ปลายกระบี่ที่หมายจะพิฆาตยังคงพุ่งตรง ทว่าทันใดนั้นบางสิ่งบางอย่างก็พุ่งเข้ามาขัดขวางเอาไว้ เป็นทวนสงบใจที่พุ่งมาปัดกระบี่จนตกพื้น ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำสนิทราวกับเงาดำจะใช้วิชาตัวเบามาหยุดยืนขวางหน้าปิดบังร่างของเฉินซีหานเอาไว้
มือข้างหนึ่งถือทวนวงเดือนรูปทรงแปลกตาเอาไว้อย่างมั่นคง สายตาคมกริบภายใต้หน้ากากจ้องมองคนเบื้องหน้าอย่างจริงจัง “อยากได้หัวของเขา ถามทวนของข้าก่อนเป็นไร”
“เจ้า?” เฉินจงฉีตกใจจนเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นว่าศิษย์อีกคนของสำนักเฟยผิงที่เลื่องชื่อมาอยู่ตรงหน้าทั้งที่คนของตนรายงานว่าไม่ได้กลับไปที่พักเมื่อเย็นวาน
“พี่ใหญ่ ท่านจะเล่นบทคนไร้ประโยชน์อีกนานหรือไม่ ประเดี๋ยวหานอ๋องก็ตายพอดี” จิวหูส่งเสียงเข้มบอกคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เพียงชั่วพริบตาบุรุษรูปงามก็ลุกขึ้นมาทอดถอนใจ
“เฮ้อ ไม่สนุกแม้แต่นิด” จิวหลิงพึมพำก่อนจะโปรยผงสมุนไพรให้กระจายบนฟ้า และควบคุมให้ครอบคลุมทหารทุกคนที่ถูกสมุนไพรพิษ ชั่วพริบตาที่ผงร่วงหล่นลงมาและทุกคนสูดหายใจ
เมื่อจัดการคนร้ายได้สำเร็จ บรรดาองครักษ์แซ่เค่อก็ควบคุมตัวกลุ่มของเฉินจงฉีรุดหน้ากลับไปขังที่คุกในเมืองก่อน ส่วนสองพ่อลูกก็ก้าวเดินไปหาผู้ที่นั่งพักรออยู่ จิวหูไม่อาจจะเชื่อได้ว่าการที่ได้พบบิดานั้นคือความจริง เขาจึงก้าวไปหาศิษย์พี่ใหญ่ของตนซะก่อนทว่าเมื่อเดินเข้าไปผู้ที่โผมาหาเข้ากลับเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ นางเดินมาหยุดตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าปริ่มจะร้องไห้ก่อนจะเอื้อมมือสั่นเทามาจับหน้ากากของเขาและถอดออกอย่างเบามือ“ข้าคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นท่าน พี่เหยียน” เพียงเห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่นางก็รับรู้ได้ในทันทีว่าใช่ ความสงสัยที่มีมาตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้เป็นไปตามที่นางคิดไม่มีผิด และ...ฝันของนางก็ไม่ผิดเช่นกัน“ไม่เสียแรงที่ข้าดั้นด้นมาทั้งที่ความฝันไม่ได้เห็นใบหน้าของท่านด้วยซ้ำ ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเจอท่านที่นี่”ครั้งหนึ่งนางเคยคิดว่าได้พบหน้าสหายวัยเยาว์อีกครั้งนางก็คงไม่รู้สึกอันใดมาก คงจะคล้ายกับตอนที่ได้เจอตัวปลอมในชาติก่อน ทว่าในเวลานี้กลับไม่ใช่ กระบอกตาทั้งสองร้อนผ่าว
การมีอยู่ของน้องสาวทำให้ฟู่จื่อเหยียนผ่อนคลายลงได้หลายวันมานี้เขายิ้มให้น้องสาวและบรรดาน้องชายบุญธรรมอย่างอ่อนโยน ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ติดใจสิ่งใดแม้กับบิดาเขาจะไม่แสดงท่าทีต่อหน้าน้องสาว แต่กับองค์หญิงผู้สูงศักดิ์...เขากลับหลบหน้าไม่ยอมพูดคุยและ...อีกไม่กี่วันเขาก็จะติดตามจิวหลิงกลับลั่วหยางนั่นหมายความว่าต่อให้ความจริงจะเปิดเผยว่าบิดาและน้อง ๆ ยังอยู่แต่เขาก็ยังไม่คิดกลับเมืองหลวง และยังจะกลับไปยังสำนักศึกษาเฟยผิงด้วยรู้ว่าจิวหลิงจัดการธุระสำเร็จแล้วและไม่เกินสองวันจะเดินทางกลับลั่วหยางจิตใจขององค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นต้าเฉินก็ไม่อาจสงบลง นางอยากสอบถามว่าเหตุใดเขาจึงไม่กลับไปกับนาง เหตุใดจึงเลือกกลับไปกับจิวหลิงหรือว่าเขาขุ่นเคืองที่ถูกปิดบังจึงไม่อยากกลับไปด้วยกันเมื่อมีความสงสัย ผู้ที่ทำอันใดผ่าเผยมาโดยตลอดจึงไม่คิดรั้งรอ เพราะเขาไม่แม้แต่พบหน้า...มีแต่ต้องบุกไปเจอเท่านั้นนัยน์ตาคู่หงส์มองไปยังทวนที่วางอยู่บนโต๊ะภายในห้องของสหายวัยเยาว์ในทันทีที่ตัดสินใจบุกรุกถึ
ครึ่งเดือนต่อมาในที่สุดองค์หญิงอันหนิงและหานอ๋องก็เสด็จกลับถึงวังหลวงพร้อมกับกบฏเฉินจงฉีและองครักษ์ฟู่เสวียนที่ทุกคนคิดว่าตายไปแล้ว ก่อนจากกันจิวหูได้มอบยาถอนพิษไว้ให้บิดาเพื่อใช้ถอนพิษนิทราชั่วนิรันดร์ให้แก่เฉินจงฉีเมื่อต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ไท่เสียน เมื่อเฉินจงฉีฟื้นคืน จึงเริ่มการตัดสิน เรื่องราวในครั้งนี้สร้างความสะเทือนใจให้ฮ่องเต้ไท่เสียนเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจจะปล่อยงูพิษเอาไว้ได้คำตัดสินจึงเป็นการประทานเหล้าพิษให้เฉินจงฉีและเนรเทศผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดไปยังดินแดนแร้งแค้นทางตอนใต้ มารดาของเฉินซูเหมยต้องโทษหลอกลวงเบื้องสูงถูกส่งเข้าตำหนักเย็น ส่วนตัวเฉินซูเหมยแม้จะรู้แก่ใจว่าชาติที่แล้วทำอันใดบุตรสาวอันเป็นที่รักของตนไว้บ้างแต่ฮ่องเต้ไท่เสียนก็เห็นแก่ที่เป็นหลานสาวและมีสายเลือดราชวงค์เฉินอีกทั้งยังไม่ได้ทำผิดอย่างโจ่งแจ้งจนมีหลักฐานเอาผิดจึงทำได้เพียงถอดจากการเป็นองค์หญิงห้า ขยับตำแหน่งลำดับพระโอรสธิดากลับมาเป็นเช่นก่อนหน้าที่เฉินซูเหมยจะเข้าวังแต่ก็ไม่ได้ขับไล่ให้ออกไปอยู่นอกวัง แต่กักบริเวณเอาไว้ภายในต
บรรยากาศภายในหอพันเซียนเป็นไปอย่างคึกคัก และคึกคักมากเป็นพิเศษอันเนื่องมาจากในค่ำคืนนี้มีชายงามและสาวงานจัดประมูลค่ำคืนแรก ทั้งยังเป็นดาวเด่นของหอด้วยกันทั้งคู่ทั้งด้านบนและด้านล่างของหอพันเซียน เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่มาจับจองพื้นที่เพื่อเฝ้ารอดูดาวเด่นของหอแห่งนี้เพราะสัญญาเอาไว้กับบุรุษผู้เป็นดาวเด่นองค์หญิงแห่งแคว้นจึงมาจับจองโต๊ะที่ที่มองเห็นได้ถนัดตาตั้งแต่บ่าย เพราะฟู่เสวียนได้คืนฐานะกลับไปอยู่อารักขาโอรสสวรรค์แล้วที่แห่งนี้จึงไม่มีบุรุษสวมหน้ากากอีก...มีเพียงหัวหน้าองครักษ์ฟู่ที่ติดตามองค์หญิงมาเท่านั้น“ที่นี่ไม่ว่ามาเมื่อใดก็คึกคักเสียจริง”“ไม่มีที่ใดในเมืองหลวงจะครึกครื้นเท่าหอพันเซียนอีกแล้วพะย่ะค่ะองค์หญิง” ฟู่เสวียนพูดแล้วก็คล้ายจะมีความขบขันที่ไม่แสดงออก หอพันเซียนคึกคักเช่นนี้เป็นประจำ หากกล่าวว่าเป็นที่รวมความครึกครื้นก็ว่าได้ ทั้งครึกครื้น ทั้งวุ่นวาย“แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าพวกนี้ก็ไม่ได้มีพิษมีภัยกับผู้ใด” เจ้าพวกนี้สำหรับเขาก็คือเหล่าสาวงามและชายงามในหอแห่งนี้ ที่แม้บางคร
ครู่หนึ่งองครักษ์หนุ่มก็เดินกลับมาที่โต๊ะโดยมีนายหญิงแห่งสกุลเว่ยและผู้ติดตามเดินตามมา“ถวายพระพรองค์หญิง ขอพระองค์...”“ไม่ต้องมากพิธี นั่งเถิด การประมูลจะเริ่มแล้ว” ไม่รอให้เว่ยหนิงได้ถวายพระพรจบนางก็ร้องห้ามเอาไว้พร้อมกับรินสุราไว้ให้ “ข่าวว่าตอนนี้คุณหนูรับช่วงต่อจากนายท่านเว่ยแล้ว ยินดีกับคุณหนู ไม่สิ ยินดีกับนายหญิงเว่ยด้วย”“ขอบพระทัยเพคะ” เว่ยหนิงยังคงตอบอย่างนอบน้อม แท้จริงแล้วนิสัยใจคอของนางมิใช่คนจะอยู่ในขนบธรรมเนียมนัก แม้ว่าที่ผ่านมาองค์หญิงใหญ่ของแคว้นจะมีหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกัน แต่เพราะนางไม่ชื่นชอบการต้องนอบน้อมและอยู่ในกฎจึงไม่คิดจะทำความรู้จักหรือคิดเป็นสหาย แม้ว่าลึก ๆ แล้วนางจะถูกชะตาองค์หญิงผู้นี้มากก็ตาม...ต้องถวายพระพรทุกครั้งก็อึดอัดแย่“บอกแล้วอย่างไร ว่าไม่ต้องมากพิธี ที่นี่นอกวัง เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าองค์หญิง คิดว่าข้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ไม่ก็คุณหนูทั่วไปก็พอ”“องครักษ์ของพระองค์เหล่านี้จะไม่ลาก
ตามที่เฉินอันหนิงให้สัญญากับจิวหลิงเอาไว้ว่าจะส่งยอดฝีมือไปให้ นางจึงให้ท่านลุงฟู่คัดเลือกยอดฝีมือในสังกัดทั้งยังมอบหมายหน้าที่ให้เค่อซุนไปเป็นหัวหน้ากองกำลัง นัยหนึ่งก็เพราะจิวหลิงและเค่อซุนพูดคุยกันถูกคอน่าจะเข้าใจกันได้ง่าย อีกนัยหนึ่งก็เพื่อให้เค่อซุนคอยดูแลคนโง่งมให้นางวรยุทธของเขานับว่าล้ำเลิศ ใช่ว่าผู้ใดจะจัดการได้ เค่อซุนไม่อาจเทียบเคียง นางจึงไม่ได้ปรารถนาให้เค่อซุนคุ้มกันเขาจากศัตรู แต่ป้องกันจากสตรีต่างหากจะต้องไม่มีใครมาข้องแวะกับบุรุษของนาง…ไม่รู้ว่าป่านนี้คนโง่งมผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วคนของนางจะไปถึงแล้วหรือไม่“กราบทูลองค์หญิง องครักษ์เค่อซินขอเข้าเฝ้าเพคะ” เสียงจากนางกำนัลที่เข้ามารายงานเรียกให้คนที่เผลอขบคิดไปถึงคนห่างไกลได้สติกลับมาอยู่กับปัจจุบัน นางตอบรับในทันทีก่อนที่องครักษ์หนุ่มจะเข้ามาทำความเคารพ“เค่อซินถวายพระพรองค์หญิง” หลังจากโค้งคำนับผู้เป็นนายเป็นที่เรียบร้อย ผู้มีเรื่องมารายงานก็เอ่ยในทันทีโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายสอบถาม
บุรุษหนุ่มส่ายหน้ากับตัวเองอีกครั้งก่อนจะบอกเล่า “ข้าไปเมืองจิ้งหลวนมา”“ที่แท้เจ้าไปหาช่องทางการค้ากับชาวโพ้นทะเล” แค่น้องชายบอกว่าไปที่ใดมา นางก็คาดเดาได้ น้องรองผู้นี้เสนอเรื่องการค้ากับชาวโพ้นทะเลที่มีของแปลกใหม่มาขายขึ้นมาในที่ประชุม การที่เขาหายไปและจุดหมายคือเมืองจิ้งหลวนที่เป็นเมืองท่าติดทะเล ย่อมเป็นไปได้ว่าเขาจะไปติดต่อกับชาวโพ้นทะเล“ใช่ ข้าไปหาช่องทางทำการค้ากับคนเหล่านั้น”“แล้วเป็นอย่างไร”“ข้ามองหาคนที่มีตาสีฟ้า ตามที่ท่านเคยบอกเล่า แล้วก็พูดภาษาที่ท่านสอนกับเขา แล้วเราคุยกันรู้เรื่อง” เฉินชิงเซวียนพูดแล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงตอนที่ตนหาผู้ที่จะเจรจาการค้าด้วย ภาษาประหลาดที่พี่สาวสั่งสอนได้นำมาใช้ในตอนนั้น และเป็นเรื่องน่าทึ่งที่คนผู้นั้นพูดภาษาประหลาดนั้นตอบโต้กับเขาได้เฉินอันหนิงยิ้มตามน้องชายคนรองในทันที ตาคู่หวานมีประกายยินดีเป็นอย่างยิ่ง ตอนแรกที่รู้ว่าชีวิตของนางเป็นแค่ส่วนหนึ่งของนิยายที่มีน้องชายคนที่สามเป
เสียงตะโกนเรียกอย่างพร้อมเพรียงของน้องชายคนที่สาม น้องชายคนที่สี่รวมถึงน้องชายคนที่แปดที่ตอนนี้เลื่อนกลับมาเป็นน้องชายคนที่เจ็ดเพราะเฉินซูเหมยถูกถอดออกจากลำดับโอรสธิดาทำเอาผู้คนภายในหอซุนฉีถึงกับสะดุ้งตกใจ และหันมามองท่าทีกระหือดกระหอบของบุรุษรูปงามที่ก้าวเข้ามาภายในหอซุยฉีอย่างสนใจเฉินอันหนิงเลิกคิ้วมองก่อนจะกวักมือให้พวกเขารีบมานั่ง อย่าได้รบกวนผู้คนจนเป็นจุดสนใจ ลูกเจี๊ยบทั้งสามทำตามอย่างว่าง่าย เพียงครู่ก็มานั่งกันเต็มโต๊ะตาคู่หงส์มองไปที่น้องชายคนที่เจ็ดที่น้อยครั้งจะออกจากจวนเป็นคนแรก เฉิงอ๋อง เฉินซีเฉิง เป็นบุรุษผู้อยู่กับธรรมชาติมากกว่าผู้คน ตั้งแต่มีจวนเป็นของตัวเองเมื่อครึ่งปีก่อนก็ขลุกอยู่กับการปลูกต้นไม้ และจัดสวน นอกจากตอนที่นึกครึ้มไปหานางหรือมีการรวมตัวที่ตำหนักอันหนิงแล้วแทบไม่มีผู้ใดได้เห็นหน้านางไม่ได้ให้เค่อซินส่งคนไปเรียก เพราะรู้ดีว่าเฉินซีเฉิงจะไม่ออกนอกจวนเด็ดขาด แต่กลับผิดคาด เจ้าลูกเจี๊ยบตัวนี้ก็ออกจากจวนมาเพราะได้ข่าวสารว่าอีกสองปีนางจะออกเรือนเจ้าพวกนี้เป็นอะไรมากไปหรื
เมื่อเห็นเหล่าลูกน้องสลายไปต่อหน้าต่อตา สองคนร้ายที่เหลือก็ตกใจจนพลาดท่า เหลยจิ้งและเค่อซินจึงจับคนทั้งสองได้ในเวลาต่อมา เฉินอันหนิงลงมาด้านล่าง จ้องมองคนร้ายทั้งสองพร้อมกับขบคิดผู้ใดกันที่อยู่เบื้องหลังคนเหล่านี้“ทรงปลอดภัยกันหรือไม่พะย่ะค่ะ” น้ำเสียงทุ่มห้าวทว่าอ่อนลงเล็กน้อยมิได้ดุดันแข็งกร้าวมากของเหลยจิ้งเอ่ยถามหลังจากที่ปล่อยคนร้ายให้ทหารของตนจับเอาไว้“พวกเราปลอดภัยดี” องค์หญิงใหญ่ตอบก่อนจะหันกลับไปหาน้องชายคนที่ห้า “เจ้ามียาที่ทำให้พูดความจริงหรือไม่”“ข้า...”“ข้ามี” ไม่ทันที่เฉินไป๋เสวี่ยจะตอบจิวหลินก็ตอบขึ้นก่อนพร้อมกับหยิบออกมาให้ดู “หากต้องการ...ความเสียหายวันนี้ ก็ชดใช้มาสักสองเท่าก็แล้วกัน”“พี่รองจิว ท่านไม่เขี้ยวเกินไปหรือ”“ไม่เลยแม้แต่น้อยน้องสาว จะเอาหรือไม่ ตอบรับตอนนี้ ข้าแถมลูกกลอนนิทราชั่วนิรันดร์ให้” จิวหลินเจรจาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่ผู้มีชีวิ
หอสุราเทียนหลินคือหอสุราหนึ่งในสามอันดับต้น ๆ ของต้าเฉิน ยิ่งฟ้ามืดก็ยิ่งคึกคัก ด้านล่างเต็มไปด้วยเสียงเจือยแจ้วของคอสุราที่มาดื่มกินสังสรรค์โดยไม่รับรู้เลยว่าด้านบนได้มีการเปิดต้อนรับเหล่าเชื้อพระวงค์ถึงเก้าพระองค์ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครล่วงรู้เลยจริง ๆพลึบ!เสียงร้องโวยวายเกิดขึ้นแทนที่เสียงเฮฮาอย่างไม่มีใครทันได้ตั้งตัว เสียงการต่อสู้ดังขึ้นในเวลาต่อมาจนเป็นเหตุให้ต้องลุกออกมามอง ทว่าในทันทีที่โผล่หน้าลงมามองเบื้องล่าง คนชุดดำผู้หนึ่งก็ใช้วิชาตัวเบาหันปลายกระบี่พุ่งเจาะจงมาที่ผู้เป็นองค์หญิงลำดับที่หนึ่งอย่างไม่ลังเลแต่มีหรือเหล่าองครักษ์จะยินยอมให้นายเหนือหัวได้รับบาดเจ็บ เค่อซินใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปขวางเอาไว้ในทันที เป็นพอดีกับที่ใครอีกคนพุ่งเข้าใส่คนร้าย ก่อนที่คนทั้งคู่จะเข้าต่อสู้กับคนร้ายท่ามกลางความแตกตื่นวิ่งหนีตายของผู้คนด้านล่างบุรุษรูปงามสองคนพุ่งเข้าต่อสู้กับกลุ่มคนร้าย ขณะที่เหล่าองครักษ์กรูกันขึ้นมาอารักขานายของตนด้วยใบหน้าดุดันเฉินอันหนิงมองความวุ่นวายเบื้องหน้าที่ใกล้จะสงบลงด้วยใบห
หอเทียนหลินเมื่อการประชุมหารือราชการจบลง เหล่าขุนนางก็กลับไปทำงานในหน้าที่ บ้างก็กลับจวน ส่วนเหล่าอ๋อง...ถูกพี่สาวเรียกมาหอเทียนหลินเฉินอันหนิงยิ้มกว้างเมื่อกวาดตามองเหล่าน้องชายทีละคน วันนี้ช่างเป็นวันดี เจ้าลูกเจี๊ยบของนางมากันครบถ้วน ขาดเพียงน้อง ๆ ที่ยังไม่ได้สวมกว้านเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เท่านั้น พอได้มองดูแต่ละคน ก็มองเห็นความแตกต่าง ทว่าน้อง ๆ ของนางต่างก็หล่อเหลาด้วยกันทั้งสิ้นลูกเจี๊ยบเหล่านี้ไม่เพียงได้ความหล่อเหลาจากเสด็จพ่อที่สมัยยังหนุ่มหรือแม้แต่ตอนนี้ก็ยังดูหล่อเหลาแต่ยังได้รับจากฝั่งมารดาที่งดงามสมกับเป็นสตรีวังหลังอีกด้วย“พี่ห้า ครั้งก่อนท่านยังไม่ได้เล่าเลยว่าท่านติดตามท่านหมอเทวดาไปที่ใดบ้าง” เป็นเฉินซูหนี่ อดีตองค์หญิงเจ็ดที่ได้เลื่อนมาเป็นองค์หญิงหกที่ส่งเสียงถามขึ้น นอกจากเหล่าน้องชายจะมาครบแล้ว วันนี้ยังมีองค์หญิงหกและองค์หญิงเก้าที่หนีออกมาเที่ยวเล่นมาร่วมด้วยน้องสาวทั้งสอง จะว่าเดินตามรอยพี่สาวคนโตก็ว่าได้ พวกนางมักจะลอบออกมาเที่ยวเล่นอยู่เป็นประจำ แต่
ตำหนักอันหนิงอากาศยามเช้าในวันหิมะตก ไม่ดีหนัก แต่ถึงแม้จะอยากซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนาสักเท่าไหร่เฉินอันหนิงก็ต้องฝืนตัวเองลุกขึ้นมา ด้วยว่าวันนี้เป็นวันที่นางมั่นใจว่าน้องชายคนที่ห้าจะมาเข้าเฝ้ากลางดึกที่ผ่านมาเค่อซินมารายงานว่าเฉินไป๋เสวี่ยเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วเพียงแค่ยังไม่ได้เข้าวังนั่นเท่ากับว่าเช้าวันนี้น้องชายของนางจะต้องมาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์เป็นแน่ เช่นนั้นวันนี้ต่อให้ไม่อยากตื่นนางก็ต้องตื่น และ...นางก็จะไปเข้าประชุมด้วยก็แล้วกันขนบธรรมเนียมแคว้นอื่นเป็นอย่างไรเฉินอันหนิงไม่อาจรู้ และอาจจะเป็นเหมือนกับนิยายยุคจีนโบราณที่นางเคยอ่านที่สตรีไม่ยุ่งงานราชการ แต่ที่ต้าเฉินไม่ได้มีกฎข้อห้ามและขนบธรรมเนียมเช่นนั้น แม้ยังไม่มีขุนนางหญิงในราชสำนักแต่เหล่าขุนนางในท้องพระโรงก็ได้พบเจอนางอยู่ข้าง ๆ ฮ่องเต้เป็นประจำทว่าช่วงนี้นางไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในท้องพระโรงบ่อยดั่งเช่นก่อนหน้า หากพูดให้ถูกคือนางไม่ได้เข้าร่วมเลยตั้งแต่หิมะตก แม้กลับจากซินอู๋แล้วก็ยังไม่ได้เข้าร่วม และจากนี้ไปก็อาจจะเข
“มาทำการค้ากับข้าซะดี ๆ เถอะ”จบคำพูดของนางทุกอย่างก็พลันเงียบลง อ๋องผู้แทบจะกลายเป็นของประดับไร้ชีวิตพากันเลิ่กลั่ก พี่ใหญ่ของพวกเขาเป็นอันใดไป จะชวนมาร่วมการค้า หรือว่าบังคับขู่เข็นกันแน่“จิวหลินขอบังอาจ...พระองค์ชวนกระหม่อม หรือว่าบังคับข่มขู่กันหรือ?”“ข่มขู่หรือชักชวน นั่นก็ขึ้นอยู่กับท่านจะตัดสิน”สายตาที่จับจ้องเว่ยหนิงตลอดมาหันมามองพิจารณาผู้ที่มีคำว่าหนิงในชื่ออีกคน ท่าทีของนางอย่างไรก็ไม่คล้ายพูดเล่น และคล้ายว่าคำตอบเดียวที่นางต้องการคือตอบตกลงจริงอยู่ว่าตรงหน้าเขาคือองค์หญิงที่กุมอำนาจของต้าเฉินเอาไว้ในมือ ทว่าคนต่างแคว้นเช่นเขา นางคิดหรือว่าจะบังคับกันได้“คล้ายองค์หญิงมั่นใจเหลือเกินว่ากระหม่อมจะไม่ปฏิเสธ”“บอกท่านตามตรง...ข้ามั่นใจ” ใช่ นางมั่นใจจริง ๆ จึงได้พูดจาราวกับบังคับกัน มากกว่าเป็นการชักชวน นางมีแต้มต่ออย่างไรเล่า“เอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน หรือเพราะแม่นางเว่ยร่วมกา
หนึ่งก้านธูปต่อมาหอเทียนหลินคือจุดหมายของเฉินอันหนิงหลังจากที่กินบะหมี่เสร็จ ที่นั่นไม่เพียงเป็นที่ที่พี่ชายนอกสายเลือดอย่างจิวหลิงบอกว่าเกี่ยวข้องกับตน แต่ยังเป็นสถานที่นัดหมายของนางกับเว่ยหนิงด้วยตั้งแต่คบหาเป็นสหาย นางกับเว่ยหนิงก็นัดหมายกันตามหอสุราขึ้นชื่ออยู่บ่อย ๆ ครั้งนี้ก็เป็นเวลาของหอเทียนหลินไม่ทันจะได้มองหาผู้นัดหมายผู้ดูแลของหอเทียนหลินก็เข้ามาทำความเคารพแล้วเชิญไปยังห้องที่เว่ยหนิงนั่งรออยู่“เจ้าว่องไวไม่เบา”“คนทำการค้าอย่างข้า เมื่อต้องว่องไวย่อมต้องว่องไวเป็นธรรมดา...เจ้าพาอาหารตามาให้ข้าด้วยหรือสหาย” เว่ยหนิงเอ่ยแล้วมองพิจารณาไปยังบุรุษรูปงามที่ติดตามสหายเข้ามาภายในห้อง จะอี้อ๋อง หานอ๋อง หรือเฉิงอ๋อง ต่างก็เป็นบุรุษรูปงามทั้งนั้น สหายของนางที่รายล้อมไปด้วยอาหารตาชั้นดีเหล่านี้ช่างโชคดียิ่งนักชายงามหอพันเซียนยังไม่อาจเทียบได้เลย...เป็นบุญตาอะไรเช่นนี้“น้องชายข้าไม่ใช่อาหารตา อย่าได้สนใจพวกเขา ถ้าเจ้าไม่อยากพบความยุ
เฉินอันหนิงมองสองพี่น้องที่ตัวสั่นเป็นลูกนกก่อนจะยิ้มขำ ดูเอาเถิดท่าทีในตอนนี้แตกต่างจนน่าใจหาย “เอาเถิด พวกเจ้าลุกขึ้นได้ ข้ามิได้ขุ่นเคืองอันใด แต่สิ่งที่ข้าบอกพวกเจ้าไป อย่าได้ลืมเล่า”“พวกเราจะจดจำและทำตามเพคะ”“เช่นนั้นก็ไปนั่งเถิด ตามสบาย”“ขอบพระทัยองค์หญิง” สองคุณหนูแห่งตระกุลฟ่านโน้มตัวคารวะเชื้อพระวงค์ทั้งสี่ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม และอยู่กันอย่างเงียบเชียบเฉินอันหนิงเลิกให้ความสนใจคุณหนูทั้งสอง หันกลับมามองน้อง ๆ ของตน “เสร็จจากที่นี่ พวกเจ้าไปทำธุระเป็นเพื่อนข้าหน่อย”“มิใช่จะไปร่ำสุราหรือ”“ธุระ” นางแย้งทว่าสายตาของน้องชายก็เหมือนจะไม่เชื่อ พี่สาวผู้มีน้องชายฉลาดรู้ทันส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอ่ย “ก็ไปคุยธุระด้วย ร่ำสุราด้วย จะเป็นไรไป”จะเป็นอันใดได้เล่า นอกจากโอรสสวรรค์ ผู้เดียวที่ใครก็ไม่กล้าต่อกรก็คือองค์หญิงใหญ่ ต่อให้นางทำเรื่องร้ายแรง ก็ไม่มีใครว่าอันใดอยู
“คนเยอะเช่นนี้อึดอัดเสียจริง”เป็นเฉินซีเฉิงที่เอ่ยขึ้นในขณะที่พี่สาวร่ำร้องอยู่ในใจที่น้องชายไม่มีผู้ใดสนใจสตรีรูปงาม ทว่าไม่ใช่แค่เขาที่รู้สึกเช่นนั้น“นั่นสิ อึดอัดจริง ๆ ยืนกันเต็มไปหมด” เฉินชิงเซวียนเองก็รู้สึกเช่นกัน โอรสพระองค์รองมีสีหน้าเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาต่างก็ทิ้งคนไว้ด้านล่างเพราะอยากจะนั่งกับพี่สาวอย่างอิสระ ไม่ต้องให้ผู้ใดมองมาอย่างหวั่นเกรง แต่ดูโต๊ะข้าง ๆ สิ ผู้ติดตามแทบจะเต็มพื้นที่เช่นนั้น น่าอึดอัดยิ่งโต๊ะไม่ได้ห่างนัก คุณหนูทั้งสองได้ยินอย่างชัดเจน และเหมือนจะรู้ตัวโดยไม่ต้องมีผู้ใดบอก สตรีชุดชมพูอ่อนจ้องเขม็งมาทันที แต่ไม่ได้พูดสิ่งใด อันเนื่องมาจากผู้ติดตามพูดแทนเป็นที่เรียบร้อย“บังอาจ! พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรเอ่ยเช่นนี้ให้คุณหนูของท่านแม่ทัพฟ่านได้ยิน ไม่อยากอยู่แล้วใช่หรือไม่”“พวกเจ้ามากกว่ากระมังที่ไม่อยากอยู่” เฉินซีหานสวนกลับพร้อมกับจ้องอย่างดุดัน สาเหตุที่เขารีบพูดก็เพราะไม่ต้องการให้พี่ชายคนรองที่ดูจะ
เสียงตะโกนเรียกอย่างพร้อมเพรียงของน้องชายคนที่สาม น้องชายคนที่สี่รวมถึงน้องชายคนที่แปดที่ตอนนี้เลื่อนกลับมาเป็นน้องชายคนที่เจ็ดเพราะเฉินซูเหมยถูกถอดออกจากลำดับโอรสธิดาทำเอาผู้คนภายในหอซุนฉีถึงกับสะดุ้งตกใจ และหันมามองท่าทีกระหือดกระหอบของบุรุษรูปงามที่ก้าวเข้ามาภายในหอซุยฉีอย่างสนใจเฉินอันหนิงเลิกคิ้วมองก่อนจะกวักมือให้พวกเขารีบมานั่ง อย่าได้รบกวนผู้คนจนเป็นจุดสนใจ ลูกเจี๊ยบทั้งสามทำตามอย่างว่าง่าย เพียงครู่ก็มานั่งกันเต็มโต๊ะตาคู่หงส์มองไปที่น้องชายคนที่เจ็ดที่น้อยครั้งจะออกจากจวนเป็นคนแรก เฉิงอ๋อง เฉินซีเฉิง เป็นบุรุษผู้อยู่กับธรรมชาติมากกว่าผู้คน ตั้งแต่มีจวนเป็นของตัวเองเมื่อครึ่งปีก่อนก็ขลุกอยู่กับการปลูกต้นไม้ และจัดสวน นอกจากตอนที่นึกครึ้มไปหานางหรือมีการรวมตัวที่ตำหนักอันหนิงแล้วแทบไม่มีผู้ใดได้เห็นหน้านางไม่ได้ให้เค่อซินส่งคนไปเรียก เพราะรู้ดีว่าเฉินซีเฉิงจะไม่ออกนอกจวนเด็ดขาด แต่กลับผิดคาด เจ้าลูกเจี๊ยบตัวนี้ก็ออกจากจวนมาเพราะได้ข่าวสารว่าอีกสองปีนางจะออกเรือนเจ้าพวกนี้เป็นอะไรมากไปหรื