หลังจากพักค้างแรมในป่าเช้าวันต่อมาคณะของเฉินอันหนิงก็ออกเดินทางต่อ แม้ว่าในใจนางจะนึกห่วงเค่อซินที่ควรจะตามมาทันแต่กลับไร้วี่แวว แต่ก็มั่นใจในฝีมือขององครักษ์คนสนิทจึงทำเพียงทิ้งข่าวเอาไว้และเดินทางต่อ การเดินทางในวันที่สามเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีโจรหรือสิ่งใดมาขัดขวาง แต่ก็มีผู้ทำให้นางขุ่นเคืองใจอยู่เช่นกัน
เจ้าคนต่ำช้าหาเรื่องนางตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง ชวนนางทะเลาะได้ทุกเค่อทั้งที่ศิษย์พี่ของเขาบอกว่าเป็นคนพูดน้อย...แล้วนางก็บ้าจี้ทะเลาะกลับไปเสียด้วย
น่าชังนักเชียว
ความมืดเริ่มย่ามกาย การเดินทางในวันที่สามใกล้จบลงเมื่อเข้าสู่เขตอำเภอหยวนหนาน เมืองหนานเว่ย เฉินอันหนิงเลิกให้ความสนใจคนต่ำช้าและมองเมืองที่ดูจะใหญ่กว่าเมืองเสียนจิ้งแต่ผู้คนไม่พลุกพล่านเท่าไหร่อย่างสำรวจก่อนจะหันไปสั่งเค่อซุนที่รอรับคำสั่งอยู่แล้ว
“หาโรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุดให้ข้า”
“ขอรับนายหญิง”
จิวหลิงมองตามม้าที่ควบออกไปของเค่อซุนที่ตลอดการเดินทางหลังเค่อซินแยกไปเอาม้า เขาและอีกฝ่ายก็ได้ค
นัยน์ตาโศกทอดมองประตูตำหนักที่เปิดกว้างออกหลังจากที่ถูกปิดตายมานานนับเดือนก่อนจะเบือนหน้าหนียามที่บุรุษในชุดสีเหลืองอร่ามลายมังกรก้าวผ่านประตูนั้นมาพร้อมกับสตรีอาภรณ์สีแดงชาดประดับลายมังกร คนทั้งคู่ก็คือฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบันแห่งแคว้นเฉินทว่าสำหรับเฉินอันหนิงองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินแล้วคนทั้งคู่เป็นเพียงแค่ชายโฉด หญิงชั่วที่ปล้นบัลลังก์ของผู้อื่นเท่านั้น“ยังจองหองได้อีกเช่นนั้นหรือพี่หญิงของข้า” น้ำเสียงเย้ยหยันมากกว่าจะเป็นมิตรส่งมาก่อนที่ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์อย่างเฉินซูเหมยจะกรีดกรายเข้ามาใกล้พี่สาวต่างมารดาที่สถานะยามนี้คืออดีตองค์หญิงแห่งราชวงค์ก่อนสายตาวาวโรจน์จ้องเขม็งไม่ปกปิดความอาฆาตแค้นพร้อม ๆ กับร้องตวาดเสียงดังลั่น “ออกไปให้ห่างจากข้า นังอสรพิษ”ยามที่น้องสาวต่างมารดาเข้ามาใกล้เฉินอันหนิงให้รู้สึกสะอิดสะเอียดจนแทบจะอาเจียน ยิ่งภาพเหตุการณ์นองเลือดที่ผ่านพ้นมาไม่นานผุดขึ้นมาในหัวนางก็ยิ่งเคียดแค้นคนตรงหน้านังงูพิษผู้นี้กับสามีชั่วข้าของมันร่วมมือกันสังหารได้กระทั่งพี่น้องสายเลือดเดียวกัน วางยาสังหารได้กระทั่งบิดา ฆ่าล้างตระกูลขุนนางไปนับสิบโดยไม่รู้สึกรู้สา นางมิใช่คน
ความอบอุ่นอันคุ้นเคยปลุกให้เฉินอันหนิงรู้สึกตัวตื่น นางลืมตาขึ้นอย่างมึนงงก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพราะความหนักอึ้งที่เปลือกตา นี่คือโลกหลังความตายเช่นนั้นหรือ ไยดูคุ้นเคยยิ่ง…“เจ้าก้อนแป้งขี้เซาจะให้พ่อรออีกนานเพียงใดกัน” สุรเสียงอันคุ้นเคยและเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดังขึ้นจากใกล้ ๆ เรียกให้นางต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งนั่นเสียงของเสด็จพ่อมิใช่หรือ…ไม่เพียงแค่เสียงแต่บุรุษผู้สูงศักดิ์ที่นางรักยิ่งกว่าผู้ใดยังมาอยู่ตรงหน้านางอีกด้วย ดวงตาของนางร้อนผ่าว เฉินอันหนิงแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าเสด็จพ่อในยามยังหนุ่มจะยิ้มอ่อนโยนอยู่เบื้องหน้านาง“เสด็จพ่อ อะ” ความปิติยินดีที่ได้พบบิดาอีกครั้งชะงักกึกยามที่เอื้อนเอ่ยเรียกออกไปทว่าเสียงที่ได้ยินกลับแปลกประหลาด“เป็นอันใดไปเจ้าก้อนแป้งน้อย ฝันร้ายหรือ เหตุใดจึงร้องไห้เล่า” เฉินไท่เสียน ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉินเอ่ยถามพร้อมกับยื่นพระหัตถ์อบอุ่นมาลูบศีรษะเล็ก ๆ ของธิดาองค์โตเป็นการปลอบประโลมยามที่เห็นหยดน้ำตาเม็ดโตกำลังจะไหลอาบแก้มยามพระหัตถ์คุ้นเคยของพระบิดายื่นมาสัมผัสเฉินอันหนิงทั้งสับสนและอบอุ่นในคราเดียวกัน นี่คือความอบอุ่นที่นางคุ้นเคยอย่างแน่นอย ห
แม้จะเป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินกว่าจะเชื่อ และสับสนว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายเฉินอันหนิงก็ยึดเอาความคิดนี้เป็นเหตุผลอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนางหวนกลับมาแล้ว… หวนกลับมาในวันวานที่ยังคงสงบสุขนอกจากเสด็จแม่ที่จากไปเพราะอาการเจ็บป่วย ทุกคนยังคงอยู่และเกมชิงอำนาจก็ยังมิได้เริ่ม…มีเพียงการช่วงชิงความโปรดปรานเพื่อตำแหน่งฮองเฮาที่ว่างอยู่เท่านั้นดีล่ะ ในเมื่อได้หวนกลับมาในวันคืนเก่า นางจะไม่ยอมให้เหตุการณ์มันเป็นเช่นเดิมอีกไม่มีวัน!!!นางขอเอาชีวิตใหม่เป็นเดิมพัน !“อะแฮ่ม” ปล่อยให้เงียบกันอยู่ไม่นานเฉินไท่เสียนฮ่องเต้ก็กระแอมขึ้นหลังจากที่เถียงไม่ออกมาครู่ใหญ่ บุรุษสูงศักดิ์กว่าคนทั้งแผ่นดินหันมาหาธิดาองค์โตก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “พ่อยอมรับว่าพ่อผิด เจ้าก้อนแป้งยกโทษให้พ่อได้หรือไม่ พ่อสัญญาว่าจะไม่ทำผิดต่อเจ้าอีก”เจ้าก้อนแป้งของโอรสสวรรค์ลอบสูดหายใจหนัก ๆ ทันทีที่คิดได้ว่าตนควรทำสิ่งใด นางเชิดหน้าบ่ายหนีพร้อมทั้งยกมือกอดอกอย่างเอาแต่ใจก่อนจะเอ่ยอย่างแสนงอน “หนิงเอ๋อร์ไม่ยกโทษให้เสด็จพ่อหรอกเพคะ เสด็จพ่อรักน้องคนใหม่มากกว่าหนิงเอ๋อร์”“โธ่ เจ้าก้อนแป้ง พ่อจะไปรักผู้ใดมากกว่าเจ้าได้”“แ
ฮ่องเต้ไท่เสียนใช้เวลากับองค์หญิงใหญ่อีกเล็กน้อยและออกจากตำหนักไปเมื่อถึงเวลาประชุมเช้า พระองค์ยังต้องไปจัดการกับฎีกาอีกหลายฉบับ ไหนจะขุนนางพูดมากนั่นอีก เกิดเป็นโอรสสวรรค์นี่ช่างยากเย็นยิ่ง จะใช้เวลากับบุตรสาวทั้งวันก็มิได้“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เสียงฉะฉานทว่ายังมิเข็มแข็งหนักแน่นอย่างบุรุษโตเต็มวัยดังขึ้นหลังจากที่โอรสสวรรค์ออกมานอกตำหนักขององค์หญิงได้ไม่ไกล สายตาคู่คมกริบทอดมองเจ้าหนูน้อยที่สูงกว่าเจ้าก้อนแป้งของตนไม่มากที่คุกเข่าทำความเคารพก่อนจะส่งสัญญาณให้ลุกขึ้น“มาหาเจ้าก้อนแป้งสินะ”“พะย่ะค่ะ” เด็กชายวัยแปดหนาวตอบรับอย่างไม่หลบตา โอรสสวรรค์จ้องมองท่าทีนั้นพลางพยักหน้าอย่างพอพระทัย แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่กลับมิได้มีท่าทีเกรงกลัวต่อสิ่งใด ซ้ำท่าทียังองอาจและฉายแววเก่งกล้ามิใช่น้อย บิดาเป็นเช่นไรบุตรก็เป็นเช่นนั้น…ไม่เสียแรงที่เขาให้มาเป็นเพื่อนเล่นอยู่ข้างกายเจ้าก้อนแป้ง“เจ้าก้อนแป้งเพิ่งหายไข้ ระวังอย่าให้นางต้องลมนาน ๆ ด้วยเล่า”“กระหม่อมจะระวังพะย่ะค่ะ” ฟู่จื่อเหยียน บุตรชายของฟู่เสวียนหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรผู้ได้รับหน้าที่คอยเป็นเพื่อนเล่
ฟู่จื่อเหยียนนั่งรอองค์หญิงตัวน้อยเงียบ ๆ โดนมิได้พูดจาใด ๆ โดยนิสัยใจคอแล้วคุณชายตระกูลฟู่นับว่าพูดน้อยและสุขุมกว่าเด็กชายในวัยเดียวกัน การที่คุณชายฟู่นั่งเงียบอยู่จึงมิใช่เรื่องชวนให้ประหลาดใจ ผู้ใดบ้างในตำหนักอันหนิงแห่งนี้มิทราบว่าแม้จะเป็นคุณชายที่สุขุมเช่นนี้หากแต่ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงกลับอ่อนโยนและห่วงใยองค์หญิงใหญ่เป็นอย่างยิ่ง“พี่เหยียน”“อย่าวิ่งสิพะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะทรงหกล้ม” เสียงนั้นอ่อนโยนแต่ก็แฝงความดุเล็กน้อย คล้ายกับยามที่เสด็จพ่อดุนาง องค์หญิงตัวน้อยยิ้มให้พร้อมกับบอกอย่างมั่นใจ“หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก ไม่อย่างแน่นอน”“ทรงมั่นใจเกินไป”“คิกคิก ท่านห่วงเกินไปแล้ว หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก” ไม่ตรัสเปล่า องค์หญิงตัวน้อยยังทรงวิ่งไปรอบ ๆ ตัวเขาอย่างนึกสนุก“โธ่”“พี่เหยียนก็มาวิ่งด้วยกันสิ มา” นิ้วเล็ก ๆ เอื้อมมาจับแขนแข็งแรงก่อนจะออกแรงให้เขาวิ่งด้วย คล้ายกับทุก ๆ วัน ราวกับเด็กไร้เดียงสาวที่ในหัวมีเพียงเรื่องการเที่ยวเล่น กินและนอน ฟู่จื่อเหยียนแม้จะห่วงพระวรกายองค์หญิงน้อยทว่าก็มิได้ขัดใจคนเพิ่งหายไข้ ยอมวิ่งเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงโดยไม่อิดออดองค์หญิงเพิ่งหายไข้ มิควรขัดใจ..
เฉินอันหนิงล้มตัวลงนอนอีกครั้งด้วยความหงุดหงิดลึก ๆ ไยความทรงจำไม่กลับมาตั้งแต่ชาติที่แล้วเล่า จะให้นางสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับกี่ชาติกัน!มาตอนนี้ให้นางจำได้เพื่ออะไรกัน...องค์หญิงน้อยแต่ภายในผ่านร้อนผ่าวหนาวมาแล้วถึงสองชีวิตบ่นกับตนในใจอีกหลายคำก่อนจะหลับไปอีกครั้งนางฝันอีกแล้ว หากแต่มิใช่ฝันถึงตนเองที่เป็นคะนิ้ง หรือฝันบอกเหตุดั่งเช่นในชาติที่แล้ว หากแต่เป็นเหตุการณ์ต่อจากเนื้อหาในนิยายที่อ่านค้างไว้ก่อนจะไปประชุมในฝัน...เหตุการณ์หลังจากที่องค์หญิงใหญ่ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้วบุรุษอาภรณ์สีดำสนิทผู้หนึ่งโอบประคองร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้ ลูบไล้ใบหน้าอย่างอ่อนโยน หากแต่นางมิอาจรู้สึกใด ๆ ได้อีก“ท่านบอกว่าโตขึ้นจะแต่งให้ข้า เหตุใดจึงไม่รอข้าเล่าองค์หญิง” น้ำเสียงเจือความเจ็บปวดเอ่ยตัดพ้อกับร่างไร้ลมหายใจพร้อมกับกอดเอาไว้แน่นองค์ชายสามเฉินอี้หลงข่มน้ำตาเอาไว้มิให้หลั่งรินออกมาพลางมองด้วยความฉงน มิรู้เลยว่าเหตุใดชายผู้นี้จึงได้ผลักเขาออกและโอบกอดร่างพี่สาวของเขาเอาไว้อย่างหวงแหนเช่นนั้น ทว่าเขาเองก็มิอาจให้เป็นเช่นนี้ได้จึงกลั้นใจเอ่ยขึ้น “สหาย ข้าขอพี่สาวข้าคืนเถิด ข้าอยากให้นางได้ไปอ
เฉินอันหนิงตระหนักได้ว่ามิควรเปลี่ยนแปลงการเรื่องราวของพี่เหยียน ในเมื่อนางเองก็หาตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังไม่เจอ และหากช่วยเหลือพี่เหยียนให้อยู่ข้างกายต่อไปรังแต่จะทำให้เขาเป็นอันตราย เช่นนั้นก็ให้เขาไปพบเจอเรื่องราวข้างนอกเพื่อเป็นไปตามเนื้อเรื่องของเขาก็แล้วกัน...หากแต่บทสรุปสุดท้ายนางมิอาจยินยอมให้เป็นเช่นในฝันได้จะให้พี่เหยียนผู้นั้นมาตายตามนางได้อย่างไรในเมื่อชาตินี้นางจะไม่ตายเปลี่ยนการออกจากแคว้นไปของพี่เหยียนไม่ได้ เพื่อตัวของเขาเองก็ไม่เป็นไรแต่นางปรับแก้สถานการณ์อื่นมิให้ต้องพบจุดจบเช่นเดิมได้ใช่หรือไม่แก้ไขเล็กน้อย...คงมิเป็นอันใด“แล้วจะแก้เรื่องใดกัน”นางพึมพำเพียงลำพังได้ไม่นานอี้กงกงก็เข้ามาโค้งคำนับและรายงาน “องค์หญิง ฉินกงกงมาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”“ให้เข้ามา”“ฉินกงกง!” องค์หญิงน้อยกระโดดมาหาคนมาใหม่ทันทีอย่างคุ้นเคย แม้ว่าจะทำให้ผู้มีอายุใจหายใจคว่ำไปไม่น้อยเพราะเกรงว่าจะหกล้มก็ตาม ฉินกงกง ขันทีอาวุโสจากตำหนักชินอ๋องโค้งคำนับองค์หญิงใหญ่ก่อนจะเอ่ยจุดประสงค์ของตน “วันนี้ชินอ๋องมาเฝ้าไท่เฟย จึงให้ข้าน้อยนำถังหูลู่และขนมกุ้ยฮวาจากร้านประจำมาถวายองค์หญิงพะย่ะค่ะ”“เส
“เสด็จพ่อ!!!” น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสร้องเรียกบุรุษผู้สูงศักดิ์เหนือผู้ใดในทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งอย่างไม่รักษากิริยาเข้าไปเกาะแขนพระบิดาฮ่องเต้ไท่เสียนมิได้ขุ่นเคืองกับท่าทีของพระธิดาองค์โตแม้แต่น้อย กลับกันพระองค์กลับชื่นชอบท่าทีสดใสราวกับดวงตะวันที่เจิดจรัสเช่นนี้ของบุตรสาวมากกว่าท่าทีอ่อนช้อยเป็นไหน ๆ “นึกอย่างไรมาหาพ่อถึงที่นี่เจ้าก้อนแป้ง”“หนิงเอ๋อร์คิดถึงเสด็จพ่อเพคะ” ผู้อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงห้องทรงพระอักษรทั้งที่ไม่ได้มีรับสั่งเรียกหาเอ่ยอย่างออดอ้อนก่อนจะถูกอุ้มไปวางบนตักและหอมแก้วเสียฟอดใหญ่“พ่อรู้เจ้ามิได้คิดถึงพ่อเพียงเท่านั้น แต่พ่อก็ยินดีที่เจ้าคิดถึง” “เสด็จอาทรงฟ้องเสด็จพ่ออีกแล้วหรือเพคะ”“เขาไม่ได้ฟ้อง เพียงเกริ่นให้พ่อฟังเท่านั้น” บุรุษสูงศักดิ์กล่าวแย้งให้พระอนุชาที่พระองค์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าก่อนหน้าที่บุตรสาวจะเข้ามา พระอนุชาองค์นี้ย่อมช่วยเหลือพูดให้องค์หญิงน้อยบ้างแล้วพระองค์จึงพอทราบเรื่องราวอยู่บ้าง“ก้อนแป้งของพ่อไม่อยากไปงานเลี้ยงเช่นนั้นหรือ”“หนิงเอ๋อร์ไม่ชอบงานเลี้ยงเพคะ ไปอารามซุยหลิงกับเสด็จย่าไท่เฟยได้บุ
หลังจากพักค้างแรมในป่าเช้าวันต่อมาคณะของเฉินอันหนิงก็ออกเดินทางต่อ แม้ว่าในใจนางจะนึกห่วงเค่อซินที่ควรจะตามมาทันแต่กลับไร้วี่แวว แต่ก็มั่นใจในฝีมือขององครักษ์คนสนิทจึงทำเพียงทิ้งข่าวเอาไว้และเดินทางต่อ การเดินทางในวันที่สามเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีโจรหรือสิ่งใดมาขัดขวาง แต่ก็มีผู้ทำให้นางขุ่นเคืองใจอยู่เช่นกันเจ้าคนต่ำช้าหาเรื่องนางตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง ชวนนางทะเลาะได้ทุกเค่อทั้งที่ศิษย์พี่ของเขาบอกว่าเป็นคนพูดน้อย...แล้วนางก็บ้าจี้ทะเลาะกลับไปเสียด้วยน่าชังนักเชียวความมืดเริ่มย่ามกาย การเดินทางในวันที่สามใกล้จบลงเมื่อเข้าสู่เขตอำเภอหยวนหนาน เมืองหนานเว่ย เฉินอันหนิงเลิกให้ความสนใจคนต่ำช้าและมองเมืองที่ดูจะใหญ่กว่าเมืองเสียนจิ้งแต่ผู้คนไม่พลุกพล่านเท่าไหร่อย่างสำรวจก่อนจะหันไปสั่งเค่อซุนที่รอรับคำสั่งอยู่แล้ว“หาโรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุดให้ข้า”“ขอรับนายหญิง”จิวหลิงมองตามม้าที่ควบออกไปของเค่อซุนที่ตลอดการเดินทางหลังเค่อซินแยกไปเอาม้า เขาและอีกฝ่ายก็ได้ค
ท่าทีที่บ่งบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายดายจนอยากจะล้มเลิกของเฉินอันหนิงทำให้จิวหูส่ายหน้าพร้อมกับลอบยิ้ม ก่อนจะเอ่ย “วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน มากกว่านี้เกรงว่าเจ้าจะจำไม่ได้”“จะหาว่าความจำข้าไม่ดีหรือไร”“ข้ามิได้พูด” จิวหูพูดแล้วก็นิ่งไปครู่ก่อนจะเอ่ยถาม “หากเปลี่ยนเป็นขลุ่ย อยากฟังหรือไม่”“เจ้ามีขลุ่ย?”“ย่อมมี” ขลุ่ยไม้ถูกดึงออกมาจากที่ใดนางไม่รู้ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเขามีขลุ่ยอยู่จริง ๆ อยู่ ๆ นางก็นึกถึงวรรณคดีเรื่องหนึ่งในชาติที่เป็นคะนิ้งขึ้นมา สมัยเรียนนางวาดรูปพระเอกผู้นั้นเหน็บปี่เอาไว้ด้านหลัง...เขาก็พกขลุ่ยไว้ด้านหลังเช่นกันหรือ?ขลุ่ยของเขาทำให้ผู้คนหลับได้หรือไม่จิวหูไม่รับรู้แม้แต่น้อยว่านางคิดอันใด บุรุษหนุ่มหันมาสอบถามนางในทันทีที่ตรวจสอบว่าขลุ่ยที่พกติดตัวมีปัญหาหรือไม่ “อยากฟังหรือไม่เล่า”“ฟัง ข้าจะฟัง” นางเอ่ยล้วก็เงียบรอฟัง ไม่นานบุรุษสวมหน้ากากก็เริ่มบรรเลง
เมื่อพลบค่ำการเดินทางสู่ซินอู๋ในวันที่สองก็จบลง น่าเสียดายที่การเดินทางในวันนี้เกิดความล่าช้าทำให้ต้องค้างแรมในป่าแทนที่จะได้พักในเมืองเพราะไม่อยากให้ยุ่งยากเฉินอันหนิงจึงห้ามเอาไว้ไม่ให้เค่อซุนสั่งทหารสร้างกระโจมให้นาง ทุกคนนอนเช่นไร คืนนี้นางก็จะนอนเช่นนั้น แม้จะเป็นการนอนกลางดินกินกลางทรายก็ตามข้าวถูกหุงหาทันทีที่ก่อกองไฟเป็นที่เรียบร้อง จิวหลิงและจิวหูควบม้าเข้าไปในป่าไม่นานก็กลับมาพร้อมกับกระต่ายและกวางป่า“เสี่ยวหนิง วันนี้ข้าจะทำกระต่ายและกวางป่าย่างสูตรพิเศษให้เจ้ากิน”“ข้ามีเสบียงมาเยอะแยะ ไยต้องลำบาก”“แต่สูตรของข้านับว่าล้ำเลิศ เจ้าต้องได้ลิ้มรสสักครั้ง” บุรุษรูปงามยังดึงดันจะทำให้นางได้ลองลิ้มรส เขาปัดมือไล่นางให้ไปเดินเล่นส่วนตนไปจัดการกับกระต่ายและกวางป่าขณะที่ศิษย์น้องของเขาแยกไปนั่งอยู่กับม้าของเขาทำนองไม่คุ้นหูจากปี่ใบไม้ดังขึ้นอีกครั้ง ยังคงทำให้เฉินอันหนิงรู้สึกผ่อนคลายได้เช่นเดิม นางผละจากจุดที่ยืนอยู่ก้าวไปใกล้อย่างไม่
เงียบนิ่ง สุขุม คือสิ่งที่ผู้คนมักกล่าวถึงเขา ทว่าในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป จิวหูรายล้อมไปด้วยคนหลายประเภท อาจารย์ที่มีบุคลิกนิ่งสงบแต่ก็มีนิสัยชอบกลั่นแกล้งลูกศิษย์ ศิษย์พี่ใหญ่ที่พูดมาก ทะเล้นและมากรัก แต่ภายในใจกลับมีแผนการมากมาย ล้วนแต่เป็นแผนการที่จริงจัง ศิษย์พี่รองที่ช่างพูดช่างเจรจาสมกับเป็นพ่อค้า แต่ก็มีความโหดเหี้ยมแฝงอยู่ ศิษย์น้องสี่ที่คล้ายจะซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้แต่กลับไม่คิดสิ่งใดให้มากมาย ศิษย์น้องเล็กที่เป็นเหมือนปีศาจน้อยที่แสนซนที่คอยแต่จะวางยาพิษผู้คน เขาที่อยู่กับคนเหล่านี้ย่อมไม่ใช่คนที่ท่าทีภายนอกและภายในเหมือนกันไปหมดแม้ภายนอกจะเงียบนิ่งตลอดการเดินทางโดยมีหญิงสาววัยพร้อมออกเรือนอยู่ในอ้อมแขน ทว่าภายในเขากลับพยายามควบคุมหัวใจของตน รวมถึงสายตาที่หันมองนางอยู่บ่อย ๆกลิ่นหอมจากเรือนผมยาวสลวยช่วยให้เขาผ่อนคลายลงได้มาก ทั้งที่ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามายังต้าเฉินจิตใจเขาไม่สงบเลยแม้แต่น้อย...ไม่สิ เขาไม่สามารถสงบใจได้เลยตั้งแต่เริ่มออกติดตามหาศิษย์พี่ใหญ่ ยิ่งมาถึงต้าเฉิน ก็ยิ่งสงบใจได้ยาก
จิวหูในเวลานี้แม้ใบหน้าจะยังสงบนิ่งทว่าในใจกลับไร้ความสงบ เขารีบลงจากหลังม้าก่อนจะหันเหความสนใจไปที่ม้าหนุ่มที่ตื่นตกใจ เฉินอันหนิงเองก็ลงจากหลังม้าเช่นกัน ทว่าไม่ทันได้ทำอันใดม้าของจิวหลิงก็ตามมา“เสี่ยวหนิง ปลอดภัยดีใช่หรือไม่”“ข้าปลอดภัยดี”“ข้าจัดการกลุ่มโจรกลุ่มนั้นแล้ว คนของเจ้ากลับไปตามทางการแล้ว” จิวหลิงบอกเล่า ทุกอย่างถูกจัดการอย่างรวดเร็ว เพราะผู้ที่มาลอบโจมตีเป็นเพียงโจรกระจอกที่ดักซุ่มโจมตีเท่านั้น ไม่ใช่ยอดฝีมืออะไร“ม้าตัวนี้โดนลูกดอก มันบาดเจ็บแล้ว คงเดินทางไม่ได้” เสียงของจิวหูดังขึ้นเป็นประโยคยาว ๆ เป็นครั้งแรกทำให้ทุกคนต้องหันไปมอง ตาคู่หงส์มีประกายความเจ็บปวดพาดผ่านเมื่อเห็นเลือดที่ไหล่อาบของม้าตัวโปรด เสี่ยวจื้อถูกลูกดอกจริง ๆ และเลือดก็ออกมากเสียจนน่ากลัว เจ้าเด็กพยศของนางจะต้องเจ็บปวดมากจึงได้วิ่งพล่านเช่นนี้“เจ็บมากหรือไม่ เสี่ยวจื้อ ไม่เป็นไรแล้วนะ ปลอดภัยแล้ว” คำพูดปลอบประโลมและการลูบไล้สัมผัสใบหน้าทำให
การเดินทางไกลไม่อาจหลีกเลี่ยงเส้นทางป่าเขา เมื่อเข้าเขตป่าย่อมต้องมีอันตรายแอบแฝงอยู่ ห่างออกมาจากเมืองเสียนจิ้งหลายร้อยลี้คณะเดินทางของเฉินอันหนิงเข้าสู่เขตป่าที่เป็นเขตรอยต่อกับอำเภอถางซิน เมืองหนานเว่ย บุรุษสวมหน้ากากที่ขี่ม้าออกหน้าไปกับเค่อซินเพื่อระวังภัยให้ผู้เป็นทั้งศิษย์พี่และผู้มีคุณอย่างจิวหลิงวนม้ากลับมาหลังจากกวาดสายตามองความเงียบของเส้นทางเบื้องหน้าที่เขารู้สึกถึงความไม่ปกติ “เส้นทางข้างหน้าไม่ปลอดภัย มีผู้ซุ่มโจมตี”“คงได้ยินว่าข้าจะเอาของขวัญไปส่งมอบ และปรามาสว่าข้าเป็นเพียงสตรี จึงคิดว่าชิงทรัพย์ข้าจะง่ายดายกระมัง” องค์หญิงลำดับหนึ่งผู้ได้รับหน้าที่นำของขวัญล้ำค่าไปมอบให้ชินอ๋องพึมพำอย่างขุ่นเคือง เจตนาของผู้ซุ่มโจมตีใช่ว่าจะคาดเดายาก ข่าวคราวการเดินทางของนางก็ใช่ว่าจะเป็นความลับ คนเหล่านี้รอโอกาสปล้นของขวัญพระราชทานน่ะสิแม้จะรู้ แต่ก็ใช่ว่าจะหลีกเลี่ยงได้ มีแต่ต้องป้องกันเท่านั้น ทว่าไม่ทันได้สั่งการใด ๆ บางสิ่งบางอย่างก็พุ่งมาทำให้ม้าของนางตื่นตกใจจนวิ่งเตลิดซะก่อน พวกมันคิดจะล
เฉินอันหนิงเก็บซ่อนความคิดหันกลับมามองสหายใหม่ทั้งสองคนอีกครั้งพร้อมกับความตงิดใจ ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นชาวเสียนจิ้ง และมองอย่างไรจิวหลิงก็ไม่ใช่ชาวต้าเฉินแล้วเหตุใดศิษย์ผู้น้องของเขาถึงได้รู้จักสุราสงบใจ และรู้ว่าองค์หญิงใหญ่ถูกเรียกว่าหนิงเอ๋อร์“ท่านไม่ใช่ชาวต้าเฉิน”“ข้ากับน้องชายมาจากลั่วหยาง”“แต่เขากลับรู้จักสุราที่ผู้คนลืมเลือนไป” สายตาของนางมองไปยังเขาที่เอ่ยถึง บ่งบอกว่าเรื่องนี้นางสงสัยจริง ๆ ทว่าบุรุษสวมหน้ากากกลับไม่ได้ให้ความสนใจ เขาทำเพียงหยิบทวนขึ้นมาและราดสุราลงบนปลายแหลมของทวนนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยหันมาหาจิวหลิงแทน ศิษย์พี่ใหญ่ของบุรุษสวมหน้ากากยักไหล่ก่อนจะบอกเล่า “เพราะทวนของเขาต้องดื่มสุรา เขาจึงต้องรู้จักสุราชั้นดีมากมาย”“ทวนต้องดื่มสุรา?”“ทวนของเขาเป็นอาวุธที่เป็นมากกว่าอาวุธ หากลงมือแล้วต้องได้ดื่มเลือด ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อตัวเขา แต่คนของเจ้าไม่ได้เป็นเหยื่อ เขาจึงต้องให้มันด
สิ้นคำพูดของจิวหลิงผู้เป็นแขกประจำของหอสุราเทียนหลินก็ต้องเลิกคิ้วและหันไปสอบถามเสี่ยวเอ้อ ว่าบุรุษผู้นี้ผายลมหรือไม่“เป็นเช่นนั้นหรือเสี่ยวเอ้อ”“ใช่แล้วขอรับ หอเทียนหลินในเมืองหลวงกับโรงเตี๊ยมเซียนจื่อโหยว รวมถึงหอสุราหว่านซินในเมืองเป่ยหนานล้วนเป็นกิจการของนายท่านของข้าน้อยทั้งสิ้น”“ดูท่านายของเจ้าจะร่ำรวยมากทีเดียว”“ที่เจ้าได้ยินเป็นเพียงกิจการในต้าเฉินเท่านั้นเสี่ยวหนิง น้องรองของข้ายังมีกิจการในลั่วหยาง ต้าฉี ต้าฉิน ต้าไห่ ต้าเฉียน และต้าเหว่ย เขาร่ำรวยมาก” จิวหลิงยังคงอวดอ้างถึงความร่ำรวยของศิษย์น้องรองที่เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมเซียวจื่อโหยวแห่งนี้ และ...“แล้วข้าจะบอกความลับหนึ่งให้เจ้าฟัง”“อันใด” ความลับของผู้อื่นย่อมน่าสนใจ แม้นางจะไม่อยากเป็นคนที่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่ก็มีบ้างที่อยากจะรู้ ทว่านางก็คล้ายปลาที่ติดเบ็ด เมื่อนางให้ความสนใจ คนวางเหยื่อล่อก็รีบตะครุบ“เรียกข้าว่าพี่จิวก่อนสิ แล้วข้าจะบอก&r
องครักษ์หนุ่มลดกระบี่ลงแล้วแต่ปลายทวนยังคงไม่ลดลง จิวหลิงที่เงียบมาตลอดกระแอมขึ้นในที่สุด “อย่าเคร่งเครียดนักเลย น้องสาม ลดทวนสงบใจของเจ้าลงเถิด คนกันเองทั้งนั้น...แม่นางน้อย นั่งด้วยกันเถิด พบกันครั้งแรกไม่นับเป็นวาสนา ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม นับว่าเรามีวาสนาต่อกัน คบหาเป็นสหายกันไว้วันหน้าย่อมเป็นประโยชน์ต่อเจ้า”ทวนที่มีชื่อว่าทวนสงบใจลดห่างจากลำคอของเค่อซินเป็นที่เรียบร้อย เจ้าของทวนนั้นก้าวเข้าไปนั่งข้าง ๆ บุรุษน่าตายแล้วเช่นกัน ทว่าเฉินอันหนิงกลับยังคงชั่งใจ นางยังอยากกินข้าวด้านล่างแต่จะให้นั่งกับสองคนตรงหน้าก็ดูจะอย่างไรอยู่เมื่อครู่ยังจ่อคอกันอยู่ จะมานั่งกินข้าวร่วมกัน มันจะได้หรือ“มีที่ว่างอื่นอีกหรือไม่” นางหันกลับไปสอบถามเสี่ยวเอ้อก่อนจะได้รับคำตอบที่คาดเดาไว้แล้ว...ไม่มีที่ว่างอื่น“นายท่าน เรา...”“ไม่เป็นไร เจ้าของที่ชวนแล้ว นั่งตรงนี้จะเป็นไรไป” ไม่ทันที่เค่อซินจะได้ออกความคิดเห็นที่นางเข้าใจได้ว่าเขาจะเสนออย่างไร นางก็พูด