“พี่ชายช่วยเปิดทางให้ข้าด้วยเถิดนะคะ ข้าเป็นโรคติดต่อร้ายแรง เกรงว่าพวกท่านจะติดโรคไปด้วย” ณาราแกล้งไอโขลกๆ ชายกลุ่มนั้นจึงต่างหันมองหน้ากันด้วยสายตาหวาดระแวง ก่อนจะยอมปล่อยให้ทั้งสามผ่านทางแต่โดยดี “ไปๆ”ท่ามกลางความโล่งอกของไห่ถวน แน่ล่ะ… การเที่ยวสนุกของหนุ่มน้อยอย่างเขาคงไม่ราบรื่นแน่หากต้องถูกคนตามล่า หลังจากผ่านด่านมาได้แล้ว เจิ้งหมิงจึงพาณาราและไห่ถวนไปขอความช่วยเหลือจากหานอวี้ โชคยังดีที่วันนี้เขาเพิ่งจะกลับจากหาปลา จึงได้พบกันก่อนที่เจิ้งหมิงจะเดินทางไปถึงบ้านของหานอวี้เสียอีก“พิษบุพผาสวาท ข้าเคยได้ยินมาว่า ฤทธิ์ของมันร้ายแรงนัก ใช้ปลุกกำหนัดในสตรีและบุรุษผู้มักมากในกามารมณ์ในหอคณิการ์ จะออกฤทธิ์เฉพาะกลางคืนเท่านั้น มีเพียงไข่มุกจันทราเท่านั้นที่จะขับพิษออกมาได้ก็จริง แต่ก็มีวิธีระงับพิษมิให้กำเริบขึ้นมาชั่วคราวอยู่” หานอวี้ว่าไปตามสิ่งที่เขารู้มาจากในยุทธภพ“ทำอย่างไรครับพี่หาน”“ปิดเส้นลมปรานเอ็นเท้าอินทั้ง 3 เส้น เอาไว้ทั้งหมด เพื่อสกัดการกำเริบของพิษ”“เรื่องนี้พี่เจิ้งไม่ต้องกังวล ข้าสามารถฝังเข็มปิดเส้นลมปรานได้ แต่…” ไห่ถวนอึกอัก เม
ในความฝัน…ณาราพบเงาร่างของสตรีนางหนึ่ง ท่ามกลางหมอกหนา เมื่อนางเดินเข้ามาใกล้ จึงเห็นว่าเป็นจ้าวเจี้ยนฟางนั่นเอง“แม่นางเจี้ยนฟาง”“ข้าเป็นห่วงท่านพ่อ ป่านนี้ท่านคงกำลังส่งคนตามหาข้าจนแทบพลิกแผ่นดินแล้ว หลังจากเจ้ากลับเข้าไปในเมืองฉางโจวแล้ว เจ้าช่วยไปหาท่านพ่อแทนข้าด้วยนะ ข้าขอร้อง” จ้าวเจี้ยนฟางไม่พูดเปล่า คุกเข่าลงตรงหน้าณาราอีกต่างหาก“เจ้าอย่าทำแบบนี้เลย ลุกขึ้นเถอะ” ณาราเข้าไปประคองร่างจ้าวเจี้ยนฟางให้ลุกขึ้นยืนดังเดิม“เรื่องท่านอ๋อง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ ถึงอย่างไรข้าก็มาอยู่ในร่างของเจ้าแล้ว อย่างไร ข้าก็จะทำหน้าที่ทุกอย่างแทนเจ้าให้ดีที่สุด ข้าจะดูแลท่านอ๋องแทนเจ้า แล้วก็… จะสืบหาฆาตกรที่ฆ่าเจ้าให้ได้”“ขอบคุณเจ้ามาก ขอบคุณจริงๆ” เอ่ยได้เพียงเท่านั้น พร้อมกับร่างของจ้าวเจี้ยนฟางยามกายลง ร่างนั้นก็กลับกลายเป็นเพียงเงา ค่อยๆ เลือนหายไปในสายหมอกหลี่จิ้งกวาดข้าวของบนโต๊ะลงมากระจายบนพื้นด้วยความโกรธจนแทบคลั่ง หลังจากที่คนของเขากลับมารายงานว่า ทหารเฝ้าท่าเรือปล่อยสามีภรรยาคู่หนึ่ง พร้อมผู้ติดตามขึ้นฝั่งไปเมื่อตอนเย็น จนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่า พวกเขาเป็นใคร“ท่านหญิงจะต้องขึ้นฝั่ง
“ข้าต้องขอบคุณองครักษ์เจิ้งมาก” ท่านอ๋อง 9 คราวะพลางค้อมศีรษะน้อยๆ ทำเอาคนอ่อนอาวุโสกว่าคารวะรับแทบไม่ทัน“เป็นหน้าที่ข้าอยู่แล้วครับท่านอ๋อง”“ระหว่างอยู่กับท่าน ลูกข้าคงซุกซน สร้างเรื่องปวดหัวให้ท่านไม่น้อย”“ทรงเดาผิดแล้วล่ะท่านอ๋อง ระหว่างที่ท่านหญิงอยู่กับข้า ช่วยแบ่งเบางานราชการได้มากนัก ท่านอ๋องคงไม่เชื่อว่า ท่านหญิงน้อยมีปรีชาสามารถ นอกจากจะเฉลียวฉลาดเป็นเลิศแล้ว ยังช่วยข้าสืบคดีอีกด้วย อภัยที่ข้าไม่ได้เรียนท่านตั้งแต่แรก เพราะท่านหญิงขอร้องเอาไว้”“เจี้ยนฟาง ทำไมเจ้าจึงไม่ยอมบอกพ่อ ปล่อยให้พ่อคิดถึงเจ้าแทบขาดใจ”“ท่านพ่อ ที่ลูกต้องปิดบังท่าน เพราะลูกต้องการสืบหาคนที่ลอบทำร้ายลูกค่ะ” พร้อมกับคำตอบนั้น ฮุ่ยเหนียงก็เดินเข้ามาในห้องรับรองพอดี นางถึงกับชะงัก ดวงตาเบิกกว้างทีเดียว เมื่อเห็นว่า ท่านหญิงน้อยคนที่นางเกลียดชังยังคงยืนอยุ่ตรงหน้า มิหนำซ้ำยังมีเฉินลู่ซีกับคนของเขาตามมาเป็นพรวนอีกต่างหาก ดีที่นางเป็นคนเล่นละครตบตาเก่ง จึงเปลี่ยนสีหน้าท่าทีได้รวดเร็ว“กลับมาแล้วหรือคะท่านหญิงน้อย อ้อ คารวะใต้ท้าวเฉินด้วยค่ะ” นางจีบปากจีบคออย่างมีจริตได้เห็นกับตาแล้ว ณาราก็รู้ได้ในทันที
วันต่อมา จ้าวเจี้ยนฟางคนใหม่ กำลังเข้าครัว ให้พ่อครัวเตรียมอาหารมื้อใหญ่ สำหรับแขกที่เธอเชิญมาเลี้ยงขอบคุณในเย็นวันนี้ขณะกำลังชิมขนมกุ้ยฮวา ฝีมือพ่อครัวเอกอยู่นั่นเอง ก็มีคนมารายงานว่า มีขบวนเกี้ยวของคุณชายท่านหนึ่งมาที่ตำหนักอ๋อง และคนบนเกี้ยวบอกว่า มาพบเธอแม้ไม่รู้จักคุณชายผู้นั้น แต่ณาราก็ยอมออกมาพบเขาแต่โดยดีทันทีที่เห็นว่าจ้าวเจี้ยนฟางเดินเข้ามา ชายผู้นั้นก็เดินมาจับมือนางเอาไว้ สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความยินดีจะว่าไปชายผู้นี้ก็หล่อเหลา งามสง่าไม่น้อย ทั้งเครื่องหน้าเหมาะเจาะ ผิวขาวลออตา ดวงตาคู่คม ภายใต้คิ้วมังกรเข้ม รับกับจมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูปสีชมพูนิดๆ แม้ไร้การแต่งแต้มด้วยลิปมันอย่างคนสมัยใหม่ ดูแล้วชวนมองเสียนี่กระไร หากไม่ติดว่า เธอตกหลุมรักเจิ้งหมิงไปแล้ว คงจะแอบชื่นชมเขาบ้างอยู่หรอก“เจี้ยนฟาง ข้าเพิ่งกลับจากไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นต้าหลี่ พอรู้ว่าเจ้ากลับบ้านที่ฉางโจว จึงรีบตามมา”“ท่าน… เอ่อ” ณาราอึกอัก พร้อมกันนั้นภาพของชายหนุ่มผู้นี้ก็ผ่านวาบเข้ามาในความทรงจำที่แท้ เขาก็คือ “อู่เฉิง” คนรักของจ้าวเจี้ยนฟางนี่เอง เขาเป็นเอกอัคราชทูตของฮ่องเต้ไท่จือ ไม่นึกเลยว
“พี่อู่เฉิง”“ข้าเห็นเจ้าเดินเข้ามาในครัว ก็เลยจะมาช่วย”“ไม่เป็นไรค่ะ พี่เป็นแขก ไปนั่งรอในห้องอาหารจะดีกว่านะคะ”“ไม่ ข้าไม่อยากให้เจ้าเหนื่อย ได้ยินท่านอ๋องบอกว่า เจ้าเพิ่งจะหายป่วย ไปนั่งกับข้าดีกว่านะ”“ค่ะ” ณาราวางมือเรียวลงบนมือแข็งแรงของอู่เฉิง ยอมให้เขาถือจานแพะย่างให้ แล้วเดินเคียงกันไปตามทางเดินขณะที่เจิ้งหมิงมองภาพบาดตาบาดใจตรงหน้า ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่า ทำไมจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ ที่เห็นแม่นางผู้กล้าของเขา จับมือถือแขนชายอื่น อะไรก็ไม่เจ็บใจเท่า ชายผู้นั้นมีภาษีเหนือกว่าองครักษ์ขั้น 4 เช่นเขาทุกประการ ทั้งรูปร่างหน้าตา ตำแหน่งทางราชการ เขาควรทำอย่างไรดีนะ จึงจะทำให้ณารากลับมาเป็นดังเดิมขณะยืนครุ่นคิดหาวิธีอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวด้วยวิชาตัวเบาของใครคนหนึ่งเคลื่อนใกล้เข้ามา ก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งจะกระโดดตุบลงตรงหน้าเขา“ศิษย์พี่”“จิงอวิ๋น เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”“ข้ามาได้อย่างไรไม่สำคัญหรอก แต่สิ่งสำคัญคือ เรื่องของศิษย์พี่กับแม่นางผู้นั้นต่างหากล่ะ ข้าไม่เคยเห็นท่านเข้าไปจับมือใครมาก่อน ศิษย์พี่กับนางชอบพอกันใช่หรือไม่”เจิ้งหมิงกำลังจะเอ่ยปากตอบ แต่ก็ช้าก
“ปู้จิงอวิ๋น น่ะเหรอ นางเป็นศิษย์น้องของข้า ไม่ใช่คนรักสักหน่อย”“จะไม่ใช่ได้ยังไง ก็นางมาวีนใส่ข้า แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของพี่อยู่เลย”“แต่ข้าไม่ได้คิดแบบนั้นกับนางนะ ข้าเคยปฏิเสธไปแล้ว แต่นางไม่ยอมฟัง”“นั่นมันเรื่องของพี่ ไปเคลียร์กันเอาเอง แล้วพี่ก็ไม่จำเป็นต้องมาบอกข้าด้วย เพราะเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน ปล่อยข้าได้แล้ว”พอเจิ้งหมิงปล่อยเธอเป็นอิสระเท่านั้น ณาราก็ยกมือขึ้นกอดอก เชิดหน้าขึ้นน้อยๆ“ณารา ที่เจ้ากำลังแสดงออกอยู่นี่ อย่าบอกนะว่า เจ้ากำลังหึงข้ากับศิษย์น้องอยู่น่ะ” เจิ้งหมิงไม่ยอมแพ้ ก้าวช้าๆ มายืนประจันหน้ากับคนตัวเล็กกว่า“ใครหึง พี่สำคัญตัวเองผิดไปแล้วล่ะ”“ตั้งแต่เราร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา เจ้าไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ จนกระทั่งจิงอวิ๋นเข้ามา บอกข้ามาว่า นางพูดอะไรกับเจ้า” ไม่คาดคั้นเปล่า เจิ้งหมิงยังรวบร่างเล็กกว่ามาไว้ในอ้อมแขน พลางจ้องหน้าณารานิ่งอีกต่างหาก“ถ้าไม่บอก ข้าจะ…”“จะอะไร”แทนคำตอบ องครักษ์หนุ่มก็โฉบริมฝีปากอุ่นลงมาจุมพิตกลีบปากนุ่มแผ่วเบา ก่อนทวีความหนักหน่วงยิ่งขึ้น ทำเอาคนไม่ทันได้ตั้งตัวเบิกตากว้าง มือเรียวตกลงข้างตัว แข้งขาอ่อนแรงไม่อาจทรงกายได
ปลายกระบี่ของจอมยุทธสาวตวัดไอ้โม่งหลุดออกนั้น เผยให้เห็นดวงหน้าดุดันแดงก่ำ ดุจพุทราจีนสุก แววตาทั้งคู่ทอประกายเจิดจ้าด้วยความโกรธ“เจ้าเป็นใคร”“จะฆ่าก็เชิญ ไม่ต้องถามมาก” น้ำเสียงกร้าวกระด้างเอื้อนเอ่ยเด็ดเดี่ยวเยี่ยงชายชาติทหาร แต่แปลกที่เขากลับไม่ยอมปลิดชีพของตนเอง อย่างที่คนร้ายบางคนกระทำ ยามถูกจับได้ และไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่า เขาเป็นใคร“ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าให้เปลืองแรงหรอก ศิษย์พี่ จับมัน”สิ้นคำพูดของจอมยุทธสาว เจิ้งหมิงก็เข้าจับชายผู้นั้นใส่กุญแจมือ แล้วพาเข้าไปพบเฉินลู่ซีทันทีเพียงแวบแรกที่ได้เห็นหน้า พิจารณาลักษณะของเขาแล้ว เฉินลู่ซีก็เดาได้ในทันทีว่า คนร้ายจะต้องเป็นทหารอย่างแน่นอน“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงต้องบุกเข้ามาทำร้ายข้าเช่นนี้”“ข้าบอกแล้วไงว่า จะฆ่าก็เชิญไม่ต้องถามมาก”“ปากแข็งนักนะ หรือว่าเจ้าอยากถูกทรมาน ถึงจะยอมเปิดปาก”“ข้าไม่มีอะไรต้องพูด” คนร้ายยังคงยืนกรานเช่นเดิม“ถ้าอย่างนั้น ก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายนะ” ปู้จิงอวิ๋นขู่ แล้วหันไปเอ่ยกับเฉินลู่ซีต่อว่า“ใต้ท้าวคะ ข้าขอจัดการเค้าเองค่ะ” ว่าแล้วนางก็ซัดอาวุธลับเคลือบยาพิษ เข้าใส่คนร้าย“เจ้าทำอะไรข้า” คนร้ายกัดฟั
“แม่นางปู้ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ข้าขอโทษที่ล่วงเกินแม่นาง”“ไม่เป็นไร ข้าขอตัวล่ะ”“ดึกดื่นเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังอากาศเย็น ท่านจะรีบไปไหน” จี้หมินมิวายเป็นห่วง เพราะถึงอย่างไร นางก็เป็นศิษย์น้องของเจิ้งหมิง และยังเป็นคนช่วยศาลซื่อเหอจัดการกับคนร้ายจนตนเองต้องมาบาดเจ็บด้วย“กลับโรงเตี๊ยม”“ถ้าแม่นางไม่รังเกียจ ให้ข้าไปส่งเถิดนะ”“ไม่ต้อง ข้ากลับเองได้ ศิษย์พี่ยังไม่ไปส่งข้าเลย เจ้าเองก็คงมีงานต้องทำ ข้ากลับเองจะสะดวกกว่า” ปู้จิงอวิ๋นปฏิเสธเสียงแข็ง ทั้งที่น้อยใจจนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ก้าวออกจากจวนรับรองด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจเหลือแสนนี่กระมัง พิษรักที่กัดกร่อนใจนางมาเนิ่นนานปี และมันกำลังทำร้ายหัวใจนางไม่รู้จบสิ้น ถึงเวลาแล้ว ที่นางจะต้องถอนพิษรักนั้นออกจากหัวใจเสียที ในเมื่อเจิ้งหมิงไม่เลือกนาง นางก็จะขอครองตัวเป็นโสด หากมีใครสักคนเข้ามา และไม่รังเกียจที่นางเป็นชาวยุทธ ปู้จิงอวิ๋นก็คงต้องลองเปิดใจดูสักครั้ง หมดเวลาจมปลักอยู่กับคนที่ไม่เห็นค่าของหัวใจนางแล้ว พอเถิด...พอสักทีขณะเดียวกัน ณาราออกมายืนชมดวงดาวนับร้อยพัน บนผืนฟ้ากว้างไกล ไม่นึกเลยว่า เมื่อต้องมาอยู่ในห้วงเวลาที่ไม่มีไฟฟ้าส่
ทันทีที่กองทัพจากเมืองหลวงยกพลขึ้นบกที่เกาะจวินจวู พร้อมด้วยเจิ้งหมิง จี้หมิน และเจิ้นหยาง บรรดาหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกจับตัวไป ก็ถูกช่วยพาขึ้นเรือกลับมายังฝั่ง เมื่อไม่ได้รับยาจากคนของเจ้าเกาะ ความทรงจำของพวกนางก็ค่อยๆ กลับคืนมา ที่ต้องลุ้นระทึกก็คือ หญิงตั้งครรภ์จำนวน 5 นาง ได้คลอดลูกบนเรือ ดีที่เจียงจื่อหยารอบคอบ ให้หมอตำแยในเมืองฉางโจวติดตามไปด้วยหลายคน จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางใช้เวลาเกือบครึ่งเดือน เฉินลู่ซีก็ส่งหญิงตั้งครรภ์กลับสู่ครอบครัวได้สำเร็จ“อวี้เอ๋อ” จางเหวินชิง กอดภรรยาไว้ในอ้อมแขนทั้งน้ำตาอาบสองแก้ม นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้พบภรรยาเสียแล้ว“ท่านพี่” นางเองก็กอดสามีเอาไว้แน่นเช่นกัน“ขอบคุณใต้ท้าว องครักษ์เจิ้ง ที่ช่วยคลี่คลายคดีความทุกข์ให้ครอบครัวข้า ขอบคุณครับ” จางเหวินชิงคารวะจากใจขณะที่เสี่ยวหง ปิงปิงและซวงเอ๋อเองก็ต่างโผเข้ากอดสามีของนาง ก่อนจะรีบผละออก เมื่อเห็นว่าณารายืนมองมายิ้มๆ“เจี้ยนฟาง” นางทั้งสามปรี่เข้ามาหาณารา ต่างกวาดสายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วมาหยุดอยู่ตรงกลางลำตัว“เอ๊ะ เจ้าไม่ได้ตั้งครรภ์นี่” ซวงเอ๋อทักขึ้นด้วยความประหลาดใจ“อึม” ณาราพยักหน้า
เจ้าเป็นถึงฮูหยินรองของตำหนักอ๋อง ใครเล่าจะข่มขู่เจ้าได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ อย่างไรข้าก็ต้องพาตัวทั้งเจ้าและพ่อบ้านไปรับโทษอย่างแน่นอน” สิ้นคำพูดของท่านอ๋อง 9 ไห่หลานก็พาตัวจ้าวหลงซินออกมา โดยมีเฉินลู่ซี และมือปราบเจิ้นหยางเดินตามเข้ามาในห้องเช้าวันต่อมา นอกจากข่าวใหญ่ เรื่องคนของศาลซื่อเหอ นำกำลังทหารจากเมืองหลวงไปยังเกาะจวินจวูแล้ว ยังมีข่าวของฮูหยินรองแห่งตำหนักอ๋อง ปองร้ายธิดาคนเล็กของท่านอ๋อง มิหนำซ้ำยังลักลอบเป็นชู้กับพ่อบ้านจ้าวหลงซิน เป็นที่พูดถึงทั่วเมืองเมื่อเรื่องร้ายผ่านไปแล้ว ไห่ถวนก็ขอตัวตามเจิ้งหมิงกลับเกาะจวินจวู ขณะที่ณาราในร่างจ้าวเจี้ยนฟางเอง ต้องรออยู่ที่ตำหนักอ๋อง ให้เจิ้งหมิงทำธุระของเขาให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ค่อยพาผู้ใหญ่จากเมืองหลวงมาสู่ขอนางตามประเพณีแม้จะมีชีวิตสุขสบายดีแล้ว ณาราก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี ที่ไม่สามารถบอกให้ใครล่วงรู้ได้ว่า เธอไม่ใช่จ้าวเจี้ยนฟาง ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถทำให้ท่านอ๋อง 9 เสียใจเรื่องธิดาได้ จึงทำได้เพียงเก็บคำเสียค่ำคืนหนึ่ง ท่านอ๋อง 9 นอนกระสับกระส่ายอยู่บนที่นอน จิตดิ่งลึกลงสู่ห้วงนิทรารมย์ ที่มีเพียงม่านหมอกขาวจนมองไม่เ
นึกไม่ถึงว่า เสี่ยวชุ่ยจะฝ่าฝืนคำสั่ง คิดปองร้ายจ้าวเจี้ยนฟาง“ข้าผิดไปแล้ว ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย”“ข้าจะให้ใต้ท้าวเฉิน เป็นคนตัดสินความเรื่องนี้เอง”ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย”“เสี่ยวชุ่ย บอกข้ามาว่าใครสั่งการให้เจ้าทำร้ายท่านหญิงน้อยเช่นนี้” ฮุ่ยเหนียงปราดเข้าหาคนผิด จิกเล็บลงกับเรือนผมของนางสุดแรง จนหน้าหงาย ดวงตาจับจ้องหน้าสาวรับใช้วาวโรจน์ มิใช่เพราะต้องการให้นางสาภาพความจริง ตรงกันข้าม ฮุ่ยเหนียงต้องการให้นางปิดปากให้สนิทต่างหาก“ฮูหยินรอง ข้าข้า”“พูด” ท่านอ๋อง 9 ตวาดลั่น ดวงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ“หากเจ้าไม่บอก ข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ” ฮุ่ยเหนียงบอกเป็นนัยๆ ว่า หากนางเปิดปาก จะตัดลิ้นสาวรับใช้เสียให้รู้แล้วรู้รอดหากยังไม่ทันที่เสี่ยวชุ่ยจะเอ่ยอะไรออกมา ร่างนอนนิ่งอยู่บนเตียงก็กระตุกเฮือก ชักตาตั้ง กระอักเลือดสีแดงสดออกมา“ท่านอ๋อง ท่านหญิงแย่แล้วเจ้าค่ะ” ไห่หลานโวยวายพลางร้องไห้โฮๆ“เด็กๆ พานางไปขังไว้ก่อน ใต้ท้าวเฉินมาค่อยตัดสินความ”สิ้นคำสั่งเรียกคนของท่านแล้ว ท่านอ๋อง9 ก็ปราดมาที่เตียง ประคองธิดาคนเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน“เจี้ยนฟาง เจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ” ท่านอ๋อง 9 รำพัน น้ำตานองหน้า
ณารายิ้มยั่วเย้า“อยากรู้ว่าเคยมั้ยล่ะคะ” ณาราสบตาคนตรงหน้าแน่วนิ่ง ก่อนจะดันร่างของคนตัวใหญ่กว่าให้เดินถอยหลังไปที่เตียง แกล้งผลักเขาลงกับที่นอน แล้วกระโดดขึ้นคร่อม ทั้งที่ในชีวิตนี้ เธอไม่เคยทำแบบนี้กับชายใดเลยแม้แต่ครั้งเดียว“เจ้าจะทำอะไร!” เจิ้งหมิงเบิกตากว้าง ตกใจกับท่าทีของเธอ ไม่นึกเลยว่า ผู้หญิงจากโลกอนาคตจะไวไฟได้เพียงนี้แต่แทนที่ณาราจะตอบคำถาม กลับก้มลงจรดริมฝีปากกับหน้าผากของเขาแล้วเลื่อนเรื่อยลงมาหยุดตรงซอกคออย่างย่ามใจเรื่องอะไรเจิ้งหมิงจะยอมให้นางทำอย่างนั้นฝ่ายเดียว พอนางเผลอ เขาก็เป็นฝ่ายพลิกกายขึ้นมาอยู่ด้านบน ทำเอาคนคิดจะแกล้งหยอกเย้าเล่นหน้าตื่น“พี่จะทำอะไร”“เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรล่ะ หึม” เจิ้งหมิงเป็นฝ่ายยิ้มยั่วเย้าบ้าง แล้วจรดริมฝีปากอุ่นจัดลงกับใบหูเล็ก ระเรื่อยลงมายังซอกคอขาวละมุน แล้ววนเรื่อยขึ้นไปยังใบหูเล็กรวดเร็ว“พี่เจิ้ง อย่า ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่ได้จริงจังสักหน่อย”“แต่เจ้าทำให้ข้าอยากจริงจังนี่นา”“ข้าบอกแล้วไงล่ะว่าแค่ล้อเล่น ข้าบอกให้ก็ได้ว่า ข้ายังไม่เคยมีความสัมพันธ์กับชายใดสักหน่อย” ณาราสารภาพอ้อมแอ้ม“ลงไปได้แล้ว เดี๋ยวไห่ถวนก็มาเห็นเข้าหรอ
ท่านอ๋อง 9 ผุดลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหาจนแทบจะชนกัน เมื่อจู่ๆ ธิดาคนเล็กก็พาหญิงสาวผู้หนึ่งมาแนะนำให้รู้จัก พร้อมกับหนุ่มน้อยไห่ถวน จากเกาะจวินจวู“นี่ไห่หลาน พี่สาวของไห่ถวน เพิ่งมาจากเกาะจวินจวูค่ะ” ณาราแนะนำทั้งที่แทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่“อึม แม่นางไห่หลานนี่ ดูลักษณะรูปร่างช่างดูค้นตานัก เหมือนเคยพบที่ใดมาก่อน” เฉินลู่ซีตั้งข้อสังเกต แม้เรือนร่างภายใต้เครื่องแต่งกายสตรีจะไม่ได้กำยำล่ำสันมากนัก แต่ก็ดูบึกบึนกว่าสตรีโดยทั่วไปอยู่ดีเจิ้งหมิงทำชะม้ายชายตาครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดผ้าคลุมหน้าออกดวงหน้าแตะแต้มด้วยเครื่องสำอาง แม้งดงามก็จริง แต่ทำไมเขาจะจำดวงตาคมกล้าคู่นั้นไม่ได้เล่าว่า นางเคยเป็นใครมาก่อน“นี่เจ้า เอ่อ…”“ท่านพ่อ ข้าอยากกลับบ้านแล้ว เรารีบกลับกันเถอะค่ะ” ณาราเดินมาเกาะแขนท่านอ๋อง 9 เอาไว้หลวมๆ“ท่านพ่อคะ อย่างไร ลูกขอพาคนของลูกไปด้วยนะคะ ตอนอยู่บนเกาะ ทั้งสองช่วยเหลือลูกเอาไว้มากเหลือเกิน ลูกไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณอย่างไร จึงทำได้เพียงรับรองทั้งสองเป็นอย่างดี”“ได้สิลูก เรากลับกันเถอะนะ” ท่านอ๋อง 9 ยิ้มน้อยๆ ทั้งที่ประหลาดใจเหมือนกันว่า ทำไมเจิ้งหมิงจ
ท่านอ๋อง 9 และเจิ้งหมิงยังคงนั่งเฝ้าจ้าวเจี้ยนฟางอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง นานๆ จึงจะหันมามองหน้ากันสักครั้ง กระทั่งนาทีหนึ่ง ต่างก็หันมาสนทนากัน กลายเป็นว่าต่างเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน“เจิ้งหมิง”“ท่านอ๋อง”“เจ้ามีอะไรก็ว่ามาเถิด”“ท่านอ๋องกินอะไรบ้างเถิดดนะครับ ประเดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน” องครักษ์หนุ่มปรายสายตาไปยังโต๊ะกลม ปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดตากลางห้อง ซึ่งมีข้าวกับซี่โครงหมูตุ๋นกับฟักวางอยู่สองที่“เจ้าเองก็ควรจะกินอะไรบ้างนะ อย่ามัวบอกให้ข้ากินแต่ฝ่ายเดียว คนหนุ่มก็ล้มป่วยได้เช่นกัน”“ถ้าอย่างนั้น เชิญครับท่านอ๋อง” ว่าพลางเจิ้งหมิงก็เป็นฝ่ายผายมือให้ท่านอ๋องไปนั่งที่โต๊ะอาหารก่อน แล้วจึงเป็นฝ่ายตามไปนั่งบ้าง“ข้ามีบุตรธิดาหลายคนก็จริง แต่เจี้ยนฟางก็เป็นลูกที่ข้ารักและห่วงใยมากที่สุด เพราะนางเหมือนฮุหยินของข้ามาก ข้าก็เหมือนพ่อคนอื่นๆ ที่ทั้งรักทั้งหวงลูกสาว ดังแก้วตาดวงใจ ในเมื่อรู้ว่าเจี้ยนฟางกับเจ้าต่างมีใจให้กัน อีกทั้ง ข้าก็ได้เห็นกับตาแล้วว่า ตอนที่หลี่จิ้งจับเจี้ยนฟางเป็นตัวประกันนั้น เจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของนางมาก ยิ่งกว่าชีวิตของตนเองซะอีก หากเจ้าอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับลูกข้าจริง ก็
เวลาเดียวกัน หลี่จิ้งรออยู่นอกศาล เห็นความอัปยศที่เฉินลู่ซีหยิบยื่นให้บิดาดังนั้น ความอดทนก็หมดลง เขาจึงบุกเข้ามาในศาลทันที“หลักฐานเพียงเท่านี้ ท่านถึงกับกล้าถอดชุดกับหมวกประจำตำแหน่งพ่อข้าออกเลยเชียวเรอะ” หลี่จิ้งโวยวายลั่น พลางชักกระบี่คู่กายออกจากฝัก“แม่ทัพหลี่ คุณชาย พวกท่านคงไม่รู้ว่า ฮ่องเต้เองก็ทรงทราบเรื่องนี้แล้ว”“เหลวไหล ฮ่องเต้อยู่ที่เมืองหลวง จะทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร” ยิ่งเฉินลู่ซีเอ่ยถึงผู้อยู่สุขสบายในวังหลวง แม่ทัพหลี่ก็ยิ่งไม่อาจเชื่อถือคำพูดของเขาได้“ฮ่องเต้ ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล แลเห็นแผ่นดินทั่วหล้า ท่านแม่ทัพ ท่านคงไม่รู้หรอกว่า พระองค์ทรงมีหน่วยลับประจำพระองค์กระจายอยู่ทุกที่ แม้กระทั่งบนเกาะจวินจวู พระองค์ทรงทราบการกระทำของท่านจากหน่วยลับอยู่ก่อนแล้ว จึงส่งข้ามาสืบความจริงให้กระจ่าง” เฉินลู่ซีเอ่ย พร้อมกับภาพเหตุการณ์หนึ่งผ่านเข้ามาในห้วงความคิดในคืนก่อนวันที่เขาจะออกเดินทางจากเมืองซื่อเหอนั้น ขณะกำลังศึกษาแผนที่ ตลอดจนข้อมูลเกี่ยวกับเมืองฉางโจว ที่เลขาเจียงค้นคว้ามาให้นั้น จู่ๆ หน้าต่างห้องทำงานของเขาก็พลันเปิดออก สายลมยามดึกพัดเรื่อยเข้ามานั้น ไม่ได้ทำให้
แต่ดูเหมือนว่า ร่างกายของจ้าวเจี้ยนฟางนี่สิ จะไม่ค่อยเป็นใจเอาซะเลย นอกจากจะอ่อนแอ ด้วยไม่เคยผ่านการฝึกฝนทางด้านการต่อสู้ อีกประการคือ ณาราคงไม่ใช่เจ้าของร่างที่แท้จริง เมื่อประมือกับชายผู้นั้นไปสักพัก ก็เริ่มล้า แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก จู่ๆ ทุกอย่างก็ดับวูบลง พร้อมกับร่างล้มลงกับพื้น“เก่งนักเรอะ” ชายผู้นั้นคำรามในลำคอ ก่อนแบกร่างเธอขึ้นบ่า ยัดใส่กระสอบที่เตรียมมาด้วย แล้วเดินจากไปขณะเดียวกัน เจิ้งหมิงกระโดดลงจากหลังม้า มุ่งหน้าเข้าสุ่จวนตระกูลหลี่ พร้อมด้วยหมายจากศาลซื่อเหอ“คารวะท่านแม่ทัพหลี่”“องครักษ์เจิ้ง ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หลี่เหวินเฉาเอ่ยกลั้วหัวเราะ แม้ภายนอกจะดูจริงใจ เปิดเผย ทว่ากลับซุกซ่อนความประหลาดใจว่า เหตุใดคนของศาลซื่อเหอจึงมาถึงที่นี่ได้ ทั้งที่เขาก็ส่งคนไปจัดการกับนายกองฉวนแล้วนี่นะ“ใต้ท้าวให้มาเชิญท่านไปให้การที่ศาลฉางโจวหน่อยน่ะครับ มีคนฟ้องว่า ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของหญิงตั้งครรภ์ในเมืองฉางโจว”“อ้อ อย่างนั้นเรอะ ไปสิ ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แล้ว ข้าเองก็อยากไปเห็นหน้าคนที่กล้าปรักปรำข้าอยู่เหมือนกัน”เจิ้งหมิงยิ้มน้อยๆ แอบโล่งใจที่การมาเชิญหลี่เหว
“ขอเรียนตามตรง เรื่องนั้นข้าทราบแล้วครับ”“แต่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าแต่งงานกับเจี้ยนฟางลูกข้า วันๆ เจ้าก็เอาแต่ทำงานสืบคดี เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อีกอย่างด้วยภาระหน้าที่ของเจ้า เจ้าจะทำให้ลูกข้ามีความสุขได้อย่างไร ข้าไม่อยากให้เจี้ยนฟางต้องทุกข์ใจเพราะเจ้า”“เรื่องนั้น ข้ารู้ตนเองดีครับ” เจิ้งหมิงค้อมศีรษะรับน้อยๆ รู้ตนเองดีว่า แม้ในร่างของเจี้ยนฟาง จะเป็นแม่นางผู้กล้าของเขา แต่ถึงอย่างไร นางก็คือผู้หญิงทั่วไป ที่ต้องการความรัก ความสุขในครอบครัวหลังแต่งงาน“หน้าที่ของข้า คือรักษากฎหมาย ขจัดความอยุติธรรมในบ้านเมือง แต่ภายใต้หน้าที่ที่ข้าสมัครใจแบกมันไว้บนบ่า ข้าเชื่อว่า จะสามารถดูแลท่านหญิงน้อยให้มีความสุขได้ ขอเพียงท่านอ๋องอนุญาตให้ข้าได้คบหาดูใจกับนาง ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เท่านั้นครับ”“ข้าไม่มีทางเชื่อลมปากของเจ้าเด็ดขาด ถ้าเจ้ายังดื้อดึงอยู่เช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด ข้าลาล่ะ ไม่ต้องส่ง”ณาราแอบฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นอกห้องรับรอง รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างไรชอบกล เมื่อได้ยินท่านอ๋อง9 พูดกับเจิ้งหมิงเช่นนั้น เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่า การมีพ่อคอยรักคอยหวง ให้ความรู้สึกเช่นไร อยากจ