“เอ๊ะ…ไม่มีผู้หญิง”
มีแต่พนักงานหนุ่มๆ เสื้อผ้าไทยตัดแบบคอปิดแขนยาวสีออกครีมๆ กับกางเกงฝ้าฝ้ายผสมไหมสีน้ำตาลเข้มเล็กน้อย...ดูสะอาดสะอ้านแต่มีแต่ผู้ชายล้วนๆ
“เค้าไม่จ้างผู้หญิงหรือคะ”
“ไม่รู้ซิ ไหนว่าเคยมา”
“ก็นานแล้วนะคะ ตอนนั้นไม่ทันสังเกต”
นายสหชาติคร้านจะพูดว่าคราวนั้นไม่สังเกต แต่คราวนี้ภรรยาเขาสังเกตละเอียดยิบตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา
“เป็นไปได้ไหมคะ” เธอพึมพำถามต่อ ไหวระแวง “เจ้าของร้านหนุ่มโสดอายุสามสิบ เรียนจบคหกรรมฯ เด็กในร้านผู้ชายล้วน...ตัวเองเข้าครัวทำอาหาร...เขาอาจจะเป็นเกย์”
นายสหชาติสะดุ้ง พูดไม่ออก
“หากใช่...เท่ากับคุณพ่อจะลากเอาหลานไปลงนรก”
“อาจจะไม่ใช่น่า...คุณพ่อไม่ได้เป็นคนที่ใครจะตบตาหลอกท่านได้”
“แต่มีถมไปนะคะ” เสียงกระซิบยังตามมาไม่ยอมกันเสียทีเดียว “เกย์หลายคนแอบเสียจนสนิท...เรียกว่าไม่ใช่หมู่ ใช่พวกเดียวกันหรือมีใครตามไปเจอในที่สังสรรค์ลับเฉพาะก็แยกไม่ออก คุณพ่อน่ะฉลาดนะคะ แต่อย่าลืมว่าหลายคนฉลาดก็ลืมเฉลียว...แล้วยุคสมัยที่ท่านผ่านโลกมาน่ะ ท่านอาจจะไม่รู้จักมักคุ้นกับพวกเพศที่สาม”
แต่นายสหชาติยังมั่นใจว่าบิดาเป็นคนที่ใครจะมาหลอกไม่ได้ และยังเป็นคนที่ฉลาดรอบรู้ไปเสียเกือบทั้งหมด
และเขมก็ออกมา...
“เชิญครับ...เชิญ”
ชายหนุ่มยกมือไหว้นอบน้อมกับคนทั้งสาม...คนนำหน้านั้นเหมือนมิตรต่างวัยของเขา...นายจารึกกับเขาคบหากันสนิทสนมชอบกัน...เรียกว่าเพื่อนปู่กลับมาเหมือนเป็นเพื่อนเขาด้วยเหตุว่านายจารึกเป็นคนตรงเสียงดังโผงผางและพูดตรงๆ คิดตรงๆ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรียกว่ามองโลกในแง่ดี แต่ปากร้ายช่างวิจารณ์
นายจารึกเป็นคนบอกเขาเองว่าให้ถือเสมือนเป็นเพื่อน...และวิสัยทัศน์ในเรื่องของการกินมาตรงกันได้
“วันนี้พาพ่อแม่เจ้าแทนเค้ามาด้วย”
นายจารึกบอก “เคยเจอกับเจ้าสหชาติมาแล้วนี่...สักครั้งสองครั้งมั้ง”
“ครับผม จำได้ครับ” เขมตอบสุภาพ
“แม่จามรีเค้าก็ว่าเคยมากับกลุ่มเพื่อนเขา”
คราวนี้เขมเลื่อนสายตามมามองตรงๆ เห็นผู้หญิงวัยคราวแม่ แต่ยังคงงาม ก็ยิ้มให้เธอ
“ลูกค้าผ่านมาผ่านไปมากมาย...หากมาหนเดียว ผมคงต้องขอประทานโทษด้วย หากจะจำไม่ได้”
“ไม่เป็นไร อีกหน่อยก็คุ้นหน้ากัน ตอนเป็นแม่ยายลูกเขย”
คุณจามรีรู้สึกกระอักกระอ่วนบอกไม่ถูก แต่นั่นเป็นคำพูดโผงผางของพ่อสามีที่เธอคิดอยู่ในใจว่า
...ช่างพูดออกมาได้ ไม่มีไว้ท่าที เพราะยังไงเราก็ฝ่ายหญิง...
เธอกลัวจะเสียหายถึงลูกสาวนั่นเอง นั่งลงแล้วกวาดตามองไปรอบร้าน ลูกค้าค่อนข้างหนาตา โต๊ะใกล้ๆ กันก็เห็นป้ายติดว่า ‘จองแล้ว’ เอาไว้ชัดเจน...เสียงเพลงบรรเลงเบาๆ เสียงพูดคุยสนทนา กลิ่นอาหาร...ทุกสิ่งดูสะอาดสะอ้าน เธอชอบภาพวาดที่ประดับผนัง...ภาพวาดที่บ่งบอกถึงรสนิยมของเจ้าของการเลือกภาพ...ทั้งรูปแบบภาพและสีสัน...เหมือนการยั่วยุให้เกิดความหิวและอยากกินอาหาร...
เจ้าของร้านยังหนุ่มมาก หน้าตาดี...เพิ่งได้โอกาสพินิจเขาหนนี้...แต่ทว่า...น่าเสียดาย
แค่พ่อครัว มันดูกระไรๆ ลูกสาวเป็นถึงดอกเตอร์
หากว่าลูกสาวเธอเป็นลูกชายและฝ่ายหญิงเรียนคหกรรมฯ มาเปิดร้านอาหารก็น่าจะเป็นอีกทาง ไม่ต้องมาคิดหน้าพะวงหลังอย่างนี้
พ่อครัวก็หน้าตาหน่วยก้านเข้าที...หุ่นนั้นสูงโปร่ง...ท่วงทีหน้าตาดูไม่น่าจะเป็นพ่อครัวทำอาหาร...
เธอมักจะมีความคิดส่วนตัวแทรกอยู่ จะว่าเธอมีอคติก็ยอมรับอยู่เพราะว่าเธอยังมองคนเป็นพ่อครัวในอีกระดับหนึ่ง...
พ่อครัว...ภาพผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ที่คาดผ้ากันเปื้อนขาวสวมหมวก...
หรือบางทีหากอยู่ในครัวอันหรูหราก็จะมีแบบฟอร์มคือสวมเสื้อขาวกางเกงสีขาวคาดผ้ากันเปื้อนสวมหมวก...
โธ่...คนเรียนมาแค่ไหนกันเชียว
แต่อีตาพ่อครัวคนนี้รู้แล้วว่าจบคหกรรมฯ มา...ระดับปริญญาตรี...
ห่างจากลูกสาวถึงสองดีกรีการศึกษา
“แม่หนูแทนไม่มา” นายจารึกบอก “ไม่ทันได้ชวน วงแตกเสียก่อน”
เขมยิ้มละไม เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนนี้ก็นับว่าแขกพิเศษที่ปู่จารึกตั้งใจจะเอามาเซอร์ไพรส์เขาไม่มาแน่แล้ว
“ไว้วันหลังคงจะได้พบกัน”
เขมยังบอกต่อเสียงนุ่ม...เขามองเห็นท่าทีว่าสองคนที่เป็นพ่อแม่ของหญิงสาวเจ้าของชื่อแทนขวัญหรือดอกเตอร์แทนขวัญทำท่าเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ไม่แปลก...คงจะไม่อยากได้ลูกเขยแบบเขา ก็น่าให้ไม่ต้องการ ลูกสาวเป็นถึงดอกเตอร์...ส่วนเขาแค่ผู้ชายธรรมดาๆ แถมยังเป็นพ่อครัว...อาจจะไม่คู่ควร แต่เขามีปู่จารึกหนุนหลัง...จะต้องกลัวไปไยกัน
เพราะปู่จารึกคุยเอาไว้ว้า
...นังหนูแทนน่ะ อาจจะไม่กลัวพ่อแม่ พอจะกลัวปู่อยู่บ้าง...
แม้เขาจะไม่ค่อยสบายใจหากการตกลงปลงใจมาจากความกลัวของหล่อนต่อปู่จารึก
แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกเป็นอื่น เพราะเมื่อเขาเจอหล่อนทางภาพถ่าย...เขาก็ตกหลุมตกร่องของความรักไปแล้ว
ทำอย่างไรได้อีกเล่า
“ผมว่าได้เวลารับประทานอาหาร...วันนี้มีข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ และแกงจืดสายบัว...”
คุณจามรีชะงักเมื่อได้ยินคำหลัง...ไม่ได้กินแกงจืดสายบัวมานานแล้ว...แถมยังเป็นอาหารตัวโปรดของแทนขวัญอีกด้วย
“ใส่มะดันด้วยไหม”
“ใส่ครับ พอดีหน้านี้มีมะดัน...”
“เพราะแกงจืดสายบัวนั่นใส่มะดันจะได้รสชาติกลมกล่อม...ปลาทูก็ไม่คาว...ผมแกะเฉพาะเนื้อปลาทู ปลาทูแท้จากแม่กลอง...”
เธอพยักหน้ากลืนน้ำลายลงคอ ไม่รู้ตัว
“มีบางคนไม่อยากเห็นปลาทูที่มาพร้อมตัวและหาง”
“แต่ปู่ชอบหางปลาทู” นายจารึกบอก แล้วเท้าความว่า “เรื่องหาง
ปลาทูนี่แย่งกันกินประจำกับเจ้าแทน”
แล้วตามมาด้วยเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก “ปู่หลานกินปลาทูทอดกันทีไร แย่งหางกรอบๆ กันทุกที”
แล้วคุณจามรีก็บอกว่า “ต้มจืดสายบัวนี่ยัยแทนชอบมาก...หากเอาใส่ถุงแล้วไปอุ่นไมโครเวฟ รสชาติจะเป็นไงบ้างล่ะคุณ”
“โอ...ไม่เป็นไรเลยครับ ผมแนะว่าไปถึงบ้านให้เอาเข้าช่องฟรีซ แล้วอุ่นในเวฟตอนจะรับประทาน...ก็จะเหมือนอาหารที่เราทำเองที่บ้านแล้วเวลาไม่หมดเอาเข้าตู้เย็นไว้น่ะครับ”
แต่ที่แน่ๆ ค่ำนี้สองคนสามีภรรยาและยังเป็นว่าที่พ่อตาแม่ยายของเขาประทับใจไปกับรสอาหารทั้งคาวและหวานเมื่อเอาของหวานอย่างไอศกรีมลิ้นจี่ที่ปั่นสดๆ ไม่ถึงกับแข็งตัวมากออกมานั้นเธอออกปากทีเดียว
“โอ...รสดีมาก อมเปรี้ยวนิดๆ ในความหวาน...”
เขมก็ได้แต่ยิ้มรับไปเท่านั้นและปู่จารึกสำทับว่า
“ก็ขนาดนี้...เอาไปติตรองกันดูนะว่าหากแม่แทนจะมีพ่อครัวประจำตัวคอยดูแลการกินอยู่แล้วชีวิตจะไปทางไหน...ผู้หญิงเรียนเก่งถึงดอกเตอร์ เฮอะ...ทำอาหารไม่เป็น...จะมัวฝากท้องกับปิ่นโตหรือถุงพลาสติกหรืออาหารแพคขายตามห้าง...ชีวิตก็เท่านั้น...คนเราจะอยู่ให้บรรเจิด...นอนดี...งานดี...กินต้องดีด้วย...ถึงจะเรียกว่ามีความสุขพร้อมบริบูรณ์”
“ปลาบู่...ปลาบู่...อยู่ไหม”เสียงถามนั่นดังขึ้นพร้อมๆ กับพาตัวเองเดินลัดเลาะไปในระหว่างกองผ้าสูงและข้าวของระเกะระกะ เป็นกองผ้าที่เป็นเศษผ้าสำหรับเอามาทำสิ่งประดิษฐ์ หล่อนสอบถามจากเด็กที่นี่แล้วว่าเพื่อนหล่อนอยู่...ไม่ได้ไปไหน...เพื่อนสาวของหล่อน...ปลาบู่หรือประภาพร เพื่อนรุ่นเดียวกัน รักกันดีมาก แม้จะเรียนคนละสาขาและเอาดีคนละทาง...ปลาบู่กับหล่อนเรียนมัธยมมาด้วยกันและแยกคณะกันไปเรียน แต่ยังติดต่อกันมาตลอด...เป็นเพื่อนสนิทที่สุดคนเดียวที่แทนขวัญมี...และร่างค่อนข้างอวบ หน้ากลมๆ ก็โผล่มากะทันหันระหว่างกองผ้าสูงท่วมหัวสองกอง“จ๊ะเอ๋ ยัยแทน” ทักทายเสียงใส อารมณ์ดี…หากไม่มีความขาวของผิวพรรณก็คงจะไม่พ้นสภาพมอมแมมไปได้เพราะเจ้าตัวเข้าไปคุ้ยหาของประภาพรทำอาชีพส่วนตัวโดยสานต่อจากครอบครัว กึ่งๆ จะเป็นงานหัตถกรรมการประดิษฐ์ของจากเศษผ้า…หล่อนเรียนจบมาด้านบัญชีแต่มาทำงานให้ครอบครัว และไม่ได้ดูแลแค่การเงินและเอกสาร…สินค้าที่นี่กลายเป็นสินค้าที่ได้ส่งออกและมีการจ้างแรงงานหญิงเข้ามาทำ…งานที่แทนขวัญมองเห็นยังไม่อยากเชื่อเลยว่าเศษผ้าก็จะแปรรูปไปเป็นสินค้าได้มากมายหลายอย่างแต่งานประดิษฐ์ของจากอย่างอื่
ป้ายชื่อร้านนั้นดูโดดเด่นเพราะเป็นการเขียนด้วยตัวอักษรแบบคัดลายมือไทยเล่นหาง...ตัวเอียงจากซ้ายไปขวา...ตัวอักษรที่ขยายขนาดใหญ่นั้นบอกความสวยงามหาไหนเปรียบ...เป็นชื่อที่แกะอยู่บนแผ่นหินสีเขียวขนาดใหญ่...เป็นหินเขียวที่มีอายุของการจมอยู่ในดินนั้นเรียกว่านานนับร้อยหรือพันปี...แต่จะนานเท่าไหร่ ‘เขม’ ผู้เป็นเจ้าของร้านและเจ้าของป้ายชื่อที่ว่านี้ไม่ได้ใส่ใจ เขาเพียงแต่คุยอวดว่า“หากปล่อยเจ้าหินสีเขียวพวกนี้อยู่นานไปอีกสักหน่อย จะกลายเป็นหยก”จะมีคนเชื่อเขาสักกี่คน เพราะเขาไม่ได้เป็นนักธรณีวิทยา...ดอกเตอร์พลาย ผู้จบดีกรีปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ที่เชี่ยวชาญทั้งเศรษฐศาสตร์ระดับจุลภาค และมหภาค และยังชำนาญทั้งเศษฐศาสตร์ต้องการการอธิบายในด้านคณิตศาสตร์หรือจะให้เป็นเชิงพรรณาเจ้าดอกเตอร์ก็สามารถพูดได้หมด เคยท้วงว่า…อีกสักหน่อยของเอ็ง คงจะต้องล้านปีเป็นอย่างน้อย...จากหินสีถึงจะเป็นหยกล้ำค่า…แต่เขมไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับคำขัดนั้น เพราะเขาถือว่าเขาก็สันนิษฐานไป...เขาเป็นแค่พ่อครัวคนหนึ่ง...อ่อนน้อมถ่อมตนนักและเขาก็มีเรื่องที่คุยเกี่ยวกับตัวเองได้เต็มปาก“จบคหกรรมฯ ครับ แล้วมาทำครัว เป็นพ่อครัว”เขาไ
คุณปู่มา...มีเด็กขึ้นมาบอกแทนขวัญขยับตัวอยู่บนที่นอนหนาไม่นุ่มมากนักและไม่แข็งจนเกินไป กำลังพอดีและเป็นที่นอนติดสปริงที่พอขยับตัวก็จะไหวยวบตาม...ที่จริงหล่อนนิยมเตียงน้ำ แต่มารดาไม่เห็นด้วย เธอมีความวิตกมากเกินไปว่าหากมันแตกปริขึ้นมาจะทำอย่างไรได้ เธอห่วงว่าหล่อนจะจมน้ำตาย ไม่รู้ว่าเป็นความเชื่อแบบไหนและหล่อนก็ไม่อยากทำให้เธอกังวล เลยยอมปฏิเสธเตียงที่อยากจะได้มารดาเปลี่ยนเตียงและที่นอนให้ใหม่เมื่อหล่อนกลับมาบ้านหนนี้...หล่อนจากบ้านไปสองปีไปเรียนต่อในระดับปริญญาเอกและได้กลับมาอย่างสมภาคภูมิ...ปริญญาเอกทางวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม...กลับมาทำงานที่บริษัทเดิมหล่อนลาไปเรียนต่อและไม่ได้คิดจะกลับมาทำงานที่เดิม แต่เมื่อหล่อนกลับมาบ้านเมื่อสองเดือนก่อน ทางบริษัทเดิมเรียกหล่อนไปพบแล้วแจ้งมาว่ายังยินดีรับหล่อนเข้าทำงานด้วยเงินเดือนที่น่าพอใจทีเดียวแทนขวัญไม่ได้เสียเวลาคิดตรงนั้นนานนัก เพราะหล่อนยังมีเยื่อใยกับเพื่อนร่วมงานเก่าๆ เจ้านายเก่าๆ ตอนหล่อนทำงานครั้งแรกเมื่อจบปริญญาโท หล่อนก็ทำอยู่ที่บริษัทนั้นเป็นปีแล้วค่อยลาออกไปเรียนต่อด้วยเงินทุนที่บ้าน ไม่ได้รับเงินทุนของบริษัทหรือที่ไหน ทั้งพ่อทั้
โอ...ไม่...การแต่งงานที่ไม่เกิดเพราะตัวหล่อนเองเห็นชอบด้วยจะไม่มีวันเกิดขึ้นแทนขวัญไม่อาจจะทนรออยู่เพียงภายนอกได้อีกแล้ว หล่อนก้าวพรวดเข้ามาในห้อง...ทุกคนในห้องนี้มองเห็นหล่อนพร้อมๆ กัน“มาแล้ว ว่าที่เจ้าสาว” นายจารึก เรืองยศเอ่ยทักหลานสาวแทนขวัญเข้ามายกมือไหว้แล้วไปนั่งข้างๆ มารดา...“ใครจะแต่งงานคะ”“เจ้าแหละ แทน”“แทนหรือคะ คุณปู่” ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ หล่อนไม่เคยคิดจะแต่งงาน ในสมองตอนนี้มีแต่เรื่องงานเท่านั้นชีวิตคู่ยังอีกไกล ไม่พร้อม…และยังไม่เจอคนถูกใจด้วย“ใช่”“แต่แทนไม่คิดอยากแต่ง”“ไม่แต่งไม่ได้” เสียงบอกค่อนข้างเด็ดขาด และแทนขวัญก็ไม่ได้นิ่งฟังเหมือนกัน หล่อนถามออกมาทันที“ทำไมคะ”แน่ละว่าตอนนี้พ่อแม่หล่อนเริ่มหายใจไม่คล่องเพราะกลัวว่าปู่กับหลานจะ ‘งัดข้อ’ กัน นายจารึกรักหลานสาวคนเล็กมากอยู่ แต่อารมณ์ที่เรียกว่าเป็นคนชอบทำตัวเผด็จการก็มีมากอยู่เสมอเหมือนกัน นิสัยเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้มาช้านาน แต่ออกจะเกินไปในหลายหนและหลานรักอย่างแทนขวัญก็เป็นหลานคนที่ปะทะกับนายจารึกมากกว่าพี่สาวอีกสองคนที่แยกตัวแต่งงานไปแล้ว หล่อนหัวดื้อกว่านายจารึกยังเคยออกปาก การบังคับหล
“ปลาบู่...ปลาบู่...อยู่ไหม”เสียงถามนั่นดังขึ้นพร้อมๆ กับพาตัวเองเดินลัดเลาะไปในระหว่างกองผ้าสูงและข้าวของระเกะระกะ เป็นกองผ้าที่เป็นเศษผ้าสำหรับเอามาทำสิ่งประดิษฐ์ หล่อนสอบถามจากเด็กที่นี่แล้วว่าเพื่อนหล่อนอยู่...ไม่ได้ไปไหน...เพื่อนสาวของหล่อน...ปลาบู่หรือประภาพร เพื่อนรุ่นเดียวกัน รักกันดีมาก แม้จะเรียนคนละสาขาและเอาดีคนละทาง...ปลาบู่กับหล่อนเรียนมัธยมมาด้วยกันและแยกคณะกันไปเรียน แต่ยังติดต่อกันมาตลอด...เป็นเพื่อนสนิทที่สุดคนเดียวที่แทนขวัญมี...และร่างค่อนข้างอวบ หน้ากลมๆ ก็โผล่มากะทันหันระหว่างกองผ้าสูงท่วมหัวสองกอง“จ๊ะเอ๋ ยัยแทน” ทักทายเสียงใส อารมณ์ดี…หากไม่มีความขาวของผิวพรรณก็คงจะไม่พ้นสภาพมอมแมมไปได้เพราะเจ้าตัวเข้าไปคุ้ยหาของประภาพรทำอาชีพส่วนตัวโดยสานต่อจากครอบครัว กึ่งๆ จะเป็นงานหัตถกรรมการประดิษฐ์ของจากเศษผ้า…หล่อนเรียนจบมาด้านบัญชีแต่มาทำงานให้ครอบครัว และไม่ได้ดูแลแค่การเงินและเอกสาร…สินค้าที่นี่กลายเป็นสินค้าที่ได้ส่งออกและมีการจ้างแรงงานหญิงเข้ามาทำ…งานที่แทนขวัญมองเห็นยังไม่อยากเชื่อเลยว่าเศษผ้าก็จะแปรรูปไปเป็นสินค้าได้มากมายหลายอย่างแต่งานประดิษฐ์ของจากอย่างอื่
“เอ๊ะ…ไม่มีผู้หญิง”มีแต่พนักงานหนุ่มๆ เสื้อผ้าไทยตัดแบบคอปิดแขนยาวสีออกครีมๆ กับกางเกงฝ้าฝ้ายผสมไหมสีน้ำตาลเข้มเล็กน้อย...ดูสะอาดสะอ้านแต่มีแต่ผู้ชายล้วนๆ“เค้าไม่จ้างผู้หญิงหรือคะ”“ไม่รู้ซิ ไหนว่าเคยมา”“ก็นานแล้วนะคะ ตอนนั้นไม่ทันสังเกต”นายสหชาติคร้านจะพูดว่าคราวนั้นไม่สังเกต แต่คราวนี้ภรรยาเขาสังเกตละเอียดยิบตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา“เป็นไปได้ไหมคะ” เธอพึมพำถามต่อ ไหวระแวง “เจ้าของร้านหนุ่มโสดอายุสามสิบ เรียนจบคหกรรมฯ เด็กในร้านผู้ชายล้วน...ตัวเองเข้าครัวทำอาหาร...เขาอาจจะเป็นเกย์”นายสหชาติสะดุ้ง พูดไม่ออก“หากใช่...เท่ากับคุณพ่อจะลากเอาหลานไปลงนรก”“อาจจะไม่ใช่น่า...คุณพ่อไม่ได้เป็นคนที่ใครจะตบตาหลอกท่านได้”“แต่มีถมไปนะคะ” เสียงกระซิบยังตามมาไม่ยอมกันเสียทีเดียว “เกย์หลายคนแอบเสียจนสนิท...เรียกว่าไม่ใช่หมู่ ใช่พวกเดียวกันหรือมีใครตามไปเจอในที่สังสรรค์ลับเฉพาะก็แยกไม่ออก คุณพ่อน่ะฉลาดนะคะ แต่อย่าลืมว่าหลายคนฉลาดก็ลืมเฉลียว...แล้วยุคสมัยที่ท่านผ่านโลกมาน่ะ ท่านอาจจะไม่รู้จักมักคุ้นกับพวกเพศที่สาม”แต่นายสหชาติยังมั่นใจว่าบิดาเป็นคนที่ใครจะมาหลอกไม่ได้ และยังเป็นคนที่ฉลาดรอบรู้ไปเส
โอ...ไม่...การแต่งงานที่ไม่เกิดเพราะตัวหล่อนเองเห็นชอบด้วยจะไม่มีวันเกิดขึ้นแทนขวัญไม่อาจจะทนรออยู่เพียงภายนอกได้อีกแล้ว หล่อนก้าวพรวดเข้ามาในห้อง...ทุกคนในห้องนี้มองเห็นหล่อนพร้อมๆ กัน“มาแล้ว ว่าที่เจ้าสาว” นายจารึก เรืองยศเอ่ยทักหลานสาวแทนขวัญเข้ามายกมือไหว้แล้วไปนั่งข้างๆ มารดา...“ใครจะแต่งงานคะ”“เจ้าแหละ แทน”“แทนหรือคะ คุณปู่” ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ หล่อนไม่เคยคิดจะแต่งงาน ในสมองตอนนี้มีแต่เรื่องงานเท่านั้นชีวิตคู่ยังอีกไกล ไม่พร้อม…และยังไม่เจอคนถูกใจด้วย“ใช่”“แต่แทนไม่คิดอยากแต่ง”“ไม่แต่งไม่ได้” เสียงบอกค่อนข้างเด็ดขาด และแทนขวัญก็ไม่ได้นิ่งฟังเหมือนกัน หล่อนถามออกมาทันที“ทำไมคะ”แน่ละว่าตอนนี้พ่อแม่หล่อนเริ่มหายใจไม่คล่องเพราะกลัวว่าปู่กับหลานจะ ‘งัดข้อ’ กัน นายจารึกรักหลานสาวคนเล็กมากอยู่ แต่อารมณ์ที่เรียกว่าเป็นคนชอบทำตัวเผด็จการก็มีมากอยู่เสมอเหมือนกัน นิสัยเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้มาช้านาน แต่ออกจะเกินไปในหลายหนและหลานรักอย่างแทนขวัญก็เป็นหลานคนที่ปะทะกับนายจารึกมากกว่าพี่สาวอีกสองคนที่แยกตัวแต่งงานไปแล้ว หล่อนหัวดื้อกว่านายจารึกยังเคยออกปาก การบังคับหล
คุณปู่มา...มีเด็กขึ้นมาบอกแทนขวัญขยับตัวอยู่บนที่นอนหนาไม่นุ่มมากนักและไม่แข็งจนเกินไป กำลังพอดีและเป็นที่นอนติดสปริงที่พอขยับตัวก็จะไหวยวบตาม...ที่จริงหล่อนนิยมเตียงน้ำ แต่มารดาไม่เห็นด้วย เธอมีความวิตกมากเกินไปว่าหากมันแตกปริขึ้นมาจะทำอย่างไรได้ เธอห่วงว่าหล่อนจะจมน้ำตาย ไม่รู้ว่าเป็นความเชื่อแบบไหนและหล่อนก็ไม่อยากทำให้เธอกังวล เลยยอมปฏิเสธเตียงที่อยากจะได้มารดาเปลี่ยนเตียงและที่นอนให้ใหม่เมื่อหล่อนกลับมาบ้านหนนี้...หล่อนจากบ้านไปสองปีไปเรียนต่อในระดับปริญญาเอกและได้กลับมาอย่างสมภาคภูมิ...ปริญญาเอกทางวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม...กลับมาทำงานที่บริษัทเดิมหล่อนลาไปเรียนต่อและไม่ได้คิดจะกลับมาทำงานที่เดิม แต่เมื่อหล่อนกลับมาบ้านเมื่อสองเดือนก่อน ทางบริษัทเดิมเรียกหล่อนไปพบแล้วแจ้งมาว่ายังยินดีรับหล่อนเข้าทำงานด้วยเงินเดือนที่น่าพอใจทีเดียวแทนขวัญไม่ได้เสียเวลาคิดตรงนั้นนานนัก เพราะหล่อนยังมีเยื่อใยกับเพื่อนร่วมงานเก่าๆ เจ้านายเก่าๆ ตอนหล่อนทำงานครั้งแรกเมื่อจบปริญญาโท หล่อนก็ทำอยู่ที่บริษัทนั้นเป็นปีแล้วค่อยลาออกไปเรียนต่อด้วยเงินทุนที่บ้าน ไม่ได้รับเงินทุนของบริษัทหรือที่ไหน ทั้งพ่อทั้
ป้ายชื่อร้านนั้นดูโดดเด่นเพราะเป็นการเขียนด้วยตัวอักษรแบบคัดลายมือไทยเล่นหาง...ตัวเอียงจากซ้ายไปขวา...ตัวอักษรที่ขยายขนาดใหญ่นั้นบอกความสวยงามหาไหนเปรียบ...เป็นชื่อที่แกะอยู่บนแผ่นหินสีเขียวขนาดใหญ่...เป็นหินเขียวที่มีอายุของการจมอยู่ในดินนั้นเรียกว่านานนับร้อยหรือพันปี...แต่จะนานเท่าไหร่ ‘เขม’ ผู้เป็นเจ้าของร้านและเจ้าของป้ายชื่อที่ว่านี้ไม่ได้ใส่ใจ เขาเพียงแต่คุยอวดว่า“หากปล่อยเจ้าหินสีเขียวพวกนี้อยู่นานไปอีกสักหน่อย จะกลายเป็นหยก”จะมีคนเชื่อเขาสักกี่คน เพราะเขาไม่ได้เป็นนักธรณีวิทยา...ดอกเตอร์พลาย ผู้จบดีกรีปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ที่เชี่ยวชาญทั้งเศรษฐศาสตร์ระดับจุลภาค และมหภาค และยังชำนาญทั้งเศษฐศาสตร์ต้องการการอธิบายในด้านคณิตศาสตร์หรือจะให้เป็นเชิงพรรณาเจ้าดอกเตอร์ก็สามารถพูดได้หมด เคยท้วงว่า…อีกสักหน่อยของเอ็ง คงจะต้องล้านปีเป็นอย่างน้อย...จากหินสีถึงจะเป็นหยกล้ำค่า…แต่เขมไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับคำขัดนั้น เพราะเขาถือว่าเขาก็สันนิษฐานไป...เขาเป็นแค่พ่อครัวคนหนึ่ง...อ่อนน้อมถ่อมตนนักและเขาก็มีเรื่องที่คุยเกี่ยวกับตัวเองได้เต็มปาก“จบคหกรรมฯ ครับ แล้วมาทำครัว เป็นพ่อครัว”เขาไ