้ฉันใจอ่อนเหรอ ไม่มีทางหรอก“มิลินว่ามิลินรู้จักพี่ลีวายดีค่ะ มันไม่มีทางจบแค่มือแน่นอน”คนอย่างเขาถ้าฉันใช้มือทำให้จริง ๆ เดี๋ยวก็หาทางแตะต้องร่างกายฉันจนเกิดอารมณ์ แล้วสุดท้ายเหตุการณ์แบบเมื่อกี้ก็จะวนมาอีกครั้งจุ๊บ~จู่ ๆ พี่ลีวายก็เขยิบใบหน้าเข้ามาขโมยจุ๊บที่หน้าผากฉันแรง ๆ “ชอบจังเลยคนรู้ทันเนี่ย”แล้วไม่ใช่แค่จุ๊บแต่เขายังใช้ปลายจมูกไล้หอมไปทั่วใบหน้าจนฉันแทบหายใจไม่ออก“หยุดลวนลามมิลินแล้วนอนสักทีได้ไหมคะ ไม่อยากออกจากโรงพยาบาลไว ๆ รึไง”“โอโห แค่จุ๊บกับหอมก็ไม่ได้ คอยดูนะแผลฉันหายดีเมื่อไรจะทบต้นทบดอกให้ร้องขอชีวิตเลย”“ถ้าพี่ลีวายทำแบบนั้นมันจะเป็นการมีอะไรกันครั้งสุดท้ายแน่นอนค่ะ”“นี่ฉันต้องโทษตัวเองใช่ไหม ที่ทำร้ายเธอบ่อย ๆ จนทำให้เธอเข้มแข็งได้ขนาดนี้เนี่ย”“ใช่ค่ะ โทษตัวเองไปเยอะ ๆ เลย ตอนมิลินยอมทุกอย่างก็มาใจร้ายด้วยเองนี่”“ค้าบ ๆ