องครักษ์หนุ่มลดกระบี่ลงแล้วแต่ปลายทวนยังคงไม่ลดลง จิวหลิงที่เงียบมาตลอดกระแอมขึ้นในที่สุด “อย่าเคร่งเครียดนักเลย น้องสาม ลดทวนสงบใจของเจ้าลงเถิด คนกันเองทั้งนั้น...แม่นางน้อย นั่งด้วยกันเถิด พบกันครั้งแรกไม่นับเป็นวาสนา ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม นับว่าเรามีวาสนาต่อกัน คบหาเป็นสหายกันไว้วันหน้าย่อมเป็นประโยชน์ต่อเจ้า”
ทวนที่มีชื่อว่าทวนสงบใจลดห่างจากลำคอของเค่อซินเป็นที่เรียบร้อย เจ้าของทวนนั้นก้าวเข้าไปนั่งข้าง ๆ บุรุษน่าตายแล้วเช่นกัน ทว่าเฉินอันหนิงกลับยังคงชั่งใจ นางยังอยากกินข้าวด้านล่างแต่จะให้นั่งกับสองคนตรงหน้าก็ดูจะอย่างไรอยู่
เมื่อครู่ยังจ่อคอกันอยู่ จะมานั่งกินข้าวร่วมกัน มันจะได้หรือ
“มีที่ว่างอื่นอีกหรือไม่” นางหันกลับไปสอบถามเสี่ยวเอ้อก่อนจะได้รับคำตอบที่คาดเดาไว้แล้ว...ไม่มีที่ว่างอื่น
“นายท่าน เรา...”
“ไม่เป็นไร เจ้าของที่ชวนแล้ว นั่งตรงนี้จะเป็นไรไป” ไม่ทันที่เค่อซินจะได้ออกความคิดเห็นที่นางเข้าใจได้ว่าเขาจะเสนออย่างไร นางก็พูด
สิ้นคำพูดของจิวหลิงผู้เป็นแขกประจำของหอสุราเทียนหลินก็ต้องเลิกคิ้วและหันไปสอบถามเสี่ยวเอ้อ ว่าบุรุษผู้นี้ผายลมหรือไม่“เป็นเช่นนั้นหรือเสี่ยวเอ้อ”“ใช่แล้วขอรับ หอเทียนหลินในเมืองหลวงกับโรงเตี๊ยมเซียนจื่อโหยว รวมถึงหอสุราหว่านซินในเมืองเป่ยหนานล้วนเป็นกิจการของนายท่านของข้าน้อยทั้งสิ้น”“ดูท่านายของเจ้าจะร่ำรวยมากทีเดียว”“ที่เจ้าได้ยินเป็นเพียงกิจการในต้าเฉินเท่านั้นเสี่ยวหนิง น้องรองของข้ายังมีกิจการในลั่วหยาง ต้าฉี ต้าฉิน ต้าไห่ ต้าเฉียน และต้าเหว่ย เขาร่ำรวยมาก” จิวหลิงยังคงอวดอ้างถึงความร่ำรวยของศิษย์น้องรองที่เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมเซียวจื่อโหยวแห่งนี้ และ...“แล้วข้าจะบอกความลับหนึ่งให้เจ้าฟัง”“อันใด” ความลับของผู้อื่นย่อมน่าสนใจ แม้นางจะไม่อยากเป็นคนที่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่ก็มีบ้างที่อยากจะรู้ ทว่านางก็คล้ายปลาที่ติดเบ็ด เมื่อนางให้ความสนใจ คนวางเหยื่อล่อก็รีบตะครุบ“เรียกข้าว่าพี่จิวก่อนสิ แล้วข้าจะบอก&r
เฉินอันหนิงเก็บซ่อนความคิดหันกลับมามองสหายใหม่ทั้งสองคนอีกครั้งพร้อมกับความตงิดใจ ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นชาวเสียนจิ้ง และมองอย่างไรจิวหลิงก็ไม่ใช่ชาวต้าเฉินแล้วเหตุใดศิษย์ผู้น้องของเขาถึงได้รู้จักสุราสงบใจ และรู้ว่าองค์หญิงใหญ่ถูกเรียกว่าหนิงเอ๋อร์“ท่านไม่ใช่ชาวต้าเฉิน”“ข้ากับน้องชายมาจากลั่วหยาง”“แต่เขากลับรู้จักสุราที่ผู้คนลืมเลือนไป” สายตาของนางมองไปยังเขาที่เอ่ยถึง บ่งบอกว่าเรื่องนี้นางสงสัยจริง ๆ ทว่าบุรุษสวมหน้ากากกลับไม่ได้ให้ความสนใจ เขาทำเพียงหยิบทวนขึ้นมาและราดสุราลงบนปลายแหลมของทวนนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยหันมาหาจิวหลิงแทน ศิษย์พี่ใหญ่ของบุรุษสวมหน้ากากยักไหล่ก่อนจะบอกเล่า “เพราะทวนของเขาต้องดื่มสุรา เขาจึงต้องรู้จักสุราชั้นดีมากมาย”“ทวนต้องดื่มสุรา?”“ทวนของเขาเป็นอาวุธที่เป็นมากกว่าอาวุธ หากลงมือแล้วต้องได้ดื่มเลือด ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อตัวเขา แต่คนของเจ้าไม่ได้เป็นเหยื่อ เขาจึงต้องให้มันด
การเดินทางไกลไม่อาจหลีกเลี่ยงเส้นทางป่าเขา เมื่อเข้าเขตป่าย่อมต้องมีอันตรายแอบแฝงอยู่ ห่างออกมาจากเมืองเสียนจิ้งหลายร้อยลี้คณะเดินทางของเฉินอันหนิงเข้าสู่เขตป่าที่เป็นเขตรอยต่อกับอำเภอถางซิน เมืองหนานเว่ย บุรุษสวมหน้ากากที่ขี่ม้าออกหน้าไปกับเค่อซินเพื่อระวังภัยให้ผู้เป็นทั้งศิษย์พี่และผู้มีคุณอย่างจิวหลิงวนม้ากลับมาหลังจากกวาดสายตามองความเงียบของเส้นทางเบื้องหน้าที่เขารู้สึกถึงความไม่ปกติ “เส้นทางข้างหน้าไม่ปลอดภัย มีผู้ซุ่มโจมตี”“คงได้ยินว่าข้าจะเอาของขวัญไปส่งมอบ และปรามาสว่าข้าเป็นเพียงสตรี จึงคิดว่าชิงทรัพย์ข้าจะง่ายดายกระมัง” องค์หญิงลำดับหนึ่งผู้ได้รับหน้าที่นำของขวัญล้ำค่าไปมอบให้ชินอ๋องพึมพำอย่างขุ่นเคือง เจตนาของผู้ซุ่มโจมตีใช่ว่าจะคาดเดายาก ข่าวคราวการเดินทางของนางก็ใช่ว่าจะเป็นความลับ คนเหล่านี้รอโอกาสปล้นของขวัญพระราชทานน่ะสิแม้จะรู้ แต่ก็ใช่ว่าจะหลีกเลี่ยงได้ มีแต่ต้องป้องกันเท่านั้น ทว่าไม่ทันได้สั่งการใด ๆ บางสิ่งบางอย่างก็พุ่งมาทำให้ม้าของนางตื่นตกใจจนวิ่งเตลิดซะก่อน พวกมันคิดจะล
จิวหูในเวลานี้แม้ใบหน้าจะยังสงบนิ่งทว่าในใจกลับไร้ความสงบ เขารีบลงจากหลังม้าก่อนจะหันเหความสนใจไปที่ม้าหนุ่มที่ตื่นตกใจ เฉินอันหนิงเองก็ลงจากหลังม้าเช่นกัน ทว่าไม่ทันได้ทำอันใดม้าของจิวหลิงก็ตามมา“เสี่ยวหนิง ปลอดภัยดีใช่หรือไม่”“ข้าปลอดภัยดี”“ข้าจัดการกลุ่มโจรกลุ่มนั้นแล้ว คนของเจ้ากลับไปตามทางการแล้ว” จิวหลิงบอกเล่า ทุกอย่างถูกจัดการอย่างรวดเร็ว เพราะผู้ที่มาลอบโจมตีเป็นเพียงโจรกระจอกที่ดักซุ่มโจมตีเท่านั้น ไม่ใช่ยอดฝีมืออะไร“ม้าตัวนี้โดนลูกดอก มันบาดเจ็บแล้ว คงเดินทางไม่ได้” เสียงของจิวหูดังขึ้นเป็นประโยคยาว ๆ เป็นครั้งแรกทำให้ทุกคนต้องหันไปมอง ตาคู่หงส์มีประกายความเจ็บปวดพาดผ่านเมื่อเห็นเลือดที่ไหล่อาบของม้าตัวโปรด เสี่ยวจื้อถูกลูกดอกจริง ๆ และเลือดก็ออกมากเสียจนน่ากลัว เจ้าเด็กพยศของนางจะต้องเจ็บปวดมากจึงได้วิ่งพล่านเช่นนี้“เจ็บมากหรือไม่ เสี่ยวจื้อ ไม่เป็นไรแล้วนะ ปลอดภัยแล้ว” คำพูดปลอบประโลมและการลูบไล้สัมผัสใบหน้าทำให
เงียบนิ่ง สุขุม คือสิ่งที่ผู้คนมักกล่าวถึงเขา ทว่าในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป จิวหูรายล้อมไปด้วยคนหลายประเภท อาจารย์ที่มีบุคลิกนิ่งสงบแต่ก็มีนิสัยชอบกลั่นแกล้งลูกศิษย์ ศิษย์พี่ใหญ่ที่พูดมาก ทะเล้นและมากรัก แต่ภายในใจกลับมีแผนการมากมาย ล้วนแต่เป็นแผนการที่จริงจัง ศิษย์พี่รองที่ช่างพูดช่างเจรจาสมกับเป็นพ่อค้า แต่ก็มีความโหดเหี้ยมแฝงอยู่ ศิษย์น้องสี่ที่คล้ายจะซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้แต่กลับไม่คิดสิ่งใดให้มากมาย ศิษย์น้องเล็กที่เป็นเหมือนปีศาจน้อยที่แสนซนที่คอยแต่จะวางยาพิษผู้คน เขาที่อยู่กับคนเหล่านี้ย่อมไม่ใช่คนที่ท่าทีภายนอกและภายในเหมือนกันไปหมดแม้ภายนอกจะเงียบนิ่งตลอดการเดินทางโดยมีหญิงสาววัยพร้อมออกเรือนอยู่ในอ้อมแขน ทว่าภายในเขากลับพยายามควบคุมหัวใจของตน รวมถึงสายตาที่หันมองนางอยู่บ่อย ๆกลิ่นหอมจากเรือนผมยาวสลวยช่วยให้เขาผ่อนคลายลงได้มาก ทั้งที่ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามายังต้าเฉินจิตใจเขาไม่สงบเลยแม้แต่น้อย...ไม่สิ เขาไม่สามารถสงบใจได้เลยตั้งแต่เริ่มออกติดตามหาศิษย์พี่ใหญ่ ยิ่งมาถึงต้าเฉิน ก็ยิ่งสงบใจได้ยาก
เมื่อพลบค่ำการเดินทางสู่ซินอู๋ในวันที่สองก็จบลง น่าเสียดายที่การเดินทางในวันนี้เกิดความล่าช้าทำให้ต้องค้างแรมในป่าแทนที่จะได้พักในเมืองเพราะไม่อยากให้ยุ่งยากเฉินอันหนิงจึงห้ามเอาไว้ไม่ให้เค่อซุนสั่งทหารสร้างกระโจมให้นาง ทุกคนนอนเช่นไร คืนนี้นางก็จะนอนเช่นนั้น แม้จะเป็นการนอนกลางดินกินกลางทรายก็ตามข้าวถูกหุงหาทันทีที่ก่อกองไฟเป็นที่เรียบร้อง จิวหลิงและจิวหูควบม้าเข้าไปในป่าไม่นานก็กลับมาพร้อมกับกระต่ายและกวางป่า“เสี่ยวหนิง วันนี้ข้าจะทำกระต่ายและกวางป่าย่างสูตรพิเศษให้เจ้ากิน”“ข้ามีเสบียงมาเยอะแยะ ไยต้องลำบาก”“แต่สูตรของข้านับว่าล้ำเลิศ เจ้าต้องได้ลิ้มรสสักครั้ง” บุรุษรูปงามยังดึงดันจะทำให้นางได้ลองลิ้มรส เขาปัดมือไล่นางให้ไปเดินเล่นส่วนตนไปจัดการกับกระต่ายและกวางป่าขณะที่ศิษย์น้องของเขาแยกไปนั่งอยู่กับม้าของเขาทำนองไม่คุ้นหูจากปี่ใบไม้ดังขึ้นอีกครั้ง ยังคงทำให้เฉินอันหนิงรู้สึกผ่อนคลายได้เช่นเดิม นางผละจากจุดที่ยืนอยู่ก้าวไปใกล้อย่างไม่
ท่าทีที่บ่งบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายดายจนอยากจะล้มเลิกของเฉินอันหนิงทำให้จิวหูส่ายหน้าพร้อมกับลอบยิ้ม ก่อนจะเอ่ย “วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน มากกว่านี้เกรงว่าเจ้าจะจำไม่ได้”“จะหาว่าความจำข้าไม่ดีหรือไร”“ข้ามิได้พูด” จิวหูพูดแล้วก็นิ่งไปครู่ก่อนจะเอ่ยถาม “หากเปลี่ยนเป็นขลุ่ย อยากฟังหรือไม่”“เจ้ามีขลุ่ย?”“ย่อมมี” ขลุ่ยไม้ถูกดึงออกมาจากที่ใดนางไม่รู้ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเขามีขลุ่ยอยู่จริง ๆ อยู่ ๆ นางก็นึกถึงวรรณคดีเรื่องหนึ่งในชาติที่เป็นคะนิ้งขึ้นมา สมัยเรียนนางวาดรูปพระเอกผู้นั้นเหน็บปี่เอาไว้ด้านหลัง...เขาก็พกขลุ่ยไว้ด้านหลังเช่นกันหรือ?ขลุ่ยของเขาทำให้ผู้คนหลับได้หรือไม่จิวหูไม่รับรู้แม้แต่น้อยว่านางคิดอันใด บุรุษหนุ่มหันมาสอบถามนางในทันทีที่ตรวจสอบว่าขลุ่ยที่พกติดตัวมีปัญหาหรือไม่ “อยากฟังหรือไม่เล่า”“ฟัง ข้าจะฟัง” นางเอ่ยล้วก็เงียบรอฟัง ไม่นานบุรุษสวมหน้ากากก็เริ่มบรรเลง
หลังจากพักค้างแรมในป่าเช้าวันต่อมาคณะของเฉินอันหนิงก็ออกเดินทางต่อ แม้ว่าในใจนางจะนึกห่วงเค่อซินที่ควรจะตามมาทันแต่กลับไร้วี่แวว แต่ก็มั่นใจในฝีมือขององครักษ์คนสนิทจึงทำเพียงทิ้งข่าวเอาไว้และเดินทางต่อ การเดินทางในวันที่สามเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีโจรหรือสิ่งใดมาขัดขวาง แต่ก็มีผู้ทำให้นางขุ่นเคืองใจอยู่เช่นกันเจ้าคนต่ำช้าหาเรื่องนางตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง ชวนนางทะเลาะได้ทุกเค่อทั้งที่ศิษย์พี่ของเขาบอกว่าเป็นคนพูดน้อย...แล้วนางก็บ้าจี้ทะเลาะกลับไปเสียด้วยน่าชังนักเชียวความมืดเริ่มย่ามกาย การเดินทางในวันที่สามใกล้จบลงเมื่อเข้าสู่เขตอำเภอหยวนหนาน เมืองหนานเว่ย เฉินอันหนิงเลิกให้ความสนใจคนต่ำช้าและมองเมืองที่ดูจะใหญ่กว่าเมืองเสียนจิ้งแต่ผู้คนไม่พลุกพล่านเท่าไหร่อย่างสำรวจก่อนจะหันไปสั่งเค่อซุนที่รอรับคำสั่งอยู่แล้ว“หาโรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุดให้ข้า”“ขอรับนายหญิง”จิวหลิงมองตามม้าที่ควบออกไปของเค่อซุนที่ตลอดการเดินทางหลังเค่อซินแยกไปเอาม้า เขาและอีกฝ่ายก็ได้ค
การเดินเที่ยวชมเมืองของบุคคลอย่างกู้หลุนกงจู่ที่มีฉายาว่าเป็นองค์หญิงเจ้าสำราญจะไปที่ใดได้ นอกเสียจากหอสุราขึ้นชื่อของเมืองไห่ฉิน ชั้นบนสุดของหอสุราเซียงซีคือที่ที่เฉินอันหนิงเลือกมานั่งดื่มกับน้องสาว ภายใต้ท่าทีคล้ายกับสตรีเสเพลสองพี่น้องนั้น สายตาของทั้งคู่ก็สำรวจผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่เช่นกัน...นัยน์ตาหงส์ทอดมองถนนเบื้องล่างที่เมื่อครู่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนแต่ยามนี้ถูกกลุ่มทหารไล่ต้อนให้หลีกจากทางด้วยความไม่ชอบใจ ท่าทีของทหารเหล่านั้นจะเรียกว่าหยาบคายก็ว่าได้ ไม่เพียงแค่ใช้เสียงข่มขู่ แต่ยังลงไม้ลงมือกับชาวบ้านเสียอีก...ช่างป่าเถื่อนเสียจริง“ไม่รู้เป็นขบวนเสด็จจากแคว้นไหนนะเจ้าคะ ถึงได้ป่าเถื่อนเช่นนี้” ไม่เพียงแค่เฉินอันหนิงที่รู้สึกไม่ชอบใจ เฉินลี่หลินเองก็เช่นกัน หากกลุ่มทหารเหล่านั้นเป็นคนของแคว้นไห่ก็แล้วไปเถิด อีกหน่อยฮ่องเต้องค์ใหม่จะต้องจัดการอย่างแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่ ทหารเหล่านี้มากับขบวนเสด็จของแคว้นใดสักแห่งที่มาร่วมงานพิธีทั้งที่เป็นอาคันตุกะ แต่กลับทำตัวหยาบคายเช่นนี้ ราวกับว่าเป็นแคว้นให
“เค่อซุน ถวายพระพรกู้หลุนอันหนิงกงจู่ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ พันปี พัน ๆ ปี” น้ำเสียงนอบน้อมแฝงไปด้วยความเคารพและหนักแน่นดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ร่างกายสูงใหญ่คุกเข่าลงตรงหน้าของกู้หลุนกงจู่แห่งแคว้นะเฉินเฉินอันหนิงมองใบหน้าคุ้มเคยที่ไม่ได้พบเจอถึงสองปีเต็มของเค่อซุนที่มาเข้าเฝ้าทันทีที่คณะทูตจากแคว้นเฉินถูกพามายังที่พำนักรับรองอาคันตุกะก่อนจะคลี่ยิ้มให้ “ลุกขึ้นเถิด...ฟู่จื่อหลิง”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เค่อซุนหรือที่ตอนนี้จะต้องเป็นฟู่จื่อหลิง คุณชายสามแห่งสกุลฟู่ทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะหันไปสอบถามน้องชาย “พี่รองไม่ได้มาหรือเจ้าสี่”“พี่สะใภ้ใกล้คลอดแล้ว องค์หญิงจึงไม่ให้เขาตามเสด็จ ตอนนี้คงคลอดแล้วกระมัง”“เช่นนี้กลับไป ข้าก็ได้อุ้มก้อนน้อยเลยนะสิ” ผู้ได้รับหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าของกลุ่มยอดฝีมือที่ถูกส่งมาให้แก่จิวหลิงที่ต้องห่างจากพี่น้องมานับสองปียกยิ้มทันทีเมื่อคิดถึงหลานคนแรกของบ้าน เสร็จภารกิจก็ได้เวลาที่เขาจะได้กลับบ้าน มิคาดกลับไปหนนี้เขาจะได้อุ้มหลานโดยไม่ต้องรอ...พี่
สองเดือนต่อมาการเดินทางจากต้าเฉินถึงต้าไห่ใช้เวลาทั้งสิ้นหกสิบห้าวัน เป็นหกสิบห้าวันที่จะกล่าวว่าราบรื่นก็ราบรื่น แต่จะกล่าวว่าทุลักทุเลเล็กน้อยก็ว่าได้เช่นกันสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ...“แม่นางเสียน” น้ำเสียงหยาดเยิ้มที่เอ่ยเรียกฉุดให้เฉินอันหนิงที่เผลอขบคิดถึงการเดินทางนับสองเดือนที่ผ่านมาได้สติและหันสายตาไปมองนี่อย่างไรเล่าผู้ที่ทำให้การเดินทางของพวกนางทุลักทุเลมาเล็กน้อยแทนที่จะราบรื่นน่ะ“แม่นางหลัน มีอันใดหรือ” นางสอบถามอีกฝ่ายพร้อมกับลอบสังเกตท่าทีอีกฝ่ายไปด้วย หลันซิ่วอิงคือสตรีที่นางพบเจอระหว่างทางจากแคว้นลั่วหยางมายังแคว้นไห่ ในตอนที่เจออีกฝ่าย หลันซิ่งอิงกำลังประสบปัญหาเพราะถูกกลุ่มนักฆ่าตามไล่ล่าเพราะไม่อาจเมินเฉยต่อคนต้องการความช่วยเหลือ นางจึงให้เฉินซีหานเข้าไปช่วยเหลือสตรีตรงหน้าเองไว้ ทั้งยังให้นางร่วมเดินทางมาด้วยเมื่อได้รู้ว่ามีจุดหมายปลายทางเป็นแคว้นไห่เช่นกันลำพังหลันซิ่วอิง ไม่ได้ทำให้การเดินทางของนางและคณะมีปัญหา
ได้เห็นดรุณีน้อยชอบใจ เฉินอันหนิงก็พลอยยิ้มไปด้วย สำหรับนางฟู่จื่อเหยาเป็นดั่งน้องสาวผู้หนึ่ง อาจจะตั้งแต่ตอนที่อุ้มครั้งแรกเมื่อครั้งยังเป็นเด็กทารกนั่นล่ะ ที่นางเห็นเด็กน้อยอาภัพมารดาผู้นี้เป็นน้องสาวและปรารถนาให้ยิ้มอยู่เสมอ แต่บางครั้งน้องสาวผู้นี้ก็ถามในสิ่งที่ไม่ควรถามอยู่เช่นกัน...“พี่สาว...พี่สาวจะไปหาพี่ใหญ่หรือไม่เจ้าคะ” ดั่งเช่นตอนนี้ที่อยู่ด้วยกันเพียงลำพังที่คอกม้าจนสามารถพูดคำสามัญได้ น้องสาวผู้นี้ ถึงนางจะมองเป็นน้องสาวอย่างไร แต่สุดท้ายก็เป็นน้องสาวของคนผู้นั้นอยู่ดี“ไม่ เหตุใดข้าต้องไปหาคนอย่างเขา” นางตอบโดยไม่หันกลับไปมองน้องสาวบุญธรรมผ่านมาสองปี ความขุ่นเคืองในใจมิได้ลดน้อยลง ความรู้สึกอื่นก็เช่นกัน แต่จะทำอย่างไรได้เล่า แม้บุปผามีใจ หากสายน้ำไร้รัก ก็ย่อมต้องปล่อยให้ผ่านไป...นางมิใช่คนที่จะไปบังคับข่มเหงผู้ใดและเมื่อพูดไปแล้วว่าไม่สนใจ ก็ย่อมไม่เก็บเรื่องของเขามาใส่ใจอีกป่านนี้บุรุษผู้นั้นคงมีฮูหยินไปแล้วกระมัง นางจะไปหาเขาทำไมกั
นางใช้เวลาไม่นานก็มาปรากฏตัวหน้าห้องทรงพระอักษรเป็นที่เรียบร้อย ใบหน้างามล่มเมืองปั้นให้ดูปกติที่สุดก่อนจะเผยยิ้มส่งให้บิดาในทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในห้อง“เสด็จพ่อ”“แคว้นไห่ส่งราชสาร์นเชิญมา” ไม่รอให้พระธิดาองค์โตสอบถามใด ๆ ฮ่องเต้ไท่เสียนก็บอกเล่าสาเหตุที่เรียกให้มาหาในทันทีพร้อมกับยื่นพระราชสาร์นให้ “ต้าไห่เปลี่ยนฮ่องเต้แล้ว”คำบอกเล่ามิใช่เรื่องน่าตกใจอันใด ฮ่องเต้ไท่เสียนเองก็มิได้แปลกใจใด ๆ อันเนื่องมาจากบุตรสาวได้บอกเล่าให้ฟังมาก่อนแล้วเฉินอันหนิงกวาดสายตาอ่านตัวอักษรในราชสาร์นที่แสนคุ้นเคยก่อนจะระบายยิ้ม จิวหลิงเขียนราชสาร์นฉบับนี้ด้วยตัวเองไม่ผิดแน่และในราชสาร์นก็บอกเล่าว่าตนได้จัดการอดีตฮ่องเต้ทรราชเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดี จึงส่งสาร์นฉบับนี้มาเฉินไท่เสียนฮ่องเต้ เชื้อพระวงค์และคณะทูตจากต้าเฉินมาร่วมในงานพระราชพิธีเถลิงราชสมบัติที่จะจัดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้าอีกทั้งยังทิ้งข้อความลับไว้ในพระราชสาร์น กำชับให
เฉินอันหนิงมองท่าทีของสหายด้วยรอยยิ้ม ย้อนคิดไปถึงเมื่อหนึ่งปีก่อนขึ้นมา ตอนที่ผู้คนได้รู้ว่าเหลยเซียนหนิงถอนหมั้นกับเสียนฟู่ถังแล้วก็เป็นวันที่มีงานมงคลของเสียนฟู่ถังกับฟ่านซูเซียน โชคดีที่ตอนนั้นแม่ทัพเหลยได้รับราชโองการให้ไปคุมการสร้างเขื่อนที่เมืองถงอันทางตอนใต้ เหล่าแม่สื่อจึงยังไม่มีโอกาสเข้ามาพูดคุยทว่าหนึ่งปีก่อนแม่ทัพเหลยจิ้งเสร็จสิ้นภารกิจกลับมายังจวนในเมืองหลวง นับจากนั้นเหล่าแม่สื่อก็มายังจวนแม่ทัพบูรพาไม่หวาดไม่ไหว แม้แต่หรงฮองเฮาก็มีท่าทีอยากจะได้สหายของบุตรสาวมาเป็นพระชายารัชทายาท ด้วยไม่อยากแต่งเข้าราชวงค์ และไม่อยากเกี่ยวดองกับขุนนางที่จ้องแต่จะหาผลประโยชน์จากตำแหน่งของผู้เป็นพี่ชาย เหลยเซียนหนิงจึงต้องสร้างเรื่อง...และเรื่องที่เหลยเซียนหนิงสร้างก็คือการจัดฉากเล่นงานองครักษ์ของสหายเช่นนาง ไม่รู้ว่าสหายผู้นี้ไปทำเช่นไรเค่อซินจึงได้ยอมให้ท่านลุงฟู่ส่งแม่สื่อไปพูดคุย ทว่าท่าทีของทั้งคู่ไม่ได้มีความรักเข้ามาเกี่ยวข้องเหลยเซียนหนิงบอกกับนางและเว่ยหนิงว่าการแต่งงานครั้งนี้นางได้ตกลงกับเค่อซินแล้ว
สองปีต่อมาสิ่งที่ผ่านไปรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ก็คือวันเวลา เผลอเพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูป และเปลี่ยนเป็นหนึ่งชั่วยาม หนึ่งวัน หนึ่งเดือน จนกระทั่งล่วงเลยไปหนึ่งปี สองปีอย่างรวดเร็วและแสนสั้นสองปี...หากจะกล่าวว่ายาวนาน มันก็ยาวนานแต่หากจะบอกว่าช่างแสนสั้น มันก็ผ่านไปรวดเร็วระยะเวลาสองปีมานี้สำหรับเฉินอันหนิงแล้วทั้งมิได้เนิ่นนาน และมิได้รวดเร็ว อาจจะเพราะนางมิได้เฝ้ารอผู้ใดจึงไม่ได้รู้สึกว่ามันทั้งยาวนานและเนิ่นนาน และอาจจะเพราะนางใช้เวลาไปกับการพัฒนาแคว้นและทำการค้า วันเวลาของนางจึงเป็นเช่นนี้ แต่กว่าจะรู้ตัวอีกที...รอบข้างก็มีความเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วแคว้นต้าเฉินในตอนนี้นับได้ว่าเป็นแคว้นที่ร่ำรวย ราษฏรมีกินมีใช้ นักเดินทางและพ่อค้าคหบดีต่างแคว้นก็พลุกพล่านทำให้การใช้จ่ายภายในแคว้นเป็นไปได้ด้วยดีกิจการของนางที่ร่วมกับเว่ยหนิงและนายท่านแห่งหอเทียนหลินก็เป็นไปได้ดี ไม่ว่าจะเป็นตลาดย่านการค้าที่นางกว้านซื้อที่ดินมาสร้างให้เหมือนกับห้างสรรพสินค้าในยุคอนาคต ที่เป็นแหล
งานสถาปนาแคว้นนับเป็นงานเฉลิมฉลองใหญ่ ชาวบ้านต่างประดับประดาบ้านช่องและจัดงานเทศกาลเฉลิมฉลอง ประโคมดนตรีเป็นเวลาถึงเจ็ดวัน ภายในพระราชวังก็มีการเฉลิมฉลองใหญ่ต้อนรับอาคันตุกะที่มาร่วมแสดงความยินดีเช่นกัน แต่ก็จัดเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น ส่วนในวันที่เหลือหากอาคันตุกะจากต่างแคว้นประสงค์จะอยู่ต่อเพื่อท่องเที่ยวก็สามารถพักยังที่รับรองที่จัดเอาไว้ให้ได้ต่อเมื่อเทศกาลการเฉลิมฉลองจบลงผู้คนก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ภายในพระราชวังเองก็กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติเช่นกัน แต่ก็ใช่ว่าจะสงบสุข ผู้คนต่างให้คามสนใจท่าทีของจวนสกุลเจียง หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในวังที่เล็ดลอดออกมาสกุลมู่ไม่นับว่าตกต่ำ แม่ทัพฟ่านรุ่งเรืองเช่นไร รองแม่ทัพและเหล่านายกองก็ย่อมรุ่งเรืองตามไปด้วย สกุลเจียงคิดจะทำเช่นไรย่อมต้องดูสีหน้าสกุลมู่ให้มากเหล่าขุนนางย่อมรับรู้สถานการณ์ของสกุลเจียงมากกว่าชาวบ้าน ใต้เท้าเจียงผู้เป็นบิดาของเจียงเหิงอยู่ใต้บารมีของสกุลเถียน สนับสนุนเถียนเจาอี๋มาโดยตลอด เมื่อเถียนเจาอี๋ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นสกุลเจียงก็พลอยต
ทั้งที่ค่ำคืนนี้ภายในพระราชวังมีการแสดงแต่ผู้มีศักดิ์เป็นองค์หญิงขั้นหนึ่งกลับไม่ได้อยู่ภายในพระราชวัง วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายนางเหนื่อยล้าเกินกว่าจะปั้นหน้ายิ้มต้อนรับผู้คน จึงได้แอบหนีออกมานัยน์ตาหงส์ภายใต้หน้ากากจิ้งจอกทอดมองสองฟากฝั่งของตลาดสายหลักในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยการประดับประดาโคมไฟก่อนจะเหลือบมองใครอีกคนที่ปกปิดใบหน้าไว้ภายใต้หน้ากากเสือที่ยืนอยู่ข้าง ๆคนผู้นี้นี่อย่างไร ทั้งที่ไม่ยอมรับและหาข้ออ้างใด ๆ มาพูดกับนาง แต่กลับยินยอมเดินตามนางมาเที่ยวเล่นในตลาด และในตอนนี้ยังมาเดินข้าง ๆ แทนการเดินตามหลัง...มิคิดว่าตนต่ำต้อยแล้วหรือ?“จะกลับไปหาพี่จิวหลินอีกหรือ” ทั้งที่ไม่อยากจะสอบถามแล้ว แต่สุดท้ายนางก็อยากจะลองถามอีกสักครั้ง เผื่อว่าบุรุษผู้นี้จะเปลี่ยนใจขึ้นมาแต่ก็...ไม่เลย“กลับพะย่ะค่ะ” จิวหูตอบอย่างฉะฉาน ไร้วี่แววลังเล ต่อให้ใจห่วงทางนี้เช่นไร ทว่าก็ไม่อาจจะเปลี่ยนความตั้งใจของตนได้ อย่างไรเขาก็จะติดตามศิษย์พี่ใหญ่จนกว่าอีกฝ่ายจะได้หวนคืนกลับสู่ที่ที่ควรอ