ดูจากจำนวนคนที่มาจับจายใช้สอยกับร้านรวงแล้ว ณาราก็พอจะประเมินได้ว่า หมู่บ้านแห่งนี่คงใหญ่โตพอดู และชาวบ้านเอง ก็พอมีเงินทองจับจ่ายคล่องมือเช่นกัน
เดินจนทั่วตลาดแล้ว แต่ก็ยังไม่พบวี่แววของเจิ้งหมิงเลย
หากเขาตามเธอลงเรือมาจริง ก็น่าจะต้องมาตามหาเธอที่นี่นี่นา
หรือข้อสันนิษฐษนของเธอจะเป็นความจริงเสียแล้ว บอกตนเองแล้ว ณาราก็ใจไม่ดีเอาซะเลย นึกไม่ออกเลยว่าจะเริ่มตามหาเจิ้งหมิงได้อย่างไร
ณาราเดินเรื่อยๆ ผ่านตลาดมายังท่าเรือ แต่แล้วก็ต้องรีบหลบไปในหมู่ชาวบ้านแทบไม่ทัน เมื่อเห็นเรือลำหนึ่งแล่นมาจอดเทียบท่า ทิ้งสมอ ไกลออกไปมีเรือสำเภาลำใหญ่จอดอยู่ ก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งจะก้าวลงจากเรือมาทีละคน
คนเดินนำนั้นช่างคุ้นตานัก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมมงกุฎทำจากดอกไม้ แต่งกายรู่มร่ามเหมือนชนเผ่าโบราณที่เธอเคยเห็นในภาพยนตร์ หน้าตา บุคลิกภายนอกของเขารึก็ดูองอาจอย่างทหาร ส่วนผู้ที่ก้าวตามหลังมานั้น หน้าตาละม้ายคล้ายกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าถอดพิมพ์ออกมาจากผู้เดินนำไปก่อน น่าแปลกนักที่ผู้เดินตามมาอีกเป็นขบวนนั้น ล้วนแต่เป็นทหารทั้งสิ้น
เหตุใดทหารมากมายจึงมาที่เกาะแห่งนี้
“หลบไปๆ ท่านเจ้าเกาะมาแล้ว หลบๆ” เสียงตะโกนจากทหารหลายนาย พาให้ชาวบ้านต่างรีบหลบ แหวกทางเดินเบื้องหน้าให้กว้างขึ้น ทำไมนะ ชายสูงวัยผู้เดินนำหน้ามานั้น จึงถูกเรียกว่าเจ้าเกาะ เหตุใดคนพื้นราบ ดูแปลกจากชาวบ้านที่นี่ จึงถูกยกย่องให้เป็นผู้นำคนสำคัญ เขาทำประโยชน์อะไรให้กับคนที่นี่ หรือมาสร้างอิทธิพลข่มขู่ชาวบ้านให้ยอมสิโรราบ ยิ่งคิด ณาราก็ชักจะปวดหัว จับต้นชนปลายไม่ถูก
หากนาทีนี้ มีเจิ้งหมิงอยู่ข้างๆ ก็คงดี เขาเป็นขุนนางราชสำนัก เป็นผู้กว้างขวางพบเจอผู้คนมาไม่น้อย คงรู้แหละว่า ชายสูงวัยกับคนที่น่าจะเป็นบุตรชายของเขาเป็นใคร แม้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ก็คงพอจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามอยู่บ้างละ
“เจิ้งหมิง พี่หายไปไหนนะ พี่รู้มั้ยว่า กำลังทำให้ข้าเป็นห่วงเนี่ย” ณาราบ่นพึมพำ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อมีมือของใครคนหนึ่งมาสะกิดเธอจากทางด้านหลัง
“เจ้าอยู่นี่เอง ข้าตามหาแทบแย่ เจ้าเดินมาไกลเกินไปแล้วนะ”
ณาราลอบระบายลมหายใจ เมื่อเห็นว่า คนที่มาสะกิดเธอนั้นคือซวงเอ๋อนั่นเอง
“อ๋อ ขอโทษด้วย คือข้าเที่ยวเพลินไปนิด ข้าอยากให้ลูกในท้องได้เที่ยวบ้าง ก็เลยเดินออกมาไกลไปหน่อย เรากลับกันเถอะ” ว่าพลางจูงมือซวงเอ๋อให้เดินมาด้วยกัน เมื่อเดินผ่านยามเฝ้าประตูก็เสมองไปทางอื่นไม่ให้พวกเขาจับสังเกตได้
“เจ้าพักผ่อนเถอะ เย็นนี้จะมีคนเอายาบำรุงครรภ์มาให้เจ้า” ซวงเอ๋อย้ำ
“เดี๋ยวซวงเอ๋อ” ณาราคว้าแขนอีกฝ่ายเอาไว้
“มีอะไร”
“เจ้าไม่อยากกลับบ้าน ไม่คิดถึงสามี ครอบครัวเจ้าบ้างเหรอ”
ซวงเอ๋อส่ายหน้าน้อยๆ
“ไม่ล่ะ ข้าอยู่ที่นี่ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ท่านเจ้าเกาะบอกว่า จะดูแลพวกเราเป็นอย่างดี แล้วข้าก็เห็นนะว่า หญิงที่คลอดบุตรที่นี่ ต่างได้รับเงิน ทองคำเป็นของรับขวัญบุตรกันทั้งนั้น”
“แล้วครอบครัวเจ้าล่ะ”
“ข้าไม่มีครอบครัวหรอก ตั้งแต่ข้าฟื้นขึ้นมาบนเกาะแห่งนี้ ข้าก็จำได้ว่า ตนเองมีเพียงข้ากับลูกในท้องเท่านั้น เจ้านึกอย่างไรจึงถามเรื่องนี้”
“เปล่า ข้าก็แค่ถามไปเรื่อยเปื่อยตามประสาคนท้อง คิดฟุ้งซ่าน เจ้าอย่าใส่ใจเลย ขอบคุณนะที่มาส่ง ข้าง่วงแล้วล่ะ” ว่าพลางเดินมาส่งซวงเอ๋อถึงหน้าประตู
เมื่ออยู่ในห้องตามลำพังแล้ว ณาราก็ยิ่งคิดไม่ตกไปกันใหญ่ว่าทำไม ซวงเอ๋อจึงพูดเหมือนว่าตนเองจำเรื่องราวก่อนหน้าจะมาอยู่ที่เกาะนี้ไม่ได้เลย หรือยาบำรุงครรภ์ที่ซวงเอ๋อพูดถึงจะเป็นยาพิษ ลบควมทรงจำของหญิงตั้งครรภ์ที่นี่
เธอคงต้องอยู่ห่างจากยาทุกชนิดที่คนข้างนอกเอามาให้ซะแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องจำอะไรไม่ได้แน่ๆ ที่สำคัญก็คือ หากเจ้าเกาะและคนของเขารู้ว่า เธอไม่ได้ตั้งครรภ์จริงๆ ละก็ บางทีพวกเขาอาจจะเอาเธอไปฆ่า โยนลงทะเลให้ปลากินก็ได้
ด้านไห่ถวนกลับจากขายปลาที่ตลาดและพบว่าเจิ้งหมิงยังคงไม่ได้สติ แต่โชคยังดีที่ชีพจรของเขากลับมาเต้นเป็นปรกติแล้ว
หนุ่มน้อยยิ้มให้กับร่างไร้สตินั้น กวาดตามองไปทั่วร่าง เมื่อตอนสายขณะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นั้น ไม่พบของมีค่าใดในตัวเขา ที่ถูกตาต้องใจเป็นพิเศษ ก็เห็นจะเป็นผ้าผูกผมสีดำ ปักลายทองรูปเหยี่ยวบนเรือนผมของเขา เมื่อถอดออกมาพลิกดูก็ยิ่งถูกใจ
“พี่ชาย ท่านมีผ้าผูกผมลวดลายเช่นนี้ได้ คงเป็นผู้ดีมีสกุล ไหนๆ ข้าก็ช่วยชีวิตท่านแล้ว ผ้าผูกผมอันนี้ข้าขอละกันนะ แลกกับผ้าผูกผมของข้าก็ได้” ว่าแล้วไห่ถวนก็จัดการเกล้าผมขึ้น จัดการผูกผมเสียใหม่ วิ่งออกไปชะโงกดูเงาตนเองตรงโอ่งน้ำหน้าบ้าน ก่อนจะยิ้มอย่างพอใจ
“ข้านีก็หล่อใช้ได้เหมือนกันนะนี่ แต่เดี๋ยวข้าไปเอาผ้าผูกผมมาเกล้าผมให้พี่ชายก่อนดีกว่า” หนุ่มน้อยบอกตนเอง เดินกลับเข้าไปในห้องตนเอง หยิบผ้าผูกผมสีน้ำเงินเข้มดูเก่าไปสักหน่อย แต่ก็ยังใช้การได้ออกมา
พอรุ่งเช้าก็ออกหาปลา กลับมาป้อนยาเจิ้งหมิง แล้วจึงจัดปลาแห้งใส่หาบ ออกไปขายที่ตลาด
สายวันนี้ ณาราตัดสินใจถอดท้องปลอมออก แต่งกายให้รัดกุมยิ่งขึ้น แล้วจึงแอบออกมาที่ตลาดตามลำพัง ความหวังจะได้พบร่องรอยของเจิ้งหมิงดูเหมือนจะมืดมนลงทุกที มิหนำซ้ำฟ้าดินก็ยังไม่เป็นใจ จู่ๆ ท้องฟ้าก็มืดครึ้ม ฝนตั้งเค้า ทำท่าจะตกลงมาอีกต่างหาก
“เฮ้อ สวรรค์ ทำไมถึงได้ใจร้ายกับณาราแบบนี้เนี่ย” หญิงสาวบ่นไปตามเรื่อง
พลันสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นผ้าผูกผมแสนคุ้นตาบนมวยผมของพ่อค้าขายปลาแห้ง ที่กำลังเก็บของเตรียมกลับบ้าน
เพียงแวบแรกที่เห็น ภาพผ้าผูกผมบนศีรษะของเจิ้งหมิงก็ผ่านวาบเข้ามาในห้วงความคิด
แม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เธอก็จำได้ว่า เขามักจะผูกผมด้วยผ้าลายนี้เสมอ สีสันของผ้าอาจต่างกันไปตามเสื้อผ้าที่สวมใส่ หากลวดลายเหยี่ยวนั้นเหมือนกันทุกชิ้น ไม่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ ก็คงซื้อหาจากร้านเดิม ไม่ต้องจับสังเกตอะไรมากก็จดจำได้
เห็นดังนั้นแล้ว ณาราจึงรีบสะกดรอยตามพ่อค้าหนุ่มไป จนกระทั่งถึงบ้านดินหลังกะทัดรัดท้ายหมู่บ้าน
พื้นที่โดยรอบติดกับป่า ภูเขา ด้านหน้าติดทะเล นับเป็นที่ปลอดภัยสำหรับเจ้าของบ้าน หากเจิ้งหมิงอยู่ในที่เช่นนี้ก็นับว่าปลอดภัยสำหรับเขา
ขณะเดียวกัน เจิ้งหมิงตกอยู่ในห้วงฝัน เจียโหยว่ แม่ของเขากำลังนั่งบรรเลงกู่เจิง เสียงบทเพลงวิหคเหินลมแว่วหวาน ดวงตาคู่งามจับจ้องชายวัยกลางคนกำลังจิบชาอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ เต็มไปด้วยความรัก ความสุข ข้างกายนั้นเด็กชายวัยแปดขวบกำลังปรบมือไปตามจังหวะเพลง ดวงหน้าเล็กๆ เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
แต่แล้วความสุขของครอบครัวเล็กๆ ก็พลันมลายสิ้น เมื่อชายชุดดำกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในบ้าน พ่อชักกระบี่ออกจากฝักเข้าต่อสู้กับพวกมัน ปกป้องครอบครัว ทว่าจำนวนของพวกมันมีมากกว่า ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น หนึ่งในพวกมันก็เข้าประชิดตัวแม่
“ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย!”
แม่ผู้ไม่มีวรยุทธ หรือจะต่อกรกับคมกระบี่ได้ เพียงคมกระบี่กรีดลึกเข้าร่าง แม่ก็ล้มฟาดลงกับพื้น โลหิตแดงฉาดฉานพุ่งจากปากและจมูก พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายปลิดปลิวไป“ท่านแม่ ท่านแม่” ร่างนั้นกระสับกระส่าย ก่อนผุดลุกจากเตียง หายใจหอบแรง ดวงตาคมกล้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากภาพอดีตตามหลอกหลอนชั่วอัดใจต่อจากนั้น ประตูห้องก็เปิดผางออก ก่อนที่หนุ่มน้อยคนหนึ่งจะก้าวเข้ามา“พี่ชาย ข้ากลับมาแล้ว” หนุ่มน้อยหน้าทะเล้นส่งยิ้มกว้างมาให้ ก่อนหุบยิ้มฉับ เมื่อเห็นว่าคนเจ็บไม่ยิ้มด้วย มิหนำซ้ำยังมองมาด้วยแววตาหวาดระแวงอีกต่างหาก“พี่ชาย ข้าเป็นคนช่วยชีวิตท่านเอาไว้นะ เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้นล่ะ”คำถามของหนุ่มน้อย เรียกสติเจิ้งหมิงให้กลับมาเป็นปกติ แววตาหวาดระแวงนั้นจึงค่อยๆ อ่อนแสงลง “ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย เมื่อครู่ข้าฝันร้าย หวังว่าน้องชายคงไม่ถือสา” “ข้าไม่ถือสาหรอก ข้าก็แค่ตกใจนิดหน่อย ข้าไห่ถวน ท่านล่ะ” “ข้าเจิ้งหมิง ขอบคุณน้องชายมากที่ช่วยข้าไว้” “ท่านไม่ต้องเกรงใจหรอก ใครเห็นคนเจ็บอยู่กลางทะเลแบบนั้น ก็ต้องช่วยเหลือเป็นธรรมดา ท่านรู้หรือไม่ว่าตนเองถูกพิษร
เสียงกระแอมดังมาจากทางด้านหลัง พาให้ณาราผละห่างจากอ้อมกอดของเจิ้งหมิงอย่างรวดเร็ว หันไปมองตามต้นเสียงก็เห็นว่า ไห่ถวนยืนมองมายิ้มๆ“ข้าแค่จะมาตามพี่สองคนไปกินข้าว ไม่ได้มาขัดจังหวะนะ”“เหรอ” ณาราลากเสียงพยายามเข้าใจ หากไม่เพราะต้องทำตัวเป็นจ้าวเจี้ยนฟางละก็ คงไล่เตะก้นคนสอดรู้สอดเห็น แถมยังช่างแซวไปแล้ว กว่าเจิ้งหมิงจะพาณารามาส่งที่บ้านพัก ก็เกือบเย็นแล้ว เมื่อมาถึงก็เห็นว่ามีอาหารและถ้วยยาวางอยู่ และดูเหมือนว่าองครักษ์หนุ่มจะสนใจยาในถ้วยเป็นพิเศษ “ยาอะไรนะ มันจะเกี่ยวกับสิ่งที่หญิงตั้งครรภ์นางอื่นๆ บอกเจ้ารึเปล่าว่า พวกนางยินยอมจะอยู่ที่นี่โดยไม่คิดหนี” “นั่นสิคะ พวกนางทำราวกับว่า ไม่เคยมีสามี ไม่เคยมีครอบครัวอย่างนั้นแหละ” ณาราครุ่นคิด อยากรู้นักว่าเสี่ยวหงกับปิงปิง เพื่อนที่มาพร้อมกับเธอได้ดื่มยาจากถ้วยแล้วหรือยัง แล้วพวกนางอยากจะกลับไปหาครอบครัวหรือไม่ คิดดังนั้นแล้ว ณาราก็ออกจากห้องมาเคาะประตูเรียกเสี่ยวหงกับปิงปิง ซึ่งพักอยู่ในห้องถัดจากห้องพักของเธอ แล้วสิงที่เห็นก็ทำให้ณาราประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อพบว่า หญิงตั้งครรภ์ทั้ง
ณ พระตำหนักฉางชุนฮวา พระตำหนักฤดูร้อน ตกแต่งด้วยภาพเขียนลายปักษาสวรรค์ ท่ามกลางสวนกุหลาบสวรรค์งดงาม รอบพระตำหนักจัดเป็นอุทยานกุหลาบนานาพันธุ์ ดูราวกับยกเอาสวนสวรรค์มาไว้บนดินก็ไม่ปาน เหนือแท่นปิดทองคำ “ฮ่องเต้ไท่จือ” จักรพรรตืองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ต้าเถียน ราชอาณาจักรทางตะวันออกของแผ่นดินใหญ่ทรงประทับอยู่ พระพักตร์งดงามราวรูปสลัก พระโอษฐ์แย้มสรวลน้อยๆ เมื่อเห็นว่า “ท่านเสนาหลินจื้อกง” พร้อมด้วย “เฉินลู่ซี” เจ้าเมืองซื่อเหอเดินเข้ามาถวายบังคม พร้อมกล่าวถวายพระพรให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน แต่จะว่าไป ชีวิตคนเรานั้น จะมีอายุยืนยาวสักเท่าไรนั้น ก็สุดแล้วแต่ฟ้าจะลิขิตนั่นละ “ท่านเสนาหลิน ขุนนางเฉิน เชิญนั่ง” “ขอบพระทัย” ขุนนางทั้งสองกล่าวพร้อมกัน “ท่านเฉิน ที่ข้าเรียกท่านมาในวันนี้ ก็เพื่อจะให้ท่านเป็นผู้แทนพระองค์แทนข้าสักหน่อย ข้าจะให้ท่านนำของขวัญวันเกิดไปถวายท่านอาเก้า ที่เมืองฉางโจว ท่านคงไม่ขัดข้องใช่มั้ย” “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า ฝ่าบาทควรจะให้ขุนนางท่านอื่นไปพะยะค่ะ” “ท่านกำลังจะบอกข้าว่า ท่านเป็นห่วงราษฎรเมืองซื่อเหอล่ะสิ เรื่อง
ฝ่ายเจิ้งหมิงกำลังก้าวเร็วๆ มาตามทางเดินมุ่งสู่ห้องพัก เพื่อเตรียมสัมภาระให้พร้อมสำหรับการเดินทางไกล ระหว่างเดินผ่านห้องรับรอง องครักษ์หนุ่มก็ต้องชะงักฝีเท้า เพียงแค่เห็นว่า หญิงงามผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหนึ่งของห้องนางสวมชุดฮั่นฟูตัวยาวสีขาว เสื้อกั๊กตัวนอกสีชมพูปักลายแมลงปอตัวเล็กๆ บินอยุ่ในสวนพฤกษชาติ ดวงหน้าแตะแต้มด้วยเครื่องสำอางแต่พองาม เผยผิวพรรณผุดผ่อง ดวงตาเรียวเล็ก ภายใต้คิ้วโก่งงาม จมูกโด่งเชิดน้อยๆ รับกับกลีบปากอิ่มสีชมพูสดใส ราวกลีบกุหลาบแรกแย้ม และสิ่งที่ทำให้รู้ถึงความสูงศักดิ์ก็คือ เรือนผมเกล้าประดับด้วยปิ่นทองคำ ผมส่วนหนึ่งปล่อยยาวเคลียแผ่นหลังเรียบตรงดุจแพรไหม ดูงดงามไร้ที่ติแต่แล้ว องครักษ์หนุ่มก็แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อแลเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งผ่านเข้ามาซ้อนทับอยู่เหนือร่างนั้นเธอเป็นหญิงงามดูแปลกตา เรือนผมดำขลับซอยสั้นระต้นคอ รับกับดวงหน้ารูปไข่ขาวผ่อง ดวงตาคู่เรียวคมกล้า นั่นไม่ได้ทำให้เธอดูประหลาดเท่ากับการแต่งกายผิดกับสตรีทั่วไป เธอสวมเสื้อแขนยาวกับกางเกงเข้ารูปสีดำ ดูไม่น่าใช่การแต่งกายของชาวแผ่นดินใหญ่เลยเจิ้งหมิงยกมือขึ้นขยี้ตา เพ่งพินิจเง
ณารา เหว่ย ซุปเปอร์สตาร์สาวระดับเอเชีย สวมชุดฮั่นฟูสีส้มแดง ปักลายนกยูงรำแพน สวมหมวกโค้งคล้ายพัดที่ถูกกางออกประดับเพชรพราวระยับยามต้องแสงไฟในห้องแต่งหน้า ดวงหน้างามแตะแต้มเครื่องสำอางแปลงโฉมสาวสวยทันสมัย ให้กลายเป็นองค์หญิงแห่งอาณาจักรต้าเถียน งดงามสมกับบทบาท “องค์หญิงกุ้ยเฟย” นางเอกของเรื่อง ยอดหญิงแห่งบัลลังก์มาร” ประกบคู่กับ “จางอี้เหลียง” ผู้รับบท “จอมยุทธฟานซื่อปิง” ประมุขพรรคมาร “วันนี้เป็นฉากใหญ่ด้วย ตื่นเต้นมั้ยณา” “เหว่ยอี้ฟาน” หญิงวัยสี่สิบห้า ผู้เป็นทั้งน้าสาว และรับหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวของณาราเอ่ยขึ้น เธอเป็นหญิงหน้าตาดี ร่างท้วม สูงไม่ถึง 160 เซนติเมตร ดวงหน้าเกลี้ยงเกลา ดวงตาชั้นเดียวรับกับจมูกเล็ก ริมฝีปากบางเฉียบ ดูอ่อนเยาว์จนหลายครั้งเมื่อต้องไปกองละคร มักจะถูกเรียกว่าน้องเสียมากกว่าน้า “ไม่ตื่นเต้นหรอกค่ะ น้าอี้ฟานก็รู้ว่า ณากำลังคิดถึงเรื่องอื่นมากกว่า” ณาราเอ่ยเบาๆ พอให้ได้ยินกันเพียงสองน้าหลาน “อ้อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ ไม่ต้องคิดมากหรอกณา วันนี้นายอี้เหลียงไปขัดขวางงานสำคัญของตำรวจไม่ได้หรอก เพราะต้องเข้าฉากกกับณาไง” “นั่นล่ะค่ะ ณ
“ว่าไงนะ ถูกจับ ที่ไหน” “สนามบินดอนเมืองครับ ตอนนี้ถูกตำรวจไทยคุมตัวไปแล้ว” “บัดซบ พวกมันรู้ได้ยังไง” “มีนางนกต่อส่งข่าวให้ตำรวจไทยอยู่ในกองถ่ายครับ” “ใคร” ดาราหนุ่มเ่อ่ยถามเสียงเหี้ยม “นังณารา” สิ่งที่ได้ยินกับหู ทำเอาจางอี้เหลียงคั่งแค้นจนแทบกระอักเลือด ไม่น่าเลย เขาไม่น่าหลวมตัวให้ณาราเข้ามาล้วงความลับได้เลย แค่ให้ณารามาที่คอนโดไม่ทันข้ามวัน ข้อมูลคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานก็กลับถูกล้วงเอาไปจนได้ เขาไม่น่าประมาทฝีมือผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างณาราเลยจริงๆ รู้อย่างนี้แล้ว เขาหรือจะปล่อยให้ณารามีชีวิตรอดจนสาวมาถึงตัวเขาได้ ทางเดียวที่แก๊งค์ของเขาจะปลอดภัยจากไอ้พวกตำรวจได้ ก็คงต้องรีบจัดการกับนางนกต่อให้สิ้นซาก “นังณารา แก” เขาคำรามในลำคอ ดวงตาทั้งคู่ทอประกายเจิดจ้า ในเมื่อณารากล้าทำให้เขาต้องสูญเงินไปถึงสิบล้านบาท เขาก็จะไม่ปล่อยเธอไปเด็ดขาด ณาราจะต้องตายด้วยน้ำมือเขา แต่ก่อนจะตาย ขอให้ได้ฉกชิงความสาว สวยมาจากเรือนร่างเย้ายวนตา ยวนใจนั้นก่อนเถอะ เขาถึงจะพอใจ ณาราก้าวเร็วๆ มาที่รถ เปิดประตูขึ้นนั่งประจำ
ตำหนักของท่านอ๋อง 9 จ้าวเจี้ยนหลิงแห่งฉางโจว ตั้งอยู่บนเนินเขาฉางซาน เป็นเรือนไม้หลังคาทรงเก๊งจีนเรียงเป็นชั้นลดหลั่นกันลงมา ด้านหน้าเป็นเรือนรับรอง ปีกด้านข้างทั้งสองแบ่งเป็นห้องหนังสือ ห้องสวดมนต์ ห้องนอนของเจ้าของตำหนัก ด้านหลังเป็นส่วนครัว ส่วนเรือนพักของภรรยาและบุตรนั้น ปลูกแยกห่างออกไปในระยะห่างพอเดินหากันได้ รายรอบด้วยสวนไม้ประดับนานาพันธุ์ ทันทีที่ขบวนเกี้ยวของงท่านหญิงน้อย พ้นประตูด้านหน้าเข้ามา พ่อบ้านประจำจวนท่านอ๋อง 9 ก็รีบไปรายงานให้เจ้านายของเขาทราบ “ท่านอ๋องครับ เกี้ยวของท่านหญิงน้อยมาถึงแล้วครับ ตอนนี้ข้าน้อยได้พาท่านหญิงน้อยไปยังห้องรับรองแล้ว” “แล้วใต้ท้าวเฉินล่ะ มาด้วยรึเปล่า” ชายชราผู้สูงศักดิ์ เรือนผมบนศีรษะแซมหงอก ดวงหน้าดุดัน หนวดเครายาวตัดแต่งเป็นอย่างดี รับกับดวงหน้าถามถึงขุนนางคนโปรด “ใต้ท้าวเฉินให้คนมาเรียนว่า เมื่อเตรียมของขวัญที่องค์ฮ้องเต้พระราชทานมาด้วยเรียบร้อยแล้ว จะเดินทางมาภายหลังครับ” “งั้นเรอะ ข้าจะไปหาลูกเดี๋ยวนี้ล่ะ” สีหน้าและแววตาของท่านอ๋องฉาบฉายด้วยความยินดี ขณะก้าวเรื่อยๆ จากห้องหนัง
เรือนเหมยฮวาที่ท่านอ๋ออง 9 พูดถึงนั้น ตั้งห่างออกมาจากเรือนของบุตรธิดาคนอื่นๆ ของท่านอ๋อง เป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง หลังคาทรงเก๋งจีน หัวเสาแกะสลักลวดลายกลีบดอกเหมย รอบตัวเรือนปลูกต้นเหมยเป็นแนว ภายในมีเฟอร์นิเจอร์ไม้ครบครัน ประตูหน้าต่างประดับม่าน ที่นอนแขวนมุ่งม่านสีชมพูอ่อน ตู้ด้านหนึ่งจัดวางกรอบภาพเขียนวิหคน้อยในสวนหลิวฝีมือแม่ และภาพเหมือนของแม่ ดูแล้วชวนให้คิดถึงคนวาดแทบขาดใจ แม้ไม่เคยเห็นหน้า หากสายใยผูกพันที่มีก็ไม่อาจทำให้นางคลายความคิดถึงที่มีต่อแม่ไปได้เลย หากแม่ยังอยู่ ฮุ่ยเหนียงคงไม่มีโอกาสเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะแม่เลี้ยงของนางอยู่เช่นนี้หรอก “ท่านแม่ ทำไมท่านถึงจากข้าไปเร็วนัก ท่านจะรู้หรือไม่ว่า ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน ขณะเดียวกัน เจิ้งหมิง แต่งกายอย่างชาวยุทธทั่วไป กำลังเดินอยู่ในตลาดเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าร้องเร่ขายอาหาร ผ้าผ่อนแพรพรรณ กระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะตั้งป้ายหมอดูเทวดา หยั่งรู้ฟ้าดิน ด้วยความอยากรู้เรื่องคดีที่ใต้ท้าวเฉินรับเอาไว้ องค์รักษ์หนุ่มจึงเดินเข
เสียงกระแอมดังมาจากทางด้านหลัง พาให้ณาราผละห่างจากอ้อมกอดของเจิ้งหมิงอย่างรวดเร็ว หันไปมองตามต้นเสียงก็เห็นว่า ไห่ถวนยืนมองมายิ้มๆ“ข้าแค่จะมาตามพี่สองคนไปกินข้าว ไม่ได้มาขัดจังหวะนะ”“เหรอ” ณาราลากเสียงพยายามเข้าใจ หากไม่เพราะต้องทำตัวเป็นจ้าวเจี้ยนฟางละก็ คงไล่เตะก้นคนสอดรู้สอดเห็น แถมยังช่างแซวไปแล้ว กว่าเจิ้งหมิงจะพาณารามาส่งที่บ้านพัก ก็เกือบเย็นแล้ว เมื่อมาถึงก็เห็นว่ามีอาหารและถ้วยยาวางอยู่ และดูเหมือนว่าองครักษ์หนุ่มจะสนใจยาในถ้วยเป็นพิเศษ “ยาอะไรนะ มันจะเกี่ยวกับสิ่งที่หญิงตั้งครรภ์นางอื่นๆ บอกเจ้ารึเปล่าว่า พวกนางยินยอมจะอยู่ที่นี่โดยไม่คิดหนี” “นั่นสิคะ พวกนางทำราวกับว่า ไม่เคยมีสามี ไม่เคยมีครอบครัวอย่างนั้นแหละ” ณาราครุ่นคิด อยากรู้นักว่าเสี่ยวหงกับปิงปิง เพื่อนที่มาพร้อมกับเธอได้ดื่มยาจากถ้วยแล้วหรือยัง แล้วพวกนางอยากจะกลับไปหาครอบครัวหรือไม่ คิดดังนั้นแล้ว ณาราก็ออกจากห้องมาเคาะประตูเรียกเสี่ยวหงกับปิงปิง ซึ่งพักอยู่ในห้องถัดจากห้องพักของเธอ แล้วสิงที่เห็นก็ทำให้ณาราประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อพบว่า หญิงตั้งครรภ์ทั้ง
แม่ผู้ไม่มีวรยุทธ หรือจะต่อกรกับคมกระบี่ได้ เพียงคมกระบี่กรีดลึกเข้าร่าง แม่ก็ล้มฟาดลงกับพื้น โลหิตแดงฉาดฉานพุ่งจากปากและจมูก พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายปลิดปลิวไป“ท่านแม่ ท่านแม่” ร่างนั้นกระสับกระส่าย ก่อนผุดลุกจากเตียง หายใจหอบแรง ดวงตาคมกล้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากภาพอดีตตามหลอกหลอนชั่วอัดใจต่อจากนั้น ประตูห้องก็เปิดผางออก ก่อนที่หนุ่มน้อยคนหนึ่งจะก้าวเข้ามา“พี่ชาย ข้ากลับมาแล้ว” หนุ่มน้อยหน้าทะเล้นส่งยิ้มกว้างมาให้ ก่อนหุบยิ้มฉับ เมื่อเห็นว่าคนเจ็บไม่ยิ้มด้วย มิหนำซ้ำยังมองมาด้วยแววตาหวาดระแวงอีกต่างหาก“พี่ชาย ข้าเป็นคนช่วยชีวิตท่านเอาไว้นะ เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้นล่ะ”คำถามของหนุ่มน้อย เรียกสติเจิ้งหมิงให้กลับมาเป็นปกติ แววตาหวาดระแวงนั้นจึงค่อยๆ อ่อนแสงลง “ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย เมื่อครู่ข้าฝันร้าย หวังว่าน้องชายคงไม่ถือสา” “ข้าไม่ถือสาหรอก ข้าก็แค่ตกใจนิดหน่อย ข้าไห่ถวน ท่านล่ะ” “ข้าเจิ้งหมิง ขอบคุณน้องชายมากที่ช่วยข้าไว้” “ท่านไม่ต้องเกรงใจหรอก ใครเห็นคนเจ็บอยู่กลางทะเลแบบนั้น ก็ต้องช่วยเหลือเป็นธรรมดา ท่านรู้หรือไม่ว่าตนเองถูกพิษร
ดูจากจำนวนคนที่มาจับจายใช้สอยกับร้านรวงแล้ว ณาราก็พอจะประเมินได้ว่า หมู่บ้านแห่งนี่คงใหญ่โตพอดู และชาวบ้านเอง ก็พอมีเงินทองจับจ่ายคล่องมือเช่นกันเดินจนทั่วตลาดแล้ว แต่ก็ยังไม่พบวี่แววของเจิ้งหมิงเลยหากเขาตามเธอลงเรือมาจริง ก็น่าจะต้องมาตามหาเธอที่นี่นี่นาหรือข้อสันนิษฐษนของเธอจะเป็นความจริงเสียแล้ว บอกตนเองแล้ว ณาราก็ใจไม่ดีเอาซะเลย นึกไม่ออกเลยว่าจะเริ่มตามหาเจิ้งหมิงได้อย่างไรณาราเดินเรื่อยๆ ผ่านตลาดมายังท่าเรือ แต่แล้วก็ต้องรีบหลบไปในหมู่ชาวบ้านแทบไม่ทัน เมื่อเห็นเรือลำหนึ่งแล่นมาจอดเทียบท่า ทิ้งสมอ ไกลออกไปมีเรือสำเภาลำใหญ่จอดอยู่ ก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งจะก้าวลงจากเรือมาทีละคนคนเดินนำนั้นช่างคุ้นตานัก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมมงกุฎทำจากดอกไม้ แต่งกายรู่มร่ามเหมือนชนเผ่าโบราณที่เธอเคยเห็นในภาพยนตร์ หน้าตา บุคลิกภายนอกของเขารึก็ดูองอาจอย่างทหาร ส่วนผู้ที่ก้าวตามหลังมานั้น หน้าตาละม้ายคล้ายกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าถอดพิมพ์ออกมาจากผู้เดินนำไปก่อน น่าแปลกนักที่ผู้เดินตามมาอีกเป็นขบวนนั้น ล้วนแต่เป็นทหารทั้งสิ้นเหตุใดทหารมากมายจึงมาที
เจิ้งหมิงกำลังลอบลงจากเรือสำเภา แต่กลุ่มชายชุดดำบนเรือกลับรู้ตัวว่ามีคนแฝงตัวมากับพรรคพวกของเขา จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้นต่างฝ่ายต่างต่อสู้กันด้วยกระบี่ เจิ้งหมิงสังหารชายชุดดำล้มตายไปหลายคน ด้วยเพลงกระบี่อันเยี่ยมยุทธ ก่อนกระโดดลงทะเลหลบหนี ไม่นึกเลยว่า กลับถูกอาวุธลับซัดเข้าที่กลางหลังพิษของมันร้ายกาจนัก เพียงครู่เดียวก็ซึมเข้ากระแสเลือด ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง จนไม่อาจขยับเขยื่อนร่างกายได้ สติสัมปชัญญะที่มีพร่าเลือนลงทุกทีแม้กระนั้นห้วงคำนึงของเขาก็ยังนึกถึงแต่ณารา นางผู้มาจากต่างกาลเวลา ไม่รู้ว่าป่านนี้นางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรขณะร่างของเจิ้งหมิงดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลนั่นเอง โลมาตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามา ใช้ครีบของมันช้อนร่างของเขาเอาไว้ แล้วพาไปยังเรือประมง ลำที่มันคุ้นเคยขณะนั้น “ไห่ถวน” ชาวประมงหนุ่มน้อย รูปร่างเก้งก้าง ผิวกร้านแดด เรือนผมยาวเกล้าเอาไว้ลวกๆ ดูยุ่งเหยิง ดวงตาเล็กหยี ภายใต้คิ้วหนานั้น เต็มไปด้วยประกายแห่งความสุขกำลังเก็บปลาจากอวนใส่ท้องเรือแต่แล้วหางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นโลมาตัวนั้นว่ายมาทางเขา โดยที่ครีบของมันกำลังประคองร่างของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งมาด้วย“ถิง
เสียงครวญแห่งความสุขสม ยิ่งปลุกเร้าเพลิงปรารถนาให้ลุกโชน แผดเผาสองกาย จนหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันในนาทีนั้นเอง ทั้งสองไม่รู้เลยว่า เสี่ยวชุ่ย สาวใช้ต้นห้องของฮุ่ยเหนียงเดินผ่านมา เสียงครวญสอดประสานลอดผ่านห้องพักของฮูหยินรองแห่งจวนอ๋อง พาให้สองเท้าหยุดชะงัก เพียงแนบหูกับประตูก็รู้ว่า มีใครคนหนึ่งอยู่ภายในห้องนั้นแรกทีเดียวนางเข้าใจว่าเป็นท่านอ๋อง 9 แต่เมื่อเดินมายังห้องหนังสือ และพบว่า ไฟในห้องยังคงเปิดอยู่จึงแน่ใจว่า ผู้ชายที่อยู่ในห้องของฮุ่ยเหนียงจะต้องไม่ใช่ท่านอ๋องอย่างแน่นอนนางเป็นสาวใช้ในตำหนักอ๋องมาตั้งแต่เล็ก รู้เรื่องราวของที่นี่มิใช่น้อย ทำไมจะไม่รู้เล่าว่า ตั้แต่ฮูหยินลี่เจินสิ้นใจ แม้ท่านอ๋องจะให้ฮุ่ยเหนียงขึ้นมาเป็นฮูหยินรอง แต่ก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์เกินเลยไปกว่าพี่เขยกับน้องภรรยาท่านยังคงวางตนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยประพฤตินอกใจอดีตภรรยาเลยสักครั้ง ไม่อย่างนั้นคงจะมีบุตรธิดาเพิ่มแล้วแล้วคนที่อยู่ในห้องของฮุหยินรองเป็นใครกันนะ หากนางล่วงรู้ความจริงหลังประตูบานนั้น จะยังคงมีชีวิตอยู่ต่ออีกหรือไม่หนอหากยังคงปิดหูปิดตา ไม่ยอมสืบหาความจริง ก็เท่ากับผิดต่อสกุลจ้าว ผิดต่อฮ
ภายในห้องหนังสือ ท่านอ๋อง 9 นั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะเขียนหนังสือ ในมือถือตำราของฉินเอี้ยน ยอดกวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ก่อน ทว่าใจกลับไม่ได้ดื่มด่ำกับตัวอักษรตรงหน้าเลยแม้แต่น้อยแม้จะกลับจากพบเฉินลู่ซีมาตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว แต่ก็อดเป็นห่วงธิดาคนเล็กไม่ได้เลย ขณะเดียวกันก็อดสงสัยในคำพูดของฮุ่ยเหนียงขึ้นมาไม่ได้เช่นกันทำไมเขาจะไม่รู้ไม่เห็นเล่าว่า ระหว่างจ้าวเจี้ยนฟางกับฮุ่ยเหนียงนั้น มีแต่ความบาดหมางเมื่อครั้งจ้าวเจี้ยนฟางยังเล็กนั้น แม้จะไม่เคยเห็นกับตา แต่ก็รู้มาตลอดว่า ธิดาคนเล็กถูกแม่เลี้ยงรังแก จากคำพูดของคนรับใช้แต่เพราะต้องทำตามคำสั่งเสียของภรรยา ให้ดูแลฮุ่ยเหนียงน้องสาวของนางให้ดี จึงต้องหลีกเลี่ยงด้วยการส่งจ้าวเจี้ยนฟางเข้าไปอยู่ในวังส่วนเรื่องการแต่งงานระหว่างจ้าวเจี้ยนฟางกับหลี่จิ้งนั้น หากนางไม่ยินยอม เขาก็คงไม่ขัดอะไร แต่ทำไมฮุ่ยเหนียงจึงต้องให้ร้ายจ้าวเจี้ยนฟางว่า นางไม่พอใจจนหนีออกจากตำหนักตั้งแต่คืนที่มีงานเลี้ยงด้วยเล่าตอนแรก ท่านอ๋อง9 ก็เกือบจะเชื่อคำพูดของฮุ่ยเหนียงไปแล้ว หากไม่เพราะการไปพบเฉินลู่ซี จนรู้ว่าธิดาคนเล็กถูกทำร้าย ตอนนี้อยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว และอยู่ใ
ณารามองหน้าต่างกระท่อมเปิดแง้มเอาไว้ ได้แต่หวังว่าเจิ้งหมิงจะพบปิ่นปักผมของเธอ และติดตามมาทันก่อนที่เธอจะถูกพาไปยังเกาะจวินจวู ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้คนร้ายจับได้ว่า ไม่ได้ตั้งครรภ์จริงๆ อยู่นั่นเอง หน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ก็ถูกเปิดออกสายลมหอบเอากลิ่นความเค็มของน้ำทะเลเข้ามานั้น ไม่ได้ทำให้เธอตื่นเต้นดัใจท่ากับ องครักษ์หนุ่มผู้มากับสายลมนั้นเลย“คุณ คุณจริงๆ ด้วย” หญิงสาวเผลออุทานเป็นภาษาไทยคนที่เพิ่งเข้ามาจึงได้แต่ทำหน้างง“อ๋อ ขอโทษค่ะ ฉันลืมตัวไปหน่อย คุณมาได้ยังไงคะ” ณารารีบเปลี่ยนภาษาอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน“ข้าสะกดรอยตามรถม้ามา บังเอิญพบคนรู้จัก จึงยืมม้าตามมาทัน”“คุณจะทำยังไงต่อคะ” ณารายังไม่คลายสงสัยอยู่นั่นเอง“ข้าจะหาทางตามเจ้าไปให้ได้ ว่าแต่เจ้ารู้รึเปล่าว่า พวกมันจะพาเจ้าไปไหน”“เกาะจวิน…” ยังไม่ทันที่ณาราจะเอ่ยจบประโยค เสียงไขกุญแจก็ดังมาจากหน้าประตู เจิ้งหมิงจึงต้องรีบหลบออกไปทางหน้าต่าง“โธ่เอ๊ย ยังไม่ทันจะพูดจบเลย” ณาราพึมพำ ขณะที่ประตูบานนั้นเปิดผางออก ก่อนที่ชายร่างกำยำ คนเดียวกับที่นั่งเฝ้าเธอบนรถม้าจะก้าวเข้ามาในยามนี้เขาอาจะไม่ไ
ครู่ต่อมา รถม้าก็หยุดลง ก่อนที่ชายชุดดำผู้นั้นจะคุมตัวณาราเข้ามายังพุ่มไม้ข้างทาง“พี่ชาย ท่านไปห่างๆ ได้มั้ย”“ได้ แต่อย่าคิดหนีนะ” ชายชุดดำผู้นั้นย้ำเสียงกระด้าง เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป ปล่อยให้เชลยของเขาได้ทำธุระส่วนตัวณารามองซ้ายมองขวา เดินลึกเข้าไปอีกนิด ก่อนนั่งลงทำธุระส่วนตัวของตนเอง พลางคิดว่าจะถ่วงเวลาให้เจิ้งหมิงตามมาทันได้อย่างไรขณะเดียวกัน เจิ้งหมิงเดินทางด้วยวิชาตัวเบามาตามรอยรถม้า ป่านนี้คนร้ายคงพาณาราล่วงหน้าไปไกลนับร้อยลี้แล้ว ไม่แน่ใจเอาซะเลยว่า จะติดตามเธอไปทันได้อย่างไร ขณะกำลังหนักใจอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาองครักษ์หนุ่มรีบหลบหลังต้นไม้ใหญ่ ครู่ต่อมาก็เห็นว่า คนที่ควบม้ามานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น “หานอวี้” จอมยุทธผู้ได้สมญานามว่า “กระบี่ไร้เลือด” นั่นเององครักษ์หนุ่มไม่รอช้า รีบเข้าไปดักหน้าทันที“คารวะพี่หาน”“เอ้า ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็น้องเจิ้งนี่เอง” จอมยุทธวัยย่างสี่สิบ ดวงหน้าเข้มหล่อเหลา ไว้หนวด รูปร่างกำยำ แต่งกายรัดกุมหัวเราะอย่างยินดี ไม่นึกเลยว่า กลางป่าเขาเช่นนี้จะได้พบกับจอมยุทธผู้มีพระคุณกับเขาได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ขณะที
“อันที่จริง ข้าพบใต้ท้าวเฉินกับเสี่ยวเถาโดยบังเอิญตั้งแต่กลางป่าแล้ว ไม่นึกเลยว่า จะถูกหลวงจีนชั่วล่อลวงไปที่นั่นได้ จากนั้นข้ากับใต้ท้าวก็ต่างแยกย้ายกัน ได้พบใต้ท้าวอีกครั้ง ท่านก็มารับตำแหน่งเป็นนายอำเภอซานชิงแล้ว”“แล้วคุณมาทำงานกับใต้ท้าวเฉินที่ศาลซื่อเหอได้ยังไงคะ” แม้จะเริ่มง่วงจากการเดินทาง แต่ณาราก็ยังอยากรู้เรื่องของเขาต่อ“ข้าแอบติดตามช่วยเหลือใต้ท้าวสืบคดี คุ้มกันใต้ท้าวจากผู้ที่เสียผลประโยชน์จากการทำคดีของใต้ท้าวอยู่หลายปี กระทั่งครั้งหนึ่ง ข้ายื่นมือเข้าไปช่วยใต้ท้าวปิดคดีเสนาบดีเกากดขี่ข่มเหงราษฎรได้สำเร็จ ฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งให้ข้าเป็นองครักษ์ขั้น 4 สังกัดศาลซื่อเหอ ทำงานรับใช้ใต้ท้าวเฉินเรื่อยมา”“คุณก็เลยเลิกเป็นจอมยุทธ มารับราชการแทน อย่างนั้นเหรอคะ”เจิ้งหมิงพยักหน้ารับ “แต่ข้าก็ยังคงถือว่าตนเองเป็นทั้งชาวยุทธ ทั้งข้าราชสำนัก แล้วเจ้าล่ะ ในโลกของเจ้า เจ้าเป็นมือปราบไม่ใช่หรือ”“ค่ะ ฉันเป็นมือปราบ ที่เรียกว่า ตำรวจลับ หรือเรียกว่าสายลับก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันเป็นตำรวจ เพราะเบื้องหน้านั้น ฉันเป็นดารา เอ่อ ฉันหมายถึงนักแสดงละครน่ะ”“เจ้าช่างเก่งกล้านัก”“ไม่เลยค่ะ